Bloggang.com : weblog for you and your gang
Group Blog
พระพุทธเจ้า
พระพุทธวจนะ
ธรรมบรรยาย
ตรรกะวิภาษ ..
Innovation
Value Investor ..
DiscountedCashFlow
Transportation
NewGenDevice
History
Science
Home & Garden ..
Food & Sweet
DIY
SlowRock ..
Classic
RockMusic
SweetMusic
Ernesto Cortazar
Giovanni Marradi
Secret Garden
Omar Akram
Mix
CountrySong
SweetSong
OldSweetSongs ..
MLTR
ENYA
EAGLES
เพลงร็อคไทย
เพลงไทยเดิมประยุกต์
เพลงย้อนอดีต
เพลงบรรเลง
เพลงลูกกรุง
เพลงลูกทุ่ง
เพลงเพื่อชีวิต
นิราศนรินทร์ - คำแปล
นิราศภูเขาทอง - คำแปล
นิราศลำปาง .. โคลง
นิราศเพรงกาล .. โคลง
ชั่วฟ้าดินดับ .. โคลง
มหาภารตะยุทธ .. ฉันท์
ศรีอยุธยา .. ฉันท์
สายธารกาลเวลา .. กลอน
สองฝั่งฟ้า .. กลอน
หอมกลิ่นร่ำ .. กลอน
รัตนโกสินทร์ .. กลอน
ชั่วฟ้าดินสลาย .. กลอน
บรรณภพ
วรรณศิลป์
วรรณกรรมไทย
อวิภัชวาท
ปริภาษวาจก
นรกวาที
นารีปราโมช
ฉันท์
โคลง
<<
มิถุนายน 2559
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
10 มิถุนายน 2559
O หอม .. O
All Blogs
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O จากบัดนั้น .. O
O สิ้นสวาดิ .. O
O แววในดวงตา .. O
O เช้านี้ .. O
O อาวรณ์ .. O
O มธุรสลีลา .. O
O ยิ้มแรก .. O
O หนาวแรก .. O
O ปลายฝน .. O
O ซ่อนเร้น .. O
O งามรูปนั้น .. O
O เจ้าเอย .. O
O ฟ้าคร่ำลมครวญ .. O
O ยอมเถิด เจ้า .. O
O เมื่อลมเช้าโชยแผ่ว .. O
O ปรารมภ์ .. O
O ลมรำเพย .. O
O เหมันตะกาล .. O
O ดวงตาคู่นั้น .. O
O รูปเอย .. O
O ในค่ำหนาว .. O
O คำนึง .. O
O สิ้นเยื่อใย .. O
O ค่ำนี้ .. O
O เพียงเจ้า .. O
O กรรตุวาท .. O
O รูปธรรมในค่ำฝน .. O
O ฉันทาสมัย .. O
O จันทร์ .. O
O ห้วงเสน่หา .. O
O ยามเช้า .. O
O หอม .. O
O อีกไม่นาน .. O
O นาทีนั้น .. O
O วิสาขะสมัย .. O
O กลางริ้วลม .. O
O หวง .. O
O .. เช้านั้น .. O
O แรงอาลัย .. O
O แสงสรวงในทรวงนี่ .. O
O อุปาทานรูป .. O
O ยอมเถิด .. ดวงใจ ! O
O คิมหันตะสมัย .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O ขาบเขียวแห่งเรียวขน .. O
O เมื่ออุษาสาง .. O
O ครวญคร่ำแห่งคำวอน .. O
