Bloggang.com : weblog for you and your gang
Group Blog
พระพุทธเจ้า
พระพุทธวจนะ
ธรรมบรรยาย
ตรรกะวิภาษ ..
Innovation
Value Investor ..
DiscountedCashFlow
Transportation
NewGenDevice
History
Science
Home & Garden ..
Food & Sweet
DIY
SlowRock ..
Classic
RockMusic
SweetMusic
Ernesto Cortazar
Giovanni Marradi
Secret Garden
Omar Akram
Mix
CountrySong
SweetSong
OldSweetSongs ..
MLTR
ENYA
EAGLES
เพลงร็อคไทย
เพลงไทยเดิมประยุกต์
เพลงย้อนอดีต
เพลงบรรเลง
เพลงลูกกรุง
เพลงลูกทุ่ง
เพลงเพื่อชีวิต
นิราศนรินทร์ - คำแปล
นิราศภูเขาทอง - คำแปล
นิราศลำปาง .. โคลง
นิราศเพรงกาล .. โคลง
ชั่วฟ้าดินดับ .. โคลง
มหาภารตะยุทธ .. ฉันท์
ศรีอยุธยา .. ฉันท์
สายธารกาลเวลา .. กลอน
สองฝั่งฟ้า .. กลอน
หอมกลิ่นร่ำ .. กลอน
รัตนโกสินทร์ .. กลอน
ชั่วฟ้าดินสลาย .. กลอน
บรรณภพ
วรรณศิลป์
วรรณกรรมไทย
อวิภัชวาท
ปริภาษวาจก
นรกวาที
นารีปราโมช
ฉันท์
โคลง
<<
กรกฏาคม 2557
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
30 กรกฏาคม 2557
O วันคอย .. O
All Blogs
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O จากบัดนั้น .. O
O สิ้นสวาดิ .. O
O แววในดวงตา .. O
O เช้านี้ .. O
O อาวรณ์ .. O
O มธุรสลีลา .. O
O ยิ้มแรก .. O
O หนาวแรก .. O
O ปลายฝน .. O
O ซ่อนเร้น .. O
O งามรูปนั้น .. O
O เจ้าเอย .. O
O ฟ้าคร่ำลมครวญ .. O
O ยอมเถิด เจ้า .. O
O เมื่อลมเช้าโชยแผ่ว .. O
O ปรารมภ์ .. O
O ลมรำเพย .. O
O เหมันตะกาล .. O
O ดวงตาคู่นั้น .. O
O รูปเอย .. O
O ในค่ำหนาว .. O
O คำนึง .. O
O สิ้นเยื่อใย .. O
O ค่ำนี้ .. O
O เพียงเจ้า .. O
O กรรตุวาท .. O
O รูปธรรมในค่ำฝน .. O
O ฉันทาสมัย .. O
O จันทร์ .. O
O ห้วงเสน่หา .. O
O ยามเช้า .. O
O หอม .. O
O อีกไม่นาน .. O
O นาทีนั้น .. O
O วิสาขะสมัย .. O
O กลางริ้วลม .. O
O หวง .. O
O .. เช้านั้น .. O
O แรงอาลัย .. O
O แสงสรวงในทรวงนี่ .. O
O อุปาทานรูป .. O
O ยอมเถิด .. ดวงใจ ! O
O คิมหันตะสมัย .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O ขาบเขียวแห่งเรียวขน .. O
O เมื่ออุษาสาง .. O
O ครวญคร่ำแห่งคำวอน .. O
O เมื่อลมหนาวล่อง .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O น้องสาว .. ที่แสนดี O
