Group Blog
All Blog
|
<<< วัดประจำรัชกาล ๑๐ รัชกาลแห่งราชวงค์จักรี >>>
รัชกาลแห่งราชวงศ์จักรี พระมหากษัตริย์จะทรงสร้าง หรือบูรณปฏิสังขรณ์วัดขึ้น เพื่อเป็นวัดประจำรัชกาล วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) วัดประจำรัชกาลที่ ๒ คือ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร วัดประจำรัชกาลที่ ๓ คือ วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร วัดประจำรัชกาลที่ ๔ คือ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร (เป็นพระอารามที่ พระมหากษัตริย์ทรงสร้างที่เล็กที่สุด) วัดประจำรัชกาลที่ ๕ คือ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่า วัดนั้นมีเยอะแล้ว และทรงเห็นความสำคัญ ของการศึกษามากกว่า จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง "วชิราวุธวิทยาลัย" ขึ้นแทนวัดประจำรัชกาล ถึงกระนั้น พระองค์ก็ยังทรงรับเอา วัดบวรนิเวศวิหาร ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในการบูรณปฏิสังขรณ์ หลังจากนั้น จึงได้ยึดถือเอาวัดบวรนิเวศ เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๖ วัดราชบพิธ ซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาล ของสมเด็จพระบรมชนกนาถ รัชกาลที่ ๕ ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในการบูรณปฏิสังขรณ์ จึงได้ถือเอาว่าวัดราชบพิธ เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๗ ด้วยอีกรัชกาลหนึ่ง เมื่อครั้งเสด็จนิวัติพระนคร ได้เสด็จไปเยี่ยมชมวัดสุทัศน ซึ่งพระองค์ทรงพอพระราชหฤทัย ในบรรยากาศของวัด และทรงมีพระราชปรารถนา ที่จะผนวชสักพรรษาหนึ่ง ในเวลาต่อมาจึงได้ถือเอาวัดสุทัศน เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๘ ได้ทรงมีโครงการในการพัฒนาชุมชน บริเวณบึงพระราม ๙ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดและโรงเรียนขึ้น ซึ่งวัดแห่งนี้เป็นวัดที่สร้างอย่างเรียบง่าย ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษกแห่งนี้ คือ วัดวชิรธรรมสาธิต ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๙ โปรดเกล้าฯ ให้รัชกาลที่ ๑๐ ตั้งแต่ ครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงรับเอาวัดนี้ไว้ในพระราชูปถัมภ์ และพระราชทานนามว่าวัดวชิรธรรมสาธิต ยังมีอีกทฤษฎีหนึ่ง คือ ให้ยึดถือเอาวัดที่ประดิษฐาน พระบรมราชสรีรางคารเป็นวัดประจำรัชกาล ซึ่งส่วนใหญ่ วัดประจำรัชกาลที่ ๑-๕ ที่ผมกล่าวไปก็มักจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว รวมไปถึงรัชกาลที่ ๗ ที่มีการอัญเชิญ ไปประดิษฐานในวัดราชบพิธ และของรัชกาลที่ ๘ ที่อัญเชิญไปประดิษฐาน ในวัดสุทัศนเทพวราราม ก็อาจนับวัดเบญจมบพิตร เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๕ อีกวัดหนึ่งได้ด้วย เพราะพระบรมราชสรีรางคารของพระองค์ ประดิษฐานที่นั่น แต่จริง ๆ แล้ว