ธรรมะไม่เกี่ยวกับพระหรือโยม
หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ
พระไพศาล วิสาโล เขียนเล่าเรื่อง
เมื่อ ๔๐ ปีก่อนนักศึกษาและปัญญาชนผู้ใฝ่ธรรม
น้อยคนที่ไม่รู้จักเขมานันทภิกขุ (โกวิท เอนกชัย)
พระหนุ่มซึ่งมีลีลาการบรรยายธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เนื้อหาลุ่มลึก ถ้อยคำสละสลวย สำนวนจับใจ
นอกจากคำบรรยาย บทความ บทกวี และภาพวาดแล้ว
ท่านยังมีผลงานทางประติมากรรมมากมาย
เป็นพยานปรากฏอยู่ที่สวนโมกข์จนทุกวันนี้
โดยเฉพาะที่โรงมหรสพทางวิญญาณ
ปี ๒๕๑๘ ท่านได้จำพรรษาที่วัดชลประทานรังสฤษฎิ์
เพื่ออบรมพระนวกะและญาติโยม โดยไม่นึกมาก่อนว่า
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของท่านจะเกิดขึ้นที่นั่น
พรรษานั้นหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ได้รับนิมนต์
มาจำพรรษาที่วัดชลประทาน ฯ เช่นเดียวกัน
แต่แทบไม่มีใครรู้จักท่านเลย เห็นอากัปกิริยาภายนอกของท่าน
ใคร ๆ ก็นึกว่าท่านเป็นหลวงตาธรรมดา
พระอาจารย์โกวิท ก็คิดเช่นเดียวกัน จนกระทั่งวันหนึ่ง
หลังจากที่พระอาจารย์โกวิทได้บรรยายธรรมแก่พระนวกะเสร็จ
หลวงพ่อเทียนซึ่งนั่งฟังอยู่ตลอด ได้มาดักถามท่านว่า
ความรู้เหล่านี้เอามาจากไหน ท่านรู้สึกสะดุดใจกับคำถามนี้มาก
สี่ทุ่มคืนนั้น หลวงพ่อเทียนมาหาท่านที่กุฏิแล้วถามหาเส้นด้าย
พอท่านคลี่ด้ายให้ หลวงพ่อก็ถามหามีดโกน
ทันทีที่ได้มีดโกน หลวงพ่อเทียนก็ตัดด้ายขาด
แล้วมองหน้าพระอาจารย์โกวิท พร้อมกับบอกว่า
ถ้าอาจารย์ยังมาไม่ถึงจุดนี้แล้ว ยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า
คำพูดดังกล่าวสะกิดใจท่าน
ทำให้ฉุกคิดขึ้นมาว่าหลวงตารูปนี้ไม่ธรรมดา
นับแต่นั้นทุกคืนเวลาสี่ทุ่ม
หลวงพ่อเทียนจะมาหาพระอาจารย์โกวิทที่กุฏิ
เพื่อคุยเรื่องต่าง ๆ โดยมักจะดึงสิ่งของจากในย่าม
มาเป็นอุปกรณ์ในการพูดคุย แม้หลวงพ่อเทียนจะพูดไม่เก่ง
อีกทั้งภาษาอีสานของท่านก็ฟังยาก แต่ก็มีแง่มุมให้ขบคิดอยู่เสมอ
สร้างความประทับใจแก่พระอาจารย์โกวิท
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการนับถือ
หลวงพ่อเทียนเป็นอาจารย์ทางธรรม
ทั้ง ๆ ที่ท่านอ่านหนังสือไม่ค่อยออก
ตอนนั้นพระอาจารย์โกวิทยังติดสมถะ
คราวหนึ่งท่านกำลังนั่งหลับตาทำสมาธิ
หลวงพ่อเทียนเดินมาจี้ท่านที่สีข้างถามว่า ทำอะไร
ทำสมาธิครับ
ทำทำไม
เมื่อจิตสงบ ปัญญาก็เกิด
ได้ยินเช่นนั้น หลวงพ่อเทียนก็จับมือพระอาจารย์โกวิทแล้วกล่าวว่า
การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าต้องทำอย่างนี้
