Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2555
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
11 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 

O หอมกลิ่นร่ำ ๒ .. O





.. เช้าตรู่ เรือนริมน้ำ อยุธยา ..
.
.
๒๗๓. ภาพเบื้องหน้า .. งามพิสุทธิ์-ในชุดขาว
ตาวับวาวชะเง้อคอย .. ชม้อยเหลียว
ข้าวในขันอุ้มถือ .. ด้วยมือเรียว
ความรื่นรมย์ก็กอดเกี่ยวทุกเสี้ยวใจ







๒๗๔. เพียงลมเช้าเฉื่อยโชย..อย่างโผยแผ่ว
พายวาดแล้ว-อ่อยเอื่อย, เรือเรื่อยไหล
คลื่นน้ำพลิ้วโยนระลอก..แผ่ออกไป
พร้อมริ้ววงน้ำไหว..คือใจรอ

๒๗๕. บรรจงหยิบจับของประคองถวาย
นอบน้อมกายมอบสู่ท่านผู้ขอ
หมายนัยธรรมผ่านเสียง..จะเพียงพอ-
ช่วยเติมต่อภูมิธรรมลงย้ำใจ

๒๗๖. ภาพ-พระที่ท่าน้ำ, เรือลำน้อย-
กับงามหนึ่งรูปรอย..ที่ค่อยไหว-
ค้อมคอลงรับคำ..พากย์ธรรมนัย
พาเงื่อนเหตุอาลัย..พลอยไหววน

๒๗๗. แสงเช้านั้นรองเรืองที่เบื้องหน้า
เมื่อสบตาปลาบปลั่ง..อีกครั้งหน
ช่อดอกไม้, ขันข้าว, เนตรวาวจน-
สะท้อนพื้นสายชล-วาบ-วนเวียน

๒๗๘. แผ่วผ่านเสียงสาธุ..บรรลุโสต
กลับอุโฆษยามสดับ..ถึงปรับเปลี่ยน-
พาใจตรองข้อธรรม..ครวญคำเธียร
ยกปัญญาตัดเตียน..บ่งเสี้ยนแซม

๒๗๙. ชื่นเช้ากับนัยธรรม..จากคำพระ
เมื่อสุดผละแววตา..จากหน้า-แก้ม
พาอ่อนหวานรำบายลงก่ายแกม
ก่อนป่ายแต้มพักตร์พิไลติดนัยน์ตา

๒๘๐. จึงเช้าชื่น..ด้วยหมอก, ปวงดอกไม้-
น้อมแนบไว้ด้วยละห้อยเฝ้าคอยหา
ช่วงเช้านี้ลมเห่..กาลเวลา
เกสรา-ภุมรินก็บินล้อม

๒๘๑. ไหว้พระ..อธิษฐานเพื่อกาลหน้า
สืบคุณค่าตั้งรอ..ร่วมหล่อหลอม
รูปหน้าหรือนัยธรรม..หนอ-ด่ำดอม
จนดูเหมือนจำยอม...อย่างพร้อมใจ

๒๘๒. กราบพระ..บำบวงผ่านห้วงสินธุ์
หวังบรรลือแรงถวิล..จนสิ้นได้
จังหวะพายจ้ำจ้วง..หวัง-ทรวงใคร-
จักหวามไหวตามระยะจังหวะแรง

๒๘๓. กราบพระ..บำบวงผ่านท่วงที
แววตาที่อ่อนโยนเริ่มโชนแสง
พร้อมความหวานหอมล้ำ..ที่สำแดง
ลงเติมแต่งโลกธรรม..ล้อมรำบาย

๒๘๔. ภาพ-กุศลสืบสาน, ดอกมาลย์หอม
ก็งามพร้อมแสงสรวงขึ้นช่วงฉาย
ความอ่อนหวานอ่อนไหว..หัวใจชาย-
ก็กำจายฝากคลื่น.แนบผืนน้ำ

๒๘๕. ร่ำรอภาพ-บุญกุศลให้วนกลับ
เพื่อสำหรับปลาบปลื้ม..แสนดื่มด่ำ-
จักวนรอบเวียนรับ..ลำดับกรรม
เอาหยั่งย้ำอาวรณ์..แนบนอนทรวง

๒๘๖. ภาพสาวน้อย..ละม่อมหน้า..ที่ท่าน้ำ
ค่อยตอกย้ำอกใจพลอยไห้หวง
กราบพระดูแช่มช้อย, คำถ้อย-ปวง-
หวังผ่านล่วงถึงใคร...หนอใจนั้น..?

๒๘๗. น้ำกระทบกราบเรือ, แสงเรื่อส่อง-
ก็เหลื่อมต้องผ่านแต้มสองแก้มนั่น
ตากระทบรูปเยาว์, เมื่อเช้าวัน-
ก็เฝ้าฝันใฝ่อยู่...ไม่รู้แล้ว

๒๘๘. คล้ายเสียงธรรมล้อมโลก..เข้าโบกโบย
เมื่อลมเช้าเฉื่อยโชย..ยังโผยแผ่ว
ใจคนฤๅต้องสาป..เมื่อภาพแวว-
ตาผ่องแผ้วผ่านนัย..รอไขว่คว้า

๒๘๙. ก่อนเสียงธรรมจางหายกับสายลม
เมื่อปรารมภ์มุ่งมั่นขอฟันฝ่า
หมายเอื้อมเหนี่ยวพวงพะยอมให้น้อมมา
ร่วมรับรองคุณค่า..แรงอาลัย

๒๙๐. ลมเช้ายังเฉื่อยโชยอย่างโผยแผ่ว
เมื่อดวงแก้วบนฟ้าทาบทา..สมัย
ปลายปีกนกผกบินสู่ถิ่นไกล
เมื่อหัวใจถวิลเห็นไม่เว้นวาง

๒๙๑. ภาพพระที่ท่าน้ำ, เรือลำน้อย-
เหมือนดั่งคอยเฝ้าอุบัติขึ้นขัดขวาง
พร้อมรูปมือเรียวงามอยู่ท่ามกลาง-
ม่านหมอกพรางขุ่นขาวแห่งเช้าวัน

๒๙๒. ผมหล่นล้อมวงหน้า..เมื่อหน้าก้ม
มือประนมคอค้อมอยู่พร้อมนั่น
ด้วยรูปและโดยใจของใครกัน-
แต่งเป็นสัญญาร่าง..ขึ้นขวางไว้

๒๙๓. ภาพ-จีวร, ลำเรือ, แดดเรื่อส่อง,
พักตร์ผุดผ่องรูปขวัญ, เช้าวันใหม่-
ก็เคลื่อนบทบาทล้อมเข้าย้อมใจ
กลางลมไหววาดวี..ในที่นั้น

๒๙๔. ภาพ-จีวร, ลำเรือ, ผิวเนื้อเนียน,
เนตรวกเวียนเหลือบชะม้าย, น้ำส่ายสั่น-
ก็เคลื่อนผ่านวูบไหวดั่งไฟควัน-
แทรกส่วนสัญญารูป..โลมลูบใจ

๒๙๕. จนเสียงธรรมจางหายกับสายลม
เหลือเพียง-เนตร, เส้นผม..เกินข่มไหว-
เข้ารายล้อมดวงตา..เกินฝ่าไป-
พ้นผ่านรูปเพ็ญพิไล..ของใครแล้ว !
.
.
.. หัวใจที่ร่ำรอ ..
.
.
๒๙๖. ปล่อยเถิด .. ความในทรวงให้ร่วงหล่น
ร่วงลงบนเปลี่ยวเหงาอย่างเบา .. แผ่ว
ปล่อยนัยน์ตาอ่อนโยนได้โชนแวว-
ความผ่องแผ้วพริ้มพรับ .. ให้รับรู้







๒๙๗. ยิ้มรับภาพงดงาม .. อยู่ท่ามกลาง-
การเร้นพรางอาวรณ์ .. แอบซ่อนอยู่
วันแล้วและวันเล่า-ที่เฝ้าดู-
ความนัยชู้ .. จากชาย .. ผู้หมายเชย

๒๙๘. คล้ายว่าแรงสุมซ่อน .. อาวรณ์นั้น-
จะไหวสั่นรูปรอย .. ให้ค่อยเผย-
ผ่านแววตาอ่อนละมุน .. แสนคุ้นเคย
แทนการเอ่ยถ้อยความออกตามใจ

๒๙๙. แววตากอปรคำนึงหวานซึ้งอยู่
ก็ทอดทอนัยสู่ .. จนรู้ได้-
ว่า-วงรอบเสน่หาความอาลัย
ค่อยเวียนรอบวนไหว .. ที่ใจคน

๓๐๐. ร้างรูปดาวบนฟ้า .. กล่อมราตรี
เพียงเรื่อยรี้ลมล่วง .. โลมห้วงหน
เหลือจันทร์แรมลอยเรียว -โดดเดี่ยวบน-
ฟ้า, ใจคน..กลับช่วงกว่าดวงวัน

๓๐๑. เหมือนงดงามเรื่อเรื้อง .. ที่เบื้องหน้า
หยัดหยั่งบางคุณค่า .. เบื้องหน้านั่น
แล้วยอบทบาทสู่ .. ให้รู้กัน
ลบเงียบงันวันวานให้ผ่านพ้น

๓๐๒. หลัง-ม่านหมอกบังพราง .. พ้นสางตรู่
ความนัยชู้ทั้งปวง .. ก็-ร่วงหล่น
หลัง-วันเลื่อนลอยดวง, ในทรวงคน-
ความนัยอบอุ่นล้น .. ก็หล่นรอ

๓๐๓. พร้อม-สายลมอุ่นอ้อนแสนอ่อนโยน,
ดอกมาลย์โอนหอมยิ่งทุกกิ่งช่อ
รูปธรรม..ใจแนบลงแอบ-ออ
ก็อยู่ล้ออาลัย..คอยไขว่คว้า

๓๐๔. เตรียบความหมายนัยคำ .. หวังทำให้-
บางอกใจวนวิ่งเสียยิ่งกว่า-
เมื่ออกอุ่นอ้อมแขนห้อมแหนมา
เนตรพรายพร่าสั่นไหว .. ด้วยนัยนั้น

๓๐๕. รื่นรมย์อยู่ดีไหม .. หัวใจเจ้า
กับยั่วเย้าอารมณ์ให้ซมสั่น
รื่นรมย์ทั้งหัวใจ-ของใครกัน ?
กับรำพันเร้ารัว .. หยอกยั่วใจ

๓๐๖. เถิด-ให้เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว
เก็บทุกแววหวานซ่อน .. อย่าอ่อนไหว
อย่าพลั้งเผยแววตา .. ความอาลัย-
เผลอออกให้เขาเห็น .. ความ เป็น มี

๓๐๗. ให้รับรู้ความนัย .. แต่ในฝัน
ด้วยว่านั่น-คือหลักแห่งศักดิ์ศรี-
ของอาวรณ์เชิงชู้ .. กุล-ผู้ดี
จากใจที่แฝงเร้น .. ขีดเส้นทาง

๓๐๘. โอ – ลวดลายชาติภพ .. บนคบสูง
จะเหมือนยูงอกแอ่นรำแพนหาง-
อยู่กับฝูง .. งดงามอยู่ท่ามกลาง-
การลอบเร้นอำพราง .. ได้อย่างไร ?

๓๐๙. ยิ้มรับใจวุ่นวาย .. ที่คล้ายว่า-
เผลอเผยอาวรณ์นั้น .. ด้วยหวั่นไหว
รอการแกว่งสั่นรัว .. บางหัวใจ-
จะแว่วให้รับรู้ .. ให้ดูแล

๓๑๐. แว่ว .. มาเถิดอกใจผู้ใฝ่ฝัน
หากมุ่งมั่นร่วมเคียง .. อย่าเพียงแค่-
เก็บซ่อนไว้ปิดกั้น .. ให้ผันแปร-
แล้วเฝ้าแต่ซ่อนเร้น .. ความเป็นไป

๓๑๑. เพียงเพื่อความเงียบงันแห่งวันวาน
จัก-เคลื่อนผ่านหวานหอม .. รายล้อมให้-
การเผยรูป, สั่นรัวแห่งหัวใจ-
ค่อยสั่นไหวเผยรอบ .. ให้ปลอบโยน !

