Group Blog
All Blog
<<< วัดประจำรัชกาล ๑๐ รัชกาลแห่งราชวงค์จักรี >>>










วัดประจำรัชกาล ๑๐

 รัชกาลแห่งราชวงศ์จักรี

ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑

พระมหากษัตริย์จะทรงสร้าง

หรือบูรณปฏิสังขรณ์วัดขึ้น

เพื่อเป็นวัดประจำรัชกาล

วัดประจำรัชกาลที่ ๑ คือ

 วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม

ราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์)

วัดประจำรัชกาลที่ ๒ คือ

วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร

วัดประจำรัชกาลที่ ๓ คือ

 วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร

วัดประจำรัชกาลที่ ๔ คือ

วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร

 (เป็นพระอารามที่

พระมหากษัตริย์ทรงสร้างที่เล็กที่สุด)

วัดประจำรัชกาลที่ ๕ คือ

 วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

นับตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ เป็นต้นมา

 พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่า

วัดนั้นมีเยอะแล้ว

 และทรงเห็นความสำคัญ

ของการศึกษามากกว่า

 จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง "วชิราวุธวิทยาลัย"

ขึ้นแทนวัดประจำรัชกาล

ถึงกระนั้น พระองค์ก็ยังทรงรับเอา

 วัดบวรนิเวศวิหาร ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์

ในการบูรณปฏิสังขรณ์

 หลังจากนั้น จึงได้ยึดถือเอาวัดบวรนิเวศ

เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๖

ส่วนรัชกาลที่ ๗ พระองค์ก็ได้ทรงรับเอา

วัดราชบพิธ ซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาล

ของสมเด็จพระบรมชนกนาถ รัชกาลที่ ๕

ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์

ในการบูรณปฏิสังขรณ์

จึงได้ถือเอาว่าวัดราชบพิธ

เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๗

 ด้วยอีกรัชกาลหนึ่ง

ในสมัยรัชกาลที่ ๘

 เมื่อครั้งเสด็จนิวัติพระนคร

ได้เสด็จไปเยี่ยมชมวัดสุทัศน

 ซึ่งพระองค์ทรงพอพระราชหฤทัย

ในบรรยากาศของวัด

และทรงมีพระราชปรารถนา

ที่จะผนวชสักพรรษาหนึ่ง

 ในเวลาต่อมาจึงได้ถือเอาวัดสุทัศน

เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๘

จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ ๙

ได้ทรงมีโครงการในการพัฒนาชุมชน

บริเวณบึงพระราม ๙

โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดและโรงเรียนขึ้น

 ซึ่งวัดแห่งนี้เป็นวัดที่สร้างอย่างเรียบง่าย

ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง

คือ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษกแห่งนี้

ส่วนวัดประจำรัชกาลที่ ๑๐ นั้น

 คือ วัดวชิรธรรมสาธิต

 ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๙ โปรดเกล้าฯ

 ให้รัชกาลที่ ๑๐ ตั้งแต่

ครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศ

เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช

สยามมกุฎราชกุมาร

ทรงรับเอาวัดนี้ไว้ในพระราชูปถัมภ์

 และพระราชทานนามว่าวัดวชิรธรรมสาธิต

ในส่วนของวัดประจำรัชกาล

ยังมีอีกทฤษฎีหนึ่ง คือ

 ให้ยึดถือเอาวัดที่ประดิษฐาน

พระบรมราชสรีรางคารเป็นวัดประจำรัชกาล

 ซึ่งส่วนใหญ่ วัดประจำรัชกาลที่ ๑-๕