O รูปนามเจ้าเอย .. O
O ใต้ปีกนกฟ้า .. O
O มีเจ้า .. O
O น้ำปลายฝน .. O
O เรื่อรุ้ง..บนคุ้งฟ้า O
O ก่อนอุษาสาง .. O
O น้ำค้างเดือนเจ็ด .. O
O เดือนลอยดวง .. O
O สาวเอย .. O
O ฟองคลื่นแห่งรมยา .. O
O ฝากจันทร์ .. O
O แก้วตาพี่ .. O
O ก่อน .. วิสาขะมาส .. ! O
O หอมนี้ .. O
O รูปธรรมในคำนึง .. O
O รูปนามเอย .. O
O จันทร์เพ็ญรูป .. O
O รูปพรรณในบรรจถรณ์ .. O
O คันธา .. แห่งวรรษาสมัย O
O นางใจ ... O
O ถวิละรูป .. O
O บวงทิพที่ลิบโพ้น .. O
O รูปในคำนึง .. O
O ลมร่ำ .. เมื่อย่ำรุ่ง .. O
O น้ำค้างยามรุ่ง .. O
O คอยเจ้า .. O
O เพรงวาสน์ เมื่อพาดช่วง .. O
O เหมันตะกาล .. O
O บุหลันลอยเลื่อน .. O
O รื่นลมหนาว .. O
O ลมร่ำในค่ำหนาว .. O
O เสน่หา .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รูปนามแห่งความรัก .. O
O อาลัย ที่ไหววน .. O
O งามละมุน .. กับกรุ่นข้าวหอม .. O
O ปีกนก กับ อกคน .. O
O หอม .. เสน่หา .. O
O ซ่อนเร้น และ เอ็นดู .. O
O น้ำค้างเดือนสิบ .. O
O ลมหนาวและดาวเดือน .. O
O ปริศนาแห่งท่าที .. O
O จันทร์เอย .. O
O คนดี .. O
O แรงถวิลหา .. O
O สุดหัวใจ .. O
O ขวัญเอย .. O
O ปีกนก และ อกคน .. O
O จันทร์เจ้า .. O
O วานนั้น .. จนวันนี้ .. O
O สุดรอคอย O
O ลมร่ำและฝนโรย .. O
O คอยเถิดเจ้า .. O
O ปลายฝน .. ต้นหนาว .. O
O รูปอาวรณ์ .. O
O กลางฝุ่นฝน .. O
O ตราบชั่วนิรันดร .. O
O สร้อยดอกโศก .. O
O สู่กลางใจเธอ .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O หอมดอกลำดวน .. O
O ฟ้าคร่ำฝนครวญ .. O
O ชั่วฟ้าดินสลาย .. O
O ข้าวร่วมขัน .. O
O พิรุณพิลาปร่ำ .. O
O ห้วงแห่งคำนึง .. O
O วันคอย .. O
O แค่เสี้ยวธุลีความ .. O
O แสงช่วงแห่งดวงมณี .. O
O บ่วงอาวรณ์ .. O
O หอมหัวใจ .. O
O คอยเจ้า .. O
O อาลัย ที่ไหวรับ .. ! O
O คำข้าว .. และใจคน .. O
O พวงผกา .. แห่งป่าฝน .. O
O กล่อมขวัญ .. O
O พินทุกล แห่ง สุคนธรส .. O
O คำมั่นคำสัญญา .. O
O รูปนามแห่งยามสาง .. O
O รื่นวรรษา .. O
O โสมกลางสรวง .. O
O ท่ามกลางละอองรื่น .. O
O รูปธรรมเพื่อจำนน .. O
O เมื่อลมร่ำ .. O
O หอมกลิ่นแก้ว .. O
O คิดถึง .. O
O ฝนห่มลมเห่ .. O
O ฤดูลม .. O
O บ่วงปฏิพัทธ์ .. O
O นิรมิตะรูป .. ? O
O แววตาผู้อาวรณ์ .. O
O รูปในคำนึง .. O