๓๑๒. กลางสายลมโผแผ่ว .. เหมือน-แว่วดัง-
เสียงกดข่ม, เหนี่ยวรั้ง .. ค่อยพัง-โค่น
แรงอาวรณ์, แหนหวง .. ใคร-ช่วงโชน-
เหมือน-ถ่ายโอนออกมอบ .. ให้ครอบครอง !
.
.
.. พศ.๒๔๒๘ ..
.
.
๓๑๓. บริบทงดงามแห่งยามเช้า
หมอกทึมเทารอบเรือนค่อยเลือนล่อง
แสงตรู่สางโอบเอื้อรูปเนื้อทอง-
ที่เผยรูปผุดผ่อง ในห้องเดิม





๓๑๔. ห่างหายไปนับเดือน .. จากเรือนพ่อ
โดยช่วงต่อสองกาล .. เคลื่อนผ่านเสริม
อีกคลื่นความถี่แสง .. ซ้อนแสงเดิม-
เข้าแต่งเติมโลกธรรมอยู่ตำตา

๓๑๕. แจ้งสิ้นถึง .. เงียบงามแห่งยามเพรง
กับรุดเร่งทุกเรื่องที่เบื้องหน้า
ความสับสนรอบด้านที่ผ่านมา
อีกแววความปรารถนาในตานั้น !

๓๑๖. ยิ้มรับความหวานหอมในอ้อมกอด
ความ, คำ-ออดอ้อนใส่จนใจสั่น
ยิ้มรับความอ่อนหวานที่ปานทัณฑ์-
ล้อมรัดขวัญฝากรักเข้าปักทรวง

๓๑๗. ขณะความมืดดำ .. ยังร่ำไร
ความรักแรงอาลัย .. อันใหญ่หลวง-
ค่อยแทรกลงหลอมหลั่งใจทั้งดวง
ให้แต่ห่วงละห้อยเห็น อยู่เช่นนั้น

๓๑๘. น้ำตาผู้บำราศ .. ค่อยหยาดรื้น
พร้อมความอื้นโอดห่ม .. ให้ซมสั่น
อาวรณ์ความอ่อนหวานแห่งวานวัน
ที่จักล่ามรัดขวัญตราบวันวาย

๓๑๙. ลำแสงสุกสว่างที่กลางห้อง
เคยครอบร่างเปิดช่องพาล่องหาย
และเส้นทางเดียวกันพาผันกาย-
คืนกลับให้เดียวดาย .. อยู่รายล้อม !

๓๒๐. ลับสิ้นแล้วรูปชายผู้สายสวาดิ
จักแคล้วคลาดสร้อยศัพท์ เคยขับกล่อม
ต่อแต่นี้แรงถวิล .. จักยินยอม-
แซ่เสียงห้อมห่มชู้ .. แทนผู้ตระกอง

๓๒๑. ก่อนแว่วเสียงอื้ออึง .. มาถึงที่
พ่อ, แม่, พี่ ตาพรับ .. คอยจับจ้อง
แววตาแสนตื่นเต้น เขม้นมอง-
รูปเนื้อทอง .. ที่ถลันเข้าอัญชลี !

๓๒๒. เข้ากอดแม่ร่ำไห้ด้วยใจรัก
คิดถึงนัก .. เมื่อพรากไปจากที่
หากหัวใจถวิลชู้ กลับรู้ดี-
ว่ายามนี้เศร้าอยู่ .. ด้วยผู้ใด

๓๒๓. แล้วเรื่องราวทั้งปวงก็ล่วงสู่-
ให้พ่อแม่ทั้งคู่ .. รับรู้ได้-
ว่า .. ที่กายลับเลือนจากเรือนไป
ผ่านลำแสงสุกใส .. จากไกลลิบ

๓๒๔. ผู้สูงวัยรับฟัง .. เรื่องทั้งหลาย
ลมผ่านสายเย็นเยียบ .. คนเงียบกริบ
บางครั้งคราวเหม่อลอย .. ด้วยถ้อยกระซิบ-
พร้อมตาปริบปรอยอยู่ .. ไม่รู้ตัว

๓๒๕. ภาพในห้วงสัญญา .. ยังบ่าออก
ล้วนภาพผู้กระซิบบอก .. คำหยอกยั่ว
ใจผู้หลงยุคนั้น .. ใช่หวั่นกลัว
หากสั่นรัวด้วยสวาดิที่พาดพัน

๓๒๖. เสียงไก่ขันเจื้อยแจ้วยังแว่วอยู่
เมื่อบ่าวทาสรวมหมู่ .. พร้อมอยู่นั่น
เดินกลัวกลัวกล้ากล้า .. เข้ามากัน
ข้าวในขันคอยท่า .. รู้ปรารมภ์

๓๒๗. แถบแพรขาวบางนุ่ม .. ห่มคลุมไหล่
เสียบแซมกลีบช่อไม้ที่ปลายผม
สังวาลย์เพชรวางสาย .. ให้หมายชม-
หรือ-เพื่อข่มขับมืด .. ให้จืดจาง ?

๓๒๘. ข้าวหอมกรุ่น, เช้าใหม่, รูปวัยเยาว์
สงฆ์ฝ่าสายลมเช้า .. ค่อยก้าวย่าง
ละม่อมรูป, อิริยาและท่าทาง-
หยิบ, ประจง-จับวาง หยัดร่างรอ

๓๒๙. ภัตตาหาร, ปรารถนา..ร่วมภาวะ
ในวาระมอบสู่ท่านผู้ขอ
ห้วงจิตใจดื่มด่ำ..นั้นร่ำรอ-
การเกิดก่อนามรูป..โลมลูบใจ

๓๓๐. งามรูปทรงเกศินี..ในที่นั้น
ช่อมาลย์พันผูกแซม..พักตร์แจ่มใส
ผืนแพรบางหอมอวลอบนวลใย
ห่วงกำไลสวมกรเจ้าอ่อนน้อย

๓๓๑. อธิษฐานนิรมิต..ด้วยจิตรู้-
ธรรมพระผู้ล่มโลก..ปวงโศกสร้อย
มือประคองค้อมคอ..เพียงรอคอย-
ก่องดงามแช่มช้อย..ทุกรอยกรรม

๓๓๒. เช้านั้นเรื้องพันแสงโลมแหล่งหล้า
พร้อมปัญญาอำไพเรื้องให้สัม-
ผัสกล่อมเกลาทุกข์โศกปวงโลกธรรม
อันคอยย้ำยุดอยู่..ไม่รู้ลา

๓๓๓. กรประคองน้อมกายถวายภัตต์
ก็โดยศรัทธ์ท่วมใจผู้ใฝ่หา
หมายอำรุงบาทพิถีผู้ลีลา-
ธรรมจักรยาตรา..สู่หล้าไกล

๓๓๔. น้อมใจลงจดจำพระธรรมพจน์
บริบทคอยสดับ..ก็ขับไข
เข้าล่มลาญหม่นมัวในหัวใจ
เผยร่องรอยสดใสผ่านนัยน์ตา

๓๓๕. ครั้งนั้นรูปละม่อม..เจ้าน้อมเศียร
รับพากย์เธียรกล่อมสู่..เพื่อรู้ว่า-
สุดเส้นทางตามตัด..คืออัตตา-
ต้องถูกพล่าผลาญหมด..ทุกบทตอน







๓๓๖. ประนมกร, คอค้อมลงน้อมนบ
ปรุงชาติภพจดจำในคำสอน
ชั่วนิ่งนึก .. ใจล่วงสู่ช่วงตอน-
ความเว้าวอนอ่อนหวานที่ผ่านมา

๓๓๗. ลมรุ่งเช้าเฉื่อยโชย .. ค่อยโรยผ่าน
เมื่อใจคราญแต่คอยละห้อยหา
ตราบสบเลศวามช่วง .. อีกดวงตา
หวามก็บ่าแรงล่วงถึงดวงใจ

๓๓๘. เบื้องหน้าคือ-รูปกาย .. ของชายซึ่ง-
แววตาซึ้งสบแล้ว .. ฤๅ-แล้วได้ ?
ฤๅมีกรรม .. ร่วมสร้างแต่ปางใด
สบแล้วให้แต่คะนึงคิดถึงกัน ?

๓๓๙. จะชาตินี้ชาติหน้าหรือชาติไหน
พบปะหน้าเมื่อใด .. ต้องไหวหวั่น
ตาสบรูป .. ภพชาติต้องพาดพัน
ชั่วสบพลัน-แรงชู้ .. ก็ จู่โจม !

๓๔๐. หลัง-รูปชายยามเพรง .. ถูกเพ่งพิศ
นฤมิตยามรุ่ง .. ก็ปรุงโฉม-
ดลอาวรณ์ในรูป .. ล้อม-ลูบโลม-
พาแรงโสมนัสช่วงกลางห้วงใจ

๓๔๑. ที่ตลาดน้ำ .. โลกใหม่ กับใครนั้น
กลางช่วงวันแดดจ้า .. ท้องฟ้าใส
รูปหน้าชายเคยพิศ .. ยังติดใน-
ความทรงจำ .. เหมือนใคร .. เช้าใหม่นี้ !

๓๔๒. ดูเอาเถิด .. แววตาเบื้องหน้าตน
แม้น-ในท้องทางถนน .. ยังล้นปรี่-
ด้วยอาวรณ์อาลัยเยื่อใยมี
เหมือนผู้ที่เคยกอด .. อ้อนออด-คำ !

๓๔๓. ดูแววตาพิสวงที่ตรงหน้า
เพ่งมองมาเสียจน .. อีกคนขำ
ดูท่าทีขัดเขิน .. แสร้งเมิน – ทำ
ความรื่นรมย์ก็ร่ายรำอยู่ตำตา

๓๔๔. งามรูปทรงเกศินี .. ในที่นั้น
เช่นรูปฝันเผยรอย .. อยู่คอยท่า
แพรบางนุ่มคลุมไหล่ .. แววในตา
เหมือนทอดรอขวางหน้า .. เพื่อท้าทาย !

๓๔๕. แรกละอองพันแสง .. แต้ม .. แต่งโลก-
ย่อมล่มโศกอาดูรจนสูญสลาย
แรกสบพิศเพ่งมา .. แววตาชาย-
รู้-จับความเฉิดฉาย .. แนบสายตา

๓๔๖. จึงเช้านั้น .. สายตา, รูปหน้าสะคราญ
สบ .. ประสาน .. ละเมียดละมุนด้วยคุณค่า
เผยท่วงทีขัดเขิน .. เมียงเมินมา
เหมือนเพรียกอารมณ์ชาย .. อย่าคลายคะนึง !

๓๔๗. เจ้าของรูปเลือนลับ .. คล้ายกับว่า
ชี้ .. บัญชาให้คอยละห้อยถึง
ตาสบรูปวูบเดียวก็เหนี่ยวดึง-
อารมณ์ซึ้งหวานหอม ขึ้นล้อมรอ

๓๔๘. สิ้นช่วงการมองเมิน .. ก่อน-เขิน .. หลบ-
บันดาลภพชาติเกิด .. บรรเจิดต่อ
ชั่วเพียงหวานรุมเร้า คอยเคล้าคลอ
รูปลออก็สั่นรัวทั้งหัวใจ

๓๔๙. ขึ้นเรือน .. ทั้งแม่พ่อนั่งรออยู่
ก่อนเรื่องราวผ่านสู่ .. ว่า-ผู้ใหญ่-
ของชายหนึ่งสู่ขอ .. ด้วยพอใจ-
อิริยาละมุนละไมแห่งวัยเยาว์

๓๕๐. บัดนั้น - ใจวูบวาบ .. ถึงภาพผู้-
แอบมองอยู่จนเห็น – หรือ .. เป็นเขา ?
แววอ่อนโยนอ่อนหวาน .. แต่ผ่านเงา-
ก็คอยเร้ารุมอยู่ .. ไม่รู้เลือน

๓๕๑. แล้วเรื่องราวชายผู้ .. มาสู่ขอ
ก็มากพอรับรู้ .. ทั้งดูเหมือน-
ว่าหัวใจแม่พ่อ .. เฝ้ารอเยือน-
ด้วยยิ้มเปื้อนปนแล้ว .. ทั่วแววตา

๓๕๒. ทางหนึ่ง .. ให้พ่อแม่มาสู่ขอ
ทางหนึ่ง .. ยืนเฝ้ารอเห็นต่อหน้า
นิ่งนึกจนรู้ทัน .. ก็หันมา-
รับรู้คำบิดา .. รับปรารมภ์ !

