Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
6 พฤศจิกายน 2557
 
All Blogs
 
O งามละมุน .. กับกรุ่นข้าวหอม .. O








กอไผ่ - บังใบ



O ดั่งยูงที่สูงส่งด้วยวงศา
ล้อมแววตาเพื่อจรด .. ความสดใส
เบิกรุ่งสางหม่นดำ ด้วยอำไพ-
แห่งดวงไฟเลื่อนชั้น .. ขึ้นบัญชา
O พอแว่วเสียงสาธุ .. บรรลุโสต
ความปราโมทย์หัวใจผู้ใฝ่หา-
ก็ซ่านความผ่องแผ้วสู่แววตา
เมื่อรูปหน้ารูปจริต .. เผย-ติดตรึง
O เกิดแต่เมื่อกรประนม .. หน้าก้มน้อม
ผมหล่นล้อมวงหน้า, แววตาหนึ่ง-
ก็คล้ายถูกกรเรียวนั้นเหนี่ยวดึง
แววหวานซึ้งมั่นหมาย .. ก็ฉายทอ
O โอ ราศีรูปงาม .. แห่งยามเช้า
คอยรุมเร้าใจอยู่, ท่านผู้ขอ-
ย่อมอุ้มบาตรเอ่ยธรรม .. ลงย้ำ .. ยอ-
ยกอารมณ์ทดท้อ .. พ้นทรมาน
O สบรูป .. รูปละม่อมก็ล้อมสิ้น-
แต่ผัน-ผินรูปพักตร์ .. เข้าหักหาญ
จิตวิญญาณตื่นรู้ .. จึงรู้พาน-
ความอ่อนหวานอ่อนโยน .. ที่โชน-แวว
O พาโลกในแวดล้อม .. งามพร้อมอยู่
พร้อมแรงชู้อาลัยเริ่มไหว .. แว่ว
อาวรณ์เคยซ่อนเร้น .. ก็เห็นแนว-
ความผ่องแผ้วตอบเต้น .. ไม่เว้นวาง
O โอ อำนาจเนตรพรับ .. ราวจับจูง-
สบรูปยูงอกแอ่นรำแพนหาง
เหลื่อมลายขนสีสัน .. ขึ้นกั้นกลาง
หยัดรอยขวางเพรียกถวิล ..ให้ดิ้นรน
O งามวงสีเลื่อมลาย .. ก็คล้ายว่า
เผยคุณค่าออกแล้วผ่านแววขน
พร้อมอ่อนหวานอ่อนไหวของใจคน-
เริ่มเผยตน .. ออกแล้วที่แววตา
O วาบวับ-นั้น .. แววตา .. แม้-ตาหลับ-
แววระยับ .. ก็ยังคง .. อยู่ตรงหน้า
ราวอยู่ล้อมห้อมขวัญคอยบัญชา-
ให้ตอบรับคุณค่า .. ด้วยอาวรณ์
O วาบวับแววขนยูง .. อันสูงค่า-
ก่อรูปพา .. งดงามติดตาม-อ้อน
จนงามนั้นลามรุกไปทุกตอน
สะทกสะท้อนสั่นทั่วทั้งหัวใจ
O จึงโลกในแวดล้อม .. ราวน้อมรับ-
แววพริ้มพรับออดอ้อน .. ผู้อ่อนไหว
ความผูกพันอุ่นเอื้อแห่งเยื่อใย-
ก็รัดรึงเอาไว้ .. อยู่ในวัน
O งามเงื่อนหางยูงฟ้าในป่าแดด
ผ่านลงแวดล้อมช่วง .. ทาบทวง-ขวัญ
งามรูปลักษณ์ชาติภพ .. ก็ครบครัน-
แทรกลงฝันฝากรอย .. ให้คอยรอ
O เช้านั้น .. คำข้าว .. เนตรวาววาม
กอปร-คำ .. ความ .. ผ่านหูจากผู้ขอ
พร้อมอีกการรุมเร้าพะเน้าพะนอ
ของรูปลักษณ์งามลออ .. อยู่ต่อตา
O เช้านั้น .. คำข้าว .. อกผ่าวร้อน-
กับอาวรณ์รูปองค์ .. ที่ตรงหน้า
สบ-สัมผัส .. ฉับพลันก็บัญชา-
เสน่หาให้อุบัติขึ้นรัดรึง
O เช้านี้ .. แรงอาลัยผู้ใฝ่หา
คอยบัญชาดวงจิต .. แต่คิดถึง-
รูปแพงน้อยอบร่ำในคำนึง
เจ้าเอย .. พึงรับรู้นัยชู้ .. ชาย
O ส่งมาเถิด .. อบอุ่นและคุณค่า
ผ่านแววตาอ่อนโยน .. ออกโชนฉาย-
แววอ่อนหวานดื่มด่ำ .. พึง-รำบาย-
ออกเปื้อนป่ายล้อมโลก .. แล้วโยกคลอน
O มอบมาเถิด .. เสน่หาความอาลัย
สุมลงให้ใจชาย .. สุดถ่ายถอน-
ทั้งจากรูป, คุณค่าความอาวรณ์
ตราบม้วยมรณ์ชีพลงเป็นผงคลี
O รูปยูงเอย .. ขาบเขียวทุกเรียวขน
เปล่งปลาบบนคุณค่า .. แห่งราศี
เพรียกละห้อยแหนหวงเป็นท่วงที-
อาวรณ์ที่ - ตราบวาย .. ยากคลายลง !



Create Date : 06 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 28 เมษายน 2566 18:14:36 น. 9 comments
Counter : 7250 Pageviews.

 
ดายุ...

"O งามวงสีเลื่อมลาย .. ก็คล้ายว่า
เผยคุณค่าออกแล้วผ่านแววขน
พร้อมอ่อนหวานอ่อนไหวของใจคน-
เริ่มเผยตน .. ออกแล้วที่แววตา
O วาบวับ-นั้น .. แววตา .. แม้-ตาหลับ-
แววระยับ .. ก็ยังคง .. อยู่ตรงหน้า
ราวอยู่ล้อมห้อมขวัญคอยบัญชา-
ให้ตอบรับคุณค่า .. ด้วยอาวรณ์ "

"เนื่องจากปรากฎหลักฐาน อันเป็นที่แน่ชัด."(สำนวนสมัยจอมพลสฤษดิ์ ก่อนสั่งประหารยิงเป้า)..ออกขนาดนี้..
ภาษายุติธรรม ต้องพูดว่า..."จำนนด้วยหลักฐาน" ใช่ไหมเอ่ย..555



โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2557 เวลา:13:25:28 น.  