O กลาง - ลม .. ฝน .. O
O บุพสัญญา .. O
O ลมทะเล .. O
O เตรียมเถิด .. ใจ ! O
O เมื่อดาวลอยดวง .. O
O กลางลมร่ำ .. O
O หอม-อุ่น .. กลางฝุ่นฝน .. O
O อัปสระรูป .. O
O ขวัญพี่ .. O
O .. หัวใจที่ร่ำรอ .. O
O เพลงพยาน .. O
O พรรณาแห่งอารมณ์ .. O
O รื่น..ลมร่ำ .. O
O แก้วเอย .. O
O คอย .. O
O ดาวดื่นในคืนแรม ... O
O เภรีและคีตา .. O
O รูปนฤมิต .. O
O ก่อน .. มาฆะมาส .. O
O เพรงภพบรรจบล้อม .. O
O กลางวสันตะสมัย .. O
O ดั่งลมร่ำ .. O
O ปริศนาแห่งนารี .. ? O
O จินตะภพ .. แห่งพลบสมัย O
O คือ ความรัก .. O
O คันธาแห่งมาลี .. O
O เหมันตะสมัย .. O
O หอมดอกแก้ว .. O
O หอมกลิ่นโมก .. O
O พินทุแห่งกุสุมา .. O
O สัญญาใจ .. O
O รูปนามนั้น .. O
O ลมหนาวร่ำ .. O
O ฟ้าหลังฝน .. O
O วรรษาสมัย .. O
O คันธบท .. แห่งรสสุมาลย์ .. O
O คอยเถิดนะ .. O
O กรุ่นกลิ่นประทิ่นมาลย์ .. O
O อาวรณะสมัย .. O
O รูปแพงเอย .. O
O คอยเถิด .. รูปแพงเจ้า .. O
O มณีเดียว .. O
O ภิรมย์สมัย .. O
O ร่ำรสเกสรา .. O
O เจ้าอ่อนเอย .. O
O ลมเอย .. O
O กลางฝนโปรยปราย .. O
O อหังการ .. แห่งน้ำค้าง .. O
O กลางพระลบ .. บรรจบล้อม .. O
O หนาวลมร่ำ .. O
O จากเดือนเร้น .. จนเพ็ญรูป .. O
O แต่บัดนั้น .. จนบัดนี้ .. O
O เสภา .. กลางราตรี O
O โสมส่องแสง .. O
O ฝุ่นน้ำฟ้า .. O
O ศรัทธาสองภพ .. O
O ด้วยแรงอธิษฐาน .. O
O เม็ดฝน ใต้ม่านฟ้า .. O
O พันธนาการแห่งรูป .. O
O น้ำผึ้งเดือนเจ็ด .. O
O ฝนเดือนเก้า .. O
O อาลัยที่ใฝ่เฝ้า .. O
O ลีลาและท่าที .. O
O เดียงสาเจ้า .. O
O มณฑาทิพ .. O
O ห้วงอาวรณ์ .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รักเอย .. O
O ชายฟ้าเลื่อน .. O
O เพียงหนึ่งคำ .. O
O ละห้อยหา .. O
O ในห้วงคำนึง .. O
O หยาดเพชรเมื่อเพ็ญรูป .. O
O ใจเอย .. ! O
O ลมรัก .. O
O ผืนทรายและปลายฟ้า .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O รักสุดใจ .. O
O เชิญขวัญ .. O
O แต่ปางใด ..? O
O ฝากลมร่ำ .. O
O ห้วงเหมันตะสมัย O
O หลังเหมันต์ .. O
O บุหรง .. รำแพน .. O
O ใจเจ้าเอย .. ! O
O งามนั้น .. O
O ร่ำร้อย .. พจีเรียง .. O
O แรกอรุโณทัย .. O
O หนาวลมฝน .. O
O หลัง .. อัสดงคต .. O
O รอ .. O
O ดวงเด่นกลางนภา .. O
O จันทร์ขจ่างฟ้า .. O
O กรุ่นแก้วกำจาย .. O