O เมื่อลมหนาวล่อง .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O น้องสาว .. ที่แสนดี O
O รูปนามเจ้าเอย .. O
O ใต้ปีกนกฟ้า .. O
O มีเจ้า .. O
O น้ำปลายฝน .. O
O เรื่อรุ้ง..บนคุ้งฟ้า O
O ก่อนอุษาสาง .. O
O น้ำค้างเดือนเจ็ด .. O
O เดือนลอยดวง .. O
O สาวเอย .. O
O ฟองคลื่นแห่งรมยา .. O
O ฝากจันทร์ .. O
O แก้วตาพี่ .. O
O ก่อน .. วิสาขะมาส .. ! O
O หอมนี้ .. O
O รูปธรรมในคำนึง .. O
O รูปนามเอย .. O
O จันทร์เพ็ญรูป .. O
O รูปพรรณในบรรจถรณ์ .. O
O คันธา .. แห่งวรรษาสมัย O
O นางใจ ... O
O ถวิละรูป .. O
O บวงทิพที่ลิบโพ้น .. O
O รูปในคำนึง .. O
O ลมร่ำ .. เมื่อย่ำรุ่ง .. O
O น้ำค้างยามรุ่ง .. O
O คอยเจ้า .. O
O เพรงวาสน์ เมื่อพาดช่วง .. O
O เหมันตะกาล .. O
O บุหลันลอยเลื่อน .. O
O รื่นลมหนาว .. O
O ลมร่ำในค่ำหนาว .. O
O เสน่หา .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รูปนามแห่งความรัก .. O
O อาลัย ที่ไหววน .. O
O งามละมุน .. กับกรุ่นข้าวหอม .. O
O ปีกนก กับ อกคน .. O
O หอม .. เสน่หา .. O
O ซ่อนเร้น และ เอ็นดู .. O
O น้ำค้างเดือนสิบ .. O
O ลมหนาวและดาวเดือน .. O
O ปริศนาแห่งท่าที .. O
O จันทร์เอย .. O
O คนดี .. O
O แรงถวิลหา .. O
O สุดหัวใจ .. O
O ขวัญเอย .. O
O ปีกนก และ อกคน .. O
O จันทร์เจ้า .. O
O วานนั้น .. จนวันนี้ .. O
O สุดรอคอย O
O ลมร่ำและฝนโรย .. O
O คอยเถิดเจ้า .. O
O ปลายฝน .. ต้นหนาว .. O
O รูปอาวรณ์ .. O
O กลางฝุ่นฝน .. O
O ตราบชั่วนิรันดร .. O
O สร้อยดอกโศก .. O
O สู่กลางใจเธอ .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O หอมดอกลำดวน .. O
O ฟ้าคร่ำฝนครวญ .. O
O ชั่วฟ้าดินสลาย .. O
O ข้าวร่วมขัน .. O
O พิรุณพิลาปร่ำ .. O
O ห้วงแห่งคำนึง .. O
O วันคอย .. O
O แค่เสี้ยวธุลีความ .. O
O แสงช่วงแห่งดวงมณี .. O
O บ่วงอาวรณ์ .. O
O หอมหัวใจ .. O
O คอยเจ้า .. O
O อาลัย ที่ไหวรับ .. ! O
O คำข้าว .. และใจคน .. O
O พวงผกา .. แห่งป่าฝน .. O
O กล่อมขวัญ .. O
O พินทุกล แห่ง สุคนธรส .. O
O คำมั่นคำสัญญา .. O
O รูปนามแห่งยามสาง .. O
O รื่นวรรษา .. O
O โสมกลางสรวง .. O
O ท่ามกลางละอองรื่น .. O
O รูปธรรมเพื่อจำนน .. O