๓๕๓. รูปสองชายต่างยาม .. ค่อยลามล้อม-
เหลือภาพเดียวแนบน้อม .. เข้าห้อมห่ม-
รอบสัญญาในจิตให้ติดจม-
อยู่ในห้วงอารมณ์ .. ด้วยรมยา

๓๕๔. ทั้งแววตาท่าที .. ราศีผู้-
เคยเคียงอยู่คู่ใจ .. กับใบหน้า-
ของรูปผู้ยืนรอ .. จ้องต่อตา-
นั้นเหมือนว่าร่างเดียว .. คนเดียวกัน
.
.
.. วังหน้าองค์สุดท้าย ..
.
.
๓๕๕. เหตุจาก .. ปฏิรูปการปกครอง
จึงจำต้องรวบรัด .. การจัดสรร-
เก็บภาษีที่เดียว .. จนเกี่ยวพัน-
ถึงตัดบั่น .. แหล่งทุนเหล่าขุนนาง




กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญพระโอรสในพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ที่สมเด็จเจ้าพระยา
มหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) สนับสนุนให้ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า
ท่านเป็นพระบิดาของพระราชวรวงค์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (นมส.)



๓๕๖. กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
ยากทนทานองค์ราช .. จึงบาดหมาง
รายได้หนึ่งในสามต้องจำวาง-
ให้ส่วนกลางเก็บเอา .. ส่งเข้าคลัง

๓๕๗. ปฏิกิริยาโต้ตอบ .. ย่อมตอบกลับ
ไม่ยินดีน้อมรับ .. ในรับสั่ง
ความขุ่นเคืองขุ่นข้อง .. แห่งสองวัง-
ก็เหมือนคั่งค้างใน-หัวใจคน

๓๕๘. เมื่อประโยชน์, อำนาจ ต้องขาดสิทธิ์
ความสัมพันธ์ญาติมิตร จำปลิด .. ป่น
ความกินแหนงแคลงใจ .. ยิ่งใหญ่จน-
แม้เลือดข้นร่วมสาย .. ยังคลายจาง !

๓๕๙. เมื่อสายเลือดร่วมเชื้อ .. แห่งเครือญาติ
ถูกตัดขาดแบ่งแยกจนแตกข้าง
บรรจบช่วงภัยอรินทร์ .. ล้อมถิ่นทาง
ชาติเหมือนวางลงเพิ่มเป็นเดิมพัน

๓๖๐. จวบถึงกาลวังหน้า .. ชีวาสิ้น
ความเดือดดิ้นในจิตก็บิดผัน
ความขัดแย้ง .. ทั้งปวงในช่วงวัน-
เหมือนถูกทอนถูกบั่น .. ในทันที

๓๖๑. สุดเส้นทางระแวดระวัง .. ถึงวังหน้า
ให้ช่วงกาลเวลา .. ทำหน้าที่-
พาขุ่นข้องลับเลยจากเคยมี-
จนหลีกลี้เลือนพรากสิ้นจากใจ

๓๖๒. ครั้งนั้น .. รูปผ่องแผ้วเจ้าแว่วอยู่-
หลังเรื่องราวผ่านหูจนรู้ได้-
ว่าอำนาจหมุนเวียนย่อม .. เวียนไป-
หลอกล่อให้ใจคน .. ดิ้นรนคว้า !

๓๖๓. ครั้งนั้น .. ภัยภายนอกยังกลอกกลิ้ง
หากภายในกลอกกลิ้งเสียยิ่งกว่า
เมื่อผู้คน .. ด้อยชั้นทางปัญญา
การศึกษา .. จึงต้องปรับเข้ารับรอง

๓๖๔. ด้วยสายตาผู้เคยผ่านโลกใหม่
ทั้งหัวใจ .. พร้อมสรรพการจับจ้อง
โลกท่ามกลางคาบยามที่ตามมอง
นั้น-ยังต้องพัฒนา .. อีกช้านาน

๓๖๕. เห็นถึงความเปลี่ยวเปล่า .. ยุคเก่าก่อน
ที่สายลมเหนื่อยอ่อน .. พัดย้อน .. ผ่าน
เห็นถึงการถนอมขวัญแห่งวันวาน
ที่ยังหวานซึ้งอยู่ .. ไม่รู้เลือน

๓๖๖. ลับรอยรูปแห่งธรรม .. ในยามเช้า
อีกรูปเงาก็กำจายลงป่ายเปื้อน-
บนหัวใจ .. ทวงสิทธิ์คอยติดเตือน-
เพื่อทุกการขยับเขยื้อน .. ยากเคลื่อนพ้น !

๓๖๗. เห็นถึงกาลเบื้องหน้า .. ก่อนหน้าเขา
ว่าเมืองเราเมืองนี้แทบปี้ป่น
ด้วยอำนาจการเมือง .. เขาเปลื้องปรน-
เปรอบำรุงกลุ่มคน .. พวกตนเอง

๓๖๘. จึงยังด้อยพัฒนา .. ยังล้าหลัง
เมื่อคนยังตาปิด .. ไม่พิศเพ่ง-
จนเห็นเลศกลทราม .. มัวคร้ามเกรง-
การข่มเหง .. สิทธิ์ เสรีของชีวิต

๓๖๙. เห็นถึงระบอบอุปถัมภ์ .. ยังค้ำเมือง
อำนาจเงินยักเยื้อง .. ปลดเปลื้องผิด
เห็นโง่เขลาถูกชู .. ไม่รู้คิด
ทั้งเห็นทิศเบื้องหน้า .. แสนพร่ามัว

๓๗๐. เมื่อเส้นขีด .. ถูกย่ำก้าวล้ำล่วง
ก็เหมือนช่วงฝนทาจนฟ้าหลัว
อกย่อมเหมือนเส้นไฟ.. วาบไหว .. รัว-
เริ่มลั่นเสียงเย้ยยั่ว .. สิ้น-กลัวเกรง

๓๗๑. เห็นถึงกาลข้างหน้า .. เบื้องหน้านั้น
เสียงหวาดหวั่นเคยฉุด .. ขวาง-รุดเร่ง
จักเปลี่ยนช่วงเยี่ยงฝน .. ที่อลเวง-
ร่วงฝ่าเพลงสายลมที่พรมพะนอ !

๓๗๒. ถ้วนสิ้นความอยู่ดีของชีวิต
คือมาตรวัดถูกผิด .. ให้คิดต่อ-
ว่า – ระบบหรือระบอบที่ชอบพอ-
ใด-อาจก่อประโยชน์ผล .. ต่อคนไทย ?

๓๗๓. เห็นโลกที่ตรงหน้า .. ยังช้าเฉื่อย
ดังสายน้ำอ่อยเอื่อย ค่อยเรื่อยไหล
ขณะแววตาวาว .. คิดยาวไกล-
ถึงบ้านเมืองทันสมัย .. แต่ไม่พัฒนา !

๓๗๔. พัฒนาการก้าวล้ำ .. จักสัมฤทธิ์
จำต้องคิดต่อเนื่องไปเบื้องหน้า
มุ่งไปสู่จุดหมาย .. ด้วยสายตา-
ของผู้กอปรปัญญา .. นำหน้าชน

๓๗๕. เห็นประเทศเพื่อนบ้าน .. ล้ำผ่านไป
จากสายตายาวไกล .. จึงได้ผล
สุจริต .. โปร่งใส .. ที่ใจคน
คือเบื้องต้นจุดเริ่ม .. ช่วยเสริมการณ์

๓๗๖. เมื่อล้วนแต่หัวเก่า .. นั่งเฝ้าเมือง
ย่อมเปล่าเปลืองทุกช่วงที่ล่วงผ่าน
อุปถัมภ์ .. คือปลักความดักดาน-
ค้ำจุนบัวใต้ธาร ครองบ้านเมือง !

๓๗๗. เมื่อเส้นขีดกีดกัน .. ถูกบั่นขาด-
โดยอำนาจเร้นแฝง .. คอยแต่งเรื่อง
ในเส้นทางปกครอง .. จึ่งนองเนือง-
ด้วยเลือดเนื้อเชื่อเชื่อง .. ต่อเนื่องมา
.
.
.. ราชวงศ์สุดท้ายของรัสเซีย ..
.
.
๓๗๘. แล้ว .. เรื่องในโลกใหม่ก็ไหววาบ
ผุดเผยภาพต่อเนื่องอยู่เบื้องหน้า
เมื่อรัสเซียเปลี่ยนผ่าน .. ครั้งนานมา
มี-เข่นฆ่าล่มล้าง .. ชีพวางวาย




พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2, จักรพรรดินีอะเลคซานดรา, แกรนด์ดัชเชสโอลกา
แกรนด์ดัชเชสตะยานา, แกรนด์ดัชเชสมาเรีย, ->แกรนด์ดัชเชสอะนัสตาเซีย<-,
ซาเรวิชอะเลคเซย์ ... ทั้งครอบครัวถูกสังหารอย่างทารุณในช่วง -> การปฏิวัติรัสเซีย <-




๓๗๙. ในเรื่องราวบันทึกเมื่อนึกย้อน
คือช่วงตอน .. สังคมเก่า-ล่มสลาย
ศักดินาถอดทิ้ง .. ชีพหญิงชาย-
ถูกเข่นฆ่าล้มตาย ที่ปลายวัน

๓๘๐. ครั้งเป็นหน่อราชนั้น .. เคยผ่านข้าม-
มาเยี่ยมเยือนเมืองสยาม, ในยามนั่น-
ไทย-รัสเซียก้าวล้ำ .. ผูกสัมพันธ์
ผ่านสององค์ราชันย์ .. แต่นั้นมา

๓๘๑. ด้วยไม่อาจปรับตนให้พ้นผ่าน
เมื่อช่วงกาล .. สืบเนื่องไปเบื้องหน้า
กรอบความคิดยุดยื้อ .. เยี่ยงขื่อคา
กระชากขา .. ครอบคิดให้ติดกรง

๓๘๒. ความเสื่อมแห่งอำนาจจึงพาดผ่าน
เมื่อสังขารในจิตแผ่พิษสง
มองว่าตนเยี่ยงหลักที่จักคง-
อยู่ดำรงคู่โลกยากโยกคลอน

๓๘๓. ไม่รับรู้รับฟังใครทั้งสิ้น
ว่าแผ่นดินทุกข์เข็ญเกินเร้นซ่อน
ผู้ลำบากตรากตรำ .. เคยพร่ำวอน-
บัดนี้ – ค้อน, เคียว พร้อม – มาล้อมวัง !

๓๘๔. ที่สุด .. ความขื่นขมระงมศัพท์
ก็โหมแรงลงทับเพื่อดับหวัง
ที่สุดแห่งอารมณ์ระทม .. ดัง
ใดเล่าอาจหยุดยั้ง .. การพังทลาย !

๓๘๕. แล้วอารมณ์แรงโกรธก็โลดเหลิง-
เป็นเปลวเพลิงลามล่วงขึ้นช่วงฉาย
แผดเผา .. พฤติ, วาทกรรมแห่งน้ำลาย,
ความบิดเบือนทั้งหลาย .. ที่ปลายวัน

๓๘๖. พ่อแม่ลูก .. วงศ์กษัตริย์ .. เพียงหยัดร่าง
เสียงปืนกลางห้องสลัว .. ก็รัวลั่น
พร้อมเลือดสาด .. ร่างทรุด .. ลมหยุด .. พลัน-
ที่ศักดินา .. ชนชั้น .. ล่ม – อันตรธาน !

๓๘๗. แล้ว .. สุดท้ายศักดิ์ศรีแห่งชีวิต-
ก็ถูกปลิดร่วงลงสู่สงสาร
อาจเหลือเพียง .. ความ, คำ .. เป็นตำนาน
ให้กล่าวขานถึงบ้างในบางครั้ง

๓๘๘. หากยอมรับปรับปรุง .. ก่อนยุ่งเหยิง
คาวเลือดเจิ่งเนืองนอง .. ฤๅต้องหลั่ง ?
เมื่ออัตตาปรุงตอบ .. ความชอบชัง-
จึงย่อมฝังลงจิต .. จนติดตาย

๓๘๙. ด้วยอำนาจจากไหน .. จึงได้สิทธิ์-
ให้ชีวิตอื่นพยุง .. ความมุ่งหมาย ?
กระนั้นสิทธิ์เดียวกันในบั้นปลาย-
ไย .. ถูกเหนี่ยวทำลายจนวายวาง ?

