Group Blog
All Blog
### เราต้องอยู่ในปัจจุบัน อดีตก็เหมือนกับความฝัน ###

















“เราต้องอยู่ในปัจจุบัน

 อดีตก็เป็นเหมือนความฝัน”

ถาม : พระอาจารย์ครับ แล้วเราจะทราบได้อย่างไรครับ

ว่าการทำบุญแล้วเขาได้รับ หรือว่าได้อนุโมทนาบุญในส่วนที่ทำ

 ถึงไม่ถึงนะครับ

พระอาจารย์ : ก็บางทีเรานอนหลับ เขาอาจจะเข้ามาในฝันเราก็ได้

 ถ้าเราไม่มีพลังจิตที่จะรับรู้ผ่านทางสมาธิ

 เราก็ต้องรับรู้ผ่านทางเวลาที่เรานอนหลับฝันไป

แต่การฝันมันก็ไม่แน่อีก อาจจะเป็นเราคิดไปเองก็ได้

 หรือเขามาหาเราก็ได้ ถ้าเราอยากจะรู้ว่าเขามาหาเรา

เราก็ต้องคุยกับเขาได้ ถามสารทุกข์สุกดิบได้

หรือให้เขาบอกอะไรบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่รู้แต่เขารู้

 แล้วเขาให้เราไปหาสิ่งนั้น ว่าเขาเก็บของชิ้นนี้ไว้ตรงนั้นตรงนี้

แล้วเราไปทำตามที่เขาบอก แล้วก็ได้เจอสิ่งนั้นสิ่งนี้

อย่างนี้ก็จะเป็นการพิสูจน์ได้ว่าเขามาจริง

 ไม่ใช่เป็นความคิดของเราเอง

แต่จะมาไม่มา ก็อย่าไปกังวลเลย

 เพราะว่าให้เราคิดว่า เขาเป็นอดีตไปแล้ว เราต้องอยู่ในปัจจุบัน

 อดีตก็เป็นเหมือนความฝัน

เมื่อคืนนี้เรานอนหลับฝันถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้

พอเราตื่นขึ้นมามันก็หมดไปแล้ว เราก็ต้องอยู่ในปัจจุบัน

 ดำเนินชีวิตของเราต่อไป เราควรจะเอาการจากของเขา

 มาเป็นบทเรียนสอนเราดีกว่า

ว่าต่อไปเราก็ต้องจากโลกนี้ไปเหมือนกัน

แล้วเราจะจากแบบสบาย หรือจากแบบไม่สบาย

 ก็อยู่ที่ว่าเราปล่อยวางร่างกายของเรานี้ได้หรือเปล่า

 เรามองเห็นหรือเปล่า ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเราของเรา

 เราไม่ได้เป็นร่างกายนี้ เราเป็นใจ เป็นดวงวิญญาณ

ที่มาอาศัยร่างกายนี้อยู่ชั่วคราวเท่านั้น

 ถ้าเราสามารถแยกใจออกจากร่างกายได้

 รู้ว่าร่างกายไม่ใช่ใจ รู้ว่าใจไม่ได้ตายไปกับร่างกาย

 เราก็จะจากร่างกายไปอย่างสบาย

 เวลาอยู่เราก็อยู่อย่างสบายไม่เดือดร้อน

 ไม่วิตกกังวลว่ามันจะไปเมื่อไหร่ เพราะรู้ว่ามันต้องไปแน่ๆ

 และพร้อมที่จะให้มันไปเสมอ อันนี้แหละคือหน้าที่ของเรา

ที่เราควรจะทำ ดีกว่าที่จะมานั่งคิดถึงเขา ว่าเขาไปถึงไหนแล้ว

 เขาเป็นอย่างไร มันไม่เป็นประโยชน์อะไรกับเรา

เราควรจะเอาการจากของเขาไปนี้ มาเป็นบทเรียนสอนใจว่า

เราก็ต้องไปเหมือนเขา และถ้าเราอยากจะไปดีอยู่ดี

ไปสบายอยู่สบาย เราก็ต้องไม่ยึดไม่ติดกับร่างกายนี้

เราก็ต้องฝึกทำใจให้มีอุเบกขา ถ้าใจเรามีอุเบกขา

 เราก็จะปล่อยวางร่างกายนี้ได้ ตอนนี้เรารู้ว่าเราต้องปล่อย

 แต่เราปล่อยไม่ได้ เพราะเราไม่มีอุเบกขาไม่มีกำลัง

 ฉะนั้นเราต้องเจริญสติเพื่อให้เกิดสมาธิขึ้นมา

ถ้ามีสมาธิแล้วเราก็จะได้อุเบกขา

 พอได้อุเบกขา เรามามองดูร่างกายว่าไม่เที่ยง เราก็จะรับได้

เรามองว่าร่างกายจะต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เราก็จะรับได้

เราก็จะไม่วิตกกังวล อันนี้เป็นสิ่งที่เราควรจะให้ความสำคัญ

 มากกว่ามาคิดถึงว่าตอนนี้เขาไปไหน เป็นอะไร อย่างไร

ถ้าเขาเดือดร้อนแล้วเดี๋ยวเขาก็มาหาเราเอง

เดี๋ยวนอนหลับเขาเข้ามาหาเราเอง ถ้าเขาต้องการอะไร

แต่เท่าที่ฟังดู เขาคงไม่มาแล้วล่ะ เขาสบายแล้ว

 ถ้าเขามาเขาอาจจะมาเตือนเราก็ได้ มาบอกพี่รีบปฏิบัตินะ

 เดี๋ยวพี่ก็ต้องตามหนูไปนะ อย่าประมาท.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต


.................................

กัณฑ์ที่ ๔๗๕ ธรรมะบนเขา

 วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๗

“คำสอนที่ลึกซึ้งมาก”









ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2559
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2559 10:54:39 น.
Counter : 725 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