Bloggang.com : weblog for you and your gang
Group Blog
พระพุทธเจ้า
พระพุทธวจนะ
ธรรมบรรยาย
ตรรกะวิภาษ ..
Innovation
Value Investor ..
DiscountedCashFlow
Transportation
NewGenDevice
History
Science
Home & Garden ..
Food & Sweet
DIY
SlowRock ..
Classic
RockMusic
SweetMusic
Ernesto Cortazar
Giovanni Marradi
Secret Garden
Omar Akram
Mix
CountrySong
SweetSong
OldSweetSongs ..
MLTR
ENYA
EAGLES
เพลงร็อคไทย
เพลงไทยเดิมประยุกต์
เพลงย้อนอดีต
เพลงบรรเลง
เพลงลูกกรุง
เพลงลูกทุ่ง
เพลงเพื่อชีวิต
นิราศนรินทร์ - คำแปล
นิราศภูเขาทอง - คำแปล
นิราศลำปาง .. โคลง
นิราศเพรงกาล .. โคลง
ชั่วฟ้าดินดับ .. โคลง
มหาภารตะยุทธ .. ฉันท์
ศรีอยุธยา .. ฉันท์
สายธารกาลเวลา .. กลอน
สองฝั่งฟ้า .. กลอน
หอมกลิ่นร่ำ .. กลอน
รัตนโกสินทร์ .. กลอน
ชั่วฟ้าดินสลาย .. กลอน
บรรณภพ
วรรณศิลป์
วรรณกรรมไทย
อวิภัชวาท
ปริภาษวาจก
นรกวาที
นารีปราโมช
ฉันท์
โคลง
<<
มีนาคม 2557
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
19 มีนาคม 2557
O ขวัญพี่ .. O
All Blogs
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O จากบัดนั้น .. O
O สิ้นสวาดิ .. O
O แววในดวงตา .. O
O เช้านี้ .. O
O อาวรณ์ .. O
O มธุรสลีลา .. O
O ยิ้มแรก .. O
O หนาวแรก .. O
O ปลายฝน .. O
O ซ่อนเร้น .. O
O งามรูปนั้น .. O
O เจ้าเอย .. O
O ฟ้าคร่ำลมครวญ .. O
O ยอมเถิด เจ้า .. O
O เมื่อลมเช้าโชยแผ่ว .. O
O ปรารมภ์ .. O
O ลมรำเพย .. O
O เหมันตะกาล .. O
O ดวงตาคู่นั้น .. O
O รูปเอย .. O
O ในค่ำหนาว .. O
O คำนึง .. O
O สิ้นเยื่อใย .. O
O ค่ำนี้ .. O
O เพียงเจ้า .. O
O กรรตุวาท .. O
O รูปธรรมในค่ำฝน .. O
O ฉันทาสมัย .. O
O จันทร์ .. O
O ห้วงเสน่หา .. O
O ยามเช้า .. O
O หอม .. O
O อีกไม่นาน .. O
O นาทีนั้น .. O
O วิสาขะสมัย .. O
O กลางริ้วลม .. O
O หวง .. O
O .. เช้านั้น .. O
O แรงอาลัย .. O
O แสงสรวงในทรวงนี่ .. O
O อุปาทานรูป .. O
O ยอมเถิด .. ดวงใจ ! O
O คิมหันตะสมัย .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O ขาบเขียวแห่งเรียวขน .. O
O เมื่ออุษาสาง .. O
O ครวญคร่ำแห่งคำวอน .. O
O เมื่อลมหนาวล่อง .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O น้องสาว .. ที่แสนดี O
O รูปนามเจ้าเอย .. O
O ใต้ปีกนกฟ้า .. O
O มีเจ้า .. O
O น้ำปลายฝน .. O
O เรื่อรุ้ง..บนคุ้งฟ้า O
O ก่อนอุษาสาง .. O
O น้ำค้างเดือนเจ็ด .. O
O เดือนลอยดวง .. O
O สาวเอย .. O
O ฟองคลื่นแห่งรมยา .. O
O ฝากจันทร์ .. O
O แก้วตาพี่ .. O
O ก่อน .. วิสาขะมาส .. ! O
O หอมนี้ .. O
O รูปธรรมในคำนึง .. O
O รูปนามเอย .. O
O จันทร์เพ็ญรูป .. O
O รูปพรรณในบรรจถรณ์ .. O
O คันธา .. แห่งวรรษาสมัย O
O นางใจ ... O
O ถวิละรูป .. O
O บวงทิพที่ลิบโพ้น .. O
O รูปในคำนึง .. O
O ลมร่ำ .. เมื่อย่ำรุ่ง .. O
O น้ำค้างยามรุ่ง .. O
O คอยเจ้า .. O
O เพรงวาสน์ เมื่อพาดช่วง .. O
O เหมันตะกาล .. O
O บุหลันลอยเลื่อน .. O
O รื่นลมหนาว .. O
O ลมร่ำในค่ำหนาว .. O
O เสน่หา .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รูปนามแห่งความรัก .. O
O อาลัย ที่ไหววน .. O
O งามละมุน .. กับกรุ่นข้าวหอม .. O
O ปีกนก กับ อกคน .. O
O หอม .. เสน่หา .. O
O ซ่อนเร้น และ เอ็นดู .. O
O น้ำค้างเดือนสิบ .. O
O ลมหนาวและดาวเดือน .. O
O ปริศนาแห่งท่าที .. O
O จันทร์เอย .. O
O คนดี .. O
O แรงถวิลหา .. O
O สุดหัวใจ .. O
O ขวัญเอย .. O
O ปีกนก และ อกคน .. O
O จันทร์เจ้า .. O
O วานนั้น .. จนวันนี้ .. O
O สุดรอคอย O
O ลมร่ำและฝนโรย .. O
O คอยเถิดเจ้า .. O
O ปลายฝน .. ต้นหนาว .. O
O รูปอาวรณ์ .. O
O กลางฝุ่นฝน .. O
O ตราบชั่วนิรันดร .. O
O สร้อยดอกโศก .. O
O สู่กลางใจเธอ .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O หอมดอกลำดวน .. O