๓๙๐. ครั้งนั้นรูปโสภิตเจ้าคิดนึก
ว่า-ตื้นลึกเรื่องราวที่กล่าวอ้าง
มักเผยความจริงแท้ลงแผ่กาง
เมื่ออำนาจขัดขวาง .. ถูกล้าง .. ลบ

๓๙๑. เมื่ออำนาจคลุมแดน .. อย่างแน่นหนา
แรงศรัทธาเชิดชู .. สุดรู้กลบ
เสียงยกยอชื่นชมคอยสมทบ
ย่อมตระหลบล้อมถิ่นทั้งดินแดน

๓๙๒. กระทั่งเสียงทุกข์ทนของคนยาก
เริ่มผ่านปากเงียบเฉย .. ที่เงยแหงน-
ร่วมกับปวงภพชาติผู้ขาดแคลน-
จากหมื่นแสนเป็นล้าน .. เหยียบผ่านเมือง

๓๙๓. เสียงไพเราะดึงดีด .. สังคีตขับ
ก็ล่มลับบริบท .. ถูกปลดเปลื้อง-
ด้วยเสียงปืนแผดหนุน .. ความขุ่นเคือง-
ของเชื่อเชื่อง .. ทั้งปวงกลางช่วงยาม

๓๙๔. ทั้งน้ำตา .. หยาดเลือด .. ยากเหือดสาย
เมื่อความตายเร่งรุด .. เกินหยุด-ห้าม
กายยากแค้น, จิตทุกข์ .. ย่อมลุกลาม-
เป็นไฟความโกรธแค้น .. ลวก - แผ่นดิน !

๓๙๕. เสียงไพเราะดึงดีด .. สังคีตกล่อม-
ก็ล่มพร้อมทุรยศจนหมดสิ้น
ลับล่มถ้วนราศี .. แห่งชีวิน-
ด้วยเลือดรินหลั่งหยด .. จน – หมดตัว !
.
.

.. งานมงคล ..

.
.
๓๙๖. มโหรีปี่กลอง ร่วมฆ้องประโคม
กระหึ่มโหมเสียงฝ่าพืดฟ้าหลัว
ขณะใจรูปคราญ .. ซึ้งซ่านระรัว-
กับแววหวานหยอกยั่ว .. อยู่ทั่วตา





๓๙๗. ผ้านุ่งแดงเข้มอ่อน .. ห่มอ่อนน้อย
ผมยาวย้อยเคลียไหล่ล้อใบหน้า
เข็มขัด, กำไลทองผุดผ่องตา
ต่างหูเพชรสูงค่า .. น้ำพร่าพราย

๓๙๘. นวลวรรณาเกลี้ยงเกลา บนเยาวรูป
ดวงตาวูบวับวามด้วยความหมาย
ภาพในห้วงคำนึง .. เพียงหนึ่งชาย
กับแววสายตาเห็น .. แสนเอ็นดู

๓๙๙. ถึงฤกษ์ผานาที .. เหมาะดีพร้อม
มงคลสวมคล้องค้อมกระหม่อมคู่
มือประคองน้ำสังข์รดพรั่งพรู
พร้อมรูปตรูเจ้าคอยชม้อยชม้าย

๔๐๐. สวยปีกผีเสื้อบินกลางถิ่นทุ่ง
ขณะรุ้งทินกรเริ่มชอนฉาย
ลำลมหอบอุ่นนักมาทักทาย
แตะร่องรอยความหมายขึ้นว่ายวน

๔๐๑. แดดใสแผ่นฟ้าครามในยามนี้
เหลื่อมแสงสีอบอุ่นแทนฝุ่นฝน
เมฆขาวแทนมืดดำฟ้าคำรน
วิหคบนแทนวิชชุที่คุไฟ

๔๐๒. งามเงื่อนหางยูงฟ้าในป่าแดด
ทอดลงแวดล้อมขวัญจนสั่นไหว
สัมผัสแล้วอุ่นทั่วถึงหัวใจ
ซ่านลงใส่ล้อมสิ้นจิตวิญญาณ

๔๐๓. ระยับแดดเหลือบแล้วที่แววขน
เข้าปลาบปนเนตรแก้วจนแววหวาน-
นั้น .. เผยออกสำทับอยู่นับนาน
จนสุดต้านเงื่อนบ่วงได้ล่วงพ้น

๔๐๔. งามปีกผีเสื้อลายระบายป่า
เพรียกคันธารูปสรวงให้ร่วงหล่น
ปีกแห่งรักพลิ้วพรายลอยว่าย-วน
ดั่งจำนนต่อหมายที่ว่ายเวียน

๔๐๕. โลมแดดอุ่นทินกร .. ให้ร้อนผ่าว-
ล่มอบอ้าวสำหรับช่วยปรับเปลี่ยน
สำทับหอมหวานรส .. ลงบดเบียน-
หัวใจเพียรพร่ำชู้ .. อย่ารู้คลาย

๔๐๖. สวยปีกผีเสื้อบินล้อมถิ่นที่
ท่ามกลางเยื่อใยดีค่อยคลี่สาย
ม้วนรัดล่ามอาลัยด้วยใจชาย
ลงเงื่อนตายถวิลอยู่ แต่ผู้เดียว

๔๐๗. สุรโลก .. ชลอลงก็คงใช่
แต่เมื่อใครหนึ่งพ้องรับข้องเกี่ยว
เนตรนั้นปล่อยปรารมภ์..รอกลมเกลียว
เสมอเหนี่ยวเพรงภพ .. บรรจบวง
.
.

.. ชั่วฟ้าดินสลาย .. พศ.๒๕๓๗

.
.
๔๐๘. ไกลลิบระยิบช่วงบนสรวงนั้น
มีใฝ่ฝันทุกหลืบร่วมสืบส่ง
พร้อมแรงรักลึกล้ำเป็นจำนง-
อย่างมั่นคงตรึงมั่นในสัญญา





๔๐๙. หอมรสรื่นรวยริน..ของกลิ่นโมก
รำบายโบกแผ่วเบา..รุมเร้าหา
ลำเพาพักตร์นวลลออ..ก็คลอตา-
ด้วยสัญญากุมกัก..สุดหักล้าง

๔๑๐. ลิบลิบกระพริบช่วงแห่งปวงดาว
ก็ดูราววิบไหว..แสนไกลห่าง-
จากโลกหล้า, เปลื้องปรุงแสงรุ่งราง-
คงอยู่ค้างฟ้าทะมื่นในคืนแรม

๔๑๑. ลิบลิบดารดาษดวง..ในสรวงฟ้า
เช่น..นัยน์ตาวามแสงเมื่อแต่งแต้ม-
ด้วยรูปรอยแสนอุทธัจ..ระบัด..แกม-
บนริ้วแก้มแต้มหมาย..รำบายความ

๔๑๒. พร้อมแสงช่วงดวงดาว..เห็นวาววับ
คล้ายเห็นแววระยิบระยับนั้น-พรับข้าม-
คาบช่วงกาลผ่านนัยออกไหลลาม-
พาอบอุ่นวาบหวาม..เข้าลาม..ลน

๔๑๓. จึง-น้อมรับระยับช่วง..แห่งดวงดาว
อันวาบวาวปลาบปลั่งอีกครั้งหน
ความอ่อนหวานอ่อนไหวแห่งใจคน
ราวโซ่ตรวนพันวน..เกินด้นดึง

๔๑๔. ระทึกและสั่นไหว..อกใครหนอ-
หลังเติมต่ออาลัยส่งไปถึง
ร่วมครอบครองคุณค่าอันตราตรึง
เสพหวานซึ้งซ้ำอยู่ไม่รู้เลือน

๔๑๕. นึก-ระทึกวาบหวิวจนริ้วแก้ม-
ราวเกลี่ยแกมเลือดฝาดเข้าปาดเปื้อน-
เพื่ออยู่รอ-สายตา..ผ่านมาเยือน
รอ-ด้วยใจสั่นสะเทื้อนสะทกสะท้าน

๔๑๖. เลือดในอกผู้รอ..เมื่อหล่อเลี้ยง
อบอุ่นย่อมคล้อยเคียง..ลำเลียงผ่าน
ขัดเขินสักเพียงใด..หนอใจคราญ
จักซึ้งซ่านเพียงไหน..หนอใจคน

๔๑๗. ชั่วเคลิ้มคล้อยคิดตาม..กับความว่า-
อาจ-วุ่นว้านัยศัพท์พาสับสน-
บางความหมายหยิบยก..อาจวก-วน
เพื่อแฝงนัยให้คนวก-วนคิด

๔๑๘. ชั่วเคลิ้มคิดคล้อยตาม..ถ้อยความสื่อ
ตรองเถิดหรือ..ความปวงจากดวงจิต-
ล้วนเร่งรอบอาลัย..มาใกล้ชิด
เพื่อถือสิทธิ์ปักปลูกความผูกพัน

๔๑๙. แม้นหนทางขวางกั้น..ด้วยอรรณพ
อาจบรรจบด้วยใคร..แต่ในฝัน
ยังยอมอยู่เปล่าเปลี่ยว..ใต้เสี้ยวจันทร์
ด้วยใจหนึ่งใจนั้น..ดื้อรั้น-คอย

๔๒๐. ดึกสงัดพราวพร่าง..น้ำค้างหยด
ลมตอบบท..แขเปลื้องแสงเงื่องหงอย
เมื่อดวงจิตพลั้งเผลอ..จนเหม่อลอย-
ห่วงละห้อยถึงใคร..ผู้ไกลตา

๔๒๑. เหมือนฝัน..ฝันว่าฝน..นั้นหล่นสาย
เนื้อ..อุ่นอาย, อิงแอบ..เข้าแนบหา
นึก - แม้นโลกแหลกยับไปกับตา
ยอม - ชีวาดับวาง..กับร่างนั้น !


จบบริบูรณ์




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2555
47 comments
Last Update : 31 ตุลาคม 2564 7:06:11 น.
Counter : 5182 Pageviews.

 


สวัสดีค่ะ...

มาอ่านเจ้าค่ะ... บทนี้คุ้นๆ อ่ะค่ะ

มีความสุขมากๆมีสุขภาพแข็งแรงค่ะ

ขอบคุณค่ะ

 

โดย: witch IP: 118.172.101.97 11 พฤษภาคม 2555 9:57:19 น.  

 

แม่มดตัวน้อย ..

คุ้นสิ..ก็บทนี้เป็นบทโปรดของคนเขียน .. อิๆๆ
แต่เชื่อไหม..ภาพประกอบที่ถูกใจหาไม่ได้ !

เราไม่เคยมีสาวรูปงามมีทีท่าอย่างในรูป .. ทั้งแสง ทั้งบรรยากาศ
ที่แม้แต่กองประกวดนางสาวไทยยังทำไม่ได้ .. เฮ้อ

อีกหน่อยคงต้องวาดเอาเอง !


 

โดย: สดายุ... 11 พฤษภาคม 2555 21:11:35 น.  

 


ดายุ...

O ภาพเบื้องหน้า .. งามพิสุทธิ์-ในชุดขาว
ตาวับวาวชะเง้อคอย .. ชม้อยเหลียว
ข้าวในขันอุ้มถือ .. ด้วยมือเรียว
ความรื่นรมย์ก็กอดเกี่ยวทุกเสี้ยวใจ

รู้แล้วล่ะ เรื่องนี้พระเอกไปบวชเป็นพระ..
พอเห็น"ข้าวในขันอุ้มถือ .. ด้วยมือเรียว"
"ความรื่นรมย์ก็กอดเกี่ยวทุกเสี้ยวใจ " 555

มินตราขอถอนตัวจากการเป็นนางเอกในวรรณคดีนะ..
คร้านที่จะตื่นเช้ามาหุงข้าว..เผลอเผลอข้าวไหม้ จะเป็นบาปเป็นกรรมไปซะเปล่าเปล่า...


 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.160.224 12 พฤษภาคม 2555 23:52:57 น.  

 


สวัสดีค่ะ...

อิอิ เพิ่งไปอ่านข้อมูลน้ำมัน จากเสื้อเหลืองตัวพ่อมาค่ะ 555+ แปลกใจที่ว่าข้อมูลนั้น คนเสื้อแดงก้าวหน้าทราบกันไปก่อนแล้วว่า ใครน๊า...ตัวใหญ่มากๆ เค้ากินนิ่มมานานแล้ว ตั้งแต่แม่มดยังเป็น นางคว้า อยู่เลยค่ะ แต่เค้าจะโยนความผิดนี้ให้ คนที่ชื่อทักษิณ อีกแว๊วววเจ้าค่ะ คนตัวใหญ่กินจนท้องจะแตกแระ ใกล้เต็มที

ซาบซึ้ง จริงๆนะคะ T_T

เอาเรื่องไรมะรุมาโพสท์ ขอโทษนะคะ อ่านๆหาความรื่นรมย์ดีกว่านะคะ

ขอบคุณมากค่ะ

 

โดย: witch IP: 118.172.100.248 13 พฤษภาคม 2555 8:20:18 น.  

 



มินตรา...

แสดงว่าอยู่เยอรมันนานจนอ่านภาษาไทยไม่แตก ...55

พระเอกที่ไหนจะยอมบวช ในเมื่อรูปวัยเยาว์สุดสวยนั่งชม้อยชม้ายตาให้อยู่อย่างนั้น ... หักใจบวชได้ก็เต็มทีล่ะ...