ที่ผมกล่าวไปก็มักจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว

 รวมไปถึงรัชกาลที่ ๗ ที่มีการอัญเชิญ

ไปประดิษฐานในวัดราชบพิธ

 และของรัชกาลที่ ๘

ที่อัญเชิญไปประดิษฐาน

ในวัดสุทัศนเทพวราราม

ซึ่งหากยึดตามทฤษฎีนั้น

 ก็อาจนับวัดเบญจมบพิตร

เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๕ อีกวัดหนึ่งได้ด้วย

 เพราะพระบรมราชสรีรางคารของพระองค์

ประดิษฐานที่นั่น แต่จริง ๆ แล้ว

วัดเบญจมบพิตรเป็นวัดที่รัชกาลที่ ๕

 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อผาติกรรมแทนวัด

ที่ถูกกินพื้นที่ไปในคราวสร้างพระราชวังดุสิต

และชื่อวัดก็มีที่มาจากเจ้านาย ๕ พระองค์

ที่ร่วมกันสร้างวัดขึ้น

ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ แล้ว

พระบรมราชสรีรางคารของรัชกาลที่ ๖ เอง

 ก็มีการอัญเชิญไปประดิษฐาน

ที่ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ วัดพระปฐมเจดีย์

ซึ่งหากยึดตามทฤษฎีสถานที่ประดิษฐาน

พระบรมราชสรีรางคาร

ก็สามารถยึดเอาวัดพระปฐมเจดีย์

เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๖ ได้อีก

ในส่วนของวัดประจำรัชกาลที่ ๙

 ยังมีอีกวัดที่คนมักกล่าวว่า

เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๙ คือ

 วัดญาณสังวราราม จ.ชลบุรี

แต่นั้นเป็นวัดที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง

เพื่อถวายเป็นอนุสรณ์แด่

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช

 สกลมหาสังฆปริณายก

หากนับวัดที่สร้างตามพระราชดำริ

ของพระองค์จริง ๆ

 ก็ควรจะเป็นวัดพระราม ๙

 กาญจนาภิเษก มากกว่า






ขอขอบคุณเจ้าของเครดิตต่ะ
ขอบคุณที่มา fb. ราชบัลลังค์จักรีวงค์
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 04 มีนาคม 2560
Last Update : 4 มีนาคม 2560 10:06:55 น.
Counter : 8787 Pageviews.

3 comment
### เรื่องของ "น้ำตาเทียม " ###















เรื่องของ “น้ำตาเทียม”

น้ำตาเทียมที่มีขายอยู่ในร้านขายยามีมากมายหลากยี่ห้อ

 น้ำตาเทียมเป็นยาหยอดตาประเภทหนึ่ง

ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ดวงตาของเรา

 ถ้าเปรียบเทียบคงคล้ายน้ำมันหล่อลื่น

ซึ่งมีความสำคัญสำหรับ เครื่องยนต์ทุกชนิด

 รวมถึงดวงตาของมนุษย์

ที่ต้องมีการกะพริบถึงนาทีละ 10–15 ครั้ง

 เพื่อให้น้ำหล่อลื่น เลี้ยงลูกตามาฉาบดวงตา

ดังนั้นในคนปกติทั่วไปที่มีความรู้สึกเคืองตา ฝืดตา

 รู้สึกมีน้ำตาเหนียวๆ เกาะหางตา

หรือรู้สึกเหมือนมีฝุ่นระคายเคืองตา

น่าจะมาจากภาวะที่เรียกว่า “ภาวะน้ำตาแห้ง” หรือ dry eye

การใช้ น้ำตาเทียมหยอดตาจะทำให้รู้สึกสบายตา

และลดอาการดังกล่าวได้

ใครต้องใช้น้ำตาเทียมบ้าง ?

ผู้ที่ควรต้องใช้น้ำตาเทียม คือ

กลุ่มคนที่มีปัญหาน้ำหล่อลื่นเลี้ยงลูกตาแห้ง

โดยทั่วไปมักพบในผู้สูงอายุ

ที่ต่อมน้ำตาทำงานลดลงตามอายุ

 โดยเฉพาะในผู้สูงอายุเพศหญิงที่หมดประจำเดือน

 จะทำให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาลดลงกว่าคนทั่วไป

 อีกกลุ่มที่มักมีปัญหาตาแห้งคือ

 คนที่ทำงานกลางแดด ถูกลมพัดมาก

 หรือ ทำงานในอากาศร้อนและแห้ง

 จะทำให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาระเหยออกไปมากกว่าปกติ

นอกจากนี้ กลุ่มคนที่ต้องทำงานเกี่ยวกับจอคอมพิวเตอร์

เป็นเวลานานๆ อาจใช้สมาธิในการทำงาน

ทำให้มีการกะพริบตาน้อยกว่าภาวะปกติ

ซึ่งควรมีการกะพริบตาประมาณ 10–15 ครั้งต่อนาที

 เมื่อรู้สึกเคืองตาหรือแสบตา ให้หลับตาพัก 3–5 วินาที

 เพื่อให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาจากเปลือกตาบนด้านใน

มาฉาบให้ความชุ่มชื้นต่อลูกตา

แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้น อาจจำเป็นต้องใช้

น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาเทียมเพื่อบรรเทา

วิธีเลือกซื้อน้ำตาเทียม

น้ำตาเทียมที่มีขายอยู่ในปัจจุบัน

 แบ่งตามชนิดของยาออกเป็น 3 กลุ่ม

โดยมีสารส่วนประกอบที่แตกต่างกัน

 ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มมักไม่ก่อให้เกิดความระคายเคืองกับดวงตา

 จึงปลอดภัยกับตามากกว่าการใช้น้ำยา ล้างตา

 ซึ่งมักประกอบด้วยสารต่างๆ

ที่อาจก่อให้เกิดการระคายต่อดวงตาได้

การเลือกซื้อน้ำตาเทียม

 นอกจากพิจารณาถึงราคาของยาแล้ว

น้ำตาเทียมยังแบ่งออกตามลักษณะการใช้

เป็นชนิดขวดที่สามารถเก็บไว้ใช้ได้นานเป็นเดือน

 ซึ่งมักมีสารกันเชื้อแบคทีเรียรวมอยู่ด้วย

 จะสะดวกสำหรับผู้ที่ใช้ยาเป็นประจำ

 มักมีราคาถูกกว่ากลุ่มที่สอง

มีลักษณะเป็นหลอดขนาดเล็กใช้หยอดในแต่ละวันแล้วทิ้ง

 มักให้ความสบายตากว่า

เนื่องจากไม่มีสารกันเชื้อแบคทีเรียผสมอยู่

จึงต้องใช้ยาภายใน 24 ชั่วโมง

 แต่มีราคาสูงกว่าน้ำตาเทียมชนิดขวด

การใช้น้ำตาเทียม นอกจากข้อจำกัดด้านราคาแล้ว

 ในด้านผลข้างเคียงมักไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อดวงตา

 ยกเว้นในผู้ใช้ยาบางรายอาจมีอาการแสบตา

เมื่อใช้น้ำตาเทียมบางยี่ห้อ

สำหรับการใช้น้ำตาเทียม ชนิดขวดควรใช้ไม่เกินวันละ 4 ครั้ง

เพราะสารกันเชื้อแบคทีเรียที่ผสมอยู่

อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระจกตาได้!

ขอขอบคุณข้อมูลและคำแนะนำจาก

: ผศ.นพ.วีรพัฒน์ สุวรรณธรรมา

สาขาวิชาศัลยศาสตร์ทั่วไป ภาควิชาศัลยศาสตร์

 คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ที่มา : //www.thaihealth.or.th/Content/29029-

น้ำตาเทียม.html








ขอบคุณที่มา fb. รามาแชนแนล Rama Channel




Create Date : 10 มีนาคม 2559
Last Update : 10 มีนาคม 2559 13:00:10 น.
Counter : 1281 Pageviews.

0 comment
### ดอกไม้จันทน์งานศพ ###















ดอกไม้จันทน์ งานศพ

........