O ฟ้าสองฝั่ง .. O
O ก่อน .. นางครวญ...O
O หงส์ร่อน .. มังกรรำ .. O
O อาวรณ์ .. ที่ซ่อนเร้น ..? O
O สิ้น .. วาสนา .. O
O บุพเพสันนิวาส .. O
O เลื่อมลายรุ้ง...O
O สิ้น - ดวงวิเชียรฉาย...O
O นางครวญ O
O วันคอย .. O
Giovanni Marradi - Renaissance
O วิกาลคล้อยน้ำค้างพรายพร่างเม็ด
ดั่งแพรเพชรลอยผืนในคืนเปลี่ยว
สรวงย่อมมืดหม่นครัน .. เพราะจันทร์เรียว
เมื่อส่วนเสี้ยวใจนี้ .. สุดลี้ลา
O คะนึงเพียงรูปน้อยละห้อยเห็น
เมื่อลับเร้นร่องรอย .. ให้คอยหา
ในคาบยามฟ้าหลัวมืดมัวตา
ปรารถนาซ่อนเร้นก็เห็นรอย
O ละภาพพจน์โวหารบรรสารสื่อ
ก็ยุดยื้อใจแล้ว .. อย่างแผ่วค่อย
เหนี่ยวเด็ดไว้แอบออ .. ร่วมรอคอย
การเคลื่อนคล้อยมุ่งหวังอีกครั้งคราว
O ระยิบเอยแววตาใต้ฟ้าต่ำ
ผ่องผกายร่ายรำ .. กลางค่ำหนาว
ในวิกาลหม่นมืดอันยืดยาว
จะช่วงแทนหมู่ดาวกลางหาวนั้น
O ภิรมย์เถิดดวงฤดีอย่ามีโศก
แม้นว่าโลกภายในอาจไหวหวั่น
ด้วยถวิลปรารถนาใฝ่หากัน
พากย์ยังพร้อมจะรำพันกล่อมขวัญน้อย
O เย็นลมร่ำค่ำเช้า .. รูปเยาว์เอ๋ย
แทนรำเพยกล่อมเจ้า .. อย่าเหงาหงอย
สบแสงจันทร์ทอดทอ .. แทนรอคอย
หมู่ดาวพร้อยพร่างฟ้า .. แทนอาลัย
O สู่นิมิตด้วยเจตสิกเจ้า ..
ร่วมใฝ่เฝ้าออดอ้อน .. ด้วยอ่อนไหว
เพื่อปลดปล่อยคำนึงอันตรึงใจ
ปลิวล่องไหลข้ามฟ้าข้ามธาตรี
O ที่โค้งฟ้าจรดน้ำ .. ในค่ำหนาว
จะเพียงดาววาบปลั่ง .. แสงรังสี
ณ ถิ่นนั้นสายใยหัวใจมี
จะคลายคลี่รัดขวัญ .. เพื่อพันธนา
O สังคีตประณีตบทแห่งรสสุมาลย์
จะแว่วผ่านโสตคอยละห้อยหา
ล้อมบรรเลงดีดสีด้วยลีลา-
เสน่หารูปละม่อม .. ในอ้อมทรวง
O รอบอาวรณ์อาลัย .. ผู้ใฝ่เฝ้า
ย่อมรุมเร้าจิตใจอย่างใหญ่หลวง
ท่ามหอมหวานสุมสั่ง, ความทั้งปวง-
ก็หอมล่วงล้ำค่าบุปผากรอง
O เหมันตะฤดู .. แล้วตรูเจ้า
ลมจะเฝ้าพัดโบก .. สู่โลกผอง
หนาวจักร่วมผ่านผัน .. สู่ครรลอง
ความสอดคล้องรูปนิมิตในจิตคน
O ใครหนอ .. ที่ในฝัน .. นะขวัญเจ้า
หยั่งรูปเงาโลมรุกไปทุกหน
จิตใครหนอ .. รุมเร้าใฝ่เฝ้าจน-
เสียงดิ้นรนแว่วดังให้ฟังคำ
O วิกาลล่วง .. น้ำค้างยังวางเม็ด
ดั่งผืนเพชรแพรห่มสายลมร่ำ
ใจต้องหวานหอมอยู่ .. เพียงรู้นำ-
ความพร้องพร่ำกระซิบสู่ .. ให้รู้ตัว
O ว่าตราบดาวบนสรวง .. ยังช่วงแสง
หวานที่แฝง .. จักเผยออกเย้ยยั่ว-
เย้าอาวรณ์ซ่อนเร้น .. ให้เต้นรัว-
รอมอบหัวใจวาง .. ลงกลางใจ !