จริงไหม ตัวน้อยๆ (ที่คอยแอบอ่านอยู่) ...อิๆๆ

แปลไปได้ไงนี่ .. เฮ้อ






แม่มดตัวน้อย...

ไม่เป็นไร ข้อมูลต่างๆเราพึงเสพให้รอบด้าน แล้วค่อยกรองเอาขยะทิ้ง..

พวกกีฬาสี ในสายตาที่เห็นนี่ หากเป็นบัวก็ยังไม่โผล่พ้นน้ำ...
ต้องคอยดูตาจ่าฝูงนี่ ไม่นิยม ขอเป็นกระทิงโทนเดินเดี่ยวดีกว่าขอรับ

ที่ตายในคุกก็ตายไป...กระผม "อำมาตย์-หมาด..ใหม่" ขอทำงานรับใช้พ่อแม่พี่น้องต่อไปจนกว่าชีวาจะหาไม่ .. ไม่งั้นกะเดี๋ยวจะ "แพงทั้งแผ่นดิน" จน.."ปทุมธานีโมเดล" ระบาดล่ะแย่เลย ..นายใหญ่เอาตายแน่ ... 555



 

โดย: สดายุ... 13 พฤษภาคม 2555 19:28:26 น.  

 


ดายุ..

"O เริ่มวัน, น้ำแล่นริ้ว, ลมพลิ้วผ่าน
รูปพักตร์คราญรออยู่แต่ตรู่สาง
เพื่อน, ผู้สูงวัย, ดอกไม้วาง-
บนถาด .. ในท่ามกลางการรอคอย

O ภาพ-เรือน้อย, วงคลื่นบนพื้นน้ำ
พายจ้วงจ้ำ, พลิ้วแล้ว .. อย่างแผ่วค่อย
แสงแรกวันเริ่มส่อง .. เรือล่องลอย
คน-เหลือบตาเฝ้าคอย .. ชม้อยชม้าย"

แสดงว่า แม่"งามพิสุทธิ์-ในชุดขาว" จะสึกพระซิคะนี่..
เพราะเมื่อ"ภาพ-เรือน้อย, วงคลื่นบนพื้นน้ำ"ผ่านมา...
เธอก็ตั้งท่า"-เหลือบตาเฝ้าคอย .. ชม้อยชม้าย" อยู่ทีเดียว
555

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.162.127 13 พฤษภาคม 2555 19:56:35 น.  

 


สดายุ...

"O ยิ้มให้ด้วยหัวใจ..ที่ใฝ่ถึง
ด้วยซาบซึ้งต่อกัน..ด้วยหวั่นไหว
ด้วยถวิล..ปรารถนา..ด้วยอาลัย
ด้วยเยื่อใย..สายสวาดิ..พันพาดทรวง"

"ด้วยซาบซึ้งต่อกัน..ด้วยหวั่นไหว...ด้วยถวิล..ปรารถนา..ด้วยอาลัย...ด้วยเยื่อใย..."
ตรงนี้ อ่านแล้ว มีความรู้สึกว่า..แม้นจะเอ่ยมาร้อย"ด้วย"พัน"ด้วย"
หมื่น"ด้วย"ก็ยังระบายความในใจออกมา หาหมดไม่...

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.151.22 15 พฤษภาคม 2555 11:31:40 น.  

 

มินตรา...

ก็หน้าตาสวยออกอย่างนั้น
ก็ด้วยวัยสาวน้อยน่ารักปานนั้น
และก็ด้วยท่าทางแบบ very thai ออกอย่านั้น
"ชาย"แท้ๆคนไหนก็ไปไม่รอดทั้งนั้นแหละ...55

หน้าผาก กับ แก้มเนียนๆ...มีหรือจะรอด
ดูรูปสุดท้ายสิ...

look นี้ฝรั่งไม่มีหรอก .. สาบานได้เลย

 

โดย: สดายุ... 15 พฤษภาคม 2555 19:19:57 น.  

 



"พระเอย..ฤๅนัยคำ..ที่บำบวง
จะเริ่มช่วงกำลังเข้าสั่งการ"........

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.151.22 15 พฤษภาคม 2555 19:34:25 น.  

 



ดายุ..

"O น้ำตาลเคี่ยวหวานหอม .. คนล้อมหมู่
อีกหวานหอมพร้อมอยู่ .. เหมือนรู้บท
กลิ่นหอมโชยจากกระทะไม่ละลด
ใจก็จดจองหอมไม่ยอมล้า !"

"น้ำตาลเคี่ยวหวานหอม" นี่ ฝรั่งเรียกว่า คาราเมล(Caramel)
ของหวานที่ มินตราโปรดนะนี่..

มิน่าล่ะ ดายุ จึงหลงใหล แม่"หอมหวานละเมียดละมุน .."
ที่"...คอยจุนเจือ
เติมแต่งเชื้ออาลัย .. พาไหววน" นัก..ยิ่งมาจากก้นกระทะนี่..
เหมือน มินตราชอบ คาราเมล นี่เอง 555

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.154.168 17 พฤษภาคม 2555 18:36:13 น.  

 

มินตรา..

น้ำตาลเคี่ยวในกระทะ ใหม่ๆจะหอมมากเป็นพิเศษ
สมัยเด็กๆจะไปยืนรอเอาไม้พายเล็กๆปาดขึ้นมากินเดี๋ยวนั้นเลย..
55

น้ำหวานที่ได้จากต้นตาล จะหอมกว่าที่ได้จากต้นมะพร้าว

ส่วนสาวน้อย .. หอมทั้งตัว ไม่มีอะไรเทียบได้
ตั้งแต่ยุคคลีโอพัสตรา มาจน ยุค มารี เบิรนเนอร์ นางเอกแววมยุรา ทีเดียว ขอรับ

ดูรูปนี้สิ มินตรา

มารี เบิรนเนอร์



 

โดย: สดายุ... 17 พฤษภาคม 2555 21:39:14 น.  

 


สวัสดีค่ะ...

อิอิ ชอบหลายคนจริ๊งงงง...

มาอ่าน และ มาดู มารี ค่ะ ชอบเธอเหมือนกัน มีเสน่ห์มากค่ะสาวน้อยคนนี้อายุ 20 เอง

ฝนตกตามความต้องการแล้วสินะคะ :'))

รักษาสุขภาพนะคะ

ขอบคุณค่ะ

 

โดย: witch IP: 118.172.106.121 18 พฤษภาคม 2555 8:48:38 น.  

 

แม่มดตัวน้อย ..

สวัสดีขอรับ .. ปกติภาพของสาวน้อยโดยวัยและโดยกิริยา
มักสร้างความเอ็นดูแก่ผู้พบเห็นอยู่แล้วโดยมาก ..

หากมีรูปงามด้วย ความรู้สึกของผู้พบเห็นจะยิ่งทวีคูณ
สถานที่ใดหากเต็มไปด้วยวัยน่ารักสวยงามเหล่านี้ รับรองว่าจะสร้างบรรยากาศครึกครื้นแก่จิตใจชายยิ่งนัก ขอรับ

ฝนตกตามความต้องการ ดีมาก..ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว..โดยเฉพาะที่รู้ว่ามีคนคิดถึงตอนฝนตก..ขอรับ...อิๆๆ





 

โดย: สดายุ... 19 พฤษภาคม 2555 5:29:39 น.  

 



ดายุคะ

นิราศร้างห่างเหเสน่หา ของ ดายุ
เก็บเล็กเก็บน้อยมาร้อยมารวม..จนเป็น..บุหงารำไป.. แล้วนะ..

มินตราชอบ..บุหงาดอกไม้สด..มากกว่า
จะได้ทราบว่า ความรู้สึกสดสดของดายุน่ะเป็นยังไง
มิใช่ที่อบร่ำไว้น่ะ..



 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.159.191 23 พฤษภาคม 2555 12:34:03 น.  

 


ดายุ..

O จะชาตินี้ชาติหน้าหรือชาติไหน
พบปะหน้าเมื่อใด .. ต้องไหวหวั่น
ตาสบรูป .. ภพชาติต้องพาดพัน
ชั่วสบพลัน-แรงชู้ .. ก็ จู่โจม !

เพียง"ตาสบรูป .. ภพชาติต้องพาดพัน
ชั่วสบพลัน"...."-แรงชู้ .. ก็ จู่โจม !"

ถึงขนาดนั้น นะ 555 หมายมั่นสูง เชียว..
สาวข้าใครอย่าแตะ..

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.149.211 25 พฤษภาคม 2555 15:31:07 น.  

 

มินตรา...

ความคิดของผมค่อนข้างต่างจากคนทั่วไปว่า ..

ที่จริงแล้ว .. ความรู้สึกผูกพัน เห็นอกเห็นใจที่ค่อยๆเกิดขึ้นของชายหญิง .. นั้น เป็นสิ่งลวงตาจากปัจจัยแวดล้อมอื่นที่ไม่ใช่ความรู้สึกเชิงชู้สาวโดยตรงตั้งแต่เริ่มแรก .. จึงอาจ "ไม่ใช่คนที่ต้องการ" ในที่สุด

เพราะที่จริงแล้วชั่วมองหน้าแวบแรกก็ย่อมรู้แล้วว่า .. "ใช่แบบนี้เลย" หรือ ไม่ .. คือ ชอบหน้าตาแบบนี้ ใช่เลย ไม่ใช่แบบอื่นไหนทั้งสิ้น 55

ดังนั้น จึงต้องพูดว่า "รูป" เป็นด่านแรก .. และหาก"นิสัย, จริต, รสนิยม, ความคิดที่มีต่อโลกแวดล้อม" ไปกันได้ จะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา catalyst

สำคัญที่สุดก็ที่ "สารตั้งต้น" 555
.
.
ส่วน .."สาวข้าใครอย่าแตะ".. นั้น ไม่ค่อยจริงเท่าไร
เพราะผู้ชายขี้หึงขี้หวง ไม่ใช่ผู้ชายในสายตาผม .. เรื่องแบบนั้นเป็นเรื่องของสตรี ..

หญิงใดมีมิจฉาทิฏฐิ ว่า ชายหึงชายหวง แปลว่ารัก คงต้องเข้าใจเสียใหม่ .. ว่านั่นเป็นจิตสตรีในร่างชาย .. ไม่คู่ควรต่อการรับรู้ของโลก และหญิงนั้นจักต้องเสี่ยงต่อการทุบตี ทำร้าย อยู่ตลอดเวลา .. ชายขี้หึงขี้หวง ผมจัดเป็นพวกมีจิตวิปริตในทางหวงของ เหมือนเด็กหวงของเล่นนะ .. 555

 

โดย: สดายุ... 25 พฤษภาคม 2555 19:35:44 น.  

 


ดายุ..

"ชั่วมองหน้าแวบแรกก็ย่อมรู้แล้วว่า .. "ใช่แบบนี้เลย".."
เจอแล้วซินี่!

"หญิงใดมีมิจฉาทิฏฐิ ว่า ชายหึงชายหวง แปลว่ารัก"
มินตราไม่คิดอย่างนี้เลย..คนจะรักกันต้องเข้าใจ ไว้วางใจกันได้
หากยังแวบไปมองโน่นนี่ เผื่อแผ่คนอื่นอีก..
เราก็เป็นเพียง"ข้อเลือก" เท่านั้นเอง..ใช่ไหมคะ

"ผมจัดเป็นพวกมีจิตวิปริตในทางหวงของ เหมือนเด็กหวงของเล่นนะ .. 555"
ไม่หรอกนะ ดายุ ..สิ่งที่คัดเลือกมาได้ดังใจ ไม่มีใครต้องการสูญเสียไปหรอก..อยากจะแนบไว้กับอกเสมอ..
เว้นแต่บุญเราไม่ถึงเท่านั้น...ก็ต้องเก็บไว้ในอก..555

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.153.83 26 พฤษภาคม 2555 4:01:58 น.  

 

มินตรา...

เข้าใจจับข้อความไม่เต็มประโยคมาเล่นนะ...555

"ชายขี้หึงขี้หวง(นั้น) ผมจัดเป็นพวกมีจิตวิปริตในทางหวงของ เหมือนเด็กหวงของเล่นนะ .. 555"

-> ผมหมายถึงชายหึงหวงพวกนั้น ..ผมมีความเห็นว่าเป็นพวก....

หาได้หมายถึงตัวเองไม่ ..

อย่าบอกว่าอยู่เมืองฝรั่งนานๆจนแยกข้อความระหว่างประโยคไม่ออกนะ .. เฮ้อ

 

โดย: สดายุ... 26 พฤษภาคม 2555 16:48:51 น.  

