ความต่างระหว่าง
สุขทางร่างกายกับสุขทางใจ
.............
ผู้ที่ต้องการจะภาวนาเพื่อทำจิตใจให้สงบ
เพื่อที่จะระงับดับความทุกข์ที่เกิดจาก
ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ
จึงจำเป็นจะต้องรักษาศีล ๘ ยอมอดเปรี้ยวไว้ก่อนหวาน
ยอมอดเปรี้ยวไว้ เพื่อที่เราจะได้มากินหวาน หวานนี้ก็คือสมาธิ
แต่ถ้าเราจะอดเปรี้ยวไม่ได้จะกินของเปรี้ยวอยู่
เช่นมะม่วงในยุคนี้ ออกมายังไม่ทันสุกก็มากินก่อน
กินตอนที่มันเปรี้ยวก็เลยต้องจิ้มน้ำปลาหวาน
เป็นความหวานเทียม ไม่ใช่หวานแท้
ไม่ได้หวานจากรสของมะม่วง เป็นหวานของรสของน้ำตาล
แต่ถ้าเราอดเปรี้ยวรอไปสักพัก รออีกสักเดือน
พอมะม่วงสุกก็จะได้กินมะม่วงหวานได้ ฉันใด
ถ้าเราอดความสุขทางร่างกายได้
อดหาความสุขทางร่างกายได้ แล้วมานั่งบริกรรมพุทโธๆ
สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิไป พอจิตสงบ
เราก็จะได้ความสุขที่หวานโดยธรรมชาติ
ไม่ใช่เป็นความสุขที่หวานโดยการปรุงเเต่ง
ความสุขทางร่างกายนี้มันหวานด้วยการปรุงเเต่ง
เพราะเราจะต้องมีคนนั้นมีคนนี้มีสิ่งนั้นสิ่งนี้
มาผสมถึงจะเกิดความหวานได้
เหมือนกับน้ำตาลที่เราใช้จิ้มมะม่วงเปรี้ยวนี่เอง
เพราะเรารอไม่ไหว ใจเราร้อน อยากจะกินเสียตอนนี้
ก็เลยต้องเอาน้ำตาลมาจิ้ม แต่ถ้าเรารออีกสักเดือนหนึ่ง
รอให้มะม่วงมันสุกงอมเต็มที่ ทีนี้ก็กินมะม่วงหวานได้
ไม่ต้องไปหาน้ำตาลมา ใจเราก็เป็นเหมือนมะม่วง
ตอนนี้มันเปรี้ยว เราจึงต้องหาของหวานมาจิ้มกัน
หารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะมาจิ้ม
หาความสุขจากต่างๆ ภายนอก
แทนที่เราจะอดทนอดกลั้นอย่าไปหาความสุขทางภายนอก
แล้วเข้ามาหาความสุขทางภายในกันด้วยการถือศีล ๘
แล้วก็มานั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์ เดินจงกรม เจริญสติ
ควบคุมความคิดของเราไม่ให้คิดเรื่อยเปื่อย
ไม่ให้คิดถึงเรื่องนั้นคิดถึงเรื่องนี้ให้รู้เฉยๆ
ให้รู้อยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกายก็ได้
หรือให้รู้อยู่กับการบริกรรมพุทโธๆก็ได้
ถ้าใจรู้อยู่กับเรื่องนี้เรื่องเดียวใจไม่ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้
ใจก็อยู่ปากประตูของสมาธิ
พอเรานั่งสมาธิหลับตาบริกรรมพุทโธ
หรือดูลมหายใจเพียงไม่นาน ใจก็จะเข้าสู่สมาธิได้
แต่ถ้าเราไม่มีสติดึงใจให้อยู่กับการบริกรรมพุทโธ
หรืออยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกาย
ก็เหมือนกับใจของเราอยู่ห่างไกล จากประตูของสมาธิ
พอเวลานั่งสมาธิบริกรรมเท่าไรมันก็ไม่เข้า
เพราะว่ามันจะไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ อยู่เรื่อยๆ