Create Date : 30 กรกฎาคม 2557
Last Update : 14 เมษายน 2566 12:02:58 น.
6 comments
Counter : 3726 Pageviews.
Share
Tweet
สดายุ..
"O ละภาพพจน์โวหารบรรสารสื่อ
ก็ยุดยื้อใจแล้ว .. อย่างแผ่วค่อย
เหนี่ยวเด็ดไว้แอบออ .. ร่วมรอคอย
การเคลื่อนคล้อยมุ่งหวังอีกครั้งคราว"
กับเพลงโปรดของ"อากง":
" ..ยอดรัก การจากทั้งผูกพัน
ย่อมจะคิดถึงกัน
เร่งวันคืนกลับเคียงกาย"...
วาบหวิว ไปเลยค่ะ...
สดายุคงได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงขิมที่หายไป 8 ปีที่ผ่านมานี่เอง...555 จึงต่อด้วย"วันคอย"...บทต่อไปก็"รักคืนเรือน"...
มินตราเองก็โปรด เครื่องสาย แต่มิใช่ " กู่เจิง"
เป็นซออู้ เสียมากกว่า ไม่ต้องฝึกซ้อมมากมายเพราะ สีให้.."กาสร" ฟัง..(คำนี้เอามาจาก " พฤษภกาสร.") 555
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 30 กรกฎาคม 2557 เวลา:17:41:03 น.
เพลงเพราะจังเลยค่ะ ภาษาละเมียดละไม
อ่านไปฟังไป ไกลบ้านแบบนี้ คิดถึงคนรัก ชอบมากค่ะ
ูู
โดย: medkhanun (
ตุ้มตุ้ยของเธอ
) วันที่: 31 กรกฎาคม 2557 เวลา:4:54:50 น.
อ่านในเฟสมาละ อิจฉาคุณน้องเล็ก ยินดีด้วยนะคะ อิอิ
โดย: witch IP: 171.4.101.184 วันที่: 31 กรกฎาคม 2557 เวลา:16:18:29 น.
สดายุ..
ที่กล่าว เรื่องรูปธรรม นามธรรม มานั้น....
เป็น.. การสื่อสารระหว่างคนสองคน ที่มี interaction ต่อกัน โดยใช้ภาษาเป็นสื่อ(communication) :
ส่งถึง(send) ตอบกลับ( feedback ) อย่างเป็นระบบ (system)
และ เป็นขบวนการ (processes) โดยธรรมชาติ
นักคณิตศาสตร์ อเมริกันเชื้อสายเยอรมันจากโปแลนด์ Norbert Wiener (1894 1964) เรียกว่า Cybernetics (: the Control and Communication in the Animal and the Machine )
หรือ
นักชีววิทยาชาวออสเตรีย-ฮังการี Ludwig von Bertalanffy ( 1901 1972) เรียกว่า general systems theory (GST)
ในการเรียนรู้วิทยาการ ตั้งแต่ศตวรรษที่20 เป็นต้นมาจึงใช้ ระบบและขบวนการทาง Cybernetics มาใช้ทางวิศวกรรม และ วิทยาศาสตร์
และ ทางชีววิทยา เศรษฐกิจสังคม การเมือง จะนำ มาใช้ในการบริหารจัดการ ระบบและขบวนการ อย่างเดียวกัน แต่เรียก ทฤษฎีนี้ว่า general systems theory (GST)
นี่คือสิ่งที่สดายุกล่าวว่า เป็น...
" สภาพธรรมแห่งธรรมชาติที่ทรงพลานุภาพอย่างไร้ขีดจำกัด"
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 31 กรกฎาคม 2557 เวลา:17:35:12 น.
