Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2559
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
10 มิถุนายน 2559
 
All Blogs
 

O หอม .. O








Giovanni Marradi - Quietude Forever



O เมื่อทอดกายสองแขนหนุนแทนหมอน
ลมแผ่วพลิ้วโชยย้อน .. คนอ่อนไหว
หลับอยู่กลางอ้อมละมุนของอุ่นไอ
และเรียวมือลูบไล้ .. ด้วยใยดี
O หอมเขนยเกยกอด .. ตลอดคาบ
นิ่งเสพทราบอุ่นไออยู่ในที่
ครั้งนั้นแรงอาลัย .. รอบไมตรี-
ก็คลายคลี่โอบคลุม .. ลงสุมซ้อน
O จนกระซิบคำหวานเผยผ่าน .. แว่ว
ลมร่ำแก้วโรยล้อม .. กลิ่นหอมอ่อน
หอมหัวใจหวานล้ำ .. ถ้อยคำวอน-
ก็ซอกซอนแทรกผลอยู่วนเวียน
O สกุณาป่าฝนบินพ้นผ่าน
เมื่อตำนานรสประณีต .. เริ่มขีดเขียน
ด้วยเลือดอุ่นเรื่อแดง .. ด้วยแรงเพียร-
งามก็เจียรจารทั่ว .. ทั้งหัวใจ
O เลิศพิสุทธิ์ยุดย้ำ .. กรองคำถ้อย
ก็เพื่อคอยสำหรับ .. การขับไข
รอบอาวรณ์รำบายจากภายใน
เผยออกให้เห็นความงดงามนั้น
O เมื่อตื่นตามองเห็น .. ความเป็นไป
ก็เมื่อสบตาใคร .. แวว-ไหวสั่น
ความรู้สึกลึกซึ้งเชื่อมถึงกัน
แววที่หวั่นไหวอยู่ .. ก็รู้เชิญ
O ถ้วนสิ้นความอ่อนหวาน .. ที่ผ่านหา
คล้ายกับว่ามาช่วย .. กลบขวยเขิน
ความรู้สึกดื่มด่ำก็ดำเนิน-
เข้าก้ำเกินใจอยู่ไม่รู้ลา
O สายลม .. มวลดอกไม้ที่รายรอบ
คล้ายรอนอบน้อมให้ผู้ใฝ่หา
สุรโลกสรวงสูง .. จับจูงมา
รองรับแรงภิรมยาในอารมณ์
O กลางสายลมโรยระลอก .. หอมดอกไม้
คือหัวใจคนรื่น .. สิ้นขื่นขม
กรุ่นตักเนื้ออุ่นอ่อน .. ตาค้อนคม-
เหมือนห้อมห่มถ่ายถอน .. ความอ่อนล้า
O งามประกายเนตรพรับให้นับเนื่อง
ผ่องผกายเรื่อเรื้องที่เบื้องหน้า
โอนอ่อนหวานผ่านแล้วในแววตา
มอบห่วงหาอาวรณ์ .. ลงซ้อนทบ
O กลางสายลม .. แขนเรียว .. ส่วนเสี้ยวหน้า-
ก็โน้มฝ่าใฝ่ฝันลงบรรจบ
โอษฐ์อิ่มแนบแก้มพลัน .. ก็ครันครบ-
เงื่อนเหตุแห่งชาติภพ .. ตระหลบล้อม
O ครั้งนั้นความอ่อนหวานที่ผ่านหา
ก็เหมือนว่าแผ่ซ่านทุกย่านหย่อม
แทรกวิญญาณเจตจินต์ให้ยินยอม-
เพื่อรอพร้อมถนอมขวัญ .. ให้มั่นคง
O ทั้งสิ้นและทั้งปวง .. ความห่วงใย
ก็วกเวียนรอบให้ .. อาลัย-หลง-
ร่วมอ่อนไหวอ่อนหวาน .. ได้ผ่านลง-
แผ่วบรรจงแตะวาง .. ที่กลางใจ
O ทั้งสิ้นและทั้งปวง .. แรงห่วงหา
ก็วกย้อนกลับมา .. ให้อาศัย-
ส่งรับความมั่นหมาย .. จากภายใน-
สองหัวใจผูกมั่น .. ร่วมพันธนา
O วันนี้ .. ริ้วลมฝน .. เมื่อพ้นผ่าน
ถ้วนปวงความอ่อนหวานก็ปานว่า-
โหมแรงลงผูกพัน .. คอยบัญชา-
แต้มเติมอาวรณ์ชู้คอยอยู่ .. เคียง
O แก้วดอกขาวหอมอ่อนกำจรกลิ่น
เมื่อถวิลอาลัย .. เริ่มให้เสียง
รื่นลมร่ำกำจาย..ก็หมายเพียง-
หอมจะรอร่วมเรียงลงเคียงใจ
O งามท่วงทีลักขณารูปปรารมภ์
ต่างฤๅ-มาลย์กลิ่นฉมเมื่อลมไหว-
ออดอ้อนลมลอดเลี้ยวผ่านเรียวใบ
ต่างฤๅ-นัยน์ตาค้อน .. ออดอ้อนนั้น ?
O รื่นรมย์กลางลมเหนือ, ที่เหนือกว่า-
คือแววตาของใคร .. วาบไหว-สั่น
บอกว่าบางอารมณ์ .. สุดข่ม, กัน-
ความผูกพันเสน่หาแสนอาวรณ์
O กลางริ้วลมโรยระลอก .. หอมดอกแก้ว
คล้ายเสียงหนึ่งผ่านแว่ว .. ดังแผ่ว-อ้อน
คอยรุมเร้าจิตชาย .. สู่ปลายจร-
เอื้อมเหนี่ยวกรเรียวเจ้า .. ที่เฝ้ารอ
O ริ้วลมหนาวผ่านสาย .. เมื่อสายแล้ว
โลมลูบแก้วระริกไหว .. ก้าน .. ใบ .. ช่อ
ต้องลมหนาวล้อมรุมทั้งพุ่มกอ
ต่างฤๅพักตร์นวลลออ .. ร่ำรอชม
O โอ .. เลือดฝาดแต่งแต้มเนียนแก้มอิ่ม
หรือ-สบยิ้มอ่อนหวาน .. แล้วซ่านสม ?
โอ .. ท่วงทีเอียงอายกลางสายลม-
ฤๅ-อาจข่มขับล้างให้จางรอย ?
O เข้าสาย .. ลมอ่อยเอื่อย, นกเจื้อยแจ้ว
เมื่อลมร่ำโลมแก้วอย่างแผ่วค่อย
ต่างฤๅอารมณ์ชู้ที่รู้คอย-
เฝ้าแหนหวงอ่อนน้อย .. รูปรอยนั้น
O แก้ว .. ปีบ .. โมกดอกขาว .. อะคร้าวรูป
ต้องลมลูบโลมไล้ .. ก็ไหวสั่น
แววในตาสบหมายย่อมคล้ายกัน
ต้องเลศนัยไหวหวั่น .. สุดบั่นทอน
O ขลุ่ยสังคีตยังครวญเสียงหวนไห้
เมื่ออาวรณ์อาลัยเกินไถ่ถอน
รับรู้เถิดใจเจ้า-ความเว้าวอน-
ย่อมออดอ้อนอยู่พร้อมอย่างยอมใจ
O กลางริ้วลมโรยระลอก .. หอมดอกแก้ว-
ก็หอมแล้วหอมอีก .. เกินหลีกไหว
อาจรุมเร้าเจตจินต์ .. ตราบสิ้นไป-
แห่งเปลวไฟลุกช่วง .. ทุกดวงดาว !