ประวัติ ความเป็นมา สันนิษฐานว่า ประมาณ 1,500 ปีก่อน

วิธีการที่จะรักษาศพ ไม่ให้มีกลิ่นเหม็น ยังไม่มี

การประกอบพิธีฌาปนกิจศพ จึงใช้ไม้จันทน์

มาเป็นส่วนในการประกอบพิธี เพื่อบรรเทากลิ่นศพ

“ไม้จันทน์” ถือเป็นไม้มงคล ที่เป็นของสูง

คนสมัยก่อน ที่จะใช้ไม้จันทน์ได้ ต้องเป็นเจ้าขุนมูลนาย

 หรือเชื้อพระวงค์ พระมหากษัตริย์

เพราะเป็นไม้ ที่หายาก ด้วยคุณสมบัติ

และความหอม ของไม้จันทน์นี้เอง มีการนำมาทำเป็นหีบศพ

 ใช้เป็นฟืนในการฌาปนกิจศพบ้าง

 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โกศสำหรับบรรจุศพเจ้านายชั้นสูง

 ล้วนแต่ใช้ไม้จันทน์ทั้งสิ้น

สมัยก่อน พิธีฌาปนกิจศพ มีธรรมเนียมการใช้ดอกไม้จันทน์

 ควบคู่กับธูปทองและเทียนทอง

เพราะเชื่อว่ากลิ่นหอมของดอกไม้จันทน์

 จะนำดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับ ไปสู่สรวงสวรรค์

 แต่ธรรมเนียมการใช้ดอกไม้จันทน์

จะใช้เฉพาะผู้มีตระกูลสูงเท่านั้น สามัญชนจะใช้ไม่ได้

เพราะดอกไม้จันทน์ เป็นของสูง ต้องห้าม และมีราคาแพง

คติความเชื่อ เรื่องการเผาเครื่องหอม กำยาน

ถวายต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้า หรือแม้แต่ถวายพระพุทธรูป

ด้วยธูปหอม ที่ทำจากไม้จันทน์

นอกจากนี้ ไม้จันทน์ ยังถูกนำมาใช้ทำเป็นเครื่องใช้

 เช่น พัดไม้จันทน์ หีบใส่เสื้อผ้า แม้แต่เครื่องหอมต่างๆ

มีไม้จันทน์เป็นส่วนผสมปนอยู่ด้วย โดยนำไม้จันทน์มาบดใช้เป็นผง

แล้วนำไปเป็นส่วนผสม ในเครื่องใช้ที่ต้องการ

เช่น ธูป เทียนอบขนม เทียนอบผ้า กำยาน น้ำอบไทย ฯลฯ

ในสมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องจากดอกไม้จันทน์ เริ่มหายากขึ้น

