Group Blog
All Blog
### การปฏิบัติธรรมนี้เราต้องทำกันเอง ###















“การปฏิบัติธรรมนี้เราต้องทำกันเอง”

ตอนนี้ยังมีโอกาสที่จะศึกษา จึงควรฟังเทศน์ฟังธรรมไปเรื่อยๆ

 ฟังแล้วก็นำเอาไปใคร่ครวญพิจารณาอยู่เรื่อยๆ

เพราะนี่คือบ่อเกิดของปัญญา ที่จะพาเราไปสู่มรรคผลนิพพาน

 ในมรรค ๘ ก็เริ่มต้นที่สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปโป

ความเห็นชอบกับความดำริชอบ นี่แหละเป็นตัวปัญญา

 ใจของเราคิดอยู่ตลอดเวลา

แต่มักจะไม่คิดไปในทางสัมมาทิฐิสัมมาสังกัปโป

มักจะคิดไปในทางมิจฉาทิฐิมิจฉาสังกัปโป

 คือคิดผิดมีความเห็นผิด ถ้าคิดหาความสุขทางโลกก็คิดผิดแล้ว

 เพราะความสุขที่แท้จริงอยู่ในทางธรรม

ต้องคิดว่าในโลกนี้ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์

 เพราะในโลกนี้มีแต่ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน

 ไม่มีอะไรเป็นของเรา ถ้าคิดอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ

 ก็จะทำให้เราเกิดความเบื่อหน่ายในทางโลก

ทำให้เรามีความยินดีที่จะไปในทางธรรม

 เราก็จะมุ่งไปในทางธรรม จะพยายามนั่งสมาธิเจริญสติอยู่เรื่อยๆ

 พอนั่งสมาธิได้ มีสติอย่างต่อเนื่องแล้ว จิตจะมีความสุข

มีความสงบมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องไปหาความสุขจากภายนอก

 ไม่ต้องดิ้นรนหาเงินหาทอง เพื่อเอามาซื้อความสุข

ก็จะเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีเงินทองไว้มากมาย

ก็จะแบ่งปันให้ผู้อื่น เอาไปทำบุญ เก็บไว้เท่าที่จำเป็น

 จะเข้าหาความสุขภายในให้มากขึ้น

ถ้าลองได้เข้าข้างในแล้ว การใช้เงินใช้ทองจะไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่

 ใช้เฉพาะดูแลอัตภาพร่างกายเท่านั้น

คือซื้ออาหารมารับประทาน เสื้อผ้าก็แทบจะไม่ต้องซื้อ

เพราะมีอยู่มากแล้ว ยารักษาโรคนานๆจะใช้สักครั้งหนึ่ง

 เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ที่อยู่อาศัยก็มีอยู่แล้ว

ไม่จำเป็นต้องไปทำงานให้เหนื่อยยาก มีเวลาอยู่บ้านปฏิบัติธรรม

 ถ้าไม่อยู่บ้านก็ไปอยู่วัด

ทั้งหมดนี้เกิดจากการคิดไปในทางธรรม

คิดว่าโลกนี้ไม่มีอะไรน่ายินดี ไม่มีอะไรเป็นความสุขที่แท้จริง

 มีอะไรก็ต้องทุกข์กับสิ่งนั้น เพราะไม่อยู่คงเส้นคงวา

ไม่เป็นเหมือนเดิมไปตลอด มีการเปลี่ยนแปลง

มีการพลัดพรากจากกัน นี่คือลักษณะของสิ่งต่างๆในโลกนี้

เป็นอย่างนี้ ไม่ได้ให้ความสุขที่ถาวร มีโทษมีทุกข์ตามมาด้วย

เมื่อมีแล้วก็หวงก็ห่วง เสียดายเวลาที่จากไป

 ไม่มีอะไรเลยจะดีกว่า มีเท่าที่จำเป็นก็พอ

 มีลมไว้หายใจ มีน้ำไว้ดื่ม มีข้าวไว้รับประทาน

พยายามคิดทางปัญญาอยู่เรื่อยๆ คิดทางอนิจจังทุกขังอนัตตา

 คิดว่ารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา

 สิ่งที่เราเห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู ดมด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น

 สัมผัสด้วยร่างกาย ล้วนเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตาทั้งนั้น