สดายุ...
ปรากฎการณ์ เช่น กระแสน้ำในมหาสมุทร ,สิ่งมีชีวิตในโลก , การเปลี่ยนแปลงของอากาศ, ระบบแสงอาทิตย์ และระบบนิเวศน์ ต่างต่างนั้น เป็น
"ระบบธรรมชาติ "(Natural systems)
แต่ เครื่องบิน ,ระบบคอมพิวเตอร์( software systems) , เทคโนโลยี่ และ เครื่องกลไก ทั้งหลาย , ระบบรัฐ องค์การ (government agencies) และ ระบบทางธุระกรรม( business systems) เป็น
"ระบบที่ออกแบบ"(Designed systems )
ใน"ขบวนการที่จะเข้าใจ"( the process of understanding)ว่า "ระบบ" (systems) ของสิ่งที่เกิดขึ้น เป็น เช่นไรนั้น ...
เราต้อง"คิดอย่างเป็นระบบ"( Systems Thinking )เพื่อที่จะรู้ว่า...
แต่ละ คน มีปฎิกริยา ( interact )กับ สิ่งรอบตัวเอง(environment ) และมีอิทธิพล( influence)ต่อ กันและกัน ยังไง
ทางเดียวที่จะเข้าใจ ปัญหา( a problem )หรือ สิ่งที่เกิดขึ้น (element)นั้น คือ เราต้องดู ปัญหา หรือ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ในภาพรวม(the whole.)ที่สัมพันธ์กัน..
มิใช่แยกดูเป็นส่วนย่อย(the parts) หรือคิดเฉพาะตัวเรา
วิธีคิดอย่างเป็นระบบ ต้องคิดตาม"เหตุ ที่เกิดและ ผลที่ตามมา" ( cause and effect.) อย่างเป็นวัฎจักร (cycle) เช่นที่ สดายุ อธิบายมานั่นล่ะ
สดายุเห็นไหมว่า "วิธีเรียนรู้" ในสากลนั้น ง่าย และเป็นสัจจธรรมมาก
ศาสนาพุทธ จึงเป็น การเรียนการสอนที่เป็น วิทยาศาสตร์ ในสายตาของโลกตะวันตก..
แต่เวลาเรารับวิทยาการทางตะวันตกมา เราไม่เข้าใจ ปรัชญาในการเรียนการสอนของตะวันตก..เราตัดท่อนมาเรียน..
บอกเท่าไหร่ว่าหน่อไม้คือบ้องกัญชา และ บ้องกัญชาน่ะกินได้.. ก็ไม่ยอมเชื่อกัน..
เพราะเรามองระบบนิเวศน์ หรือ วัฎจักรนั้นไม่เห็น
เพราะเราไม่ได้คิดในรูปของระบบ อย่างมี "เหตุที่เกิดและผลที่ตาม..ต่อต่อกันมา"(causal chains)
"แม่บอกว่า " หากเราไม่ต้องการเป็น..หนึ่งในปัญหา..นั้น
เราต้องมอง..สิ่งนั้น..ในเชิงวิชาการ ! 555
มินตราเลย "วิชาการจ๋า" อย่างที่มีใครเหน็บมานั่นล่ะ...
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 1 สิงหาคม 2557 เวลา:18:20:48 น.