O ฟ้าคร่ำฝนครวญ .. O
O ชั่วฟ้าดินสลาย .. O
O ข้าวร่วมขัน .. O
O พิรุณพิลาปร่ำ .. O
O ห้วงแห่งคำนึง .. O
O วันคอย .. O
O แค่เสี้ยวธุลีความ .. O
O แสงช่วงแห่งดวงมณี .. O
O บ่วงอาวรณ์ .. O
O หอมหัวใจ .. O
O คอยเจ้า .. O
O อาลัย ที่ไหวรับ .. ! O
O คำข้าว .. และใจคน .. O
O พวงผกา .. แห่งป่าฝน .. O
O กล่อมขวัญ .. O
O พินทุกล แห่ง สุคนธรส .. O
O คำมั่นคำสัญญา .. O
O รูปนามแห่งยามสาง .. O
O รื่นวรรษา .. O
O โสมกลางสรวง .. O
O ท่ามกลางละอองรื่น .. O
O รูปธรรมเพื่อจำนน .. O
O เมื่อลมร่ำ .. O
O หอมกลิ่นแก้ว .. O
O คิดถึง .. O
O ฝนห่มลมเห่ .. O
O ฤดูลม .. O
O บ่วงปฏิพัทธ์ .. O
O นิรมิตะรูป .. ? O
O แววตาผู้อาวรณ์ .. O
O รูปในคำนึง .. O
O กลาง - ลม .. ฝน .. O
O บุพสัญญา .. O
O ลมทะเล .. O
O เตรียมเถิด .. ใจ ! O
O เมื่อดาวลอยดวง .. O
O กลางลมร่ำ .. O
O หอม-อุ่น .. กลางฝุ่นฝน .. O
O อัปสระรูป .. O
O ขวัญพี่ .. O
O .. หัวใจที่ร่ำรอ .. O
O เพลงพยาน .. O
O พรรณาแห่งอารมณ์ .. O
O รื่น..ลมร่ำ .. O
O แก้วเอย .. O
O คอย .. O
O ดาวดื่นในคืนแรม ... O
O เภรีและคีตา .. O
O รูปนฤมิต .. O
O ก่อน .. มาฆะมาส .. O
O เพรงภพบรรจบล้อม .. O
O กลางวสันตะสมัย .. O
O ดั่งลมร่ำ .. O
O ปริศนาแห่งนารี .. ? O
O จินตะภพ .. แห่งพลบสมัย O
O คือ ความรัก .. O
O คันธาแห่งมาลี .. O
O เหมันตะสมัย .. O
O หอมดอกแก้ว .. O
O หอมกลิ่นโมก .. O
O พินทุแห่งกุสุมา .. O
O สัญญาใจ .. O
O รูปนามนั้น .. O
O ลมหนาวร่ำ .. O
O ฟ้าหลังฝน .. O
O วรรษาสมัย .. O
O คันธบท .. แห่งรสสุมาลย์ .. O
O คอยเถิดนะ .. O
O กรุ่นกลิ่นประทิ่นมาลย์ .. O
O อาวรณะสมัย .. O
O รูปแพงเอย .. O
O คอยเถิด .. รูปแพงเจ้า .. O
O มณีเดียว .. O
O ภิรมย์สมัย .. O
O ร่ำรสเกสรา .. O
O เจ้าอ่อนเอย .. O
O ลมเอย .. O
O กลางฝนโปรยปราย .. O
O อหังการ .. แห่งน้ำค้าง .. O
O กลางพระลบ .. บรรจบล้อม .. O
O หนาวลมร่ำ .. O
O จากเดือนเร้น .. จนเพ็ญรูป .. O
O แต่บัดนั้น .. จนบัดนี้ .. O
O เสภา .. กลางราตรี O
O โสมส่องแสง .. O
O ฝุ่นน้ำฟ้า .. O
O ศรัทธาสองภพ .. O
O ด้วยแรงอธิษฐาน .. O
O เม็ดฝน ใต้ม่านฟ้า .. O
O พันธนาการแห่งรูป .. O
O น้ำผึ้งเดือนเจ็ด .. O
O ฝนเดือนเก้า .. O
O อาลัยที่ใฝ่เฝ้า .. O
O ลีลาและท่าที .. O
O เดียงสาเจ้า .. O
O มณฑาทิพ .. O
O ห้วงอาวรณ์ .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รักเอย .. O
O ชายฟ้าเลื่อน .. O
O เพียงหนึ่งคำ .. O
O ละห้อยหา .. O
O ในห้วงคำนึง .. O
O หยาดเพชรเมื่อเพ็ญรูป .. O
O ใจเอย .. ! O
O ลมรัก .. O
O ผืนทรายและปลายฟ้า .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O รักสุดใจ .. O
O เชิญขวัญ .. O
O แต่ปางใด ..? O
O ฝากลมร่ำ .. O
O ห้วงเหมันตะสมัย O
O หลังเหมันต์ .. O
O บุหรง .. รำแพน .. O
O ใจเจ้าเอย .. ! O
O งามนั้น .. O
O ร่ำร้อย .. พจีเรียง .. O
O แรกอรุโณทัย .. O
O หนาวลมฝน .. O
O หลัง .. อัสดงคต .. O
O รอ .. O
O ดวงเด่นกลางนภา .. O
O จันทร์ขจ่างฟ้า .. O
O กรุ่นแก้วกำจาย .. O
O ฟ้าสองฝั่ง .. O
O ก่อน .. นางครวญ...O
O หงส์ร่อน .. มังกรรำ .. O
O อาวรณ์ .. ที่ซ่อนเร้น ..? O
O สิ้น .. วาสนา .. O
O บุพเพสันนิวาส .. O
O เลื่อมลายรุ้ง...O
O สิ้น - ดวงวิเชียรฉาย...O
O นางครวญ O
O ขวัญพี่ .. O
แต่ปางก่อน - ขิม
O อีกครั้งและอีกครา .. เพ-ลานี้
สุดหัวใจจะหลีกลี้หลบหนีหาย
หลังรูปลักษณ์ละม่อมหน้า-นัยน์ตาชาย-
สบ-รำบายรูปเงา .. รุมเร้าทรวง
O อีกครั้งและอีกครา .. เกินกว่าซ่อน-
แรงอาวรณ์อาลัยอันใหญ่หลวง-
ค่อยฝ่าความเปลี่ยวเปล่า .. คล้ายเงาลวง-
ของใครนั้นล้ำล่วง .. แทรกดวงใจ
O แต่ละคาบแต่ละช่วง .. ในห้วงคิด
คล้ายต้องฤทธิ์แทรกซ้อนจนอ่อนไหว
ฤทธิ์ซาบซึ้งอ่อนหวาน .. ที่หวานใด-
หาเถิดใน .. ปัถวียากมีเทียม
O ตั้งแต่แสร้งมอง-เมิน .. แล้ว-เขิน-หลบ