ดังนั้นก่อนที่เราจะนั่งสมาธิได้ผล
เราต้องเจริญสติให้ได้ผลก่อน
คือต้องควบคุมความคิดให้ได้
ให้คิดให้น้อยที่สุด ให้อยู่กับพุทโธ
ให้อยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกายให้มากที่สุด
แล้วเวลาที่เรานั่งสมาธิ มันก็จะเข้าสู่ความสงบได้
พอเข้าสู่ความสงบได้
เราก็จะได้พบกับความหวานของใจของเรา
ความสงบสุขเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่าความสุขทั้งหลาย
เหมือนความหวานของรสมะม่วงนี้
มันหวานกว่า น้ำตาลที่เราไปจิ้ม
ขอให้เราพยายามทำให้ได้เจริญ สติให้ได้
ถ้าเจริญสติไม่ได้อย่าไปหวังเรื่องการนั่งสมาธิ
แล้วถ้าไม่มีสมาธิอย่าไปหวังเรื่องการเจริญปัญญาเลย
เพราะมันไม่มีวันที่จะสามารถเจริญปัญญาได้
เพราะใจมันจะถูกกิเลสที่มีกำลังมากกว่า
คอยดึงให้ไปคิดถึงเรื่องกิเลสตัณหาตลอดเวลานั่นเอง
ดังนั้นเราต้องพยายามรักษาศีล ๘ ให้ได้
แล้วก็พยายามเจริญสติ สิ่งที่จะช่วยให้เราเจริญสติได้ง่ายก็คือ
เราต้องไม่มีภารกิจการงานอย่างอื่น
เช่นเป็นนักบวชหรือจะเป็นนักบวชชั่วคราวก็ได้
นักบวชถาวรก็ได้ นักบวชชั่วคราวก็คือ
วันหยุดวันทำงานของเรา เราก็ไปปลีกวิเวกอยู่คนเดียว
อยู่ที่ไหนก็ได้ ที่ไม่มีอะไรมารบกวนใจเรา
ให้ใจเราได้มีเวลาอยู่กับพุทโธ
หรืออยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกายไป
แต่ถ้าเราต้องทำงานต้องอยู่กับคนนั้นคนนี้ การเจริญสตินี้ก็จะยาก
เพราะจะมีเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามาหาเราอยู่เรื่อย
คนนั้นก็มาชวนคุยคนนั้นก็เข้ามาถามปัญหา
มาปรึกษาเรื่องนั้นเรื่องนี้
ใจของเราก็จะอยู่กับพุทโธอยู่กับร่างกายไม่ได้
ก็ต้องคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ พอยิ่งคิดมันก็ยิ่งอยู่ห่างไกล
จากปากทางเข้าของสมาธิ มันก็จะเข้ายาก
ดังนั้นถ้าเราอยากจะเจริญสติให้ได้ผล นั่งสมาธิให้ได้ผล
เราก็ต้องปลีกวิเวก อยู่ห่างไกลจากแสงสีเสียง
ห่างไกลจากสิ่งต่างๆ ที่จะมาดึงใจของเรา
ให้อยู่ห่างไกลจากที่ทางเข้าของสมาธิ
ทางเข้าของสมาธิคืออะไรก็คือปัจจุบันนี่เอง
ใจของเราถ้าอยู่ปัจจุบันได้มันก็จะสงบได้ง่าย
แต่ส่วนใหญ่เรามักจะไม่อยู่ปัจจุบัน
ปัจจุบันอยู่ตรงนี้แต่ใจเราไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้
เช่นบางท่านขณะฟังธรรมอยู่ในขณะนี้ใจไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
บางทีไปคิดถึงเรื่องงานที่จะต้องทำอาทิตย์หน้าแล้วก็ได้
บางทีคิดถึงเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ก็ได้
