O อุปาทานรูป .. O
VIDEO Ernesto Cortazar - Infinite Love ๑๔ O ชลพินธุรินภวะละหลั่ง นภะฝั่งก็พร่างไฟ- ด้วยดาริกาสมะสมัย รุจิไล้ประโลมหลัว O เย็นรื่นเพราะคลื่นวตะระลอก ขณะหมอกก็หม่นมัว เผยร่าง .. ระหว่างพรรณะระรัว พะ-เหยาะยั่ว .. กะเยียบเย็น O คู่ดาวอะคร้าวรหัสะนัย ก็ประไพประภาพเพ็ญ ยามชายชม้ายพิศะ ก็ เห็น นยะเต้นขจ่างตา ๘ O เกิดแต่เมื่อเดือนฉายที่ปลายช่วง- ดาวเลื่อนดวงหันเห .. ลับเวหา แทนที่ด้วยคำมั่นคำสัญญา- ขึ้นค้ำฟ้าแทนช่วง .. ของดวงไฟ O เกิดแต่เมื่อชาติภพบรรจบรูป เมื่อเปลวเทียนควันธูป .. ลอยวูบไหว ภาพแววตาสั่นรัว .. คล้ายหัวใจ- ต้องเลศนัยแรงชู้เข้าจู่โจม O เสียงธรรมพระ .. จะแจ้งสำแดงสอน เพื่อดับร้อนข่มทุกข์ที่ลุกโหม ในอกผู้สั่นระทึกเสียงครึกโครม ฤๅอาจโซรมให้ซบ .. เพียงสบธรรม ? O คำพระว่า .. ตามองสบต้องรูป ใจอาจวูบวาบเผลอ .. ถึงเพ้อพร่ำ ด้วยรูปการหวานหอม .. ช่วยน้อมนำ- พาเหยียบย่ำเวทนา .. สู่อาวรณ์ O คำพระว่า .. อารมณ์หากข่มไหว จงข่มไว้ด้วยธรรมท่านพร่ำสอน ตาสบรูป .. ภพชาตินั้นอาจทอน- ให้ขาดตอนขาดช่วง .. จนล่วงรอย O เสียงพระเทศน์ยังแว่วไม่แล้วล่วง เพื่อคอยหน่วงเหนี่ยวโลกพ้นโศกสร้อย หากแววตาใครหนอเหมือนรอคอย- เหลือบ .. ชม้อยชม้ายสู่ .. ให้รู้ความ O เปลวเทียนและควันธูปยังวูบไหว เมื่ออกใจเสพทราบ .. รสวาบหวาม รูปพักตร์เอย .. โลมรุกเข้าคุกคาม- จักข่มข้ามบ่ายเบี่ยงเอาเยี่ยงไร ? O จนสิ้นเสียงพระเทศน์, แววเนตรนั้น- จากลอบเหลือบสบกัน .. ค่อยสั่นไหว คล้ายเลือดซับแก้มก่ำ .. อยู่รำไร เมื่ออาลัยอาวรณ์ สุดผ่อนลง O เมื่อนันทิ .. ผลิเล่ห์ในเวทนา จนอุปาทานขับ .. ขึ้นรับส่ง สร้าง-ภพชาติเป็นกรรมขึ้นดำรง แรงจำนงก็เผยแล้วผ่านแววตา O อธิษฐาน .. เยี่ยงไรหนอใจนั่น ให้-ผูกพันเฝ้าคอยละห้อยหา ? หรือ-ชาติใดพานพบเพียงสบตา- ให้รองรับเสน่หาทุกคราครั้ง ? O ครั้งนั้น .. คงตั้งจิตอธิษฐาน- จึงสืบผ่านถ้อยคำด้วยน้ำหลั่ง- ลงให้พื้นปฐพินทร์ได้ยิน .. ฟัง- จนรับรู้กำลัง .. ความตั้งใจ O จึงวันนี้ .. รูปน้อยเหมือนคอยอยู่ คอย-รับรู้ .. รับรองความผ่องใส