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2559
4 comments
Last Update : 30 มิถุนายน 2566 14:20:24 น.
Counter : 3431 Pageviews.

 

ที่จริงกลอนเป็นเพียงการเขียนเรื่องราวที่คนเขียนต้องการออกมา
เหมือนเรียงความธรรมดาเท่านั้น

เพียงแต่มีการสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาเล่นท้าทายมากขึ้น ตรงที่ต้องมีคำสัมผัสสระ
และกำหนดเสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรคที่ฟังแล้วไพเราะขึ้นมากำกับการเขียนแบบพิเศษนี้

คนเราส่วนใหญ่ขาดการมองถึงจุดใหญ่ใจความ ก็หลงอยู่กับคำ เร่หาสัมผัสกันเอาเป็นเอาตาย
คำที่ปกติมนุษย์ไม่พูดกัน กลับปรากฎขึ้นได้ในการเขียนกลอนของหลายๆคน

เขาเป็นคนมีใจ “โอบอ้อม” อารี
เธอกำลังทอดตัวอยู่ใน “อ้อมโอบ” ของวงแขนสุดที่รัก

คำคู่ควบ เมื่อกลับหน้ากลับหลัง ความหมายที่สื่อออกมาจะผิดแปลกไปคนละอย่างทีเดียว
และตรงนี้เปรียบเหมือนก้อนสบู่ตกทรายของคนเขียนกลอนจำนวนมาก คือไม่ลื่นไหล และความหมายยังน่าขำ
ไม่เว้นกระทั่งกวีใหญ่ที่มีหลุดออกมาให้เห็นประปรายเป็นครั้งคราว

 

โดย: สดายุ... 15 มิถุนายน 2559 8:37:29 น.  

 

สดายุ...

"เรียงความธรรมดา" จากผู้ประดิษฐ์ ที่มีความรู้แตกฉานเรียกว่าเป็น "นวัตกรรม"(innovation)

ส่วน"ความใดก็ตาม" ที่เน้นออกมาจากส่วนลึกของหัวใจความนั้นย่อม กินใจผู้อ่านเสมอ....

แปลกนะ อ่านในวันแรกที่ลง รู้สึกกระด้าง
หลายวันผ่านไป ..วันนี้มาอ่านใหม่..กลับรับอารมณ์และความอ่อนไหวของผู้ประดิษฐ์ได้

 

โดย: บุษบามินตรา IP: 188.165.240.145 15 มิถุนายน 2559 10:19:12 น.  

 

1.บทความจากข่าว
ที่ผ่านมาการทำงานร่วมกันถือว่าน้อยมากต่างคนต่างทำของตัวเอง แต่ตอนนี้มองว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องมาช่วยกัน
.
.
2.ร้อยแก้วปรับแต่ง-ตีความ
การทำงานร่วมกันที่ผ่านมามีน้อยมาก
ต่างคนต่างทำของตัวเอง
ตอนนี้มองว่าถึงเวลาแล้ว
ที่ต้องมาช่วยกัน
.
.
3.ร้อยกรอง เดินความด้วยฉันทลักษณ์
ผ่านยุคความร่วมใจอันไร้สิ้น
ที่เจตจินต์อัตตาล้วนกล้าแข็ง
ถึงเวลา-ผิดเพี้ยน .. ต้องเปลี่ยนแปลง-
มาร่วมแรงร่วมค้ำเจตจำนง

 

โดย: สดายุ... 15 มิถุนายน 2559 10:22:52 น.  

 

มินตรา ..
นารีปราโมช ตอนเขียนส่วนใหญ่จะมีภาพ และอาการกิริยา ของเป้าหมายอยู่ในจินตนาการนะ
คนเขียนต้องมีความนิยมในบุคลิกภาพและจริตของสตรีวัยสาว ถึงจะเขียนบทนารีปราโมชได้ดี ..

หัวใจ และ การอ่านที่กว้างขวางจึงมีส่วนสำคัญ
หัวใจ ใช้เดินความ
การอ่านที่ทำให้รู้เรื่องราว ใช้เปรียบเปรย อุปมาอุปไมย
ทั้งสองอย่างมีส่วนสำคัญทำให้กลอนน่าอ่าน

เพียงกระเพื่อมเลื่อมรับวับวับไหว
ก็รู้ว่าน้ำใสใช่กระจก
เพียงแววตาคู่นั้นสั่นสะทก
ก็รู้ว่าในหัวอกมีหัวใจ

ยกตัวอย่างกลอนของ เนาวรัตน์ พงศ์ไพบูลย์มาประกอบ (แม้ความคิดทางการเมืองจะน่าเอือมระอาอยู่บ้างก็ตาม - 55)
การยกเอาผลแห่งอาการหรือปรากฎการณ์ มาขึ้นต้นวรรคในลักษณะ passive voice ทำให้น่าสนใจที่จะติดตาม
อะไรเล่าที่กระเพื่อมได้ และสะท้อนแสงได้ หากมิใช่น้ำ ?
แผ่นน้ำที่นิ่งเรียบ เปรียบได้กับแผ่นกระจก อันนี้สมเหตุสมผล

แล้วสามารถโยงมาหาแววตาสาว ที่สะทกสะเทิ้น วับวามได้อย่างกลมกลืน (จริตแห่งวัยสาวน้อยก่อนที่จะรู้เดียงสา ?)
แววสะทกสะเทิ้นย่อมเกิดจาก อารมณ์ที่กำลังกระเพื่อมปั่นป่วนด้วยแรงอุทธัจขัดเขิน จะเกิดจากไหนเล่าหากมิใช่หัวใจ ?

กลอนบทนี้จึงอุปมาอุปไมยได้ดีทีเดียว ..

 

โดย: สดายุ... 15 มิถุนายน 2559 11:05:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.