ถ้าอย่างนี้ก็แสดงว่าไม่ได้อยู่ปากประตูของสมาธิ
เวลานั่งสมาธิก็จะไม่มีวันที่จะเข้าสมาธิได้
แต่ถ้าอยู่กับความว่างอยู่กับความรู้เฉยๆ
อยู่กับพุทโธ อยู่กับร่างกาย อย่างนี้แสดงว่าอยู่ปัจจุบัน
อยู่ปากประตูของสมาธิ พอนั่งสมาธิ
พอดูลมหายใจอย่างเดียวอย่างต่อเนื่อง
ไม่นานใจก็จะเข้าสู่ความสงบได้
หรือบริกรรมพุทโธอย่างต่อเนื่องก็จะเข้าสู่ความสงบได้
พอมีความสงบแล้วทีนี้เวลาออกจากสมาธิมา
ก็จะมีเครื่องมืออีกชิ้นหนึ่งที่จะมาใช้ในการต่อสู้
กับตัณหาความอยากได้ เครื่องมือชิ้นนี้เรียกว่า อุเบกขา
ใจที่มีสมาธินี้จะมีอุเบกขา คือจะวางเฉยได้
จะสู้กับความอยากได้ ถ้าไม่มีอุเบกขาเวลาเกิดความอยากนี้
ต้องวิ่งไปทำตามความอยาก
แต่ถ้ามีอุเบกขานี้เหมือนคนที่อิ่มไม่หิวมาก
ถึงแม้ว่าจะใครมาชวนไปกินที่นั่นที่นี่
ถ้าบางทีขี้เกียจไปก็ไม่ไปก็ได้ เพราะไม่เดือดร้อน
แต่คนที่ไม่มีอุเบกขานี้ เหมือนคนที่ไม่มีอาหาร ท้องว่าง
พอใครมาชวนให้ไปกินที่ไหนต้องรีบตามไปทันทีเลย
อันนี้ก็เหมือนกัน พอเราออกจากสมาธิมาแล้ว
ถ้าเราอยากจะรักษาความสงบ เราก็ต้องไม่ทำตามความอยาก
เพราะถ้าเราทำตามความอยาก
ใจของเราก็จะวุ่นวายขึ้นมาจะไม่สงบ
แต่ถ้าเรามีสมาธิ มีอุเบกขาแล้วเราเอาปัญญามาสอนใจ
ว่า อย่าไปทำตามความอยากเลย เพราะความอยากที่เราทำนี้
มันจะได้ความสุขแบบยาขมเคลือบน้ำตาล
ความสุขเคลือบความทุกข์ เป็นสุขเดี๋ยวเดียว
แล้วพอมันจางไปมันก็จะเหลือแต่ความทุกข์
เช่นอยากจะไปกินอะไร เวลาไปกินก็สุข
เวลากลับมาแล้วเดี๋ยวก็อยากจะกลับไปกินอีก
เพราะความสุขนั้นหมดไปก็ต้องไปหากิน
มันก็ต้องหากินอยู่เรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด
ถ้าเราใช้ปัญญาสอนใจ ให้เห็นว่า
ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เราก็จะฝืนความอยากได้ ถ้าเรามีอุเบกขา
ถ้าเราไม่มีอุเบกขา เราจะไม่มีกำลัง
มานั่งนึกถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
พอพูดถึงขนมก็จะวิ่งเข้าหาขนมทันที แล้วค่อยว่ากันทีหลัง
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเอาไว้ทีหลัง
ตอนนี้ขอกินก่อน อย่างนี้มันก็จะไม่มีวันที่จะหยุดความอยากได้
เพราะความอยากมันจะหมดได้ก็ต่อเมื่อ
เราไม่ทำตามความอยากเท่านั้น
ทุกครั้งที่เราอยากแล้วเราไม่ทำตามความอยาก
ต่อไปความอยากนั้น มันจะอ่อนกำลังลงไปเรื่อยๆ
แล้วมันจะหมดไปเอง
เหมือนคนที่อยากจะสูบบุหรี่หรือดื่มสุรานี้
ทุกครั้งที่อยากจะดื่มอยากจะสูบถ้าฝืนไม่ยอมดื่มไม่สูบ
ความอยากมันจะอ่อนกำลังลงไปเรื่อยๆ
แล้วต่อไปในที่สุดความอยากมันก็จะหายไป
พอความอยากหายไปแล้ว เวลาเห็นบุหรี่เห็นสุราก็จะเฉยๆ