ครั้นเผลอสบก็คล้ายคล้าย จะอายเหนียม
จนเมื่อสุดข่มใจ .. ข่มให้เจียม
ก็เต็มเปี่ยมดื้อด้าน .. เกินต้าน-ดึง
O เหมือนถูกจองที่แล้วในแววตา
อยู่ค้ำคาห้วงจิตแต่คิดถึง
เคลื่อนสายใยปฏิพัทธ์เข้ารัดรึง
โอนอบอุ่นหวานซึ้งเข้าตรึงทรวง
O เหมือนถูกจอง .. ที่ทางระหว่างที่-
อ้อมไมตรีโอบแทน .. อ้อมแขน-หวง
อ่อนไหวและอ่อนหวาน .. กว่าหวานปวง
ก็หลอมใจทั้งดวง .. ด้วยห่วงใย
O ราวว่าใจถูกกัก .. รอนศักดิ์-สิทธิ์
ด้วยแรงฤทธิ์อาวรณ์สุดถอนไหว
มีรุ่มร้อนรุกรานเผาผลาญใจ
จากอาลัยรูปนิมิตจนติดคา
O ยอมเถิดนะ .. คนดี .. อย่าลี้หลบ
ยอมสืบภพร่วมชาติ .. ด้วยวาสนา-
สองเรานั้นบันดลด้วยมนตรา-
จากฤทธาเสกสั่ง .. เทพทั้งปวง
O ตะวันลับแสงล่ม .. หรือลมเคลื่อน
ดาวจะเลื่อนเดือนพรากไปจากสรวง
หากอีกคนจนถึง .. ใจหนึ่งดวง
สุดเลือนล่วงลับแล้ว .. นะแก้วตา
O ฟังเถิดนะ .. คนดี .. เสียงที่กระซิบ
จากดินแดนไกลลิบ .. กระซิบว่า-
เพราะตักบาตรร่วมขัน .. ด้วยกันมา
เสน่หาจึงรับรอง .. เพียงสองเรา
O ฟังเถิดนะ .. คนดี .. เสียงที่กระซิบ
จากดินแดนไกลลิบ .. กระซิบเจ้า
ปรารถนาพี่แรง..เกินแบ่งเบา-
สุดผ่อนเพลาคุณค่า .. ความอาลัย
O จากหนาว-ร้อน-แล้ง-ฝน .. ตราบฝนผ่าน-
ยังคงหวานหอมอยู่จนรู้ได้
ทุกฝุ่นฝนหล่นล่วง .. จึงทรวงใคร-
ยังสั่นไหวซ้ำซ้ำ .. ด้วยจำนง
O สดับเถิดคำกรองทำนองเสนาะ
ความจะเลาะเร้ารุมให้ลุ่มหลง
พินิจเถิดนัยคำ .. ตอกย้ำลง-
เพื่อสาปส่งเวทย์มนต์ .. มาดลใจ
O .. ว่าอ้อมอก .. อาทร .. รออ้อนซบ-
แนบหน้าอบอุ่นขวัญ .. ทอนหวั่นไหว
จะกล่อมเกล้าโอบกาย .. คลี่สายใย
รัดพันไว้ .. สุดวิถีแห่งชีวัน
O หาก-เมินเฉยซ่อนเร้น .. ไม่เห็นหน้า
ใคร .. อาจท่วมทรมาถึงอาสัญ
หากรอคอย .. ละห้อยเห็น .. ไม่เห็นกัน
จะโศกศัลย์สุดเทวษทวีทรวง
O รับรู้เถิด .. รอถนอมละม่อมพักตร์
รอโอบกอดกุมกัก .. ด้วยรัก-หวง
เพียงหนึ่งที่วาดหวัง .. ใจทั้งดวง
จะเลื่อนล่วง .. ลงสำหรับ .. ประดับใจ
O ขวัญเอย .. ขวัญพี่
ค่ำคืนนี้ .. ดาวดับเดือนหลับใหล
จะแทรกฝัน .. แนบทรวง, พร้อมห่วงใย
โอบกล่อมให้นิ่งสนิท .. กลางนิทรา
.
.
แทรกอีกฝัน .. ให้หนุน-เนื้อ, อุ่นไอ
โอบขวัญให้เนตรระยับ .. ขึ้น-รับรู้ !
Create Date : 19 มีนาคม 2557
Last Update : 17 มิถุนายน 2566 21:14:57 น.
16 comments
Counter : 4085 Pageviews.
Share
Tweet
สดายุ..
"O หาก-เมินเฉยซ่อนเร้น .. ไม่เห็นหน้า
ใคร .. อาจท่วมทรมาถึงอาสัญ
หากรอคอย .. ละห้อยเห็น .. ไม่เห็นกัน
จะโศกศัลย์สุดเทวษทวีทรวง"
"มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวสหัสนัยน์ไตรตรึงศา
ทิพอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา กระด้างดังศิลาประหลาดใจ
จะมีเหตุมั่นแม่นในแดนดิน อมรินทร์เร่งคิดสงสัย
จึงสอดส่องทิพเนตรดูเหตุภัย ก็แจ้งใจในนางรจนา
แม้นมิไปช่วยจะม้วยมอด ด้วยสังข์ทองไม่ถอดรูปเงาะป่า
จำจะยกพหลพลเทวา ลงไปล้อมพาราสามนต์ไว้"
(สังข์ทอง)
เผื่อว่า "สุดหัวใจ" ที่ "จะหลีกลี้หลบหนีหาย"
จะได้เกรงตัวกลัวตายบ้างเนอะ...555
โดย: บุษบามินตรา IP: 192.99.14.36 วันที่: 19 มีนาคม 2557 เวลา:23:33:15 น.
มินตรา
"สุดหัวใจ" นั้นคงไม่หนีไปข้างไหนได้ ..
เพราะเรามีคำมั่นสัญญากันก่อนไปรับศึก ตั้งแต่ชาติที่แล้ว ว่า ..
ถนอมใจรอคอย .. อย่าสร้อยเศร้า
รักษาตัวเถิดเจ้า .. รอข่าวพี่
เสร็จการณ์กลับรับขวัญในทันที
ให้สมที่ถวิลเห็นไม่เว้นวาย
สิ้นเรื่อง .. จะเรียนการณ์ให้ท่านรู้
หวังช่วยสู่ขอขวัญ .. ช่วยหมั้นหมาย
สมเกียรติศักดิ์เทือกเถาชั้นเจ้านาย
คอยเถิดสายสวาดิเรียม .. เจ้าเตรียมตัว
ลืมบอกไปว่า .. กำลังพูดถึง
เชื้อสายของ"ฟองคลื่นแห่งศักดินา" คนหนึ่งขอรับ
โดย:
สดายุ...
วันที่: 20 มีนาคม 2557 เวลา:20:00:55 น.
สดายุ..
เชื้อสายของ"ฟองคลื่นแห่งศักดินา" 555
ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง..
เจ้าเมืองลำปางยังมีลูกสาวอีกนี่นะ..ใช่ไหม..
ศักดินาที่ว่านี่ เจ้าผู้ครองเมือง หรือ ผู้ครองประเทศ..