ลูกสาวแม่
แม่ น่าจะเป็นรูปเคารพที่มานพใหญ่น้อยทั้งหลายมิอาจสบสายตาด้วยได้อยู่นะสำหรับบ้านนี้ 55
คนที่เรียนมาทาง วิศวกรรม หรือ วิทยาศาสตร์ อาจพอเข้าใจระบบของเหตุและผลได้อยู่ในแง่วัตถุธรรมอันมองเห็นสัมผัสได้
เช่นเหล็กโดนความร้อนจะขยายตัวได้ ดังนั้นรางรถไฟจึงต้องมีระยะยืดตัวไว้ค่าหนึ่งที่ทุกๆรอยต่อ
รวมทั้งเหตุผลที่ว่าทำไมต้องเซาะร่องบนถนนคอนกรีตแล้วหยอดยางมะตอยลงไปทุกๆระยะความยาวหนึ่งๆ เพื่อบังคับให้แตกตรงนั้น
เพียงแต่จิตวิญญาณมันไม่มีรูปให้เห็น และ จากเหตุสู่ผลมิได้เป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ แต่กลับมี"อำนาจแห่งการปรุงแต่ง(สังขาร)" ที่ไร้เหตุผล ร้ายกาจ และรุนแรงเกินควบคุม ขึ้นมามีอิทธิพลในกระบวนการจากเหตุสู่ผล
จึงต้องรับมือด้วยสิ่งเดียวที่ยิ่งใหญ่กว่ากันในแง่ปริมาณและคุณภาพ อันสามารถรองรับ ทนทาน ยืดหยุ่นต่ออำนาจแห่งการปรุงแต่งที่ไร้เหตุผลต้นกำเนิดได้
แต่หากมองให้ลึกลงไปแล้ว ตัวสังขาร (อำนาจแห่งการปรุงแต่งของจิต) ก็เป็นสภาวะธรรมหนึ่งในกระบวนการของธรรมชาติที่ใส่ไว้ให้ทุกรูปนาม
แปลว่า .. ภาวะการมีอยู่ของสังขารในตนเป็นธรรมชาติเดิมแท้ ตรงนี้ การหลีกเลี่ยง เพื่อมิให้มันมีอยู่ - ทำไม่ได้ ..
แต่ภาวะการทำงานของมันมิได้เป็นธรรมชาติเดิมแท้ ดังนั้น ภาวะการทำงานของมันเราจึงต่อสู้ ควบคุม เอาชนะ หรือ ยอมแพ้ หรือ กำจัดลงให้หมดสิ้นได้ (ถอนอาสวะ)
คนที่ไม่ได้ร่ำเรียนมาทาง จิตวิทยา ก็ต้องอาศัย สามัญสำนึก แหวกไปแบบนี้แหละ .. 555
โดย:
สดายุ...
วันที่: 1 สิงหาคม 2557 เวลา:20:26:05 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
สดายุ...
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [
?
]
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?
Friends' blogs
เป็นแฟนกับกวางน้อย
Webmaster - BlogGang
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
Budha Truth
กรุงเทพธุรกิจ
ข่าวสด
ประชาชาติธุรกิจ
isra-news
ศิลปะวัฒนธรรม
พจนานุกรม
TNN16
series west 2
series west 3
Ch3
Thai PBS
Ch7
One-31
กกต.
series thai
Dict Longdo
บ้านซีรีย์
iQIYI
NationTV
ไทยรัฐ TV
คมชัดลึก
SpringNews
ฐานเศรษฐกิจ
Kseries
pinterest
youtube 2 mp4
settrade
investing
123-hd
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
"O ละภาพพจน์โวหารบรรสารสื่อ
ก็ยุดยื้อใจแล้ว .. อย่างแผ่วค่อย
เหนี่ยวเด็ดไว้แอบออ .. ร่วมรอคอย
การเคลื่อนคล้อยมุ่งหวังอีกครั้งคราว"
กับเพลงโปรดของ"อากง":
" ..ยอดรัก การจากทั้งผูกพัน
ย่อมจะคิดถึงกัน
เร่งวันคืนกลับเคียงกาย"...
วาบหวิว ไปเลยค่ะ...
สดายุคงได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงขิมที่หายไป 8 ปีที่ผ่านมานี่เอง...555 จึงต่อด้วย"วันคอย"...บทต่อไปก็"รักคืนเรือน"...
มินตราเองก็โปรด เครื่องสาย แต่มิใช่ " กู่เจิง"
เป็นซออู้ เสียมากกว่า ไม่ต้องฝึกซ้อมมากมายเพราะ สีให้.."กาสร" ฟัง..(คำนี้เอามาจาก " พฤษภกาสร.") 555