 
มินตรา ..

เพิ่งใช้ความคิดเกี่ยวกับเรื่องราวปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาตามที่รับรู้ และตามที่ควรจะเป็น .. เหมือนมีภาพดังต่อไปนี้
.
.
การค้าขาย พานิชยกรรมต่างๆในสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวงนั้น ตกอยู่ในมือกลุ่มพ่อค้าชาวเปอร์เชีย .. และกลุ่มพ่อค้าชาวจีน

เชื้อสายเปอร์เชีย นั้น ..
.. เริ่มตั้งตัว ตั้งต้นที่ปลายราชวงศ์สุโขทัย
.. รุ่งเรืองสูงสุดในราชวงศ์ปราสาททอง
.. เริ่มถูกเบียด แบ่งปันจากกลุ่มพ่อค้าชาวจีนในยุคราชวงศ์บ้านพลูหลวง

เมื่อบ้านเมืองต้อง set 0 ใหม่หลังพ่ายศึก .. กลุ่มพ่อค้าชาวจีนร่วมมือกันสนับสนุนคนจีนด้วยกันให้ครองอำนาจคือ "ลูกจีนคนนั้น"

กิจการพาณิชย์ของกลุ่มพ่อค้าจีนจึงเริ่ม กินแดน รุกคืบพวกแขกเปอร์เชีย ที่นอกจากมีการค้าในมือแล้วยังมีอิทธิพลทางการเมืองเพราะรับราชการเป็นพวกขุนนางอำมาตย์ในราชสำนักด้วย ..

และเชื้อสายเปอร์เชียนี้เองที่เป็นกำลังสำคัญทั้ง อำนาจการเมือง ทั้งอำนาจเงิน ทั้งอำนาจคน ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในครั้งนั้น ..

หลังการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นแล้ว .. คนในตระกูลนี้จึงกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งและถึงจุดสูงสุดในยุค "พระอาทิตย์ชิงดวง" อันหากจะคิดอาจเอื้อมไปอีกขั้นก็แค่เอื้อม !

จริงไหม ?
 


โดย: สดายุ... วันที่: 6 พฤศจิกายน 2557 เวลา:19:53:40 น.  

 
ดายุ..

จาก" เล่าให้ลูกฟัง" ของ
พระยาสัจจาภิรมย์อุดมราชภักดี ( สรวง ศรีเพ็ญ )

เริ่มตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมราชาที่ ๑
พระเจ้าทรงธรรมเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ ๒๒ ในพระนครศรีอยุธยา (
พระนามก่อนเสวยราชย์ เป็นพระพิมลธรรม ) เมื่อจุลศักราช ๙๖๔ พ.ศ. ๒๑๔๕
ปีขาล จัตวาศก เฉกมะหะหมัด กับ มะหะหมัดสอิด ๒ คนพี่น้อง
เป็นแขกมะหง่นถือศาสนาอิสลาม นิกายเจ้าเซ็น ชาวเมืองกุนี
อยู่ในแคว้นอาหรับ ได้เข้ามาค้าขายอยู่ในพระนครศรีอยุธยา

เฉกมะหะหมัด ภายหลังต่อมาเข้ารับราชการ ได้บรรดาศักดิ์
เฉกมะหะหมัดรัตนราชเศรษฐี เจ้ากรมท่าขวา
และเลื่อนบรรดาศักดิ์ครั้งสุดท้ายเป็นเจ้าพระยาบวรราชนายก
จางวางกรมมหาดไทยในรัฐสมัยพระเจ้าปราสาททอง และได้ถึงอนิจกรรมในรัชกาลนี้
เมื่ออายุ ๘๘ ปี
เฉกมะหะหมัด ได้ภรรยาเป็นไทยชื่อ เชย มีบุตรด้วยกัน ๓ คน

๑ เป็นชายชื่อ ชื่น ๒ เป็นชายชื่อ ชม
ถึงแก่กรรมแต่เมื่อยังเป็นหนุ่ม ๓ เป็นหญิง ชื่อ ชี
เป็นสนมเอกในสมัยพระเจ้าปราสาททอง

นาย ชื่น บุตรเจ้าพระยาเฉกมะหะหมัด
ได้เป็นที่พระยาวรเชษฐ์ภักดี ว่าที่จุฬาราชมนตรี เจ้ากรมท่าขวา
ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ตอนปลายรัชกาล

.............................................................

๑. จะเห็นได้ว่า " เจ้ากรมท่าขวา" จะเป็นของแขก คือตระกูลทางเปอร์เซีย มาตลอด
ในขณะที่ "เจ้ากรมท่าซ้าย"จะเป็นจีน
๒.พ่อค้าเปอร์เซีย วางรากฐาน ศาสนาอิสลามในประเทศไทย และดำรงค์ตำแหน่ง " จุฬาราชมนตรี "
๓. สตรีตระกูลนี้ จะเป็น เจ้าจอมหม่อมห้าม..มาทุกรัชสมัย
๔.จางวางกรมมหาดไทย "จมื่นจงภักดี" ..ทหารพระบัณฑูร..จนถึงปลายอยุธยา เริ่มมาจากตรงนี้

หากศึกษาเรื่องเส้นทางสายไหม(silk road) จึงจะเห็นความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่าง จีน กับ เปอร์เซีย (ยุโรป) และบนเส้นทางสายนี้ทั้งทางบกและทางทะเล จะมีการแลกเปลี่ยนทางภาษาวัฒนธรรม ร่วมไปกับสินค้าด้วย..

ตระกูลเฉกมะหะหมัด นั้น มาจากราชสำนักเปอร์เซีย ฉะนั้นระบบการปกครอง สี่กระทรวง
เวียง วัง คลัง นา ..จึงเป็นการถ่ายทอดมาจาก เส้นทางนี้ มิใช่จากขอมดำ ชนชั้นพื้นเมืองดั้งเดิม

ประวัติศาสตร์ที่คนไทยเรียน จะมีสองระดับ คือ ที่จอมพลป. รับมาจากฝรั่งเศส เจ้าอาณานิคมที่ไปเรียนหนังสือมา กับ ศาสตร์ในการปกครองของชนชั้นปกครองในไทย..ซึ่งย่อมรู้การอ่านเขียนและบันทึกข้อความของบรรพบุรุษ บรรพสตรีตนเองไว้

ส่วนเรื่องพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้น เมื่อนักประวัติศาสตร์ ที่มีความรู้ สะสาง ก็จะมีความจริงออกมา

ร่ายมายาว เพื่อดายุจะมองภาพออกว่า การก่อร่างสร้างประเทศไทยมานั้นมิใช่จากคนคนเดียว..