 



O เจ้าของรูปเลือนลับ .. คล้ายกับว่า
ชี้ .. บัญชาให้คอยละห้อยถึง
ตาสบรูปวูบเดียวก็เหนี่ยวดึง-
อารมณ์ซึ้งหวานหอม ขึ้นล้อมรอ

มาหยอดเสน่ห์ไว้ทีละบท สองบท นะ!

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.164.115 27 พฤษภาคม 2555 14:16:08 น.  

 

สวัสดีค่ะพี่สดายุ ^^

อ่านไปยิ้มไปค่ะ

 

โดย: medkhanun 28 พฤษภาคม 2555 21:19:39 น.  

 


สวัสดีค่ะ...


O เบื้องหน้าคือ-รูปกาย .. ของชายซึ่ง-
แววตาซึ้งสบแล้ว .. ฤๅ-แล้วได้ ?
ฤๅมีกรรม .. ร่วมสร้างแต่ปางใด
สบแล้วให้แต่คะนึงคิดถึงกัน ?

O จะชาตินี้ชาติหน้าหรือชาติไหน
พบปะหน้าเมื่อใด .. ต้องไหวหวั่น
ตาสบรูป .. ภพชาติต้องพาดพัน
ชั่วสบพลัน-แรงชู้ .. ก็ จู่โจม !

อิอิ...กำ...อ่านไปๆอินอ่ะค่ะ นึกว่าเป็นนางเอก ^______^ ฮ่าๆ

มีความสุขมากๆนะคะ ฝนตกทุกวัน รักษาสุขภาพนะคะ

ขอบคุณค่ะ

 

โดย: witch IP: 118.172.104.91 29 พฤษภาคม 2555 14:02:08 น.  

 


สดายุ..

"กรมพระราชบวรวิไชยชาญพระโอรสในพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ที่สมเด็จเจ้าพระยา
มหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) สนับสนุนให้ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า
ท่านเป็นพระบิดาของพระราชวรวงค์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (นมส.)"


กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงเป็น"บุตรบุญธรรม" ของ สมเด็จเจ้าพระยา ด้วยค่ะ
ทรงพระนามว่า "จอร์จ วอชิงตัน"
ทรงพระนามไทยว่า"พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ"ก่อนจะ"ทรงกรม"

มี..ใคร..มา"ฮุบ"สมบัติ ท่านจึงเป็นวังหน้าองค์สุดท้าย
("ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน"เสื้อแดง เลยมาชุมนุมในเขตว้งหน้าเพื่อทวงคืนแผ่นดิน ดังคำสาปที่"เจ้าของเดิม"ผู้สร้าง..แช่งไว้)555


 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.165.147 29 พฤษภาคม 2555 18:50:43 น.  

 

เม็ดขนุน..
ยิ้มให้ใครน่ะ .. ตกลงเจอหนุ่มมาขอรึยัง ?
อิๆๆ






แม่มดตัวน้อย...
คนที่อายุไม่เกิน 25 นึกว่าตัวเองเป็นนางเอก ย่อมได้แน่นอน..
แต่หากอายุเกิน ตัว sensor จะเตือนวาบๆทันที ว่า ห้ามนึกเยี่ยงนั้น .. 55

ฝนตก ไม่เป็นเวลา สมกับที่เขาว่า "ลำปางอากาศแปรปรวนมาก"
ดูแลตัวเองดีๆล่ะ อย่าเที่ยวขี่ไม้กวาดตากฝน .. กะเดี๋ยวจะเป็นหวัด (ไม่บรรจง) อิๆๆ





มินตรา...

มาอีกล่ะ พวกเสื้อแดง...ท่าทางจะหลงยุคนะนี่

เดี๋ยวนี้เขาโฟนอินมาให้ลืมๆ เกี๊ยะเซี๊ยะ กันไปซะ เพราะตัวข้าได้อำนาจรัฐคืนมาแล้ว ... ที่ตายๆไปนั่นน่ะถือว่าขอกันกินแล้วกัน (เสือกโง่เอง .. ที่ไม่ยอมดูประวัติการต่อสู้ของคน..55)

เขากำลังจะเปลี่ยนสีเสื้อกันแล้ว ยังไม่รู้อีก เฮ้อ...

.. คนที่เลือกเรียนมาทางจะติดยศศักดิ์บนบ่า
.. คนที่วิ่งเต้นยัดเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งสัมปทานรัฐอันเป็นประโยชน์ส่วนตน
.. คนที่ไม่เคยมีประวัติร่วมต่อสู้ไม่ว่า ตุลาวิปโยค หรือ พฤกษภาทมิฬ

กลับมาเชิดชูให้เดินนำหน้าการปฏิวัติเพื่อมวลชน .. เพื่อสังคม

สงสัยจริงว่ากินข้าว หรือ เกี่ยวหญ้ากินแทนข้าวกันแน่ !

555

 

โดย: สดายุ... 29 พฤษภาคม 2555 20:13:17 น.  

 



ดายุ..

แน่ะ มาว่าเค้า"หลงยุค" ตัวเองนั่นแหละ เชยมาก..

ยุโรปน่ะเค้าแดงสยาม..แดงจักรภพ..จ้า.เปลี่ยนจ้าเปลี่ยน
ไม่เปลี่ยนแบบ"แปลก"(พิบูลย์สงคราม) ด้วย..
เปลี่ยนแบบขั้วแม่เหล็กโลกเลย Geomagnetic Reverse 555
ปี2012 นี่แหละ ที่ขั้วแม่เหล็กโลกเปลี่ยน !(รายงานข่าวจากองค์การนาซ่า)

ส่วนพวก"นำเกี่ยวหญ้าแฝก" น่ะ ชาวนา(สงสัยจะจบปริญญาจากมหาวิทยาลัยเกษตร)เขียนกลอนตอบกระทรวงทรัพย์ ตอนแจกหญ้าราคาสองร้อยล้านบาทว่า...

"ปลูกข้าวกูยังไม่มีจะแดก ปลูกหญ้าแฝกแล้วกูจะแดกอะไร"

นี่แฟนกลอน สดายุ รึเปล่านี่ ฝีปากใกล้เคียงกัน 555

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.165.147 30 พฤษภาคม 2555 1:42:26 น.  

 

มินตรา...

อ้อ .. งั้นแล้วไป 55
ถ้าแดง แบบ สมศักดิ์ เจียมฯ .. นี่พอฟังได้นะ

แต่หากเป็น .. แดงยิ่งลักษณ์ .. แดงเฉลิม .. แดงยงยุทธ
ต้องไปป้ายหน้า 55

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น .. หาภาพการต่อสู้แบบ แมนเดลลา หรือ ซูจี ไม่ได้สักคน .. ระยะเวลายาวนาน 20-30 ปีแบบสองคนนี่แหละถึงเป็นของแท้ .. คือ สันติและอหิงสา เทียบชั้น คานธี นั่นทีเดียว

ที่เห็นของบ้านเรา .. อาการภาพพจน์ กับ โวหารภาพพจน์ เท่านั้น .. มันเป็นเรื่องของ "สันดานแห่งชาติพันธุ์" 555

 

โดย: สดายุ... 30 พฤษภาคม 2555 6:08:57 น.  

 


ดายุคะ

"ถ้าแดง แบบ สมศักดิ์ เจียมฯ .. นี่พอฟังได้นะ"
ฟังได้ยังไงคะ.. ท่านน่ะ "นักวิชาการล้วนล้วน" อย่าได้นำมาจัดระบบลงสารบันการเมืองไทยเลยค่ะ..
ไม่ว่าจะอาจารย์สมศักดิ์(ไม่)เจียม หรืออาจารย์วรเจตน์.. พาคีย์หลง..หลงตอนที่ท่านทั้งสองพยายาม"สีซอ"ให้เป็นเพลงประชาธิปไตยไทยเจริญ..จนมาร์คผู้มีอภิสิทธิ์ ต้องส่องกระจกดูตนเองว่า เอ..เรานี่มิใช่ "มาร์ค" รึ...555
เห็นไหมเมืองไทยก็มี้ ไม่รู้จักมองเองแหละ ..ฮึ.. ฮึ

ในขณะที่นายก"คุณยิ่งลักษณ์"พยายามหาหญ้า"แพรก"ดอกมะเขือ..ไปไหว้ครูตามขนบธรรมเนียมประเพณี..
"คุณ"ท่านจะไปรู้จักหญ้า"แฝก"ได้ยังไงในเมื่อท่านยังไม่เคยลงไถนา..
"คุณ"น่ารักออก..คนรักธรรมชาติที่ชอบดูนกชมไม้..จนไปเจอ" คอ นก รีต" 555
นั่นน่ะ แยกคำภาษาไทย เก่งกว่ามินตราอีก !..
สดายุคงจะหลาย"เฮ้อ"..ล่ะหากเจอแบบ คุณหญิงที่จะกี่ช้างเผือก จะกี่มงกุฎ ก็ไม่มีสิทธิ์จะเป็น"คุณหญิง"ได้ เป็นได้เพียง"คุณ"เท่านั้น..(รู้สึกไหม! ที่ ใครเค้า"ให้เกียรติ"นี่!)

แมนเดลลา หรือ ซูจี นั่นรึจะมาสู้ "สองพี่น้อง"ได้ ต้องใช้เวลาตั้ง20-30 ปี...นี่ทั้ง"คุณ"ทั้ง"พันโท" ท่านหว่านไปเกี่ยวไป
จูงกระบือไป จ้าละหวั่น ยังจะมาบ่นอะไรอีกล่ะ ในเมื่อ ประเทศไทย"มีประชาธิปไตยแล้ว"นี่ ตั้งแต่วันที่ประชาชนมีสิทธิ์ ที่จะเลือก แล้วตั้ง(ไว้ให้ใครเขี่ยทิ้ง)..นี่ภาษานายพันนะ!

อย่ามาขึ้นเสียงเถียงมินตรานะ..เดี๋ยว"นักรบป่าหวาย"จะนำทีม
พาราลิมปิค(Paralympic)ออกมาชิงหลักชัยในการชนยุทธหัตถี ข่มนาม เหยียบหญ้าให้ราบไปทั้งทุ่งเลย..

"นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า"..จงเลือกจะเป็น..หญ้าแฝก.. ราคาสองร้อยล้าน ที่ใช้ยึดแผ่นดินมิให้ละลายไปกับสายน้ำ
หรือ จะเป็นหญ้าแพรกที่ถูกนำมาบูชาไหว้ครู อย่างเขียวชะอุ่มอมพะงำ ต่อไปเถิด..(เห็นไหมว่าทางเลือกมีอยู่...จบแบบ อีสปเขียนนิทานเลยนะ..)

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.159.220 30 พฤษภาคม 2555 15:17:09 น.  

 

มินตรา...

ตอนเสื้อเหลืองเต็มเมืองไล่"นายใหญ่" เช้ายันค่ำ .. แกนนำ 5 คนเป็นที่รู้จักอยู่ 2 คน คือ จำลอง กับ สนธิ .. นอกนั้นพวก "no name" ก็เข้าใจว่าคนเอาด้วยเยอะ .. พาลคิดเลยเถิดถึงกับตั้งพรรคการเมืองใหม่ - ผลเป็นไง ..

คือ"หลง"ว่ามวลชนส่วนใหญ่ที่มาร่วมไล่"นายใหญ่"นั้นคือพวกเอาตน - ทั้งๆที่เป็นพวก ปชป เสียกว่า70%


กรณี แดง ก็เช่นกัน .. หากประเมินก็ต้องบอกว่า
ระดับ รากหญ้า-ติดตังกับประชานิยม - มีจำนวนมากกว่ามาก
ระดับ อุดมการณ์ ติดตังกับหลักการประชาธิปไตย - มีไม่เท่าไร

และที่คนส่วนใหญ่เลือก"นายใหญ่" เพราะประชานิยม .. เขาไม่สนใจประชาธิปไตยอะไรมากแบบพวก จักรภพ เพ็ญ .. สุรชัย ด่าน .. ใจ อึ๊งภากรณื หรอก ..

ลองให้ นปช.(ที่ไม่ใช่แกนนำที่กำลังได้ดี..) และกำลัง "ผิดหวัง" กับ นายใหญ่ มาตั้งพรรคใหม่ลงเลือกตั้งดู -> ผลจะประมาณ พรรคการเมืองใหม่ ของ พันธมิตรนั่นแหละ คือไม่เกิด

และที่ แดงอุดมการณ์ ต้องคอยบังหลัง "นายใหญ่" เพราะการขับเคลื่อนพลวัตทางความคิดให้ลงไปในระดับมวลชน ต้องมีทุนสนับสนุน ..