"O แต่ละคาบแต่ละช่วง .. ในห้วงคิด
คล้ายต้องฤทธิ์แทรกซ้อนจนอ่อนไหว
ฤทธิ์ซาบซึ้งอ่อนหวาน .. ที่หวานใด-
หาเถิดใน .. ปัถวียากมีเทียม"
หาเถิดใน .. ปัถวียากมีเทียม! อิเหนานี่นะ..
โดย: บุษบามินตรา IP: 192.99.14.36 วันที่: 20 มีนาคม 2557 เวลา:23:02:40 น.
มินตรา ..
คำว่า "ฟองคลื่น" เป็นการบอกเป็นนัยว่าเป็นดินแดนน้ำเค็ม และ "ศักดินา" เป็นยศศักดิ์ของคนรุ่นเก่าสมัยร่วมร้อยปีที่แล้ว ..
ระดับเมืองนี่ก็ใหญ่โตมากแล้วในยุคนั้น ..
อีกอย่างผมเป็นโรคแพ้ความอ้วนอย่างรุนแรง ระดับประเทศไม่ได้หรอก .. ไม่มีรถเครนยก !
ความสวยงามของสตรีวัยเยาว์ เป็นสิ่งที่ยากจะบรรยายได้เหมือน .. และต้องพูดว่าที่กวีโบราณบรรยายน่ะ ไม่เท่าไรหรอก เพราะเขารอบรู้จำกัดอยู่กับจารีตไม่กี่อย่าง .. ผิดกับปัจจุบันเยอะที่จะเห็นทั้งบนฟ้า เห็นทั้งใต้น้ำ
เห็นกาแลกซี่ เห็นทั้งจักรวาล ด้วยตาจริงๆ
จริงไหม
โดย:
สดายุ...
วันที่: 21 มีนาคม 2557 เวลา:7:25:11 น.
ดายุ..
ตอบซะ ..เล่นเอาสาวสาวตามชายฝั่งทะเลตั้งแต่ระยองไปจรดแหลมมาลายู วาบหวามไปตามตามกัน..
สาว ณระนอง ณนคร ณสงขลา เข้าแถวมารอได้แล้ว...555
เมื่อวันที่17 มีนาคม 2014นี้ นักดาราศาสตร์(astronomers) ที่ ศูนย์
ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ฮาร์วาด-สมิทธิ์โซเนียน (the HarvardSmithsonian Center for Astrophysics)ประกาศว่ามี คลื่นแรงดึงดูด (gravitational waves)จริงตามที่ไอชไตน์ตั้งสมมุติฐานไว้
คลื่นแรงดึงดูด(gravitational waves)ในทฤษฎีGeneral relativity ของไอชไตน์นี่แหละที่ทำให้มนุษย์สามารถพิสูจน์จนรู้ถึงกำเนิดจักรวาลว่ามาจาก Big Bangได้
ซึ่งในทฤษฎีแรงดึงดูดของนิวตัน( the Newtonian theory of gravitation)จะไม่มีคลื่นแรงดึงดูด(gravitational waves) มีเพียงคลื่นกระแสแม่เหล็กไฟฟ้า(electromagnetic waves)
ไอชไตน์ ตั้งสมมุติฐานไว้สองทฤษฎี คือGeneral relativityและ ในปี1915 special relativity
นักฟิสิกส์สมัยศตวรรษที่21ท่านว่าหากเราเดินทางได้เร็ว เราจะสามารถไปในอดีต และในอนาคตได้ ( possibility of time travel in curved spacetimes), จุดที่มนุษย์สามารถทำให้เป็นจริงได้คือจุดที่ใกล้ black holesมากที่สุด..
"สุดหัวใจ"และ สดายุ คงนัดเจอตรงนี้กระมัง ใช่ไหมเอ่ย..
ตรงจุดที่ทั้งเหลืองและแดงโดนดูดกลืนหายไป...
โดย: บุษบามินตรา IP: 192.99.14.34 วันที่: 21 มีนาคม 2557 เวลา:15:43:45 น.
มินตรา ..
ต้องขอบคุณที่เอาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาให้ ..
นี่หากอยู่เมืองไทยคงดูละคอนช่อง 3 ช่อง 7 น้ำหูน้ำตาเล็ดอยู่แน่เลย ตามประสาชาติที่ไม่เอาสาระ เอาแต่บันเทิง 55
อย่าบอกว่าสิ่งแวดล้อมพาไปเด็ดขาด ..
ที่น่าทึ่งมากที่สุดของมนุษย์ชาติ ไม่ใช่เรื่องเหงื่อสองหยดบนปลายจมูกอะไรนั่นหรอกนะ .. แต่เป็นสมการพลังงาน
E = mc²
เมื่อ c คือ ความเร็วแสง 300,000 กม/วินาที
ความเร็วขนาดนี้ว่ามากแล้วยังเอามายกกำลังสองเข้าไปอีก .. คำถามคือคนคิด คิดได้อย่างไรตั้งแต่ก่อนการทดสอบทฤษฎี จะเอาเครื่องมืออะไรมาวัด ?
ความคิดเกิดก่อน .. แล้วค่อยพิสูจน์ยืนยันด้วยการทดสอบ ทดลอง อันนี้เป็นวิถีแห่งวิทยาศาสตร์
แต่หากอะไรก็ตามที่เกิดแล้วแต่ไม่กล้าพิสูจน์ ทดสอบ ทดลอง ยืนยัน .. อันนั้นมักเป็นเท็จ และหลอกลวง เหมือนกฎความดี คนดี ของเมืองไทย อันนี้เป็นวิถีของกบใต้กะลาที่ยากเยียวยา .. 555
โลกถึงยกย่องวิชาฟิสิกซ์นักหนาว่าเป็นเรื่อง intelligent
ผมสงสัยเสมอมาว่า ไอสไตน์ รู้ได้อย่างไร
ที่ผมเอาแนวคิด ทฤษฎีคลื่นความถี่แสง มาเขียนเรื่องยาวข้ามภพข้ามชาติ ก็เพราะสนใจตรงนี้ ..
สายตามนุษย์เราสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ภายใต้แสงสว่างที่ส่องไปที่สิ่งนั้นแล้วสะท้อนเข้าตาเรา
และแสงตัวนี้เป็นลักษณะเป็นคลื่น .. ความยาวคลื่นช่วงนี้อยู่ระหว่าง 380-750 นาโนเมตรที่สายตามองเห็น
ทีนี้ภายใต้ความถี่แสงที่ต่ำกว่า หรือ สูงกว่านี้ แปลว่าสายตาคนเรามองไม่เห็น แม้ว่าจะมีสิ่งหนึ่งวางอยู่ ทำนองเดียวกับอีกโลกหนึ่งที่ทับซ้อนอยู่
การเดินทางไปหาอดีตคือการเดินทางเร็วกว่าแสง .. แสงเดินทาง 3 แสนกิโลเมตรต่อวินาที หากเราเดินทางได้ 4 แสน ก็แปลว่าการเดินทางของเราเหนือกาลเวลา ..