เพื่อที่จะตอบว่า..ทำไมจะต้อง"เอื้อม"ล่ะ ในเมื่อทุกอย่างอยู่ในมือ อยากจะได้ก็ได้..แต่ที่ไม่ได้นี่เพราะไม่อยาก ไงคะ..
ขอเลือกที่จะเป็น"ผู้คัดเลือก"ผู้ที่จะมาปกครองประเทศเอง มิดีกว่ารึ..



โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 7 พฤศจิกายน 2557 เวลา:6:18:31 น.  

 
มินตรา ..
ข้อมูลน่าสนใจ .. แต่มิใช่ทั้งหมด

“ .. ฉะนั้นระบบการปกครอง สี่กระทรวง เวียง วัง คลัง นา ..จึงเป็นการถ่ายทอดมาจาก เส้นทางนี้ มิใช่จากขอมดำ ชนชั้นพื้นเมืองดั้งเดิม .. “ ตรงนี้น่าจะเข้าใจผิด ..

.......................................

เจ้าสามพระยา เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 3 ในสมเด็จพระอินทราชา มีพระเชษฐา 2 พระองค์ ได้แก่ เจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยา พระองค์ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ไปปกครองเมืองชัยนาท (พิษณุโลก) ซึ่งเป็นหัวเมืองสำคัญทางเหนือและได้ทรงอภิเษกสมรสกับพระราชธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 3 (ไสลือไท) แห่งกรุงสุโขทัย ส่วนเจ้าอ้ายพระยาได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ปกครองเมืองสุพรรณบุรีและเจ้ายี่พระยาได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ปกครองเมืองสรรค์ (แพรกศรีราชา)

เมื่อสมเด็จพระนครินทราธิราชเสด็จสวรรคตในพ.ศ. 1967 เจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยา ต่างยกทัพเข้ากรุงศรีอยุธยาเพื่อชิงราชสมบัติ ทั้งสองพระองค์ได้กระทำยุทธหัตถีกันที่เชิงสะพานป่าถ่านจนสิ้นพระชนม์ทั้งสองพระองค์ เป็นเหตุให้เจ้าสามพระยาได้ครองราชย์สมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราช (ที่ 2) โดยพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ก่อพระเจดีย์ขึ้น 2 องค์ ณ บริเวณที่เจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยาชนช้างกันจนสิ้นพระชนม์ทั้ง 2 พระองค์

พระองค์มีพระราชโอรส 2 พระองค์ ได้แก่

1. พระอินทรราชา หรือ พระนครอินทร์ เชื่อกันว่าประสูติจากมเหสีเดิมในสมัยที่เจ้าสามพระยาทรงครองเมืองชัยนาท ต่อมา พระอินทราชาได้รับการโปรดเกล้าให้ไปครองเมืองพระนครหลวงจนกระทั่งสิ้นพระชนม์
2. พระราเมศวร ประสูติแต่พระมารดาที่เป็นพระราชธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 3 แห่งกรุงสุโขทัย

สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 เสด็จสวรรคต เมื่อ พ.ศ. 1991 พระองค์ครองราชสมบัติรวม 24 ปี โดยสมเด็จพระราเมศวรพระราชโอรสได้สืบราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาต่อจากสมเด็จพระบรมราชาธิราช มีพระนามว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงปฏิรูปการปกครองโดยมีการแบ่งงานฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนออกจากกันอย่างชัดเจน ให้สมุหพระกลาโหมดูแลฝ่ายทหาร และให้สมุหนายกดูแลฝ่ายพลเรือน รวมทั้ง “จตุสดมภ์” ในราชธานี

จตุสดมภ์แบ่งออกเป็น 4 กรม มีหัวหน้าเรียกว่า ขุน ฐานะเทียบเท่าเสนาบดี แบ่งออกเป็น

1. กรมเวียง มีขุนเวียงเป็นหัวหน้า ทำหน้าที่ดูแลความสงบสุขของบ้านเมืองและราษฎร
2. กรมวัง มีขุนวังเป็นหัวหน้า ทำหน้าที่ดูแลราชสำนัก คดีความ แต่งตั้งยกกระบัตรไปประจำยังหัวเมือง (ทำหน้าที่รายงานข่าวมายังพระนคร)
3. กรมคลัง มีขุนคลังเป็นหัวหน้า ทำหน้าที่เก็บรักษาและจ่ายพระราชทรัพย์ในราชการ
4. กรมนา มีขุนนาเป็นหัวหน้า ทำหน้าที่ตรวจการทำไร่นา ออกสิทธิ์ที่นา เก็บภาษีเป็นผลผลิตจากเกษตรกร และเก็บส่วนแบ่งข้าวมาไว้ในฉางหลวง

วิกิพีเดีย
..............................

ดังนั้นที่ประวัติศาสตร์เขียนไว้ว่า เจ้าสามพระยายกทัพไปตีนครวัดของขอม จนต้องย้ายเมืองหลวงไปอยู่พนมเปญตั้งแต่บัดนั้น .. พร้อมกวาดต้อนเชลยศึกที่เป็นพวกขุนนาง ปุโรหิต มาอยู่ราชสำนักอยุธยาจำนวนมาก .. ทั้ง ระบบปกครอง รวมทั้งราชาศัพท์ จึงมาจากเขมร จึงมีความสมเหตุสมผลมากกว่า

แขกเปอร์เชียไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับจตุสดมภ์ เพราะ เจ้าสามพระยารวมทั้ง พระบรมไตรโลกนารถเป็นกษัตริย์ในราชวงศ์สุพรรณภูมิ อันสืบทอดมานับนานก่อนสมัยพระเจ้าทรงธรรม อันเป็นลูกชายพระเอกาทศรถ .. หลานลุงของพระนเรศวร .. หลานปู่ของพระมหาธรรมราชา .. อันเป็นราชวงศ์สุโขทัย