กรมพระยาดำรงราชนุภาพ จึงได้คิดค้น

ให้ใช้ไม้จันทน์ ทำเป็นแผ่นบางๆ มัดเป็นช่อเรียกว่าดอกไม้จันทน์

เพื่อให้ผู้ที่มาร่วมงานศพ ได้นำไปวางที่เผาศพ

และนิยมใช้จนถึงปัจจุบัน ลักษณะคล้ายดอกไม้ชนิดต่าง ๆ

 แต่รวมเรียกว่า ดอกไม้จันทน์ ใช้ในงานพิธีหลวง

ต่อมาจึงแผ่ขยาย การใช้ดอกไม้จันทน์เทียม ในหมู่สามัญชน

 โดยแขกที่มาร่วมงาน จะนำดอกไม้จันทน์ ไปวางไว้ที่พานหน้าโลงศพ

 เป็นการเผาหลอกก่อน แล้วจึงนำดอกไม้จันทน์ทั้งหมด

ไปใช้ในการเผาจริงอีกครั้ง

 ต่อมาไม้จันทน์ ที่ใช้ทำดอกไม้จันทน์ หายาก

จนแทบหาไม่ได้เลย จึงเปลี่ยนไปใช้วัสดุ อย่างอื่นแทน

แต่แก่นแท้ของธรรมเนียม การใช้ดอกไม้จันทน์ ยังไม่เปลี่ยนไป

ดอกไม้จันทน์แบบทั่วไป ที่นิยมใช้กันมาเป็นแบบธรรมดา

ส่วนใหญ่ทำเป็นรูปดอกกุหลาบ ดอกแก้ว มีสีสันตายตัว

คือ สีขาว สีครีม หรือสีดำ แต่ในยุคปัจจุบัน มีสีสันสีต่าง ๆ

ทำให้ทัศนคติของคนที่นำไปใช้ มีความรู้สึกว่า

 การใช้ดอกไม้จันทน์ เพื่อเป็นการเคารพ ระลึกถึงผู้ล่วงลับ

 ไม่มีบรรยากาศของความโศกเศร้า เพียงอย่างเดียว

ปัจจุบัน ดอกไม้จันทน์ มีการประดิษฐ์จากวัสดุหลากชนิดต่างๆ

 ทั้งมีการออกแบบ ให้มีความสวยงาม แปลกแตกต่างกัน

นอกจากนั้น ยังเพิ่มเติมความสวยงามด้วยการประดับ ใบไม้ประดิษฐ์

หรือโบว์ รวมถึง จัดเป็นช่อสำหรับเป็น “ช่อประธาน”









ขอบคุณที่มา fb. Siriwanna Jill
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ







Create Date : 20 มกราคม 2559
Last Update : 20 มกราคม 2559 11:31:17 น.
Counter : 1881 Pageviews.

0 comment
### การบริหารร่างกาย ไม่ให้อ้วน ###















การบริหารร่างกาย

หลายคนบอกว่าออกกำลังกายทุกวันทำไม "ฉันก็ยังอ้วน"