หากแสงเดินทางจากดวงอาทิตย์มาถึงเราใช้เวลา 8 นาที
แปลว่าหากเราเดินทางเท่ากันหรือเร็วกว่าแสง และไปในทิศทางหนีแสง.. แสงก็จะไม่มีทางมาถึงตัวเรา แปลว่ามืดมนอนธกาลตลอดเวลา
ส่วนเรื่องอวกาศโค้งนั้น .. ก็น่าสนใจว่าน่าจะวัดเอาจากแสงนี่เอง .. และที่หลุมดำแม้แต่แสงก็ไม่รอด ถูกดูดจนหยุดเดินทาง .. จุดนี้ไม่มีอนาคต ไม่มีอดีต ..
แต่ไม่ค่อยอยากไปจุดนี้เท่าไร .. กลัวเจอมินตรานั่งรอหาเพื่อนอยู่
555
โดย:
สดายุ...
วันที่: 21 มีนาคม 2557 เวลา:21:50:56 น.
ทนเก็บความขำไม่ได้
เข้ามาขำสองคนแซวกัน ทั้งได้เนื้อหาวิชาการ
และ เฮฮาพาที น่าเอ็นดู ไว้จะหาเชือกขึงเวทีให้นะคะ
กลอนก็เพราะ
ว่าแต่สีตัวอักษรใน comment box นี่เท่ห์กระชากใจเลย ดำสนิท
55555555555555555
โดย: 555 5555.. IP: 125.24.198.195 วันที่: 22 มีนาคม 2557 เวลา:10:49:21 น.
ดายุ..
เห็นไหม..ใครใครก็เห็นว่า มินตราน่ะ "น่าเอ็นดู" "มีเนิ้อหาวิชาการ"
แล้วดายุน่ะ หาเรื่องแซว..อยู่เรื่อย .. อายเค้าไหม..!
ทำตัวเยื่ยงนี้ ไม่มีใครรักหรอกนะ !(สำนวนของแม่) 555
ละครช่อง7น่ะ ไม่ดู! (ดูแต่คุณชายรุจ แห่งวังจุฑาเทพกาญจนา ช่อง3) 555
ตามทฤษฎี จักรวาล(cosmology)ของ Aryabhata (476550 CE)นักคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ ผู้ยิ่งใหญ่ของอินเดีย ได้อธิบายเรื่อง จันทรุปราคา สุริยุปราคาและโลกหมุนตามแกน ตามธรรมชาติ ซึ่ง นักดาราศาสตร์เยอรมัน โยฮันเนส เคปเลอร์ (Johannes Kepler 15711630)นำไปโต้กับนักวิทยาศาสตร์ ฝ่ายคริสต์ ด้วยความช่วยเหลือของ กาลิเลโอ ( Galileo Galilei 1564 -1641)จนสันตะปาปา ต้องยอมรับความจริง เรื่อง สุริยจักรวาล
การถ่ายทอดความรู้ ทางตะวันตกจะ เป็นของศาสนาคริสต์ ตั้งแต่ ชาวกรีกลอยซิปปุส (Leucippus 5th century BCE)ผู้ตั้งทฤษฎีอะตอม มี ลูกศิษย์คือเดโมคริตุส (Democritusc. 460 c. 370 BC) นักปราชญ์รุ่นก่อน โซคราติส (pre-Socratic philosopher) ถ่ายทอดมายัง อริสต์มัน..อริสต์โทเทล(Aristotle 384322 BC) ต่อไปยังพลากร ..พโทเลมี (Ptolemy 2nd century AD) จน ถึง นิวตัน (Sir Isaac Newton16421727) ผู้ที่แอปเปิ้ลหล่นบนศีรษะ จึงรู้เรื่องทฤษฎี แรงดึงดูดของโลก(universal gravitation) เนื่องจากฝรั่งทุกคนรับประทานแอปเปิ้ล จึงเริ่มต้น"ปฎิวัติแอปเปิ้ล.".ทางวิทยาศาสตร์ (scientific revolution)กัน
เหมือนเมืองไทยสมัยนี้ที่กำลังตาสว่างจะปฎิวัติทฤษฎี"ส้มหล่น"กัน 555
ฉะนั้นที่ ดายุ ถามว่า ไอชไตน์ คิดได้อย่างไรนะ มีที่มาจากไหน ก็มาจาก เดโมคริตุส (Democritus)ลูกศิษย์ลอยซิปปุส (Leucippus) ผู้จับไม้มาแบ่งครึ่ง จนแบ่งไม่ได้ แล้วเรียกว่า "อะตอม" นั่นล่ะ
จน ไอชไตน์ (Albert Einstein1879 1955) เลิกสนใจแอปเปิ้ล หันมาสนใจ"สสารที่ไม่มีแรงเคลื่อนไหว" ("Matter without motion.") (จนต้องนั่งรถเข็น)
ตามทฤษฎี Riemann's hypersphere ของ นักคณิตศาสตร์ ชาวเยอรมัน ชื่อ รีมัน ( Bernhard Riemann 1826-1866)
การขยายตัวอย่างไม่มีวันจบของ"สสารที่ไม่มีแรงเคลื่อนไหว" ในRiemann's hypersphere จะเกิด Curvature ไอชไตน์ถือว่า ไม่มั่นคง(Unstable.)
นักคณิตศาสตร์ชาวดัช วิลเฮม เดอ ซิตเตอร์ (Willem de Sitter 1872 1934) ผู้ช่วยคิดกับไอชไตน์บอกว่า"Motion without matter."ความเคลื่อนไหวที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น (เช่นการรวมพลคนเสื้อแดง)นั้นถูกต้องตามทฤษฎี(Einstei n's General Relativity.) แต่จะเกิด constant inflation (ทางฟิสิกส์ นะคะ) 555
ต่อไปควรตั้งคำถามยาวยาว จะได้ตอบสั้นสั้น !
โดย: บุษบามินตรา IP: 192.99.14.36 วันที่: 22 มีนาคม 2557 เวลา:19:35:31 น.
คุณ เลข 5
bloggang ถูกออกแบบให้รองรับ IE เป็นหลัก .. ไม่เหมาะกับ browser อื่นนักทั้งภาพและเสียง .. ขอรับ
หากใช้ IE พื้นหลังจะสีดำ และตัวอักษรจะสีขาวครับ .. ชัดเจน
ยินดีครับที่แวะมาทักทายพูดคุยแทนการแอบอ่านข้างเดียวเหมือนอีกหลายคน 555
มินตรา ..