และพวกนี้ตั้งแต่ ป่าแตก ก็ขาดทุนสนับสนุน ขณะที่ในระดับสากลเอง ก็ขาด"เจ้าภาพ"ที่จะสนับสนุน แบบยุค"พคท-ทปท" เพราะรัสเซียล่ม จีนเองก็คบชนชั้นปกครองเดิมของไทยไปเรียบร้อย

มองดูให้ดีสิว่า .. กลุ่มทุนขนาดใหญ่ ที่เป็นปฏิปักษ์ กับ กลุ่ม "อำมาตยา เสนาทะแกล้ว" ถึงขั้นจะล้มล้างกันให้จงได้นั้น มีกลุ่มไหนบ้าง ?

แบงค์กรุงเทพ - ใครเป็นประธานธนาคาร ?
กสิกร - เสี่ยปั้นไม่เอานายใหญ่ ใครๆก็รู้
ไทยพาณิชย์ - ของใคร ? รู้ซะมั่ง
ซีพี - เจ้าสัว น่ะ ช่วยโครงการพระราชดำริอยู่เท่าไร
เซ็นทรัล - ดองกับราชนิกูล มากี่คู่แล้ว ?
เบียร์ช้าง - เสี่ยเจริญ ไม่ยุ่งเรื่องการเมืองอยู่แล้ว

ส่วนกลุ่มนายใหญ่ก็พอมี
กลุ่มแสนสิริ - เศรษฐา ทวีสิน - ณ 4-season ...555
กลุ่มซัมมิทออโต้พาร์ท - สุริยะ จึง
กลุ่มโบนันซ่า - พ่อผัว แอฟ

เพราะฉะนั้น .. แดงสยาม - คิดเอามันน่ะพอได้ .. แต่ไปต่อไม่ได้หรอก

เชื่อหัวไอ้เรือง 55

 

โดย: สดายุ... 30 พฤษภาคม 2555 16:28:05 น.  

 


สดายุ..

" เขาไม่สนใจประชาธิปไตยอะไรมากแบบพวก จักรภพ เพ็ญ .. สุรชัย ด่าน .. ใจ อึ๊งภากรณื หรอก "

อย่าได้หมิ่นน้ำใจ คน"ไท" นะ..ใครจะไปรู้ใจใครภายใต้รอยยิ้ม..

" แดงสยาม - คิดเอามันน่ะพอได้ .. แต่ไปต่อไม่ได้หรอก"
กลไกของธรรมชาติ จะลงตัวด้วยตนเอง..ตามธรรมชาติ..
มิต้องไปดัดจริตเสแสร้งใดใดเลย...
กี่เขื่อนกั้นน้ำ กี่ภูเขาที่ละลายหายไปกับน้ำ กับลม..
กี่เผด็จการที่ยั่งยืนอยู่ได้..ซีเรียที่มีกำลังทัพเป็นห้าเท่าของกัดดาฟี่ จนยูเอ็นต้องคิดแล้วตรองอีก..ในการลงไปดูแลประชาชน...

คิดแล้วมัน..นี่น่าคิดนะ..คุณจักรภพ เกิดมาทันเวลา..!

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.158.150 31 พฤษภาคม 2555 15:08:03 น.  

 

เอ้า...เอาเข้าไป...

จักรภพ เพ็ญแข เป็นตัวอะไร ?
เกาะหลังทักษิณขึ้นมาเท่านั้น...

เคยต่อสู้กับอะไรมาบ้าง .. ก่อน กันยา 49
บอกหน่อยสิ มินตรา ?

ตอนที่ จำลอง หมอเหวง หมอสันต์ กำลังล่อกับ รสช.
แม่เพ็ญสุดเลิฟของมินตรา หรือยังนุ่งขาสั้น ?

โถ ถัง ไปอ่านอะไรมานี่ ?

ประชาไท ?
นปช USA ?

เฮ้อ .. อีกที

 

โดย: สดายุ... 31 พฤษภาคม 2555 19:24:25 น.  

 


สดายุ !

ใช้เสียงแบบนี้.. นิสัยแบบนี้.. ไม่มีใครรักหรอกนะ
ไม่ต่อปากต่อคำด้วยแล้ว..
ยังไงคุณจักรภพก็"มีความรู้และสติปัญญา"มากกว่าพวกที่ชอบว่าคนอื่น

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.158.150 1 มิถุนายน 2555 1:16:26 น.  

 


เรียนมิตรรักโคลงกลอน ทราบ..

ขณะนี้ กวีที่ชื่อ สดายุ ไปอยู่ในโครงการ"อยากรู้..อยากเห็น"
กำลังศึกษา" เทคนิคจีบหญิงขั้นเทพ" แทนการเขียนกลอน..

จึงเรียนมาเพื่อทราบ..

ลงชื่อ บุษบามินตรา

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.137.68 3 มิถุนายน 2555 15:31:50 น.  

 


เรียน 152 users online ทราบ

" เทคนิคจีบหญิงขั้นเทพ"นั้น สดายุ เก็บไว้ใช้คนเดียว
จึงรีบเปลี่ยน เนื้อหาใน"อยากรู้..อยากเห็น" เป็น"เสริมจมูก"แทน

ขออภัยในความไม่สะดวก

ลงชื่อ บุษบามินตรา

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.158.24 4 มิถุนายน 2555 13:47:41 น.  

 


สวัสดีค่ะ...

วันนี้วันพระใหญ่ ... เอาน่าทำบุญค่ะ ทำบุญทำได้หลายอย่าง ที่ทำแล้วสบายใจ ^^

จะไปอ่านเพจที่คุณบอกค่ะ ...

มีความสุขมากๆนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ

 

โดย: witch IP: 118.172.111.104 4 มิถุนายน 2555 16:22:12 น.  

 

มินตรา..

เห็น"ความสนใจที่นับจำนวนได้" ใช่ไหม ในเรื่องพวกนั้น
ความที่จะสวยความที่จะงาม ..

ไม่ว่า สุขภาพ
ไม่ว่า แฟชั่น
ไม่ว่า สวยๆงามๆ
ไม่ว่า มือถือ
ไม่ว่า ทรวดทรงองค์เอว
ไม่ว่า อยากรู้อยากเห็น
ไม่ว่า behind the scenes ..
ไม่ว่า fit & firm

นี่คือความเป็นจริงในสังคม ที่ไม่ต้อง สรรหาคำพูดมาพูดให้ดูดี
- ชนชั้นไหน มี อินเตอร์เนต ใช้ ?
- ชนชั้นนี้ สนใจอะไร ?
ดูจาก pageview เอาได้เลย ไม่ต้องเถียงกัน

แล้วลองดูบล็อค
-การเมือง
-ประดิษฐกรรม
-ข่าวเศรษฐกิจ
-ศาสนา
ดูว่ามีคนสนใจสักกี่คน

คนที่เล่นเนต คงไม่ใช่รากหญ้าที่คลั่งไคล้ประชานิยม จริงไหม ?
คงไม่ใช่พวก ค่าแรงขั้นต่ำรายวัน จริงไหม ?
แต่เป็นชนชั้นกลาง - สูง ที่มีการศึกษามากกว่าขั้นพื้นฐาน จริงไหม ?

และเขาสนใจอะไร ?
นี่คือความเป็นจริงของสังคมไทย .. ที่ย่อมแตกต่างกันมากกับสังคมพัฒนาแล้วในยุโรป ..







แม่มดตัวน้อย ..

วันพระใหญ่ .. สังคมแบบไทยเราก็ร่วมใจกันเข้าร่วม"กรอบเกณฑ์ประเพณีที่เชื่อตามๆทำตามๆกันมา"

ขณะที่เนื้อหาในหลักธรรมนั้นแทบไม่รู้เรื่อง แต่ขอให้ได้ยกมือประกบกันแล้วยกชี้ไปทางรูปพระพุทธรูปแล้วก็อธิษฐานขอโน่นขอนี่กันไปตามมิจฉาทิฏฐิในจิตจะปรุงแต่งเอา ... แล้วบอกว่าสบายใจ ได้บุญ - 55

2600 ปี บิดเบือนหลักธรรมกันจนเลอะเทอะ
แล้วมาร่วมฉลองความเลอะเทอะกันใหญ่โต

เฮ้อ

 

โดย: สดายุ... 7 มิถุนายน 2555 14:17:26 น.  

 

ดายุคะ

เห็น"ความสนใจที่นับจำนวนได้" ใช่ไหม...

ก้อ..สดายุมานั่งกำหนด "ทรวดทรงองค์เอว"อยู่นี่ ว่าต้องสวยขนาดขวด นะ คือ ต้องเอวคอด ..
สาวสาวก็ต้องเตรียมsupply สนอง demand ซิ..(นอกจากมินตราที่จะรักษา"ความตรง"ของเรือนร่างไว้)


"นี่คือความเป็นจริงของสังคมไทย .. ที่ย่อมแตกต่างกันมากกับสังคมพัฒนาแล้วในยุโรป .. "
ทุกมนุษย์รักตนเอง..
แต่สังคมที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ย่อมรู้ว่า"รวมกันเราอยู่"
..ดังนั้น"ความรับผิดชอบต่อสังคม"จึงต่างกัน..

อย่ามา"เฮ้อ" ใส่กันเลยค่ะ..


 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.153.71 7 มิถุนายน 2555 16:13:27 น.  

 


สดายุ..

"O พ่อแม่ลูก .. วงศ์กษัตริย์ .. เพียงหยัดร่าง
เสียงปืนกลางห้องสลัว .. ก็รัวลั่น
พร้อมเลือดสาด .. ร่างทรุด .. ลมหยุด .. พลัน-
ที่ศักดินา .. ชนชั้น .. ล่ม – อันตรธาน !"

โอย..น่ากลัว..หวาดเสียว..เลือดท่วมหน้าเวปเลย..

นิราศเรื่องนี้ อย่าให้มินตราเป็นนางเอกนะ ไม่เอา..กลิ่นคาวเลือด

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.135.185 10 มิถุนายน 2555 0:52:44 น.  

 

สวัสดีค่ะ คุณสดายุ

O ด้วยอำนาจจากไหน .. จึงได้สิทธิ์-
ให้ชีวิตอื่นพยุง .. ความมุ่งหมาย ?
กระนั้นสิทธิ์เดียวกันในบั้นปลาย-
ไย .. ถูกเหนี่ยวทำลายจนวายวาง ?

=> "O ด้วยอำนาจจากไหน .. จึงได้สิทธิ์-
ให้ชีวิตอื่นพยุง .. ความมุ่งหมาย ?"

บทนี้ถูกใจมากค่ะ ตราบใดที่ขบวนการทางความคิดยังมีต้นตอมาจากความเชื่อที่ล่องลอยอันจับต้องไม่ได้ ก็ไม่พ้นเป็นยอดหญ้าให้ถูกเหยียบอยู่ร่ำไป เกี่ยวไหมนะ แต่อ่านบทข้างบนนี้แล้วรู้สึกอย่างที่ว่านี้จริงๆ

เอ! หรือเพราะมีบางอย่างจับต้องได้ตอบแทน อุดมการณ์กับการแลกเปลี่ยนบางครั้งบางเวลาก็กลมกลืนเป็นเนื้อเดียว

ขอบคุณสำหรับงานคุณภาพทุกชิ้นในวรรณประทีปนะคะ

 

โดย: วลีลักษณา 10 มิถุนายน 2555 9:06:56 น.  

 

มินตรา...

คนรัสเซียน่าสงสาร ..
...ระบอบราชาธิราชเดิมก็เป็น ทรราชย์
...ระบอบคอมมิวนิสต์ที่ลองใช้ก่อนใครก็ด้อยประสิทธิภาพในการจัดการเศรษฐกิจ .. ล้มเหลว จนพังไม่เป็นท่า
[เพราะเอากรรมกร (วรรณะศูทร) เป็นใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องขัดความเป็นจริงอย่างรุนแรง .. ระบอบนี้จึงอยู่ได้เพียงไม่ถึงศตวรรษ (จีน เกาหลี เหนือ คิวบา นั่นมันเผด็จการของทหาร เหมือนพม่านั่นแหละ ไปเรียกให้หรูกันเองว่า เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ .. ของบรรดาเด็กยังไม่หย่านม .. 55 ) .. ไปเชื่อตาหมากแก .. คนเยอรมันยังไม่เอาเลย 55]
...ระบอบปูติน ก็ไม่รู้จะเรียกอะไรดี .. มาเฟีย ครองเมือง ??