O เมื่อลมร่ำ .. O
O หอมกลิ่นแก้ว .. O
O คิดถึง .. O
O ฝนห่มลมเห่ .. O
O ฤดูลม .. O
O บ่วงปฏิพัทธ์ .. O
O นิรมิตะรูป .. ? O
O แววตาผู้อาวรณ์ .. O
O รูปในคำนึง .. O
O กลาง - ลม .. ฝน .. O
O บุพสัญญา .. O
O ลมทะเล .. O
O เตรียมเถิด .. ใจ ! O
O เมื่อดาวลอยดวง .. O
O กลางลมร่ำ .. O
O หอม-อุ่น .. กลางฝุ่นฝน .. O
O อัปสระรูป .. O
O ขวัญพี่ .. O
O .. หัวใจที่ร่ำรอ .. O
O เพลงพยาน .. O
O พรรณาแห่งอารมณ์ .. O
O รื่น..ลมร่ำ .. O
O แก้วเอย .. O
O คอย .. O
O ดาวดื่นในคืนแรม ... O
O เภรีและคีตา .. O
O รูปนฤมิต .. O
O ก่อน .. มาฆะมาส .. O
O เพรงภพบรรจบล้อม .. O
O กลางวสันตะสมัย .. O
O ดั่งลมร่ำ .. O
O ปริศนาแห่งนารี .. ? O
O จินตะภพ .. แห่งพลบสมัย O
O คือ ความรัก .. O
O คันธาแห่งมาลี .. O
O เหมันตะสมัย .. O
O หอมดอกแก้ว .. O
O หอมกลิ่นโมก .. O
O พินทุแห่งกุสุมา .. O
O สัญญาใจ .. O
O รูปนามนั้น .. O
O ลมหนาวร่ำ .. O
O ฟ้าหลังฝน .. O
O วรรษาสมัย .. O
O คันธบท .. แห่งรสสุมาลย์ .. O
O คอยเถิดนะ .. O
O กรุ่นกลิ่นประทิ่นมาลย์ .. O
O อาวรณะสมัย .. O
O รูปแพงเอย .. O
O คอยเถิด .. รูปแพงเจ้า .. O
O มณีเดียว .. O
O ภิรมย์สมัย .. O
O ร่ำรสเกสรา .. O
O เจ้าอ่อนเอย .. O
O ลมเอย .. O
O กลางฝนโปรยปราย .. O
O อหังการ .. แห่งน้ำค้าง .. O
O กลางพระลบ .. บรรจบล้อม .. O
O หนาวลมร่ำ .. O
O จากเดือนเร้น .. จนเพ็ญรูป .. O
O แต่บัดนั้น .. จนบัดนี้ .. O
O เสภา .. กลางราตรี O
O โสมส่องแสง .. O
O ฝุ่นน้ำฟ้า .. O
O ศรัทธาสองภพ .. O
O ด้วยแรงอธิษฐาน .. O
O เม็ดฝน ใต้ม่านฟ้า .. O
O พันธนาการแห่งรูป .. O
O น้ำผึ้งเดือนเจ็ด .. O
O ฝนเดือนเก้า .. O
O อาลัยที่ใฝ่เฝ้า .. O
O ลีลาและท่าที .. O
O เดียงสาเจ้า .. O
O มณฑาทิพ .. O
O ห้วงอาวรณ์ .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รักเอย .. O
O ชายฟ้าเลื่อน .. O
O เพียงหนึ่งคำ .. O
O ละห้อยหา .. O
O ในห้วงคำนึง .. O
O หยาดเพชรเมื่อเพ็ญรูป .. O
O ใจเอย .. ! O
O ลมรัก .. O
O ผืนทรายและปลายฟ้า .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O รักสุดใจ .. O
O เชิญขวัญ .. O
O แต่ปางใด ..? O
O ฝากลมร่ำ .. O
O ห้วงเหมันตะสมัย O