 แล้วจะเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมา

 จะเกิดความยินดีที่จะเจริญธรรมะ ที่จะปฏิบัติทำจิตใจให้สงบ

 พอตั้งหน้าตั้งตาทำกันจริงจัง ไม่นานก็จะเห็นผล

ที่ไม่ได้ผลกันส่วนใหญ่เพราะไม่เอาจริงเอาจังกัน

 ทำไปพอหอมปากหอมคอ พอนั่งปั๊บก็ง่วงหลับไปแล้ว

ถ้าไม่หลับก็ฟุ้งซ่าน ไม่เช่นนั้นก็เจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้

เพราะไม่มีสติ ไม่ได้จดจ่ออยู่กับพุทโธ ไม่ได้อยู่กับลมหายใจเข้าออก

 มัวแต่คิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็จะไม่ได้ผล จะท้อแท้หมดกำลังใจ

กิเลสก็จะมาอ้างว่าปฏิบัติไปก็ไม่ได้ประโยชน์

วาสนาไม่พอบุญไม่พอ เอาไว้ชาติหน้าค่อยทำใหม่

ชาตินี้เอาความสุขทางโลกไปก่อน

ถึงแม้มันจะทุกข์ แต่ก็ยังสุขบ้าง เวลาสุขก็ดีอยู่หรอก

แต่เวลาทุกข์ก็อย่าไปโทษใครก็แล้วกัน โทษตนเอง

เวลาร้องห่มร้องไห้เสียอกเสียใจ ปวดใจช้ำใจ อยู่ที่เราทั้งนั้น

ไปหลงเขาเอง ไปหลงกับสิ่งต่างๆเอง

พอสิ่งต่างๆไม่ตอบสนองตามที่ต้องการก็อย่าไปโทษใคร

โทษความหลงของเราเอง

สิ่งที่จะสนองตอบเราตลอดเวลาด้วยความซื่อสัตย์ก็ไม่เอากัน

 คือความสงบของจิตใจ มันซื่อสัตย์กับเรามาก

 พอทำให้สงบแล้วมันก็จะสงบไปเรื่อยๆ

 จะไม่มีการปฏิวัติ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง จะสงบอยู่เรื่อยๆ