ปรากฎขึ้นเทียบค่าความอาลัย- กับรูปในความฝันจากวันเพรง O เรียวรูปนิ้วจับของประคองถวาย ก็คลับคล้ายรูปนิมิตเคยพิศเพ่ง จันทร์เคยทอแสงปลั่งกลางวังเวง ก็ยังเปล่งปลั่งงาม .. จนยามนี้ O จันทร์ที่ลอยกลางสรวง .. ยังดวงเดิม รูปต่ายเติมแต้มลงยังคงที่ เช่นรูปในแววตา .. กอปรท่าที- แห่งใยดีอาวรณ์ .. ออดอ้อนนั้น O ยังอ่อนโยนอ่อนหวาน .. จนปานว่า- แววในตาลอบชม้ายยังส่ายสั่น สั่งชี้จิตวิญญาณจากวานวัน ก่อนครั้งสัญญาชาติจักขาดวง O เปลวเทียนและควันธูปยังวูบไหว เมื่ออาลัยพิสวาดิด้วยชาติหงส์ เริ่มเร้ารุกคุกคาม-ตั้งจำนง- ต่อรูปองค์เบื้องหน้าอย่าท้าทาย O เหมือนแว่วธรรมพุทธา, เมื่อตาจ้อง เรียวรูปนิ้วจับของประคองถวาย แต่บัดนั้นอุปาทานก็พานกาย เมื่อดวงเนตรนั้นชม้ายเหลือบชายมา O สิ้นเสียงธรรม, นันทิ-กลับผลิช่วง- ขึ้นในดวงจิตคอยละห้อยหา เติมแต้มรูปอภินันท์ ลงสัญญา ชี้, บัญชาให้สำทับชั่วกัปกาล O เสียงพระเทศน์พ้นผ่านไปนานแล้ว ลมยังแผ่วยังพลิ้วเป็นริ้วผ่าน เมื่อ .. ดวงตาพรับพริ้ม เผยยิ้ม .. ปาน- ช่วยเหยียบโลกทรมาน .. ให้ .. ลาญลบ ! O เสียงไก่ขันแว่วฝ่าอุษาสมัย บอกจันทร์ให้งำรอยแล้วถอยหลบ เพื่อเปิดฟ้าแรกวันให้ครันครบ- การบรรจบรูปธรรมแสนอำพน O ลมหนาวพลิ้วผ่านอยู่แต่ตรู่สาง หมอกก็คลี่ม่านพรางทั่วทางถนน หนาวเนื้อตัว, หนาวในหัวใจคน- นั้น-หนาวจนถวิลอุ่น .. ไว้หนุนทรวง O เม็ดน้ำค้างวางหยาด .. เรียงหยาดรับ- การทอดทับแต้มแต่งด้วยแสงสรวง จึงเห็นรูปเพชรพลอย .. นั้นลอยดวง- พร้อมรูปหวงพร่างแพร้วในแววตา O แววระยับวามช่วง .. ในดวงเนตร ค่อยเผยเลศนัยเผดียง บอกเดียงสา ทั้งพฤติ, รูปนาม .. ย่อมล่ามอา- รมณ์ .. ผู้อุปาทานขับ แนบกับใจ O มุขมณีน้ำระยับ .. ย่อมจับจิต- ผู้เพ่งพิศ-อภิรมย์, ฤาข่มไหว เห็นแต่เพียรจับจ้องหมายมองไป เสพรูปนามเพ็ญพิไล .. หวัง-ไขว่คว้า O เห็นงามก็ว่างามไปตามเห็น กับแฝงเร้นกรณีทุกทีท่า ดั่งดวงแก้วเหลื่อมประกายต่อสายตา เพื่อร่ำรอเสน่หาจากตาชาย O เห็นงามคุกคามฝ่า .. แววตาสบ ย่อมบรรจบลุกลามเป็นความหมาย ถวิลแต่คุณค่าอันพร่าพราย ที่โชนฉายแววมณีเป็นสีเดียว O