จาก
ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
..เจ้าสามพระยา (ยกทัพตีนครวัด จนล่มสลาย)
..พระบรมไตรโลกนารถ (ลูกเจ้าสามพระยา เกิดจตุสดมภ์ )
..พระบรมราชาธิราชที่ 3 (ลูกพระบรมไตรฯ ..ผู้แต่งโคลงดั้นยวนพ่าย ทวาทศมาส กำสรวลสมุทร)-
..พระเชษฐาธิราช (ลูกพระบรมไตรฯ ..พระพันวษา ในขุนช้างขุนแผน)
..สมเด็จหน่อพุทธางกูร (ลูกพระบรมราชาธิราชที่ 3)
..พระไชยราชาธิราช (ผัว ศรีสุดาจันทร์)
..ขุนวรวงศาธิราช (ชู้ ศรีสุดาจันทร์)
..พระมหาจักรพรรดิ (สวามีพระสรีสุริโยทัย)
..พระมหินทราธิราช (เสียกรุงครั้งที่ 1 พศ.2112)

ราชวงศ์สุโขทัย
..พระมหาธรรมราชา
..พระนเรศวร
..พระเอกาทศรถ
..พระศรีเสาภาคย์
..พระเจ้าทรงธรรม
..พระเชษฐา

ราชวงศ์ปราสาททอง
..พระเจ้าปราสาททอง
..


จะเห็นได้ว่า การเกิดขึ้นของ จตุสดมภ์ นั้นก่อนเชคอาหมัดมาไทย 100 กว่าปี


โดย: สดายุ... วันที่: 7 พฤศจิกายน 2557 เวลา:22:07:20 น.  

 
ดายุ...

๑.การค้นพบ“มนุษย์ลำปาง” (Lampang Man)
๒.การขุดค้นแหล่งโบราณในที่ราบลุ่มแม่น้ำบางปะกง บริเวณภาคกลาง
การขุดค้นเนินดินที่บ้านหนองโน บ้านโคกพนมดี อำเภอพนมดี อำเภอพนัสนิคม และอำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี
ทำให้ทราบแน่นอนว่า มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์หาอาหารจากธรรมชาติชายฝั่งทะเล ต่อเนื่องมาถึงสมัย 6000 ปีก่อน อันเป็นยุคเริ่มต้น “เกษตรกรรมยุคแรก” (Neolithic)

๓.ในสมัยเริ่มต้น “ยุคเหล็ก” (Iron Age) มนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนประเทศไทย ล้วนแต่มีความชำนาญในการถลุงเหล็กเกือบทุกแห่ง เนื่องจากค้นพบหลักฐานการถลุงเหล็กกันอย่างกว้างขว้าง ดังจะเห็นได้จากหมู่บ้านมากมายมีชื่อว่า “บ้านขี้เหล็ก” แสดงให้เห็นว่าในสมัยเมื่อ 2500 ปีก่อน มนุษย์ดึกดำบรรพ์ในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พัฒนาการผ่านพ้น “ยุคสัมฤทธิ์” มาสู่ “ยุคเหล็ก” อย่างรวดเร็ว
และเป็นยุคที่เริ่มต้นติดต่อค้าขายและแลกเปลี่ยนสินค้ากับพ่อค้าชาวอินเดีย จีน อาหรับ กรีก โรมัน และบ้านเมืองในประเทศข้างเคียง...

คลื่นอารยธรรมอินเดียหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ....
-ศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์
-วรรณคดีภาษาสันสกฤต
-หลักการปกครองและการบริหารบ้านเมือง
-ขนบธรรมเนียมประเพณีราชสำนักของอินเดีย เข้ามาปลูกฝังอย่างแน่นหนา
-ศาสนาพราหมณ์ ยกย่องผู้นำชนพื้นเมืองซึ่งแต่เดิมเป็นมนุษย์ธรรมดาให้มีฐานสูงส่งเป็น “เทวราชา” (God King) เทิดทูลว่าเป็นผู้มีบุญญาอภินิหารอวตารลงมาเกิดในโลกมนุษย์ จึงเป็น “สมมุติเทพ” เสมือนดังเป็นภาคหนึ่งของพระศิวะ พระนารายณ์ จึงต้องเคารพกราบไว้บูชาเหมือนดังเทพเจ้า

มีอาณาจักรเก่าแก่แห่งหนึ่งซึ่งปรากฏโฉมหน้าขึ้นเหนือคาบสมุทรอินโดจีนเป็นครั้งแรก มีชื่อในภาษาจีนว่า “อาณาจักรฟูนัน” หลักฐานประวัติศาสตร์จีนระบุถึงที่ตั้งของอาณาจักรแห่งนี้ว่า ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของ “อาณาจักรจามปา” หรือ “อาณาจักรหลินยี่” ระยะทางห่างกันในราว 3000 ลี้ หรือประมาณ 1700 กิโลเมตรเศษ เป็นที่ทราบอย่างแน่ชัดแล้วว่า “อาณาจักรจามปา” ในยุคแรกตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของประเทศเวียดนาม ต่อมาได้ถอยร่อนลงไปทางใต้และยืนยันว่า “อาณาจักรเขมร” ซึ่งจีนเรียกว่า “เจนละก๊ก” ประเทศเพื่อนบ้านอยู่ใกล้ชิดติดกันมาตั้งแต่สมัยเริ่มต้นประวัติศาสตร์คาบสมุทรอินโดจีน พงศาวดารจีนยืนยันว่า “อาณาจักรเขมร” ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของ “อาณาจักรจามปา”

พงศาวดารจีนสมัยราชวงศ์เหลียงกล่าวไว้ เหตุการณ์ภายหลังจาก “อาณาจักรฟูนัน” ถูกกองทัพเขมรโจมตีล่มสลายไปในราว พ.ศ. 1083

พงศาวดารจีนในสมัยราชวงศ์ถังจดบันทึกไว้ว่า “อาณาจักรฟูนัน” ถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 อาณาจักร คือ “เสียมก๊ก” หรือ “อาณาจักรสยาม” และ “หลอหูก๊ก” หรือ “อาณาจักรละโว้”

พงศาวดารจีนสมัยราชวงศ์ซ้องระบุว่า ตั้งอยู่ในดินแดนของประเทศไทย เคยส่งทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีกับราชสำนักจีนเมื่อ พ.ศ. 1740 แสดงให้เห็นว่าอาณาจักรแห่งนี้เคยมีอำนาจอยู่ในดินแดนประเทศไทยมาก่อนสมัย “อาณาจักรสุโขทัย” ในราว 100 ปี