วัดเบญจมบพิตรเป็นวัดที่รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อผาติกรรมแทนวัด ที่ถูกกินพื้นที่ไปในคราวสร้างพระราชวังดุสิต และชื่อวัดก็มีที่มาจากเจ้านาย ๕ พระองค์ ที่ร่วมกันสร้างวัดขึ้น ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ แล้ว ก็มีการอัญเชิญไปประดิษฐาน ที่ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ วัดพระปฐมเจดีย์ ซึ่งหากยึดตามทฤษฎีสถานที่ประดิษฐาน พระบรมราชสรีรางคาร ก็สามารถยึดเอาวัดพระปฐมเจดีย์ เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๖ ได้อีก ยังมีอีกวัดที่คนมักกล่าวว่า เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๙ คือ วัดญาณสังวราราม จ.ชลบุรี แต่นั้นเป็นวัดที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง เพื่อถวายเป็นอนุสรณ์แด่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก หากนับวัดที่สร้างตามพระราชดำริ ของพระองค์จริง ๆ ก็ควรจะเป็นวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก มากกว่า ### เรื่องของ "น้ำตาเทียม " ###
น้ำตาเทียมเป็นยาหยอดตาประเภทหนึ่ง ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ดวงตาของเรา ถ้าเปรียบเทียบคงคล้ายน้ำมันหล่อลื่น ซึ่งมีความสำคัญสำหรับ เครื่องยนต์ทุกชนิด รวมถึงดวงตาของมนุษย์ ที่ต้องมีการกะพริบถึงนาทีละ 1015 ครั้ง เพื่อให้น้ำหล่อลื่น เลี้ยงลูกตามาฉาบดวงตา รู้สึกมีน้ำตาเหนียวๆ เกาะหางตา หรือรู้สึกเหมือนมีฝุ่นระคายเคืองตา น่าจะมาจากภาวะที่เรียกว่า ภาวะน้ำตาแห้ง หรือ dry eye การใช้ น้ำตาเทียมหยอดตาจะทำให้รู้สึกสบายตา และลดอาการดังกล่าวได้ กลุ่มคนที่มีปัญหาน้ำหล่อลื่นเลี้ยงลูกตาแห้ง โดยทั่วไปมักพบในผู้สูงอายุ ที่ต่อมน้ำตาทำงานลดลงตามอายุ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุเพศหญิงที่หมดประจำเดือน จะทำให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาลดลงกว่าคนทั่วไป อีกกลุ่มที่มักมีปัญหาตาแห้งคือ คนที่ทำงานกลางแดด ถูกลมพัดมาก หรือ ทำงานในอากาศร้อนและแห้ง จะทำให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาระเหยออกไปมากกว่าปกติ เป็นเวลานานๆ อาจใช้สมาธิในการทำงาน ทำให้มีการกะพริบตาน้อยกว่าภาวะปกติ ซึ่งควรมีการกะพริบตาประมาณ 1015 ครั้งต่อนาที เมื่อรู้สึกเคืองตาหรือแสบตา ให้หลับตาพัก 35 วินาที เพื่อให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาจากเปลือกตาบนด้านใน มาฉาบให้ความชุ่มชื้นต่อลูกตา แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้น อาจจำเป็นต้องใช้ น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาเทียมเพื่อบรรเทา แบ่งตามชนิดของยาออกเป็น 3 กลุ่ม โดยมีสารส่วนประกอบที่แตกต่างกัน ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มมักไม่ก่อให้เกิดความระคายเคืองกับดวงตา จึงปลอดภัยกับตามากกว่าการใช้น้ำยา ล้างตา