O หลังเหมันต์ .. O
O บุหรง .. รำแพน .. O
O ใจเจ้าเอย .. ! O
O งามนั้น .. O
O ร่ำร้อย .. พจีเรียง .. O
O แรกอรุโณทัย .. O
O หนาวลมฝน .. O
O หลัง .. อัสดงคต .. O
O รอ .. O
O ดวงเด่นกลางนภา .. O
O จันทร์ขจ่างฟ้า .. O
O กรุ่นแก้วกำจาย .. O
O ฟ้าสองฝั่ง .. O
O ก่อน .. นางครวญ...O
O หงส์ร่อน .. มังกรรำ .. O
O อาวรณ์ .. ที่ซ่อนเร้น ..? O
O สิ้น .. วาสนา .. O
O บุพเพสันนิวาส .. O
O เลื่อมลายรุ้ง...O
O สิ้น - ดวงวิเชียรฉาย...O
O นางครวญ O
O หอม .. O
Giovanni Marradi - Quietude Forever
O เมื่อทอดกายสองแขนหนุนแทนหมอน
ลมแผ่วพลิ้วโชยย้อน .. คนอ่อนไหว
หลับอยู่กลางอ้อมละมุนของอุ่นไอ
และเรียวมือลูบไล้ .. ด้วยใยดี
O หอมเขนยเกยกอด .. ตลอดคาบ
นิ่งเสพทราบอุ่นไออยู่ในที่
ครั้งนั้นแรงอาลัย .. รอบไมตรี-
ก็คลายคลี่โอบคลุม .. ลงสุมซ้อน
O จนกระซิบคำหวานเผยผ่าน .. แว่ว
ลมร่ำแก้วโรยล้อม .. กลิ่นหอมอ่อน
หอมหัวใจหวานล้ำ .. ถ้อยคำวอน-
ก็ซอกซอนแทรกผลอยู่วนเวียน
O สกุณาป่าฝนบินพ้นผ่าน
เมื่อตำนานรสประณีต .. เริ่มขีดเขียน
ด้วยเลือดอุ่นเรื่อแดง .. ด้วยแรงเพียร-
งามก็เจียรจารทั่ว .. ทั้งหัวใจ
O เลิศพิสุทธิ์ยุดย้ำ .. กรองคำถ้อย
ก็เพื่อคอยสำหรับ .. การขับไข
รอบอาวรณ์รำบายจากภายใน
เผยออกให้เห็นความงดงามนั้น
O เมื่อตื่นตามองเห็น .. ความเป็นไป
ก็เมื่อสบตาใคร .. แวว-ไหวสั่น
ความรู้สึกลึกซึ้งเชื่อมถึงกัน
แววที่หวั่นไหวอยู่ .. ก็รู้เชิญ
O ถ้วนสิ้นความอ่อนหวาน .. ที่ผ่านหา
คล้ายกับว่ามาช่วย .. กลบขวยเขิน
ความรู้สึกดื่มด่ำก็ดำเนิน-
เข้าก้ำเกินใจอยู่ไม่รู้ลา
O สายลม .. มวลดอกไม้ที่รายรอบ
คล้ายรอนอบน้อมให้ผู้ใฝ่หา
สุรโลกสรวงสูง .. จับจูงมา
รองรับแรงภิรมยาในอารมณ์
O กลางสายลมโรยระลอก .. หอมดอกไม้
คือหัวใจคนรื่น .. สิ้นขื่นขม
กรุ่นตักเนื้ออุ่นอ่อน .. ตาค้อนคม-
เหมือนห้อมห่มถ่ายถอน .. ความอ่อนล้า
O งามประกายเนตรพรับให้นับเนื่อง
ผ่องผกายเรื่อเรื้องที่เบื้องหน้า
โอนอ่อนหวานผ่านแล้วในแววตา
มอบห่วงหาอาวรณ์ .. ลงซ้อนทบ
O กลางสายลม .. แขนเรียว .. ส่วนเสี้ยวหน้า-
ก็โน้มฝ่าใฝ่ฝันลงบรรจบ
โอษฐ์อิ่มแนบแก้มพลัน .. ก็ครันครบ-
เงื่อนเหตุแห่งชาติภพ .. ตระหลบล้อม
O ครั้งนั้นความอ่อนหวานที่ผ่านหา