สังคมตะวันตกมีข้อดีที่ไม่ยอมเขียนความรู้ใส่หม้อแล้วฝังให้ตายไปกับตนเองเหมือนทางอุษาคเณย์บางประเทศ ทำให้ความรู้มีการสืบทอด สืบต่อ ต่อยอดกันไปเรื่อยๆ จนยุโรปกลายเป็นดินแดนแห่งความรู้ และเทคโนโลยี
มันเริ่มต้นจากทัศนะคติต่อสังคม ต่อโลก ของผู้คนที่มองเห็นความรู้เป็นของสากลที่จะมีส่วนสร้างความสะดวกสบายให้ชีวิต ตามคติ "ชีวิตที่ยากลำบากมักผลักดันให้เกิดการดิ้นรน" ..
คนผิวขาวในยุโรปยามหน้าหนาวมันลำบากกว่าคนไทยมากมายนัก จึงสร้างให้เกิดการเตรียมการรับมือล่วงหน้า และนี่เป็นลักษณาการสำคัญของความเป็นดินแดนที่พัฒนาแล้วเป็นส่วนใหญ่ ..
ต้องพูดว่า คนในยุโรปโชคดี ที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งแถบ nordic ขณะที่เอเชียมีญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ใต้หวัน ฮ่องกง เท่านั้น
โดย:
สดายุ...
วันที่: 23 มีนาคม 2557 เวลา:6:41:02 น.
ดายุ...
ในฟิสิกส์ : การเคลื่อนไหว (motion)=การเปลื่ยนตำแหน่งของวัตถุ(object)โดยเกี่ยวพันกับเวลา(time)
ในฐานะนักฟิสิกส์ ตอนที่ไอชไตน์นั่งรถไฟในสวิส จึงได้เกิดความคิดเรื่อง"Matter without motion." จะคิดอย่างไรกับสสารที่ไม่เคลื่อนไหวล่ะ..เช่นผู้ที่นั่งเฉยเฉยในรถไฟในขณะที่รถไฟวิ่งนี่นะ
จึงนำไปเปรียบกับมนุษย์ ที่ในชีวิต มี อดีต ปัจจุบัน และอนาคต...
ฉะนั้นหากมาเที่ยวสวิส ดายุต้องนั่งรถไฟสวิสให้ได้
เพราะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเอกทัศน์ ด้วยนะ relativity theoryฉบับภาษาไทย555
เดโมคริตุส (Democritus)ลูกศิษย์ลอยซิปปุส (Leucippus) กล่าวในทฤษฎีอะตอมว่า อะตอมและช่องว่างระหว่างอะตอม(atoms and void) เป็นตัวพื้นฐานหลักและเป็นรัฐธรรมนูญของโลก..อะตอมมีมากมายไม่มีที่สิ้นสุด(infinite) มีรูปร่างและขนาด หลากหลาย
ความคิดของเดโมคริตุส มีอิทธิพลต่อนักคิดในศตวรรษที่19 อย่างมากเพราะ
พวกอะตอมมิสท์ (atomists) จะคิดต่างจาก นักคิดพวกคริสต์เช่นอริสต์โทเทล หรือ
พลาโท(Plato)ที่"ต้องหาเหตุผล "เพื่ออธิบายความคิด..
ในขณะที่พวกอะตอมมิสท์คิดว่าอะไรเกิดขึ้นก่อนที่จะตามมาด้วยสิ่งนี้ที่เกิด"What earlier circumstances caused this event?" ซึ่งเป็นการอธิบายอย่างเป็นกลไก(a mechanistic explanation) และวิธีคิดอย่างเป็นกลไก(causality)จึงเป็นอีกทฤษฎีที่เดโมคริตุสค้นพบ study of causation
นักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน จึงตั้งคำถามก่อนที่จะลงมือทำอะไรเสมอว่า"What purpose did this event serve?"..ทำเช่นนี้เพื่อต้องการอะไร..เรียกว่าเป็น"คำถามอย่างมีกลไก"( mechanistic questions)..
เวลาชวนนักวิชาการเยอรมันไปกินข้าว ท่านจะพูดประโยคนี้ล้อ กันเสมอ..
เดโมคริตุสบอกว่า ความรู้มี 2 แบบ คือ ..รู้จริง..legitimate (γνησίη, gnesie, "genuine") และ..รู้หลอก.. bastard (σκοτίη, skotie, "secret").
เล่นเอานักปราชญ์สมัยกรีกผวาไปตามตามกัน ทั้งอริสต์โทเทล(Aristotle )
และพลาโต้ (Plato)ผู้ที่แทบจะสั่งเผาตำราของเดโมคริตุส..ชนิดที่เดโมคริตุสบอกว่า "I came to Athens and no one knew me."...
เหมือนมินตราเลย 555
ฉันไปเอเธนส์ แต่ไม่มีใครรู้จักฉันเลย..
ท่านนี้ก็"สุดหัวใจ"ของมินตรานะนี่..
โดย: บุษบามินตรา IP: 192.99.14.34 วันที่: 23 มีนาคม 2557 เวลา:13:42:13 น.
ดายุ..
บิดาของเดโมคริตุส (Democritus)นี่ร่ำรวยมากนะ ถึงขนาดที่เชิญ Xerxes the Great(519465 BC), king of the kings แห่งจักรวรรดิ์เปอร์เซียมาเที่ยวบ้านน่ะ
ฉะนั้น ชีวิตที่ดิ้นรนนี้ใช่ว่าจะมาจากความลำบากเสมอไป...
ว่ากันว่าเดโมคริตุส เคยพูดว่า "ฉันรักที่จะหาความเป็นเหตุ และความเป็นผลที่ตามมา ( a causality )มากกว่าที่จะเป็น มหากษัตริย์แห่งเปอร์เซีย"
ที่เก๋ไก๋ ไปกว่านั้น ท่านยังกล่าวว่า"Equality is everywhere noble,"
ความเท่าเทียมกันเป็นอารยะ ในสากลโลก...
(คำว่า noble ในต้นฉบับแต่โบราณกาล แปลว่า อารยะ..มาจากชาวอารยัน )
โดย: บุษบามินตรา IP: 192.99.14.34 วันที่: 23 มีนาคม 2557 เวลา:14:04:23 น.
มินตรา ..
".. ในขณะที่พวกอะตอมมิสท์คิดว่าอะไรเกิดขึ้นก่อนที่จะตามมาด้วยสิ่งนี้ที่เกิด .. What earlier circumstances caused this event ? "
ที่จริงไม่เคยศึกษาเกี่ยวกับ Democritus (470 -370 ปีก่อนคริสต์ศักราช - แปลว่า ตอน Democritus อายุ 27 ปีพระพุทธองค์เพิ่งดับขันธปรินิพพานไป 100 ปีพอดี ) ..