ซึ่งมักประกอบด้วยสารต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดการระคายต่อดวงตาได้ นอกจากพิจารณาถึงราคาของยาแล้ว น้ำตาเทียมยังแบ่งออกตามลักษณะการใช้ เป็นชนิดขวดที่สามารถเก็บไว้ใช้ได้นานเป็นเดือน ซึ่งมักมีสารกันเชื้อแบคทีเรียรวมอยู่ด้วย จะสะดวกสำหรับผู้ที่ใช้ยาเป็นประจำ มักมีราคาถูกกว่ากลุ่มที่สอง มีลักษณะเป็นหลอดขนาดเล็กใช้หยอดในแต่ละวันแล้วทิ้ง มักให้ความสบายตากว่า เนื่องจากไม่มีสารกันเชื้อแบคทีเรียผสมอยู่ จึงต้องใช้ยาภายใน 24 ชั่วโมง แต่มีราคาสูงกว่าน้ำตาเทียมชนิดขวด ในด้านผลข้างเคียงมักไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อดวงตา ยกเว้นในผู้ใช้ยาบางรายอาจมีอาการแสบตา เมื่อใช้น้ำตาเทียมบางยี่ห้อ สำหรับการใช้น้ำตาเทียม ชนิดขวดควรใช้ไม่เกินวันละ 4 ครั้ง เพราะสารกันเชื้อแบคทีเรียที่ผสมอยู่ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระจกตาได้! : ผศ.นพ.วีรพัฒน์ สุวรรณธรรมา สาขาวิชาศัลยศาสตร์ทั่วไป ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ### ดอกไม้จันทน์งานศพ ###
........ ประวัติ ความเป็นมา สันนิษฐานว่า ประมาณ 1,500 ปีก่อน วิธีการที่จะรักษาศพ ไม่ให้มีกลิ่นเหม็น ยังไม่มี การประกอบพิธีฌาปนกิจศพ จึงใช้ไม้จันทน์ มาเป็นส่วนในการประกอบพิธี เพื่อบรรเทากลิ่นศพ คนสมัยก่อน ที่จะใช้ไม้จันทน์ได้ ต้องเป็นเจ้าขุนมูลนาย หรือเชื้อพระวงค์ พระมหากษัตริย์ เพราะเป็นไม้ ที่หายาก ด้วยคุณสมบัติ และความหอม ของไม้จันทน์นี้เอง มีการนำมาทำเป็นหีบศพ ใช้เป็นฟืนในการฌาปนกิจศพบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โกศสำหรับบรรจุศพเจ้านายชั้นสูง ล้วนแต่ใช้ไม้จันทน์ทั้งสิ้น ควบคู่กับธูปทองและเทียนทอง เพราะเชื่อว่ากลิ่นหอมของดอกไม้จันทน์ จะนำดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับ ไปสู่สรวงสวรรค์ แต่ธรรมเนียมการใช้ดอกไม้จันทน์ จะใช้เฉพาะผู้มีตระกูลสูงเท่านั้น สามัญชนจะใช้ไม่ได้ เพราะดอกไม้จันทน์ เป็นของสูง ต้องห้าม และมีราคาแพง ถวายต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้า หรือแม้แต่ถวายพระพุทธรูป ด้วยธูปหอม ที่ทำจากไม้จันทน์ นอกจากนี้ ไม้จันทน์ ยังถูกนำมาใช้ทำเป็นเครื่องใช้ เช่น พัดไม้จันทน์ หีบใส่เสื้อผ้า แม้แต่เครื่องหอมต่างๆ มีไม้จันทน์เป็นส่วนผสมปนอยู่ด้วย โดยนำไม้จันทน์มาบดใช้เป็นผง แล้วนำไปเป็นส่วนผสม ในเครื่องใช้ที่ต้องการ เช่น ธูป เทียนอบขนม เทียนอบผ้า กำยาน น้ำอบไทย ฯลฯ กรมพระยาดำรงราชนุภาพ จึงได้คิดค้น ให้ใช้ไม้จันทน์ ทำเป็นแผ่นบางๆ มัดเป็นช่อเรียกว่าดอกไม้จันทน์ เพื่อให้ผู้ที่มาร่วมงานศพ ได้นำไปวางที่เผาศพ และนิยมใช้จนถึงปัจจุบัน ลักษณะคล้ายดอกไม้ชนิดต่าง ๆ แต่รวมเรียกว่า ดอกไม้จันทน์ ใช้ในงานพิธีหลวง โดยแขกที่มาร่วมงาน จะนำดอกไม้จันทน์ ไปวางไว้ที่พานหน้าโลงศพ เป็นการเผาหลอกก่อน แล้วจึงนำดอกไม้จันทน์ทั้งหมด