ก็เหมือนว่าแผ่ซ่านทุกย่านหย่อม
แทรกวิญญาณเจตจินต์ให้ยินยอม-
เพื่อรอพร้อมถนอมขวัญ .. ให้มั่นคง
O ทั้งสิ้นและทั้งปวง .. ความห่วงใย
ก็วกเวียนรอบให้ .. อาลัย-หลง-
ร่วมอ่อนไหวอ่อนหวาน .. ได้ผ่านลง-
แผ่วบรรจงแตะวาง .. ที่กลางใจ
O ทั้งสิ้นและทั้งปวง .. แรงห่วงหา
ก็วกย้อนกลับมา .. ให้อาศัย-
ส่งรับความมั่นหมาย .. จากภายใน-
สองหัวใจผูกมั่น .. ร่วมพันธนา
O วันนี้ .. ริ้วลมฝน .. เมื่อพ้นผ่าน
ถ้วนปวงความอ่อนหวานก็ปานว่า-
โหมแรงลงผูกพัน .. คอยบัญชา-
แต้มเติมอาวรณ์ชู้คอยอยู่ .. เคียง
O แก้วดอกขาวหอมอ่อนกำจรกลิ่น
เมื่อถวิลอาลัย .. เริ่มให้เสียง
รื่นลมร่ำกำจาย..ก็หมายเพียง-
หอมจะรอร่วมเรียงลงเคียงใจ
O งามท่วงทีลักขณารูปปรารมภ์
ต่างฤๅ-มาลย์กลิ่นฉมเมื่อลมไหว-
ออดอ้อนลมลอดเลี้ยวผ่านเรียวใบ
ต่างฤๅ-นัยน์ตาค้อน .. ออดอ้อนนั้น ?
O รื่นรมย์กลางลมเหนือ, ที่เหนือกว่า-
คือแววตาของใคร .. วาบไหว-สั่น
บอกว่าบางอารมณ์ .. สุดข่ม, กัน-
ความผูกพันเสน่หาแสนอาวรณ์
O กลางริ้วลมโรยระลอก .. หอมดอกแก้ว
คล้ายเสียงหนึ่งผ่านแว่ว .. ดังแผ่ว-อ้อน
คอยรุมเร้าจิตชาย .. สู่ปลายจร-
เอื้อมเหนี่ยวกรเรียวเจ้า .. ที่เฝ้ารอ
O ริ้วลมหนาวผ่านสาย .. เมื่อสายแล้ว
โลมลูบแก้วระริกไหว .. ก้าน .. ใบ .. ช่อ
ต้องลมหนาวล้อมรุมทั้งพุ่มกอ
ต่างฤๅพักตร์นวลลออ .. ร่ำรอชม
O โอ .. เลือดฝาดแต่งแต้มเนียนแก้มอิ่ม
หรือ-สบยิ้มอ่อนหวาน .. แล้วซ่านสม ?
โอ .. ท่วงทีเอียงอายกลางสายลม-
ฤๅ-อาจข่มขับล้างให้จางรอย ?
O เข้าสาย .. ลมอ่อยเอื่อย, นกเจื้อยแจ้ว
เมื่อลมร่ำโลมแก้วอย่างแผ่วค่อย
ต่างฤๅอารมณ์ชู้ที่รู้คอย-
เฝ้าแหนหวงอ่อนน้อย .. รูปรอยนั้น
O แก้ว .. ปีบ .. โมกดอกขาว .. อะคร้าวรูป
ต้องลมลูบโลมไล้ .. ก็ไหวสั่น
แววในตาสบหมายย่อมคล้ายกัน
ต้องเลศนัยไหวหวั่น .. สุดบั่นทอน
O ขลุ่ยสังคีตยังครวญเสียงหวนไห้
เมื่ออาวรณ์อาลัยเกินไถ่ถอน
รับรู้เถิดใจเจ้า-ความเว้าวอน-
ย่อมออดอ้อนอยู่พร้อมอย่างยอมใจ
O กลางริ้วลมโรยระลอก .. หอมดอกแก้ว-
ก็หอมแล้วหอมอีก .. เกินหลีกไหว
อาจรุมเร้าเจตจินต์ .. ตราบสิ้นไป-
แห่งเปลวไฟลุกช่วง .. ทุกดวงดาว !
Create Date : 10 มิถุนายน 2559
Last Update : 30 มิถุนายน 2566 14:20:24 น.