วันนี้เราจึงมีวิธีการออกกำลังกายที่ถูกหลักและมีประโยชน์มาก

ต่อการควบคุมน้ำหนักตัวในระยะยาวมาฝาก

เนื่องจากการออกกำลังกายแบบนี้

จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานของร่างกายในแต่ละวัน

 ช่วยเพิ่มปริมาณกล้ามเนื้อในร่างกาย

 ช่วยให้หัวใจและหลอดเลือดแข็งแรง

และช่วยลดไขมันที่สะสมตามตัว

จะมีขั้นตอนใดบ้างไปดูกันเลย

1. ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ

ช่วยป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและข้อต่อ

เพิ่มความยืดหยุ่นและการทรงตัว

รวมทั้งเป็นการอบอุ่นร่างกายมีหลากหลายท่าทาง

 และแต่ละท่าทางให้ทำทั้งด้านซ้ายและขวา

 โดยให้ทำค้างไว้แล้วนับ 1-10 จากนั้นให้เปลี่ยนท่า

ใช้เวลากับท่านี้ซัก 10 นาที

1.1 ท่าหมุนหัวไหล่ใช้มือแตะหัวไหล่แล้วหมุน

1.2 ท่ายืดกล้ามเนื้อหน้าแขน ยื่นแขนออกแล้วแบมือลง

จากนั้นใช้มืออีกข้างหนึ่งดัดนิ้วมือทั้ง 5 ค้างไว้

1.3 ท่ายืดกล้ามเนื้อหลังแขน ยกมือซ้ายไขว้หลัง

แล้วใช้มือขวายืดศอกซ้ายข้างไว้ทำสลับข้างกัน

1.4 ท่ายืดกล้าเนื้อไหล่ ใช้บริเวณข้อพับของแขนข้างซ้าย

หนีบศอกขวาเหยียดแขนตรงไปทางซ้ายแล้วยืดเส้นค้างไว้

1.5 ท่ายืดกล้ามเนื้อหน้าอก แอ่นหน้าอกไปด้านหน้า

แล้วประสานมือยื่นออกไปด้านหลัง

1.6 ท่ายืดกล้ามเนื้อหลัง ก้มหลังลงนิ้วแตะพื้น

1.7 ท่ายืดกล้ามเนื้อท้อง เงยหน้าขึ้นยืดกล้ามท้อง

1.8 ท่ายืดกล้ามเนื้อขา ก้าวขาออกมาด้านหน้า

แล้วตรึงไว้ทีละข้างย่อขาหลังลง

1.9 ท่ายืดกล้ามเนื้อหน้าขา

ใช้ปลายมือจับปลายเท้ายึดไว้จากด้านหลัง

1.10 ท่ายืดกล้ามเนื้อน่อง ก้าวขาใดขาหนึ่งออกมา

แล้วย่อขาที่ก้าวออกมาด้านหน้าจากนั้น ใช้มือข้างใดข้างหนึ่ง

กดบนหัวเข่าไว้เพื่อยืดกล้ามเนื้อน่อง

2. ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรง

และเสริมสร้างกล้ามเนื้อจะทำให้มีการเผาผลาญเพิ่มขึ้น

ช่วยให้ลดน้ำหนักและควบคุมเบาหวานได้ง่ายขึ้น มี 7 ท่า

2.1 ท่ากล้ามเนื้อแขนด้านหน้า ยกน้ำหนักขึ้นลงในท่ายืน

2.2 ท่ากล้ามเนื้อแขนด้านล่าง ยกน้ำหนักขึ้นพับแขนไปด้านหลัง

2.3 ท่ากล้ามเนื้อหัวไหล่ ยกที่ยกน้ำหนักไว้ที่ลำตัว

อาจจะที่ยกน้ำหนัก มีปริมาณน้ำหนักที่ไม่หนักมาก

ยกซัก 2 อัน สำหรับด้านซ้ายและขวา

ยกไว้แล้วยืนตรงแนบลำตัวจากนั้นกางออก ทำซ้ำๆ

2.4 ท่ากล้ามเนื้ออก ยกดรัมเบลขึ้น ให้ดรัมเบลอยู่ในระดับหู

ตั้งฉากมือทั้งสองข้าง แล้วแยกออกหุบแขนเข้าออก

2.5 ท่ากล้ามเนื้อท้อง ใช้ท่า ซิทอัพ

2.6 ท่ากล้ามเนื้อหลัง นอนตั้งขาขึ้นเหมือนการซิทอัพ

แล้วยกสะโพกขึ้นลง

2.7 ท่ากล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า

นั่งบนเก้าอี้และยกขาขึ้นเหยียดตรงออกไปด้านหน้า

พร้อมทำสลับซ้ายขาว

การออกกำลังกาย เพื่อเผาผลาญไขมัน

และเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจและหลอดเลือด

เป็นการออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง

 หลังจากร่างกายมีความยืดหยุ่นพร้อมแล้ว

 โดยเมื่อออกกำลังกายแล้ว

ชีพจรต้องเต้นขึ้นไปถึงร้อยละ 60-80

ของการเต้นของหัวใจสูงสุดเป็นเวลาครั้งละ 30 นาที

 อย่างน้อย 5 วัน ต่อสัปดาห์

ส่วนชนิดของการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญของไขมันนั้น

แนะนำให้ทุกท่านใช้วิธีการเล่นกีฬาตามที่ตนเองชื่นชอบ

 ไม่ว่าจะเป็นการเดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน แบดมินตัน

เต้นแอโรบิก เต้นรำลีลาศ เป็นต้น

หากมีกลุ่มเพื่อออกกำลังกายก็จะเพิ่มความสนุกสนาน

ไม่เบื่อง่ายอีกด้วย

ทั้งนี้หลังจากการออกำลังกาย 3 ขั้นตอนแล้ว

ให้เราค่อยๆ ผ่อนความหนักลง เป็นการคูลดาวน์ร่างกาย

และให้ยืนเหยียดกล้ามเนื้อต่ออีก 5 นาทีแล้วจึงหยุด

หมายเหตุ : ระยะเวลาในการออกกำลังกาย รวม 3 ขั้นตอน

ของการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมัน (แบบต่อเนื่อง)

 ควรใช้เวลาครั้งละ 45 นาทีเป็นอย่างน้อย

เพื่อให้ได้ผลดีในการลดน้ำหนักและร่างกายไม่บาดเจ็บ

อย่างไรก็ตามการออกกำลังกาย

แม้จะเป็นกิจกรรมที่เราเลือกทำได้เองตามใจชอบก็จริง

แต่ว่าก็ยังคงต้องระวังขณะออกกำลังกาย

หรือหลังออกกำลังกายด้วย

ถ้ามีอาการดังกล่าวในขณะออกกำลังกาย ควรหยุดและนั่งพัก

 หากพักแล้วยังมีอาการอยู่อีกควรพบและปรึกษาแพทย์ มีดังนี้

- ความดันตัวบนมากกว่า 180 มม.ปรอท

และความดันตัวล่างควรมากกว่า 110 มม.ปรอท

- หัวใจเต้นผิดปกติ แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก

- หายใจไม่สะดวก

- รู้สึกไม่สบายหรือมีไข้

- คลื่นไส้อาเจียน เวียนศีรษะ มึนงง หน้ามืด

- รู้สึกอ่อนแรงเพลียผิดปกติ

....................