แนวคิดที่ยกมามันสอดรับกับหลักปัจจยาการ ของพุทธธรรมเข้าอย่างถนัดถนี่ .. ดังความว่า ..
ธรรมอันใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงตรัส
.. ธรรมนั้น .. event
.. เหตุแห่งธรรมนั้น .. cause of event
.. ความดับแห่งธรรมนั้น .. end of event
.. ทางให้ถึงความดับแห่งธรรมนั้น .. way to the end of event
เพียงแต่พุทธธรรมมุ่งการจัดการกับนามธรรมในจิต .. แต่ทางฝรั่งมองเรื่องรูปธรรมบนโลกนอกตัว
หากจะให้มองแยกแยะแบบ macro view แล้ว .. โลกนี้จะมีคนอยู่ 2 ประเภท
1. รู้จริง หรือ ปรมัตถ์สัจจะ หรือ ultimate truth พวกนี้จะไม่เชื่อแนวคิดเรื่องพระเจ้า หรือ the perfect one เพราะทุกอย่างมีที่มาจากเหตุจากปัจจัย มีลักษณะแบบวงกลม ไม่มีต้นไม่มีปลาย .. มีแต่เหตุทำให้เกิดผล จึงไม่ต้องคอยกราบไหว้อะไรวันละ 5-6 ครั้ง 55
2 รู้หลอก หรือ สมมุติสัจจะ พวกนี้ชอบแนวคิดสำเร็จรูป คือ ปฏิเสธทฤษฎีวิวัฒนาการของดาวิน คือเชื่อว่าคนถูกเสกวาบขึ้นมาทีเดียวจนเป็นอย่างที่เห็นกัน .. แทนที่จะมีวิวัฒนาการย้อนกลับไปที่ big bang คือเชื่อว่ามีจุดเริ่มต้น มีจุดจบ (มีพระผู้สร้าง และมีวันพิพากษาหรือวันสิ้นโลก) อันมีลักษณะแบบเส้นตรง มีต้น มีปลาย .. เพราะขี้เกียจหาสาเหตุให้ปวดหัว 555
เราต้องไม่ลืมว่า ช่วงที่ Democritus มีชีวิตอยู่นั้น ยังไม่มีเยซู ยังไม่มี มูฮัมหมัด แต่มี สมณะโคดมแล้ว และแนวคิดของสมณะโคดมนี้แพร่ไปจด อาฟกานิสถานที่มีพระพุทธรูปบาบิยันและอาจเลยไปถึงตอนเหนือของเปอร์เชีย
อิทธิพลที่เป็นแนวคิดจริงๆในยุคนั้น เปอร์เชียเอง มีแต่ โซโรแอสเตอร์ ลัทธิบูชาไฟของ อารยันที่ปักหลักในเปอร์เชีย เท่านั้นเองและย่อมไม่ใช่แนวคิดแบบปัจจยาการแต่อย่างใด
มินตราลองดูแผนที่ .. ยุคนั้น อินเดีย+ปากีสถาน+บังคลาเทศ+เนปาล+อาฟกานิสถาน .. เราเรียก "ชมพูทวีป" อาจรวมถึง ทาจิกิสถาน
บริเวณเนปาลก็อยู่ระดับเส้นรุ้งเดียวกับอิหร่าน อารยันตอนการอพยพครั้งใหญ่ก็ไม่ได้ไปไหนไกลกว่าถิ่นเดิมรอบทะเลสาปแคสเปี้ยน มาไกลสุดก็ประมาณเชิงเขาหิมาลัย หรือตรงแคชเมียร์ (กัษมีระ) มาเนปาล เท่านั้น
บริเวณจากอิหร่าน มาถึงอินเดียเหนือนี้เองที่ อารยัน กระจัดกระจายตั้งหลักแหล่งเลี้ยงสัตว์เป้็นักรบบนหลังม้าที่ปรากฎเรื่องราวใน ปฐพีเพลิง ศิวาราตรี จุฬาตรีคูณ รวมทั้งเพชรพระอุมา (แงซาย กับ เมยานี) ของพนมเทียนนั่นเอง 55 แฟนพันธุ์แท้นะนี่
แนวคิดกรีกที่เกิดทีหลัง รวมทั้ง"ช่วงเวลาที่หายไปของเยซู" ที่ไปทางตะวันออก จึงน่าจะปะทะกับกระแสพุทธธรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นและ"เป็นไปได้ว่า"จะได้รับอิทธิพลไปเต็มๆ ซึ่งนั่นเกิดหลังจากพระเจ้าอโศกส่งพระสมณะทูต ทั้ง 9 สายออกเผยแผ่ศาสนาราวๆ พศ. 300 หรือ ก่อน คศ. ประมาณ 250 ปี
อุตส่าห์มาตั้ง 2 ความเห็นจะให้ตอบสั้นได้อย่างไร 555
โดย:
สดายุ...
วันที่: 23 มีนาคม 2557 เวลา:16:37:33 น.
ดายุ..
ทราบค่ะ ว่าจะตอบในแนวนี้ รู้ไหมว่า อิหร่านน่ะเป็นภาษาเปอร์เซีย แปลว่า ที่อยู่ของชาวอารยัน..
พระพุทธองค์น่ะเป็นชาวอารยัน..
ว่ากันว่า มีแหล่งอารยะธรรมเกิดสองแห่งคือ แถบแม่น้ำสินธุ และ แถบแม่น้ำไทกรีสยูเฟรติสซึ่งชาวอียิปต์ชาวกรีกดึงความรู้จากตรงนี้ไปใช้..
มินตราไม่เคยศึกษาเรื่องพุทธศาสนา แต่บางศัพท์ที่ใช้กัน จะไปตรงกับวิธีอธิบายเรื่องกำเนิดโลกตามทฤษฎีอะตอม..
มินตราว่า พระพุทธองค์เรียนทฤษฎีนี้ด้วยนะ..
ทราบแต่ว่าขณะนี้วิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้ากันอยู่ขณะนี้ วกกลับไปพิสูจน์ต้นทฤษฎีสมัยเดโมคริตุส ทั้งนั้น..เป็นทฤษฎีโบราณทฤษฎีเดียวที่นักฟิสิกส์ รับรองอยู่..
ที่ไม่มีใครศึกษาเรื่องนี้มานานเพราะไปค้านศาสนาคริสต์ไงคะ
วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ในศตวรรษที่21ก็เป็นวัฎจักร.. เป็นวงกลม มิใช่เส้นตรง มีต้นมีจบ..
สังเกตุไหม แม้นแต่ทางคอมพิวเตอร์ หลายคำที่ใช้เช่น กระดานชนวน(Tablet)ก็ย้อนกลับไปใช้ภาษาก่อนเกิดศาสนาทั้งนั้น..เพียงแต่เป็น"กระดานชนวนไฟฟ้า"
การเมืองก็กลับไปใช้ระบบ สิทธิส่วนบุคคลหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง...