4 comments
Counter : 3437 Pageviews.
Share
Tweet
ที่จริงกลอนเป็นเพียงการเขียนเรื่องราวที่คนเขียนต้องการออกมา
เหมือนเรียงความธรรมดาเท่านั้น
เพียงแต่มีการสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาเล่นท้าทายมากขึ้น ตรงที่ต้องมีคำสัมผัสสระ
และกำหนดเสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรคที่ฟังแล้วไพเราะขึ้นมากำกับการเขียนแบบพิเศษนี้
คนเราส่วนใหญ่ขาดการมองถึงจุดใหญ่ใจความ ก็หลงอยู่กับคำ เร่หาสัมผัสกันเอาเป็นเอาตาย
คำที่ปกติมนุษย์ไม่พูดกัน กลับปรากฎขึ้นได้ในการเขียนกลอนของหลายๆคน
เขาเป็นคนมีใจ โอบอ้อม อารี
เธอกำลังทอดตัวอยู่ใน อ้อมโอบ ของวงแขนสุดที่รัก
คำคู่ควบ เมื่อกลับหน้ากลับหลัง ความหมายที่สื่อออกมาจะผิดแปลกไปคนละอย่างทีเดียว
และตรงนี้เปรียบเหมือนก้อนสบู่ตกทรายของคนเขียนกลอนจำนวนมาก คือไม่ลื่นไหล และความหมายยังน่าขำ
ไม่เว้นกระทั่งกวีใหญ่ที่มีหลุดออกมาให้เห็นประปรายเป็นครั้งคราว
โดย:
สดายุ...
วันที่: 15 มิถุนายน 2559 เวลา:8:37:29 น.
สดายุ...
"เรียงความธรรมดา" จากผู้ประดิษฐ์ ที่มีความรู้แตกฉานเรียกว่าเป็น "นวัตกรรม"(innovation)
ส่วน"ความใดก็ตาม" ที่เน้นออกมาจากส่วนลึกของหัวใจความนั้นย่อม กินใจผู้อ่านเสมอ....
แปลกนะ อ่านในวันแรกที่ลง รู้สึกกระด้าง
หลายวันผ่านไป ..วันนี้มาอ่านใหม่..กลับรับอารมณ์และความอ่อนไหวของผู้ประดิษฐ์ได้
โดย: บุษบามินตรา IP: 188.165.240.145 วันที่: 15 มิถุนายน 2559 เวลา:10:19:12 น.
1.บทความจากข่าว
ที่ผ่านมาการทำงานร่วมกันถือว่าน้อยมากต่างคนต่างทำของตัวเอง แต่ตอนนี้มองว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องมาช่วยกัน
.
.
2.ร้อยแก้วปรับแต่ง-ตีความ
การทำงานร่วมกันที่ผ่านมามีน้อยมาก
ต่างคนต่างทำของตัวเอง
ตอนนี้มองว่าถึงเวลาแล้ว
ที่ต้องมาช่วยกัน
.
.
3.ร้อยกรอง เดินความด้วยฉันทลักษณ์
ผ่านยุคความร่วมใจอันไร้สิ้น
ที่เจตจินต์อัตตาล้วนกล้าแข็ง
ถึงเวลา-ผิดเพี้ยน .. ต้องเปลี่ยนแปลง-
มาร่วมแรงร่วมค้ำเจตจำนง
โดย:
สดายุ...
วันที่: 15 มิถุนายน 2559 เวลา:10:22:52 น.
มินตรา ..
นารีปราโมช ตอนเขียนส่วนใหญ่จะมีภาพ และอาการกิริยา ของเป้าหมายอยู่ในจินตนาการนะ
คนเขียนต้องมีความนิยมในบุคลิกภาพและจริตของสตรีวัยสาว ถึงจะเขียนบทนารีปราโมชได้ดี ..