ที่มา: เอกสารจากสาขาวิชาโภชนาวิทยา

และชีวเคมีทางการแพทย์

 ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์

โรงพยาบาลรามาธิบดี











ขอบคุณที่มา fb. รามาแชนแนล
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 19 มกราคม 2559
Last Update : 19 มกราคม 2559 11:41:43 น.
Counter : 911 Pageviews.

0 comment
### มลพิษเงียบรอบตัวภายในรถ ###














มลพิษเงียบรอบตัวภายในรถ



เรื่องของมลพิษทางอากาศที่เราอาจจะไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยว่า

 “การจอดรถแวะพักข้างทางแล้วเปิดแอร์นอนในรถยนต์”

เป็นวิธีพักสายตา คลายความอ่อนล้า

ที่มีโอกาสเสี่ยงทำให้เราเสียชีวิตได้โดยที่เราไม่รู้ตัว

สาเหตุที่แท้จริงคืออะไร ทำไมการนอนหลับในรถยนต์

จึงทำให้เราเสียชีวิตได้ด้วย

ในขณะที่เราสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ ปิดกระจกมิดชิด

 และเอนเบาะนอนนั้น เท่ากับเป็นการนอนดมก๊าซพิษในรถ

 โดยที่ต้นตอของก๊าซพิษเหล่านี้

ไหลเวียนมาจากระบบแอร์ของรถยนต์

ที่มีการดูดอากาศจากภายนอกรถ มาหมุนเวียนภายในรถ

และจะดูดเอาควันจากท่อไอเสียรถยนต์เข้ามาด้วย

นั่นหมายความว่าร่างกายจะสะสมทั้งก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์

และคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณสูงขึ้นเรื่อย ๆ

 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดย อ.นพ.สหภูมิ ศรีสุมะ หน่วยเภสัชวิทยาคลินิกและพิษวิทยา

ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

ได้กล่าวว่า ระดับของก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ในอากาศ

 ถ้ามีค่าเกิน 1,200 ppm มีผลทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้

การได้รับสารพิษคาร์บอนมอนนอกไซด์

จะส่งผลให้ร่างกายมีอาการเวียนศีรษะ

 การลำเลียงออกซิเจนไปสู่อวัยวะในร่างกายลดลง

 และที่ร้ายแรงที่สุด คือ ผู้ใช้รถยนต์มักจะไม่รู้ตัวว่า

ตนเองได้รับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์

เพราะคิดว่า ตัวเองแค่ปวดหัวธรรมดา นอนพักน่าจะหาย

 จนในที่สุดก็จะหลับหมดสติ และทำให้เสียชีวิตได้

ดังนั้นแล้ว ผู้ที่ขับขี่รถยนต์ควรระมัดระวัง

เรื่องของการพักผ่อนภายในรถยนต์ให้ดี

เพราะก่อให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้โดยที่เราไม่รู้ตัว

 ควรพักผ่อน เตรียมพร้อมร่างกายก่อนขับรถยนต์ทุกครั้ง

 เพื่อป้องกันอาการเพลีย เมื่อยล้า ระหว่างขับรถยนต์

.........................

ที่มา : อ.นพ.สหภูมิ ศรีสุมะ หน่วยเภสัชวิทยาคลินิกและพิษวิทยา

 ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์

รงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล










ขอบคุณเจ้าของเรื่อง และเจ้าของภาพทุกท่านค่ะ




Create Date : 18 มกราคม 2559
Last Update : 18 มกราคม 2559 11:14:32 น.
Counter : 904 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