ต่อมาเมื่ออาณาจักรเก่าแก่แห่งนี้เจริญรุ่งเรืองและมีอำนาจขึ้นในคาบสมุทรภาคใต้ อาจแผ่ขยายอาณาเขตขึ้นไปยังคาบสมุทรอินโดจีน นำศิลปวัฒนธรรมแบบใหม่ของตนขึ้นไปเผยแพร่ให้แก่ชนชาวพื้นเมือง ดังจะเห็นได้จากการค้นพบเทวรูปพระนารายณ์สวมหมวกทรงกระบอกที่ โบราณสถานในจังหวัดปราจีนบุรี แหล่งโบราณสถานในจังหวัดเพชรบูรณ์และเมืองนวนคร ทางตอนใต้ของประเทศเขมร ล้วนแต่สร้างขึ้นคล้ายกับลอกเลียนแบบเทวรูปพระนารายณ์สวมหมวกทรงกระบอกซึ่งพบที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดพังงา

คัมภีร์โบราณของอินเดียเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า “สุวรรณภูมิ” หรือ “สุวรรณทวีป” ดินแดนซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชทรงโปรดให้พรเถระผู้มีชื่อเสียงเดินทางมาเผยแพร่พุทธศาสนา เมื่อราวปลายพุทธศตวรรษที่ 2 สมัยต่อมาในปลายพุทธศตวรรษที่ 7 พงศาวดารจีนสมัยสามก๊กกล่าวถึงการติดต่อทางพระราชไมตรีกับ “อาณาจักรฟูนัน” ถึงแม้ว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันว่า ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินแห่งนี้เป็น “ชนชาวสยาม” หรือ “ชนชาวไทย” เหมือนในสมัยปัจจุบันหรือไม่
แต่จากผลการขุดค้นแหล่งโบราณคดีสำคัญทั่วประเทศไทย พบหลักฐานมากมาย บ่งบอกให้ทราบว่า ชาวพื้นเมืองตั้งถิ่นฐานอาศัยสืบเนื่องกันมาอย่างไม่ขายสาย
จนถึงสมัยปลายพุทธศตวรรษที่ 17 ศิลาจารึกวัดเขากบ จังหวัดนครสวรรค์ กล่าวถึงกษัตริย์ราชวงศ์ศรีสัชนาลัยทรงสถาปนา “กรุงอโยธยาศรีรามเทพนคร” เป็นราชธานีขึ้นริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระเจ้า หลังจากนั้น สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 พระเจ้าอู่ทอง ทรงย้ายไปสร้าง กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา ขึ้นบนเกาะในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำสักเมื่อพ.ศ.1893 สืบมาจนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีหลักฐานมากมายจนอาจกล่าวได้ว่า นับตั้งแต่สมัยเริ่มต้นประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทย มีอายุเก่าแก่ไม่น้อยกว่า 2300 ปีแล้ว

แหล่งโบราณคดีบ้านควนลูกปัด อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ พบลูกปัดจำนวนมาก ทั้งประเภท ลูกปัดแก้วสีเดียว (Monochome Greads) ลูกปัดแก้หลากสี (Poly-chome Breads) ลูกปัดหินสีรูปแบบต่างๆ ทำจาก อาเกต คาร์นีเลียน เรียกกันว่า “ลูกปัดลมสินค้า” (Trade-Wind Breads) ซึ่งแต่เดิมมีแหล่งผลิตอยู่ในอาณาจักรกรีก โรมัน แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีอายุเก่าแก่กว่า 2000 ปี พวกพ่อค้านำเข้ามาแลกเปลี่ยนกับผลิตภัณฑ์ของชาวพื้นเมือง เช่น เครื่องเทศ สมุทรไพร ไม้หอม งาช้าง นอแรด ไข่มุกกระดองเต่า ดีบุกทองคำ เป็นต้น

ลูกปัดแก้วรูปหน้าคน (Face Bread) มีสีเป็นริ้วรายรอบคล้ายกับรัศมีของพระอาทิตย์ แผ่นหินคาร์นีเลี่ยนสีแดงแกะสลักเป็นรูปหน้าคนแบบศิลปกรีก จัดเป็นสินค้าส่งออกสำคัญที่ได้รับความนิยมมากในสมัยนั้น พบตามเมืองท่าโบราณที่เคยติดต่อค้าขายกับพ่อค้าชาวกรีก โรมัน และยังพบตราประทับสินค้าของชาวอินเดีย กรีก โรมัน เปอร์เซีย

จากหลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นบริเวณตอนกลางคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทย ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าทางทะเลของโลก (World System) หรือที่เรียกกันว่า “เส้นทางสายไหมทางทะเล” มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เส้นทางคมนาคมและการค้าทางทะเลของโลก เริ่มต้นจากเมืองท่าเรือในมณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของประเทศจีนพาดผ่านคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทย อินเดีย ศรีลังกา อาหรับ ไปสิ้นสุดที่กรุงโรมในทวีปยุโรป

“เมืองท่าและสถานีการค้า” (Trading Staton) ที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันตกและชายฝั่งทะเลตะวันออกของคาบสมุทรภาคใต้ จึงเปรียบดัง “สะพานบก” (Land Bridge) เชื่อมโยงเมืองท่าทั้งสองฟากฝั่งให้ติดต่อถึงกัน ต่อเนื่องกับเส้นทางการเดินเรือของโลกมาตั้งแต่ก่อนสมัยประวัติศาสตร์ เป็นแหล่งก่อกำเนิดอารยธรรมอินเดียในสมัยเริ่มแรกในคาบสมุทรอินโดจีน

หนังสือภูมิศาสตร์และแผนที่ฉบับแรกของโลก ซึ่งนักปราชญ์ชาวกรีกแห่งเมืองอเล็กซานเตรีย ทางตอนใต้ของประเทศอียิปต์ มีชื่อว่า “คลอดิอุส ปโตเลมี” (Claudius Ptolemy) แต่งขึ้นในสมัยปลายพุทธศตวรรษที่ 6 มีความเห็นแตกต่างออกไปว่า “สุวรรณภูมิ” หรือ “สุวรรณทวีป” ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์โบราณของชาวอินเดีย สันนิษฐานว่าตั้งอยู่บริเวณตอนกลางคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทย เรียกกันว่า“คาบสมุทรทอง” หรือ “แหลมทอง” (Golden Khersonese) ทั้งนี้เพราะคำว่า “เคอโซเนส” (Khersones) ในภาษากรีกโบราณ หมายถึง “คาบสมุทร” (Penisula) ตรงกับคำว่า “ทวีป” ในภาษาอินเดีย