หัวใจ และ การอ่านที่กว้างขวางจึงมีส่วนสำคัญ
หัวใจ ใช้เดินความ
การอ่านที่ทำให้รู้เรื่องราว ใช้เปรียบเปรย อุปมาอุปไมย
ทั้งสองอย่างมีส่วนสำคัญทำให้กลอนน่าอ่าน
เพียงกระเพื่อมเลื่อมรับวับวับไหว
ก็รู้ว่าน้ำใสใช่กระจก
เพียงแววตาคู่นั้นสั่นสะทก
ก็รู้ว่าในหัวอกมีหัวใจ
ยกตัวอย่างกลอนของ เนาวรัตน์ พงศ์ไพบูลย์มาประกอบ (แม้ความคิดทางการเมืองจะน่าเอือมระอาอยู่บ้างก็ตาม - 55)
การยกเอาผลแห่งอาการหรือปรากฎการณ์ มาขึ้นต้นวรรคในลักษณะ passive voice ทำให้น่าสนใจที่จะติดตาม
อะไรเล่าที่กระเพื่อมได้ และสะท้อนแสงได้ หากมิใช่น้ำ ?
แผ่นน้ำที่นิ่งเรียบ เปรียบได้กับแผ่นกระจก อันนี้สมเหตุสมผล
แล้วสามารถโยงมาหาแววตาสาว ที่สะทกสะเทิ้น วับวามได้อย่างกลมกลืน (จริตแห่งวัยสาวน้อยก่อนที่จะรู้เดียงสา ?)
แววสะทกสะเทิ้นย่อมเกิดจาก อารมณ์ที่กำลังกระเพื่อมปั่นป่วนด้วยแรงอุทธัจขัดเขิน จะเกิดจากไหนเล่าหากมิใช่หัวใจ ?
กลอนบทนี้จึงอุปมาอุปไมยได้ดีทีเดียว ..
โดย:
สดายุ...
วันที่: 15 มิถุนายน 2559 เวลา:11:05:09 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
สดายุ...
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [
?
]
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?
Friends' blogs
เป็นแฟนกับกวางน้อย
Webmaster - BlogGang
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
Budha Truth
กรุงเทพธุรกิจ
ข่าวสด
ประชาชาติธุรกิจ
isra-news
ศิลปะวัฒนธรรม
พจนานุกรม
TNN16
series west 2
series west 3
Ch3
Thai PBS
Ch7
One-31
กกต.
series thai
Dict Longdo
บ้านซีรีย์
iQIYI
NationTV
ไทยรัฐ TV
คมชัดลึก
SpringNews
ฐานเศรษฐกิจ
Kseries
pinterest
youtube 2 mp4
settrade
investing
123-hd
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
เหมือนเรียงความธรรมดาเท่านั้น
เพียงแต่มีการสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาเล่นท้าทายมากขึ้น ตรงที่ต้องมีคำสัมผัสสระ
และกำหนดเสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรคที่ฟังแล้วไพเราะขึ้นมากำกับการเขียนแบบพิเศษนี้
คนเราส่วนใหญ่ขาดการมองถึงจุดใหญ่ใจความ ก็หลงอยู่กับคำ เร่หาสัมผัสกันเอาเป็นเอาตาย
คำที่ปกติมนุษย์ไม่พูดกัน กลับปรากฎขึ้นได้ในการเขียนกลอนของหลายๆคน
เขาเป็นคนมีใจ โอบอ้อม อารี
เธอกำลังทอดตัวอยู่ใน อ้อมโอบ ของวงแขนสุดที่รัก
คำคู่ควบ เมื่อกลับหน้ากลับหลัง ความหมายที่สื่อออกมาจะผิดแปลกไปคนละอย่างทีเดียว
และตรงนี้เปรียบเหมือนก้อนสบู่ตกทรายของคนเขียนกลอนจำนวนมาก คือไม่ลื่นไหล และความหมายยังน่าขำ
ไม่เว้นกระทั่งกวีใหญ่ที่มีหลุดออกมาให้เห็นประปรายเป็นครั้งคราว