ไปใช้ในการเผาจริงอีกครั้ง ต่อมาไม้จันทน์ ที่ใช้ทำดอกไม้จันทน์ หายาก จนแทบหาไม่ได้เลย จึงเปลี่ยนไปใช้วัสดุ อย่างอื่นแทน แต่แก่นแท้ของธรรมเนียม การใช้ดอกไม้จันทน์ ยังไม่เปลี่ยนไป ส่วนใหญ่ทำเป็นรูปดอกกุหลาบ ดอกแก้ว มีสีสันตายตัว คือ สีขาว สีครีม หรือสีดำ แต่ในยุคปัจจุบัน มีสีสันสีต่าง ๆ ทำให้ทัศนคติของคนที่นำไปใช้ มีความรู้สึกว่า การใช้ดอกไม้จันทน์ เพื่อเป็นการเคารพ ระลึกถึงผู้ล่วงลับ ไม่มีบรรยากาศของความโศกเศร้า เพียงอย่างเดียว ทั้งมีการออกแบบ ให้มีความสวยงาม แปลกแตกต่างกัน นอกจากนั้น ยังเพิ่มเติมความสวยงามด้วยการประดับ ใบไม้ประดิษฐ์ หรือโบว์ รวมถึง จัดเป็นช่อสำหรับเป็น ช่อประธาน ### การบริหารร่างกาย ไม่ให้อ้วน ###
วันนี้เราจึงมีวิธีการออกกำลังกายที่ถูกหลักและมีประโยชน์มาก ต่อการควบคุมน้ำหนักตัวในระยะยาวมาฝาก เนื่องจากการออกกำลังกายแบบนี้ จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานของร่างกายในแต่ละวัน ช่วยเพิ่มปริมาณกล้ามเนื้อในร่างกาย ช่วยให้หัวใจและหลอดเลือดแข็งแรง และช่วยลดไขมันที่สะสมตามตัว จะมีขั้นตอนใดบ้างไปดูกันเลย เพิ่มความยืดหยุ่นและการทรงตัว รวมทั้งเป็นการอบอุ่นร่างกายมีหลากหลายท่าทาง และแต่ละท่าทางให้ทำทั้งด้านซ้ายและขวา โดยให้ทำค้างไว้แล้วนับ 1-10 จากนั้นให้เปลี่ยนท่า ใช้เวลากับท่านี้ซัก 10 นาที จากนั้นใช้มืออีกข้างหนึ่งดัดนิ้วมือทั้ง 5 ค้างไว้ แล้วใช้มือขวายืดศอกซ้ายข้างไว้ทำสลับข้างกัน หนีบศอกขวาเหยียดแขนตรงไปทางซ้ายแล้วยืดเส้นค้างไว้ แล้วประสานมือยื่นออกไปด้านหลัง แล้วตรึงไว้ทีละข้างย่อขาหลังลง ใช้ปลายมือจับปลายเท้ายึดไว้จากด้านหลัง แล้วย่อขาที่ก้าวออกมาด้านหน้าจากนั้น ใช้มือข้างใดข้างหนึ่ง กดบนหัวเข่าไว้เพื่อยืดกล้ามเนื้อน่อง และเสริมสร้างกล้ามเนื้อจะทำให้มีการเผาผลาญเพิ่มขึ้น ช่วยให้ลดน้ำหนักและควบคุมเบาหวานได้ง่ายขึ้น มี 7 ท่า อาจจะที่ยกน้ำหนัก มีปริมาณน้ำหนักที่ไม่หนักมาก ยกซัก 2 อัน สำหรับด้านซ้ายและขวา ยกไว้แล้วยืนตรงแนบลำตัวจากนั้นกางออก ทำซ้ำๆ ตั้งฉากมือทั้งสองข้าง แล้วแยกออกหุบแขนเข้าออก แล้วยกสะโพกขึ้นลง นั่งบนเก้าอี้และยกขาขึ้นเหยียดตรงออกไปด้านหน้า พร้อมทำสลับซ้ายขาว และเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจและหลอดเลือด เป็นการออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง หลังจากร่างกายมีความยืดหยุ่นพร้อมแล้ว โดยเมื่อออกกำลังกายแล้ว ชีพจรต้องเต้นขึ้นไปถึงร้อยละ 60-80 ของการเต้นของหัวใจสูงสุดเป็นเวลาครั้งละ 30 นาที อย่างน้อย 5 วัน ต่อสัปดาห์ ส่วนชนิดของการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญของไขมันนั้น แนะนำให้ทุกท่านใช้วิธีการเล่นกีฬาตามที่ตนเองชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นการเดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน แบดมินตัน เต้นแอโรบิก เต้นรำลีลาศ เป็นต้น หากมีกลุ่มเพื่อออกกำลังกายก็จะเพิ่มความสนุกสนาน ไม่เบื่อง่ายอีกด้วย ให้เราค่อยๆ ผ่อนความหนักลง เป็นการคูลดาวน์ร่างกาย และให้ยืนเหยียดกล้ามเนื้อต่ออีก 5 นาทีแล้วจึงหยุด ของการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมัน (แบบต่อเนื่อง) ควรใช้เวลาครั้งละ 45 นาทีเป็นอย่างน้อย เพื่อให้ได้ผลดีในการลดน้ำหนักและร่างกายไม่บาดเจ็บ แม้จะเป็นกิจกรรมที่เราเลือกทำได้เองตามใจชอบก็จริง แต่ว่าก็ยังคงต้องระวังขณะออกกำลังกาย หรือหลังออกกำลังกายด้วย ถ้ามีอาการดังกล่าวในขณะออกกำลังกาย ควรหยุดและนั่งพัก หากพักแล้วยังมีอาการอยู่อีกควรพบและปรึกษาแพทย์ มีดังนี้ และความดันตัวล่างควรมากกว่า 110 มม.ปรอท ....................
ที่มา: เอกสารจากสาขาวิชาโภชนาวิทยา และชีวเคมีทางการแพทย์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ### มลพิษเงียบรอบตัวภายในรถ ###
การจอดรถแวะพักข้างทางแล้วเปิดแอร์นอนในรถยนต์ เป็นวิธีพักสายตา คลายความอ่อนล้า ที่มีโอกาสเสี่ยงทำให้เราเสียชีวิตได้โดยที่เราไม่รู้ตัว สาเหตุที่แท้จริงคืออะไร ทำไมการนอนหลับในรถยนต์ จึงทำให้เราเสียชีวิตได้ด้วย และเอนเบาะนอนนั้น เท่ากับเป็นการนอนดมก๊าซพิษในรถ โดยที่ต้นตอของก๊าซพิษเหล่านี้ ไหลเวียนมาจากระบบแอร์ของรถยนต์ ที่มีการดูดอากาศจากภายนอกรถ มาหมุนเวียนภายในรถ และจะดูดเอาควันจากท่อไอเสียรถยนต์เข้ามาด้วย นั่นหมายความว่าร่างกายจะสะสมทั้งก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้กล่าวว่า ระดับของก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ในอากาศ ถ้ามีค่าเกิน 1,200 ppm มีผลทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ การได้รับสารพิษคาร์บอนมอนนอกไซด์ จะส่งผลให้ร่างกายมีอาการเวียนศีรษะ การลำเลียงออกซิเจนไปสู่อวัยวะในร่างกายลดลง และที่ร้ายแรงที่สุด คือ ผู้ใช้รถยนต์มักจะไม่รู้ตัวว่า ตนเองได้รับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ เพราะคิดว่า ตัวเองแค่ปวดหัวธรรมดา นอนพักน่าจะหาย จนในที่สุดก็จะหลับหมดสติ และทำให้เสียชีวิตได้ เรื่องของการพักผ่อนภายในรถยนต์ให้ดี เพราะก่อให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้โดยที่เราไม่รู้ตัว ควรพักผ่อน เตรียมพร้อมร่างกายก่อนขับรถยนต์ทุกครั้ง เพื่อป้องกันอาการเพลีย เมื่อยล้า ระหว่างขับรถยนต์ .........................
ที่มา : อ.นพ.สหภูมิ ศรีสุมะ หน่วยเภสัชวิทยาคลินิกและพิษวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล |
tangkay
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?] (‿✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้ แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ .... สิบปีผ่านไป....... อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์ แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ Link |