ให้เข้าหาธรรมะภายในจิตใจ เข้าข้างใน อย่าออกข้างนอก

หลวงปู่ดุลย์ท่านก็พูดไว้แล้วว่า จิตออกข้างนอกเป็นสมุทัย

 ถ้าจิตคิดถึงเรื่องลาภยศสรรเสริญสุข คิดถึงคนนั้นคนนี้

ก็จะเป็นทุกข์ขึ้นมา ถ้าเข้าข้างในแล้วก็จะเย็นสบาย

เข้าหาพุทโธ เข้าหาลมหายใจ

เข้าหาการพิจารณาอาการ ๓๒ ของร่างกาย

พิจารณาเกิดแก่เจ็บตาย ให้อยู่ในวงนี้

 แล้วรับรองได้ว่าความสงบจะไม่อยู่ห่างไกล

เมื่อมีความสงบก็จะมีความสุข

เป็นความสุขที่ไม่มีใครสามารถพรากจากเราไปได้

เป็นเงาตามตัวเราไป ตอนนี้ก็ต้องพยายามผลักดันตัวเองไปเรื่อยๆ

 ให้มีความพากเพียร ไม่มีใครทำแทนเราได้

ตนเป็นที่พึ่งของตน อัตตาหิ อัตโน นาโถ

พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ เป็นเพียงผู้ชี้ทาง

แต่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าไม่มีผู้ชี้ทาง

 ถึงแม้จะมีความเพียรมากน้อยเพียงไรก็ตาม

 ถ้าเพียรไปในทางที่ผิดก็จะไม่เกิดประโยชน์เลย

เช่นองคุลิมาลที่เพียรฆ่าคนถึง ๙๙๙ คน แต่เพียรไปในทิศทางที่ผิด

เพราะไม่มีผู้สอนผู้ชี้ทางที่ถูก พอได้พบกับพระพุทธเจ้าที่ทรงบอกว่า

ไปผิดทางแล้ว ต้องไปทางนี้ ไม่ใช่ไปทางโน้น

พอได้ยินได้ฟังก็เข้าใจ ก็เลยพลิกใจกลับมาบำเพ็ญใหม่

ย้อนเข้าข้างในไม่ออกไปข้างนอก ไม่หาความวิเศษจากข้างนอก

จากการไปทำร้ายผู้อื่น จากการไปเหยียบย่ำทำลายผู้อื่น

 จากการยกตนข่มท่าน ที่ไม่ได้ทำให้ตนเองประเสริฐ

ผู้ประเสริฐจะต้องกดตัวเอง กดกิเลสของตน ข่มตนเอง

 ยกย่องผู้อื่นแต่ข่มตนเอง ถึงจะทำให้ตนเองประเสริฐ

 แต่กิเลสจะชอบทำตรงกันข้าม ชอบข่มผู้อื่น ชอบยกตนเอง

 จึงไม่ประเสริฐกัน

ต้องพึ่งตนเอง ต้องปฏิบัติเอง ต้องมีสติเตือนตนอยู่เรื่อยๆ

พิจารณาไปในทางธรรม คิดไปในทางปัญญาไปเรื่อยๆ

แล้วก็จะเกิดความรู้ความฉลาดขึ้นมา

 แล้วมันจะเป็นตัวคอยดึงเราไป

ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระอานนท์

 ให้เจริญมรณานุสติอยู่เสมอ ว่าเกิดมาแล้วต้องตาย

ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จีรังถาวร

ที่จะให้ความสุขกับเราไปตลอด เมื่อคิดอย่างนี้แล้วก็จะคลายความหลง

 จะไม่เสียเวลากับการหาความสุขทางโลก

จะหันมาหาความสุขทางธรรม

คิดอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ ต้องบังคับให้คิดไปในทางนี้

ในเบื้องต้นก็คิดไปเรื่อยๆว่าเกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย

 ต้องพลัดพรากจากกัน ไม่มีอะไรที่จะเป็นความสุขที่ถาวร

 เป็นเหมือนงานเลี้ยงที่มีการสิ้นสุด

เวลาไปงานเลี้ยงใหม่ๆก็มีความสนุกสนานเฮฮา

 พอดึกเข้าดึกเข้าก็ต้องเลิกลากันไป

ความสุขทางโลกมันเป็นอย่างนี้ ไม่ถาวร

แต่ความสุขทางธรรม จากการปฏิบัติธรรมจนได้พบกับความสงบ

 จะถาวร จะอยู่กับใจไปเรื่อยๆ ในเบื้องต้นก็มีเป็นพักๆไปก่อน

 พอปฏิบัติมากขึ้นมากขึ้นไปเรื่อยๆ ปฏิบัติทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว

 ความสุขความสงบก็จะต่อเนื่อง

 จนเป็นธรรมชาติอยู่ติดกับใจตลอดเวลา

 เมื่อพบกับความสุขแบบนี้แล้ว จะไม่หิวไม่อยากกับอะไรทั้งนั้น

 ไม่เห็นอะไรที่จะวิเศษ ไม่เห็นว่าใครจะวิเศษ

ไม่เห็นว่าจะมีอะไรในโลกที่วิเศษเลย เราสมมุติมันขึ้นมาทั้งนั้น

 ของทุกอย่างก็ผลิตมาจากธาตุ ๔ ทั้งนั้น มาจากดินน้ำลมไฟ

ดินก็คือของแข็ง น้ำก็คือของเหลว ไฟก็คือของร้อน ลมก็คืออากาศ

 พวกก๊าซต่างๆ เอามาผสมรวมกัน ถ้าศึกษาทางวิทยาศาสตร์ก็จะรู้ว่า

 การผลิตข้าวของต่างๆต้องมีธาตุทั้ง ๔ เป็นองค์ประกอบ

ทำให้เป็นกระดาษ ทำให้เป็นกล่อง ทำให้เป็นแก้ว ทำให้เป็นเสื้อ

ทำให้เป็นอะไรต่างๆ มาจากธาตุ ๔ ทั้งนั้น ไม่ได้วิเศษอะไร

แม้แต่เพชรที่มีราคาแพงมาก หรือทองคำ ก็เป็นโลหะเท่านั้นเอง

แต่ความหลงหลอกให้เราคิดว่าวิเศษ

เราวัดกันด้วยวัตถุข้าวของเงินทอง ถ้ามีมากก็ถือว่าวิเศษมาก

ถ้ามีน้อยก็วิเศษน้อย โลกสมมุติเขาวัดกันอย่างนั้น

 แต่ในสายตาของธรรมะ ของผู้ที่มีปัญญา ไม่ได้วัดกันที่วัตถุ

แต่วัดที่คุณธรรม วัดที่น้ำใจ ว่ามีมากน้อยเพียงใด

มีความซื่อตรงมากน้อยเพียงใด อยู่ตรงนั้นมากกว่า

คุณค่าของคนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้อยู่ที่วัตถุข้าวของเงินทอง