ศาสนาที่เกิดจากลูกของ "อพราหมณ์"(Abraham)และศาสนาพุทธ ก็เกิดจากการต่อต้านลัทธิพราหมณ์
อารยันขยายไปทั่วโลกนะ ไกลกว่าที่ดายุ คิด
โดย: บุษบามินตรา IP: 192.99.14.34 วันที่: 23 มีนาคม 2557 เวลา:18:29:45 น.
มินตรา ..
ผมชอบคำนี้ .. "อพราหมณ์ - Abraham" แปลว่าพวกไม่เอา"พราหมณ์" หมายถึง พุทธ ไชนะ ชฎิล ในยุคพุทธกาลนั่นเอง
ฝรั่งมาเรียกเป็น "อับราฮัม" .. ตรงตัวเป๊ะ เพียงแต่แยกอ่านต่างกัน และชื่อนี้ปรากฎทั้งในใบเบิลของคริสต์ ทั้งเก่าทั้งใหม่
ที่ผมสนใจ อารยัน ก็เพราะเป็นเผ่าพันธุ์ของพระพุทธเจ้านี่แหละ .. ไม่เคยไปอินเดีย แต่เท่าที่สังเกตุดูเค้าโครงหน้าตาที่เหมือนอารยันมากที่สุดน่าจะเป็นพวก ซิกข์ ที่โพกหัวขายผ้าอยู่พาหุรัด พวกนี้หน้าตาแบบฝรั่งมากกว่าแขกฮินดูที่ขายถั่วปากอ้า เอ๊ย ถั่วคั่ว ขายโรตี ในเมืองไทยที่น่าจะเป็นพวก มิลักขะ หรือ ทัสสยุ (ยักษ์ ลิง ในรามเกียรติ์นั่นแหละ)
ในแคสเมียร์ที่ส่วนมากคงเป็นมุสลิมไปหมดแล้ว จึงยังน่าจะคงรูปลักษณ์ของอารยันดั้งเดิมไว้มากที่สุด ผิวขาว ตาสีเขียว
คิดว่ามินตราเองน่าจะมีเชื้อสายเปอร์เชีย ซึ่งก็คืออารยันที่อพยพลงมาเปอร์เชียเมื่อ 4000 ปีที่แล้วอยู่ ใช่ไหม
แล้วทำไมถึงไปอยู่ถึงปัตตานี ?
โดย:
สดายุ...
วันที่: 23 มีนาคม 2557 เวลา:20:05:17 น.
ว๊าย..ดายุ..
มิใช่มินตราค่ะที่ใช้คำว่า.."อพราหมณ์ - Abraham"
ชาวเยอรมันรัสเซียHelena Petrovna Blavatsky (ชื่อเยอรมันเดิมคือ Helena Petrovna von Hahn-Rottenstern :1831-1891)เป็นคนค้นรากคำนี้มาได้ เพราะเธอไปศึกษาเรื่องอารยันที่อินเดียหลายปี..เธอศึกษาเรื่องชาติพันธุ์ของมนุษย์
แม่ไม่ให้บอกค่ะว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เดี๋ยวคนจะตามมาถึงบ้าน..
ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน แม่ไม่ให้พูดด้วยค่ะยิ่งกับคนแปลกหน้านี่ ไม่ได้เลยค่ะ...มินตราเป็นสาวเป็นนางนี่นะ..555
โดย: บุษบามินตรา IP: 192.99.14.36 วันที่: 24 มีนาคม 2557 เวลา:3:52:08 น.
เสียงกระซิบ หยิบใจ ให้ไหวหวั่น
ขนลุกซ่าน ซานซม โลมคำทั่ว
อ่อนละออ ทอฝัน จนหวั่นตัว
หัวใจรั่ว หลับแล้ว...แว่วเสียงลม
สดับซร้อง กรองกลอ ยอยินย่ำ
แสงฟ้าร่ำ คำเรียง เพียงสวยสม
สดับกรอง ต้องเวทย์ วิเศษคม
เคลิ้มลอยลม ชมว่าซึ้ง คะนึงทรวง
ยากจะหลบ หลีกลี้ หนีเหินห่าง
แสงสว่าง โอบทา พาสรรค์สรวง.
อกอิ่มอุ่น บุญพบ ประสบดวง
มาติดบ่วง โบยบิน กินน้ำตาล
แอบอกอุ่น หนุนกลอน เป็นหมอนก่าย
ซึมซาบกาย ละลายกลิ่น ในถิ่นหวาน
ขอหลับตา พาลอยลม ชมลำธาร
หมอกพริ้วผ่าน มานเย็นหวิว.ปลิวตามลม .
โดย: กฤษณา เวชศิลป์ IP: 171.5.147.225 วันที่: 16 ตุลาคม 2558 เวลา:19:51:03 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
สดายุ...
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [
?
]
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?
Friends' blogs
เป็นแฟนกับกวางน้อย
Webmaster - BlogGang
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
Budha Truth
กรุงเทพธุรกิจ
ข่าวสด
ประชาชาติธุรกิจ
isra-news
ศิลปะวัฒนธรรม
พจนานุกรม
TNN16
series west 2
series west 3
Ch3
Thai PBS
Ch7
One-31
กกต.
series thai
Dict Longdo
บ้านซีรีย์
iQIYI
NationTV
ไทยรัฐ TV
คมชัดลึก
SpringNews
ฐานเศรษฐกิจ
Kseries
pinterest
youtube 2 mp4
settrade
investing
123-hd
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
สดายุ..
"O หาก-เมินเฉยซ่อนเร้น .. ไม่เห็นหน้า
ใคร .. อาจท่วมทรมาถึงอาสัญ
หากรอคอย .. ละห้อยเห็น .. ไม่เห็นกัน
จะโศกศัลย์สุดเทวษทวีทรวง"
"มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวสหัสนัยน์ไตรตรึงศา
ทิพอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา กระด้างดังศิลาประหลาดใจ
จะมีเหตุมั่นแม่นในแดนดิน อมรินทร์เร่งคิดสงสัย
จึงสอดส่องทิพเนตรดูเหตุภัย ก็แจ้งใจในนางรจนา
แม้นมิไปช่วยจะม้วยมอด ด้วยสังข์ทองไม่ถอดรูปเงาะป่า
จำจะยกพหลพลเทวา ลงไปล้อมพาราสามนต์ไว้"
(สังข์ทอง)
เผื่อว่า "สุดหัวใจ" ที่ "จะหลีกลี้หลบหนีหาย"
จะได้เกรงตัวกลัวตายบ้างเนอะ...555