ทุกพื้นเหลี่ยมมุมรัตน์ .. จำรัสแสง เหลื่อมสำแดงรูปรอยให้พลอยเหลียว ผ่านแววตาแฝงเร้น .. ราวเส้นเกลียว- เคลื่อนเส้นเข้ารัดเหนี่ยว .. พันเกี่ยวใจ O แล้วม้วนเส้นม้วนปลายเก็บปลายเงื่อน จนสุดเคลื่อนสุดคลาย .. ต้น-ปลาย .. ไหว เพื่อเสพรับอุ่นอายจากภายใน- อุ่นอาลัยให้ระรุม .. คอยสุมลน O แต่บรรจบก็ลุกลามเป็นความหมาย แววตาคล้ายจำนรรจ์นับพันหน กระนั้นแล้ว .. หวั่นไหว .. และใจคน จักหลุดพ้นพรากได้เยี่ยงไรกัน O เห็นมณีน้ำระยับงามจับจิต ย่อมต้องคิดหมายปอง ตระกองขวัญ เพื่อยึดโยงปักปลูกความผูกพัน ไปชั่วกัปชั่วกัลป์พุทธันดร O คะเนนึกคะนึงอยู่แต่ตรู่สาง ที่แววอางขนางเห็นเกินเร้นซ่อน ที่แสงในแววตาผู้อาทร สบ-เว้าวอน .. เพรียกถวิลเพรียกจินตนา O คะเนนึกคะนึงอยู่ไม่รู้สิ้น เปลี่ยวเหงาย่อมพังภินท์จนสิ้นท่า เมื่อแสงวามผ่องแผ้วในแววตา เผยต่อหน้าพาโลกพ้นโศกซม O แววมณีงามเพ็ญ .. เมื่อเต้นตอบ- โลกโดยรอบเคยระยับก็ลับ .. ล่ม เหลือเพียงงามเบื้องหน้าให้ปรารมภ์ รอขับข่มทุกมณี ในที่นั้น O เม็ดน้ำค้างทุกหยาด .. บำราศแล้ว เหลือเพียงแก้วมณีพราย .. ยังส่ายสั่น ครองภาวะโชนช่วง .. เมื่อดวงวัน- ราวจักบรรลัยล่วง ด้วยดวงตา !
Create Date : 09 เมษายน 2559
31 comments
Last Update : 13 เมษายน 2566 12:21:26 น.
Counter : 10638 Pageviews.
ดายุ..
ตรงนี้ชอบ...
"O ยังอ่อนโยนอ่อนหวาน .. จนปานว่า-
แววในตาลอบชม้ายยังส่ายสั่น
สั่งชี้จิตวิญญาณจากวานวัน
ก่อนครั้งสัญญาชาติจักขาดวง"
ตรงนั้นชอบ...
"O เห็นงามก็ว่างามไปตามเห็น
กับแฝงเร้นกรณีทุกทีท่า
ดั่งดวงแก้วเหลื่อมประกายต่อสายตา
เพื่อร่ำรอเสน่หาจากตาชาย "
ตรงโน้นก็ชอบ...
" O เห็นมณีน้ำระยับงามจับจิต
ย่อมต้องคิดหมายปอง ตระกองขวัญ
เพื่อยึดโยงปักปลูกความผูกพัน
ไปชั่วกัปชั่วกัลป์พุทธันดร"
ที่ชอบที่ชอบน่ะ มีหลายจุด บ้างก็ชอบการเล่นคำ
บ้างก็เด่นตรงเล่นความ....
สาวของสดายุนี่ .."มาดชาววัง" นะ
แล้วจะมีใน..สาธารณรัฐ.. ไหนล่ะ 555
ว่าแต่ว่า หากศาสนาพุทธล่มนี่..จะหมดรักใช่ไหม
.." ไปชั่วกัปชั่วกัลป์พุทธันดร"
เหลือเวลาเพียงแค่ กึ่งพุทธกาล เท่านั้นนะคะ...