การค้นพบ “เทวรูปพระนารายณ์สวมหมวกทรงกระบอก” ซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นหลักฐานยืนยันว่าภายหลังจาก พระเจ้าจันทรคุปต์ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โมริยะ ทรงประกาศยกเลิกประเพณีการห้ามมิให้สร้างรูปเทพเจ้าอินเดียขึ้นมาเป็นรูปเคารพ
ในสมัยต้นศตวรรษที่ 2 ชาวอินเดียจึงได้สร้าง เทวรูปเทพเจ้าของตน เช่น พระสุริยเทพ พระนารายณ์ พระศิวะ ขึ้นมากราบไหว้บูชา สันนิษฐานว่าพ่อค้าชาวอินเดียอาจนำติดต่อเข้ามายังดินแดน “สุวรรณภูมิ” ตั้งแต่สมัยนั้น

ต่อมาช่างชาวพื้นเมืองเมื่อได้รับความรู้ในศิลปะสมัยคุปตะอันงดงามในประเทศอินเดีย จึงได้สร้าง “เทวรูปพระนารายณ์สวมหมวกทรงกระบอก” โดยลอกเลียนแบบศิลปะสมัยคุปตะขึ้นมาประดิษฐานในเทวสถาน สำหรับกราบไหว้บูชา

และยังแพร่หลายข้ามอ่าวไทยไปยัง เมืองนวนคร ทางตอนใต้ของประเทศเขมร ขึ้นมายังผืนแผ่นดินคาบสมุทรอินโดจีนพบที่แหล่งโบราณคดี อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี ว่า แหล่งโบราณคดีเมืองศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ เส้นทางการแพร่ขยายศิลปกรรมที่สสักขึ้นด้วยศิลาอันงดงามและมีขนาดใหญ่ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงการแพร่ขยายอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จากคาบสมุทรภาคใต้ขึ้นมายังคาบสมุทรอินโดจีน เป็นรากฐานปลูกฝังชาวพื้นเมืองให้นิยมศิลปวัฒนธรรมแบบอินเดีย

การทำสงครามกันระหว่างชนชาวอินเดียผิวดำเจ้าของถิ่นฐานบ้านเมืองดั้งเดิมเรียกกันว่า “ทราวิต” หรือ “มิลักขะ” กับชนชาวอารยันผิวขาวรูปร่างสูงใหญ่แบบฝรั่งผู้บุกรุกมาจากทะเลสาบแคสเปียน ในประเทศอิหร่าน ต่อมาได้กลายเป็นมหากาพย์บันลือโลกของอินเดียเรื่อง “รามายณะ” หรือ “รามเกียรติ์” ซึ่งบรรดาราชวงศ์กษัตริย์ทั้งหลายในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่างอ้างว่าปฐมราชวงศ์ของพระองค์สืบเชื้อสายมาจาก “พระราม”

ผู้นำของชนเผ่าชาวอารยันได้ยึดครองผืนแผ่นดินทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดียสร้างอาณาจักรขึ้นมาปกครอง ดังปรากฏอยู่ในเรื่องราวมหากาพย์ภารตะเกี่ยวกับการสืบสายฝ่าย “สุริยวงศ์” หรือ “ราชวงศ์พระอาทิตย์”(Sun Dynasty) ในเรื่อง “รามายณะ” หรือในวรรณคดีไทยเรียกว่า “รามเกียรติ์” และเรื่องราวเกี่ยวกับสืบราชวงศ์ฝ่าย “จันทรา” หรือ “ราชวงศ์พระจันทร์”(Moon Dynasty) ในมหากาพย์เรื่อง “มหาภารตะยุทธ”

นี่เป็นประวัติศาสตร์ที่เราไม่ได้เรียนในโรงเรียน จึงนึกไม่ออกว่าทำไมชาวเปอร์เซียจึงมีบทบาทแทรกซึม ในระบบการเมือง การปกครอง ภาษา วัฒนธรรม..
เพราะหนังสือเรียนที่จอมพลป.วางไว้ให้ เป็น ประวัติศาสตร์ประเทศไทยที่ เจ้าอาณานิคม วางไว้


โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2557 เวลา:10:18:21 น.  

 
มินตรา ..

อังกฤษ เป็นเจ้าอาณานิคมมลายู พม่า อินเดีย
ฝรั่งเศส เป็นเจ้าอาณานิยม เวียดนาม เขมร ลาว

ใครเป็นเจ้าอาณานิคมสยามหรือ ? .. เห็นเขียนมาหลายครั้ง
อาจมีความเป็นไปได้ที่ไปรับเอาอิทธิพลความคิดมาจาก จอร์จ เซเดย์ ชาวฝรั่งเศส

แต่ ประเด็นที่พูดคือ – จตุสดมภ์ เวียง วัง คลัง นา เกิดในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ มิได้เกิดจากแขกเปอร์เชีย ที่ชื่อ เฉก อาหมัด – และแนวคิดมันมากับบรรดาเชลยศึกขอมที่เป็นขุนนาง ปุโรหิต ในราชสำนัก นครวัด หรือ พระนครหลวงในยุคเจ้าสามพระยา –

ขอม สร้าง นครวัด 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ประมาณต้น คศ.1200 หรือ พศ. 1750 และใช้เป็นที่บูชาเทพเจ้าตามแนวคิดพราหมณ์ – สิ่งก่อสร้างสวยงามแสนมหัศจรรย์นี้ ไม่สามารถมีขึ้นได้ในหมู่ชนโง่เขลาและป่าเถื่อนอย่างเด็ดขาด อาคารหินที่ไม่มีการตอกเสาเข็ม สูงตระหง่าน สวยงามตามหลักสถาปัตยกรรม มีกนกงกงอนอันเป็นหินแท้ที่มิใช่ปูนปั้น แล้วยังอยู่ยงคงกระพันมาเป็นพันปี – มันต้องสร้างจากกลุ่มชนที่เฉลียวฉลาดอย่างหาตัวจับยากทีเดียว ..