ไม่เดือดร้อน แต่คนที่ยังเลิกไม่ได้ยังมีความอยากนี้
พอเห็นแล้วมันอดไม่ได้ น้ำลายไหลทันที
ดังนั้นถ้าเราอยากจะหยุดความอยากอย่างถาวร
เราต้องสร้างสมาธิขึ้นมาก่อน
เพราะสมาธินี้จะมาเสริมกำลัง
ให้เรามีกำลังที่จะต้านความอยากได้
มีเวลาที่จะระลึกถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้
พอเรานึกถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาด้วยจิตที่มีอุเบกขา
เราก็จะฝืนความอยากต่อสู้กับความอยากได้
แล้วในที่สุดความอยากที่มีอยู่ในใจ มันก็จะหายไปหมด
พอหายไปหมดแล้วทีนี้ก็ไม่มีอะไรมาสร้างความวุ่นวาย
สร้างความทุกข์ใจให้กับเรา อยู่เป็นสุข
เดี๋ยวนี้พวกเราอยู่กันไม่เป็นสุข อยู่เฉยๆไม่ได้
ต้องคิดถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้
แล้วก็ต้องไปทำให้ได้ คิดถึงขนมก็ต้องไปกินให้ได้
คิดถึงเครื่องดื่มก็ต้องไปหามาดื่มให้ได้ เพราะใจมันไม่สงบ
ใจมันไม่นิ่ง ใจมันไม่มีอุเบกขานั่นเอง
นี่แหละคือเรื่องของการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ในวาระที่เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์
และได้มาพบกับพระพุทธศาสนา
เป็นสูตรเดียวที่นานๆจะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง
นานๆ ที่จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์
นานๆ ที่จะมีพระพุทธศาสนามาปรากฏ
ให้พวกเราได้อาศัยเป็นที่พึ่ง
ตอนนี้เรามีครบสูตรแล้ว อยู่ที่เราจะต้องผลิตส่วนของเราขึ้นมา
ส่วนของเราก็ศรัทธา ความเชื่อ ฉันทะ วิริยะ
ความพอใจที่จะศึกษา ที่จะปฏิบัติตาม
ความอุตสาหะที่จะพากเพียรที่จะศึกษาที่จะปฏิบัติตาม
ถ้าเรามีสิ่งเหล่านี้อยู่ภายในใจแล้ว
ผลต่างที่พระพุทธศาสนาจะมอบให้กับเรา
ก็จะเป็นของเราได้อย่างแน่นอน
ทั้งหมดนี้ก็เกิดจากการระลึกถึงความตายเป็นจุดเริ่มต้น
ไม่ลืมความตาย พอเราไม่ลืมความตาย
เราก็จะไม่หลงกับการหาสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ที่เป็นชั่วคราว
แล้วจะได้หันมาหาสิ่งที่เป็นของแท้ของถาวร
ก็คือการทำทาน รักษาศีล ภาวนา
เพื่อการบรรลุถึงมรรคผล นิพพานนี่เอง
ดังนั้นก็ขอให้พวกเราอย่าลืมสิ่งที่พวกเราไม่ควรจะลืม
จะลืมอะไรก็ลืมได้หมดเลย ลืมสามี ลืมภรรยาก็ได้
ลืมเงินลืมทองลืมได้แล้วสบายใจ แต่อย่าลืมความตาย
เพราะลืมความตายแล้วจะทุกข์ใจ เพราะจะหลง แล้วก็จะโลภ
จะอยาก จะโกรธ จะมีแต่ความทุกข์ใจ.
............................
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๗
ความตาย
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