จึงอย่าหลงประเด็น อย่าหลงกับสิ่งต่างๆในโลกนี้

แต่ก็ต้องมีไว้บ้าง เพราะยังต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้อยู่

มีไว้เพื่อสนับสนุนการดำรงชีพ

เพราะยังต้องอาศัยชีวิตนี้บำเพ็ญปฏิบัติธรรม

 เพื่อให้ได้ไปถึงจุดที่ไม่ต้องอาศัยมันอีกต่อไป

เมื่อถึงจุดนั้นแล้วจะเป็นจะตายก็เท่ากัน ไม่เดือดร้อนอะไร

ตอนนี้เรายังต้องอาศัยมัน เหมือนกับเรือ จะข้ามฟากก็ต้องอาศัยเรือ

 เมื่อยังไม่ถึงฝั่งโน้นก็อย่าพึ่งไปจมเรือ ถ้าจมเรือก็ต้องว่ายเอง

ร่างกายก็เป็นเหมือนเรือที่จะพาเราข้ามฟาก

จากโลกนี้ไปสู่ฟากของพระนิพพาน ยังต้องอาศัยมัน ต้องดูแลมัน

 จึงต้องมีบ้าน มีทรัพย์ มีข้าวของเงินทองไว้สนับสนุน

แต่ให้มีพอประมาณ พออยู่พอกิน อย่าหมดเวลาไปกับการหาสิ่งเหล่านี้

เพราะจะไม่มีเวลาปฏิบัติกัน หาพอสมควร ใช้เวลาให้น้อยที่สุด

 เพื่อจะได้มีเวลามากในการปฏิบัติ

 ถ้าหามามาก มีเงินมากเกินไป ก็จะคิดไปในทางกิเลส

 แทนที่จะเอาเงินไปทำบุญหรือเข้าวัดปฏิบัติธรรม

 ก็จะคิดเอาเงินไปเที่ยวดีกว่า ไปซื้อของฟุ่มเฟือยดีกว่า

แล้วก็จะติดเหมือนติดยาเสพติด เที่ยวแล้วก็อยากจะเที่ยวอีก

ซื้อของฟุ่มเฟือยแล้วก็อยากจะซื้ออีก ต้องกลับมาหาเงินใหม่

ก็เลยไม่ได้ไปวัดเสียที ไม่ได้ไปปฏิบัติกันเสียที

ต้องพยายามขจัดความสุขทางโลกให้ได้

ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของฟุ่มเฟือยต่างๆ

 หรือการไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ มันเป็นเหมือนยาเสพติด

ไม่ได้ทำให้เราวิเศษขึ้นมา แต่จะทำให้ติดอย่างงอมแงม

 ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกหลายภพหลายชาติ

ต้องผลักตัวเราเอง ให้ฟังเทศน์ฟังธรรม เพื่อให้ได้ข้อคิดที่ให้กำลังใจ

 ให้คิดไปในทางที่ถูก ที่จะพาไปสู่การปฏิบัติ

 พอปฏิบัติแล้วก็จะได้พบกับผล ได้พบกับความสุข

 จะมีกำลังใจเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดจะไม่สนใจกับโลกนี้

จะสนใจกับการปฏิบัติอย่างเดียว

 ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว ไม่นานก็ถึงจุดหมายปลายทาง

 ถึงปรมังสุขัง ถึงบรมสุข ถึงจุดที่ไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป

 ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิด ให้ทุกข์ยากลำบาก

 จึงขอสรุปให้พยายามผลักดันตัวเอง

อย่าไปฝันว่าครูบาอาจารย์หรือพระศรีอาริย์ จะช่วยเราได้ในการปฏิบัติ

ท่านช่วยเราด้วยการบอกทาง แต่การปฏิบัติเราต้องทำกันเอง.

....................

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

กัณฑ์ที่ ๓๘๑ วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๑ (จุลธรรมนำใจ ๑๓)

“พระปาฏิโมกข์”

ขอบคุณที่มา  fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ












Create Date : 28 พฤศจิกายน 2558
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2558 11:13:38 น.
Counter : 944 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