เมื่อมาถึงสมัยพระเจ้าอโศกที่มีการทำสังคายนาพุทธศาสนาครั้งที่ 3 นั้น – เวลาล่วงเลยมาถึงประมาณ 300 ปีแล้วหลังพุทธปรินิพพาน คือประมาณ หรือประมาณ สมัยพระเจ้าเสือแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวงมาถึงปัจจุบัน – และครั้งนั้น สายที่ 9 ของพระธรรมทูตคือ พระโสณะ เดินทางมาทางเอเชียอาคเนย์ฝั่งทะเลที่อาณาจักรสะเทิมของมอญ ประมาณ พศ. 1200 นี้คือสายเถรวาทอันค่อยๆแพร่กระจายไปใน พม่า ไทย ลาว และ เขมรหลังยุคขอม

เราอาจพูดได้ว่ายุคขอมเรืองอำนาจประมาณ พศ.1750 ยุคพระเจ้าสุริยะวรมันที่ 2

และอารยันในอินเดีย เป็นกลุ่มที่ภายหลังนับถือพราหมณ์ พุทธ ชฎิล เชน ฯลฯ .. เป็นกลุ่มที่สร้างศรัทธาไปที่ ขอม – จึงมีการสร้างนครวัด นครธม – ศรัทธานี้ได้รับการสืบทอดต่อมาจนถูกอยุธยาตีแตก กวาดมาเป็นเชลยในที่สุด

หาใช่เปอร์เชียไม่ ?

อารยันในเปอร์เชียเป็นเพียงคนกลุ่มหนึ่ง ที่มิใช่ทั้งหมดของเปอร์เชียจะสามารถเรียกอารยันได้ และไม่มีลัทธิศาสนาอะไรจะแพร่หลายออกมาได้เลยจากดินแดนเปอร์เชีย .. จนกระทั่งไปรับอิสลามมาจากพวกอาหรับซาอุดิอารเบียอีกที .. อารยันกลุ่มในเปอร์เชียนี้จึงกลายเป็นมุสลิมทั้งหมด และมิได้มีอิทธิพลอะไรในกลุ่มชนที่นับถือพราหมณ์อย่างขอม หรือ พุทธในเอเชียอาคเนย์เลยแม้แต่น้อย –

ดังนั้นที่ไปเอามาจากดเวปอื่นยาวเหยียดนี่ มันไม่ได้ตอบคำถามเรื่องของที่มาของ จตุสดมภ์ ในราชสำนักอยุธยาเลยแม้แต่น้อย



โดย: สดายุ... วันที่: 8 พฤศจิกายน 2557 เวลา:15:53:40 น.  

 
สดายุ..

หลายครั้งที่นำ"ข้อมูลสำเร็จรูปจาก ออนไลน์"มาใช้ เพราะเป็นข้อมูลที่แปลแล้วในภาษาอังกฤษ หรือภาษาไทย
( ส่วนใหญ่มินตราจะเก็บความรู้จากการอ่านหลายเอกสารในภาษาเยอรมัน เพราะเที่ยงตรง...pro German ?)
แต่การเลือก"ข้อมูลสำเร็จรูป"นี้ ต้องตรงกับ"ความรู้" ที่เรามีอยู่....จึงใช้

ที่ยาวเหยียดนั้น เพราะ ยังติดนิสัยไทยที่ไม่พูดตรงตรงว่า..
ขอมดำ นั้น เป็นเพียงชนพื้นเมือง...มิใช่อารยชนที่สามารถคิดประดิษฐ์สิ่งใดออกมาได้เอง...

ถูกต้องค่ะที่ระบบการปกครองสี่กระทรวงมิใช่ เฉกมะหะมัด นำเข้ามา แต่ไม่ถูกต้องที่มาจากเขมร ...เพราะทั้งในยุโรปและเอเซีย ที่ชาวอารยันอยู่จะใช้ระบบสี่กระทรวง เริ่มต้น เหมือนกัน

อาณาจักรเปอร์เซีย ขยายวัฒนธรรมจากที่ราบลุ่มเมโสโพทาเมีย(Mesopotamia
plain) ระหว่างแม่น้ำไทกริส และ ยูฟาตริส ( Tigris and Euphrates
rivers.)อันมีเมืองบาบิโลน(Babylon:20th to 15th centuriesBC)
ผ่านที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ.. ..ไปจนถึงจีน

ผลจากการวิจัยทางDNA( genetic research)
รวมทั้งหลักฐานวัตถุทางวัฒนธรรมในโบราณคดี กลางศตวรรษที่20 โดย
เซอร์มอร์ไทเมอร์ วิลเ่ล่อร์(Sir Robert Eric Mortimer Wheeler :1890 -1976 )
นักโบราณคดีชาวอังกฤษ และ นักวิชาการร่วมสมัย ในปัจจุบันนี้ กล่าวว่า
ชนพื้นเมือง “มิลักขะ”(Austro-Asiatic tribals) เมื่อแพ้สงคราม
กับชนชาวอารยันผู้บุกรุกมาจากทะเลสาบแคสเปียน ในประเทศอิหร่าน
ชนชาวอินเดียผิวดำคงอพยพหลบหนี้ลี้ภัยลงไปทางภาคใต้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปจนถึงเกาะลังกา
ชนชาวอารยันผิวขาวจึงตั้งหลักแหล่งมั่นคงอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำยมุนา แม่น้ำคงคา ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย คือบริเวณเมืองอินทรปัสถ์ หรือ เมืองเดลฮี ในสมัยปัจจุบัน

และนี่เป็นที่มาที่มินตรา ต้องการเรียนให้ทราบว่าหลักฐานมีใน มหาภารตะยุทธและ รามเกียรติ์
จากสงครามมหาภารตะยุทธ นี้ ทำให้เราทราบว่า ชาวอารยัน ชนะได้ด้วย เทคโนโลยีทาง
อาวุธยุทธภัณฑ์ ..รถม้า( Chariot) และ ความรู้ในการ ใช้ไฟที่มีความร้อนสูงมาก หลอมละลายแร่เหล็ก แล้วนำเอาเหล็กบริสุทธิ์มาประดิษฐ์เป็นเครื่องใช้ ..เป็นผู้แรก