พระอาจารย์โกวิทไม่เข้าใจว่าหลวงพ่อเทียนต้องการบอกอะไร
เป็นเวลานานกว่าท่านจะรู้ว่าสิ่งที่หลวงพ่อเทียนต้องการสื่อก็คือ
ให้ท่านหมั่น รู้สึกตัว แทนที่จะหลงติดอยู่ในความสงบ
ซึ่งเป็นของชั่วคราว
ปี ๒๕๒๕ จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญได้เกิดขึ้นกับท่านอีกครั้งหนึ่ง
ท่านได้ลาสิกขาขณะพำนักที่ประเทศออสเตรเลีย
เมื่อกลับมาประเทศไทย ลูกศิษย์หลายคนยอมรับไม่ได้
ถึงกับแสดงปฏิกิริยาต่อต้าน
แต่หลวงพ่อเทียนไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
ไม่ถามถึงสาเหตุของการสึกเลยด้วยซ้ำ
ทั้ง ๆ ที่อาจารย์โกวิทบวชมาถึง ๑๖ พรรษา
หลวงพ่อบอกแต่เพียงว่า ให้ปฏิบัติ บางคนเหมาะขณะเป็นพระ
บางคนเหมาะขณะเป็นโยม ไม่มีข้อจำกัดในการปฏิบัติ
ตามแนวทางของหลวงพ่อ
หลวงพ่อเทียนเห็นว่า นักบวช หรือ ฆราวาส เป็นเรื่องสมมติ
ส่วนการปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์นั้น ไม่ขึ้นอยู่กับสมมต
จะเป็นเพศใด ภาษาใด ถ้าทำจริงก็ได้ผล
การปฏิบัติ ได้ หรือ ไม่ได้ เป็นเรื่องของแต่ละคน
ไม่เกี่ยวกับการเป็น พระ หรือเป็นโยม
ตอนนั้นหลวงพ่อเทียนเป็นประธานสงฆ์ที่วัดสนามใน นนทบุรี
จึงจัดให้อาจารย์โกวิทบรรยายธรรมให้ญาติโยมฟังทุกวันอาทิตย์
ลูกศิษย์ของหลวงพ่อหลายคนมีความตะขิดตะขวงใจ
ที่อาจารย์โกวิทมาแสดงธรรม วันหนึ่งท่านถามอาจารย์โกวิทว่า
มีเสื้อไหม อาจารย์โกวิทไม่รู้ว่าหลวงพ่อต้องการเสื้อไปทำอะไร
แต่ก็หาเสื้อคลุมอาบน้ำและหมวกกุ้ยเล้ย มาให้ท่าน
พอได้มาหลวงพ่อก็สวมเสื้อคลุมและสวมหมวกกุ้ยเล้ย
ออกไปนั่งกลางลานวัด ท่ามกลางความงุนงงสงสัยของลูกศิษย์
หลายคนไม่เข้าใจว่าท่านทำเช่นนั้นทำไม
แต่จำนวนไม่น้อยก็ได้คิดว่า อย่าตัดสินคนที่เปลือกนอก
จีวรหรือเสื้อผ้าเป็นสิ่งสมมติ
แม้หลวงพ่อเทียนจะสวมเสื้อคลุม ก็ไม่ได้ทำให้ธรรมะ
หรือแก่นแท้ของท่านแปรเปลี่ยนไป
มองให้ลึกไปกว่านั้น แม้จะนุ่งกางเกงหรือผ้าถุง
ก็สามารถบรรลุธรรมได้
ในช่วงท้ายของชีวิตหลวงพ่อเทียนได้สร้าง
สำนักปฏิบัติธรรมแห่งใหม่ ที่จังหวัดเลย บ้านเกิดของท่าน
ตั้งใจให้เป็นสถานปฏิบัติธรรมสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ
ท่านได้ขอให้อาจารย์โกวิทตั้งชื่อสำนัก
ทับขวัญคือชื่อที่อาจารย์โกวิทเสนอ
แต่หลวงพ่อย้ำว่าชื่อต้องเป็นผู้หญิง ชื่อใหม่จึงได้แก่ ทับมิ่งขวัญ
หลวงพ่อได้สอนธรรมณ สถานที่แห่งนี้จนกระทั่งมรณภาพ
เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๑ สิริอายุ ๗๗ ปี
ขอบคุณที่มา fb. วัดป่าสุคะโตธรรมชาติที่พักใจ
ขอบคุณเจ้าของภาพทุกภาพค่ะ