ที่เขียนนั่นแค่บรรยายภาพตามคลิปสารคดีเรื่อง "In Search of a Lost Princess - Anastasia Romanov" ที่ทำลิงค์ไว้ั่นแหละ ถึงรู้สึกว่าช่างสอดคล้องกับ "พระเจ้าเอกทัศน์" ของไทยเสียจริงคือตายด้วย "ทหารเลว" และ "ตายอย่างไร้เกียรติ"

ระบอบสืบทอดทางสายเลือดก็จะมีจุดจบแบบนี้เสมอ ..
พี่เขย .. นายกฯ
น้องสาว .. นายกฯ
พี่เมีย .. ผบ.ตำรวจ
อะไรพวกนี้ก็นับเป็นระบบสายเลือดเหมือนกัน จริงไหม ? 555







คุณวลี ฯ

สวัสดีครับ ..
ความเป็นคนหัวก้าวหน้า (ชอบการเปลี่ยนแปลงไปในแนวทางใหม่ๆ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงโดยมองไปที่ประสิทธิภาพการจัดการสังคมเป็นหลัก)

หรือ หัวอนุรักษ์ (ชอบของเก่า .. ชอบแบบเดิมๆ .. ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง)

มักไปในทำนองเดียวกันกับมุมมองทางศาสนาของคนเรา .. อย่างพุทธ นี่เถรวาทคืออนุรักษ์นิยม และมหายานคือหัวก้าวหน้า .. ขณะที่คริสต์ มีแคธอลิกเป็นพวกอนุรักษ์ และพวกที่ต่อต้านวาติกันเป็นพวกหัวก้าวหน้า คือ โปรแตสเตนท์

คนสองกลุ่มนี้ไม่สามารถเถียงกันเพื่อหาข้อยุติเรื่องความถูกผิดได้ .. เพราะมีพื้นฐานแนวคิดต่างกัน .. และยากที่จะทำให้ยอมรับกันได้ ..

หากมองภาพใหญ่ขึ้นไปอีก .. พุทธะ คือ กลุ่มหัวก้าวหน้าในสังคมพราหมณ์ดั้งเดิม .. ที่ไม่เชื่อ ที่เป็นปฏิกิริยา ที่ต้องการสร้างอิสรภาพแก่ใจตนเอง โดยไม่ยอมรับ หรือ ศิโรราบต่อ เทพเจ้าองค์ต่างๆที่เคยเชื่อสืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ..

แม้พ่อแม่เชื่อ ก็ไม่จำเป็นว่าฉันจะต้องเชื่อตามพ่อแม่ .. และนั่นคืออัตตลักษณ์โดดเด่นของเจ้าชายสิทธัตถะ .. "ความไม่เชื่อแต่โดยดี" .. คือ แนวทางหลักของพุทธ (กาลามสูตร)

และหากมองไปที่จีนยุคปลายวัยของ"ประธานเหมา" ที่ทำผิดพลาดใหญ่หลวง .. ที่ยอมให้เกิดกระแสการปฏิวัติทางวัฒนธรรมที่นำโดยเมียตัวเองคือ เจียงจิงและแก๊งค์สี่คน จนเลยเถิดควบคุมไม่ได้ .. ประกอบกับภาวะการณ์หลงตัวเองหลังผ่านการ"สรรเสริญ ยกยอปอปั้นมายาวนาน" ที่ใครก็ "แตะไม่ได้" ..

จนหัวก้าวหน้าผู้ยิ่งใหญ่ที่"ตัวเล็ก" อย่างเติ้งเสี่ยวผิง มาจัดการช่วย"ฝังประธานเหมาผู้เลอะเทอะลงหลุม" เสียได้ และปล่อยให้ "แมวดำแมวขาว" ได้จับหนูเต็มสมรรถภาพของมัน .. จีนถึงมีวันนี้ ที่ขนาดเศรษฐกิจแซงญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นเบอร์สองของโลกได้

สิ่งที่กำลังล้าหลังและถอยหลัง หากปรับตวไม่ทันก็จะป็นแบบ "โนเกีย " ยักษ์เบอร์หนึ่งของฟินแลนด์ ที่บัดนี้กำลังหนีตายอย่างอลวน

เขียนมาซะยืดยาวเพียงเพื่อจะบอกว่า ไม่มีใครได้สิทธิ์ใช้ชีวิตอื่นมาคอยค้ำจุนความต้องการของตัวเอง หรอกครับ .. ตั้งแต่ อยุธยา ธนบุรี มาจน แยกราชประสงค์ ... ?

เป็นเพียง"ความหลง"ของคนที่มองภาพรวมของเรื่องราวไม่ออก ก็เลย มอบวางศรัทธาลงเฉพาะ"ภาพตรงหน้าที่เขาสร้างล่อไว้" เท่านั้นเอง !

ยินดีที่แวะมาพูดคุยครับ..

 

โดย: สดายุ... 11 มิถุนายน 2555 23:10:37 น.  

 


ดายุคะ..

"O ครั้งนั้นรูปโสภิตเจ้าคิดนึก
ว่า-ตื้นลึกเรื่องราวที่กล่าวอ้าง
มักเผยความจริงแท้ลงแผ่กาง
เมื่ออำนาจขัดขวาง .. ถูกล้าง .. ลบ"

นางเอกเป็นนักปฎิวัติ รึ นี่

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 94.119.4.76 12 มิถุนายน 2555 22:40:37 น.  

 

มินตรา...

นางเอกผ่านข้ามกาลเวลามาอ่านเรื่องราวย้อนหลังกลับมาหายุคตัวเอง .. ตาม"ทฤษฎีรูหนอนอวกาศ" 55

ซาร์นิโคลัสมาเยือนเมืองไทยเมื่อปี พศ.2434 และถูกปฏิวัติและถูกสังหารทั้งครอบครัวเมื่อ พศ.2461

และขณะที่เขียนอยู่นี้เป็น พศ.2428 นิโคลัส ยังไม่ถึงกำหนดมาเยือนไทย แต่นางเอกรู้เรื่องราวล่วงหน้าก่อนแล้ว ..

นางเอกเป็นลูกสาวขุนนาง
ส่วนพระเอกอยู่ในสองกาลเวลาตาม"ทฤษฎีเอกภพคู่ขนาน"
ดู clip ใน "วิทยาศาตร์และอวกาศ" ขอรับ

 

โดย: สดายุ... 12 มิถุนายน 2555 23:26:36 น.  

 

ความเป็นคนหัวก้าวหน้า (ชอบการเปลี่ยนแปลงไปในแนวทางใหม่ๆ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงโดยมองไปที่ประสิทธิภาพการจัดการสังคมเป็นหลัก)

หรือ หัวอนุรักษ์ (ชอบของเก่า .. ชอบแบบเดิมๆ .. ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง)

เขียนมาซะยืดยาวเพียงเพื่อจะบอกว่า ไม่มีใครได้สิทธิ์ใช้ชีวิตอื่นมาคอยค้ำจุนความต้องการของตัวเอง หรอกครับ .. ตั้งแต่ อยุธยา ธนบุรี มาจน แยกราชประสงค์ ... ?

เป็นเพียง"ความหลง"ของคนที่มองภาพรวมของเรื่องราวไม่ออก ก็เลย มอบวางศรัทธาลงเฉพาะ"ภาพตรงหน้าที่เขาสร้างล่อไว้" เท่านั้นเอง !


ตรงใจมากค่ะ เราจะต่อสู้กันเพื่ออะไร การแบ่งแยกมีมาแต่เนิ่นนาน พุทธ 2 นิกาย คริสต์ 3 นิกาย ล้วนก็ไม่จบสิ้นจนกระทั่งปัจจุบันผ่านมาเป็นร้อยปี ไม่ต่างกับที่ประเทศเราเป็นอยู่ตอนนี้ ความเชื่อมันก็คือความเชื่อ ยากที่จะแก้ไขให้เปลี่ยนได้ เชื่อว่าไม่มีฝ่ายไหนดีทั้งสิ้นและเลวทั้งสิ้น หากแต่เอาทิฐิขึ้นมากันจนผู้คนล้มตาย ก็ยังไม่ตื่นจากทิฐิ ถ้าคิดได้ตามคำว่า "เกิดขึ้น มีอยู่ ดับไป" พวกเขาจะเข้าใจว่าไม่ว่าจะสู้ด้วยอุดมการณ์ ประชานิยมหรือผลประโยชน์ สักวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องลาลับไป เราทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไป จะต่อสู้กันไปแล้วจะได้อะไรกลับมา เหมือนตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ 7 ท่านทรงยอมรับประชาธิปไตยเพียงแต่อยากให้ค่อยเป็นค่อยไป แต่คณะราษฎร์ก็อยากได้โดยไว สุดท้ายการยังไม่เข้าถึงประชาธิปไตยอย่างถ่องแท้ก็สังผลมาถึงอย่างเช่นปัจจุบัน หากเราทุกฝ่ายหยุดมอง ลดทิฐิ ประเทศเราจะไปได้ไกลขนาดไหน แต่ไม่ต้องถึงว่าต้องเจริญอย่างเขา เพียงแค่เรารรักกันอย่างที่เคยเป็นก็เห็นเป็นที่สุดของคนไทยจริงๆ แล้ว

 

โดย: หลงจันทร์ IP: 27.130.207.31 12 มิถุนายน 2555 23:48:24 น.  

 

สวัสดีครับคุณ หลงจันทร์

ต้องพูดว่า มันเป็นประเด็นของ "โยนิโสมนสิการ - การทำในใจให้แยบคาย กล่าวคือ การพิจารณาอย่างรอบคอบถี่ถ้วน" ซึ่งมักมีน้อยมากในสังคมไทย

เราเป็นสังคมเชื่อง่าย .. ฟังแล้วเชื่อเลย .. เชื่อตัวบุคคลโดยละเลยการสืบสวนทวนความให้ถ่องแท้ .. และหลังจากเชื่อแล้วก็ตัดสินผู้อื่นทันทีที่เชื่อ !

หากไม่ถูกใจตัวเองก็คือเกลียด .. แม้จะทำดีให้ตายก็ไม่รัก
หากถูกใจตัวเองก็คือรัก .. แม้จะทำชั่วอย่างไรก็ไม่เกลียด แถมคอยแก้ตัวให้เสร็จสรรพ

นี่คือสิ่งที่เราเห็นในภาวะการณ์แห่งกีฬาสี ที่ผ่านมา 2-3 ปี

ทำไมคนเราต้องรู้สึกเจ็บร้อนแทนกันหนักหนา กับคำดุด่า ติเตียนคนที่เราชอบ .. ทั้งๆที่เขาก็ไม่เคยให้เงินใช้สักบาท ?

น่าแปลกใช่ไหม ?

มองให้ดีจะเห็นว่า นั่นเป็นภาวะการณ์ของ "ตัวตน" ถูกกระทบ และ "ของตน" ถูกทำลาย นั่นเอง .. คือไม่มีสาระเชิงเหตุผล

แต่เป็นเรื่องของ "ความศรัทธาของตน ถูกเหยียดหยาม ถูกเย้ยหยัน"

คนที่ไม่เคยเห็นตัวจริง เฝ้ามองอยู่ข้างเดียวทางข่าว จะรักอะไรนักหนา .. มันไม่มีเหตุผล ..

จริงไหมครับ

 

โดย: สดายุ... 13 มิถุนายน 2555 22:02:54 น.  

 

พี่ชาย..

พี่ชายอยู่ต่างแดนหรือเมืองไทยคะ?

 

โดย: น้องฟาง IP: 202.29.60.152 16 มิถุนายน 2555 14:30:34 น.  

 

น้องฟาง...
พี่อยู่กรุงเทพ .. จะกลับลำปางวันจันทร์ค่ะ

 

โดย: สดายุ... 16 มิถุนายน 2555 17:21:23 น.  

 



สดายุ..

มัวแต่ชมดอกไม้ข้างทาง จนนิราศเรื่องยาวเปลี่ยนจาก"บุหงารำไป "เป็น "แช่อิ่ม"แล้วนะคะ..
นานกว่านี้ เห็นที จะเป็นเหล้า ตำรวจมาตรวจ จะโดนข้อหาผลิตเหล้าเถื่อนนะจ๊ะ 555

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 87.173.32.227 21 มิถุนายน 2555 14:47:01 น.  

 


สวัสดีค่ะ...

พักร้อนไปหลายวัน งานเยอะเหรอคะ? :"))

 

โดย: witch IP: 118.172.99.154 21 มิถุนายน 2555 15:39:30 น.  

 

มินตรา...
ช่วงนี้งานยุ่ง ไม่มีเวลาเขียน
ดูรูปสาวๆไปก่อนละกัน 55




แม่มดน้อย..
งานเยอะขอรับ..
พักร้อนไปอาทิตย์เดียว งานท่วมหัว อิๆๆ

 

โดย: สดายุ... 22 มิถุนายน 2555 22:23:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.