พูดอ้อม มาหลายครั้งแล้ว เรื่องที่ชาวเปอร์เซียนับถือ อิสลามนั้น..
หากอ่านมหาภารตะ จะทราบว่า..หลังจากชาวอารยันทำสงครามมาประมาณ 300 ปี
เสียชีวิตเสียทรัพย์สินไปมากมาย ต่อความป่าเถื่อน ...
จึงเปลี่ยนมาเป็นยอมรับมุสลิมแต่แทรก"วัฒนธรรมความรู้"ของอารยัน
ลงในวิถีปฎิบัติของมุสลิม...
จะสังเกตว่ามีมุสลิมชิอิด(Schiiten )สำหรับชนที่มีอารยะ
กับ ซูนิท (Sunniten) สำหรับชนพื้นเมือง
ปัญหาที่ อิหร่าน กำลังมีอยู่ในขณะนี้ กับกลุ่มไอซิส (ISIS)

"แหล่งโบราณคดีเมืองศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ เส้นทางการแพร่ขยายศิลปกรรมที่สสักขึ้นด้วยศิลาอันงดงามและมีขนาดใหญ่ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงการแพร่ขยายอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จากคาบสมุทรภาคใต้ขึ้นมายังคาบสมุทรอินโดจีน เป็นรากฐานปลูกฝังชาวพื้นเมืองให้นิยมศิลปวัฒนธรรมแบบอินเดีย"...น่าจะตอบเรื่อง นครวัดนครธม ได้..

"วิธีวิเคราะห์แบบศตวรรษที่ 20-21"
ฉบับ สหประชาชาติ (United Nations geoscheme)
ซึ่งใช้ผลจากการวิจัยทางDNA( genetic research) มาประกอบ
ทำให้แนวความคิดเปลี่ยนไปจากว่า ผู้ชนะสงครามเท่านั้นที่จะ ครอบครองวัฒนธรรมได้..
เป็น การเคลื่อนย้ายเผ่าพันธุ์ การติดต่อทางการค้า
จึงเป็นการถ่ายทอดภาษาและวัฒนธรรม สู่กันได้
การเรียนรู้ซึ่งกันและกัน..




โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2557 เวลา:18:28:29 น.  

 
มินตรา ..
คุยกับมินตรานี่สนุกดี .. อย่างน้อยก็ได้ค้นคว้าหาข้อมูลมา วิภาษ กัน
คราวนี้ลองหารูปมาประกอบเพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น

Arayan Invasion 1 .. การอพยพจากจุดให้กำเนิดไปทั่วโลก


Arayan Invasion 2 .. การรุกรานเข้ามาของอารยันในชมพูทวีป และ เปอร์เชีย


มหาชนบท 16 แคว้นยุคพุทธกาล


รูปแรก .. เป็นเส้นทางการอพยพ หรือ รุกรานเข้ามาของอารยัน สู่ดินแดนที่มีผู้ครอบครองอยู่ก่อน คือ ดราวิเดียน หรือ มิลักขะ เผ่าพันธุ์ผิวดำ หน้ากร้อ คอสั้น ผมหยิก .. ที่อพยพมาจากอาฟริกาก่อนหน้าอารยันหลายพันปี .. เผ่าพันธุ์ของ ทศกรรณฐ์ ในรามเกียรติ์ .. การอพยพนี้ผ่านเปอร์เชีย หรือ อิหร่าน ก่อนจึงมีบางส่วนลงหลักปักฐานที่นี่ ..

สงครามระหว่าง อารยัน กับ มิลักขะ นี้ พนมเทียนก็เอามาเขียนใน ศิวา-ราตรี รวมทั้งจุฬาตรีคูณ ด้วย

รูปที่สอง .. คือพื้นที่ที่อารยันครอบครองหลังจากการบุกเข้ามาและแย่งชิงดินแดนไปจากมิลักขะได้แล้ว .. เมื่อมาถึงยุคพุทธกาล ถูก เรียกว่า มหาชนบท 16 แคว้น .. และเกือบขวามือสุดคือแคว้น มคธ ที่มีเมืองหลวงชื่อ กรุงราชคฤห์ อันอยู่ใต้แคว้นวัชชี ที่มีเมืองหลวงคือ เวสาลี .. ส่วนทางตะวันตกติดกันเป็นแคว้นกาสี เมืองหลวงคือ พาราณสี .. เมืองเหล่านี้ พระพุทธองค์เคยเดินทางผ่านไปมาระหว่างการเผยแผ่พุทธธรรม

และมหาชนบท 16 แคว้นนี้เองที่ก่อสงครามกันเองระหว่างพวกอารยันด้วยกัน .. อันปรากฏเรื่องราวอยู่ใน มหาภารตะยุทธ และรวมทั้ง ปฐพีเพลิง ของพนมเทียน



โดย: สดายุ... วันที่: 8 พฤศจิกายน 2557 เวลา:21:05:47 น.  

 
สดายุ..

ในแผนที่การขยายดินแดนและวัฒนธรรมอารยัน ไปทางยุโรปเหนือและไปถึงจีนนั้น..เป็นไปบนผืนแผ่นดินใหญ่

ยกเว้นดินแดนชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีชาว เฟอนิเซีย(Phoenicia )
ผู้มีวัฒนธรรมค้าขายทางทะเล (maritime trading culture) มาตั้งแต่ปี1550 BC ถึง 300 BC อาศัย

คำว่าเฟอนิเซียในภาษากรีกโบราณและภาษาโรมันแปลว่า"พ่อค้าสีม่วง" 'traders in purple'
เนื่องจากค้าขายสี ที่ทำมาจากหอยหนาม(Murex snail)นำมาผลิตสีม่วง
ใช้ย้อมผ้าสำหรับชนชั้นสูงในโรมและกรีก
ตัวอักษร โฟเนติค (phonetic alphabets )ที่เป็นอักษรในการอ่านเสียงนั้น ก็มาจากชาวเฟอนิเซีย

ชาวเฟอนิเซีย ที่อาศัยตามชายฝั่งทะเล และกำลังมีปัญหาดินแดนในขณะนี้คือ ปาเลสไตน์ (Palestine)

คำว่า ปาเลสไตน์ (Palestine) ในภาษากรีก แปลว่า "ดินแดนของอิสราเอล "(Land of Israel)

ปัญหาคนเดินเรือที่เข้ามาปักถิ่นฐานถาวรเช่นในปาเลสไตน์นี้ ชาวมาเลเซีย ก็ประสพ

คำว่า อิหร่าน"Iran"ในภาษาเปอร์เซีย แปลว่า ดินแดนของอารยัน "Land of the Aryans"


โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2557 เวลา:5:31:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.