Group Blog
All Blog
<<< "เกิดมาแล้วมันต้องทุกข์" >>>









"เกิดมาแล้วมันต้องทุกข์"

ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนาก็จะทำกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

เวียนว่ายตายเกิดกันไปเรื่อยๆ

 เพราะไม่มีใครบอกว่าเกิดมาเพื่อหยุดการเกิด

 ไม่มีใครสอนว่าให้มาละบาป ให้มาทำบุญ

ให้มาชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์

เพราะนี่เป็นวิธีที่จะหยุดการเกิดได้

ถ้าไม่ได้ทำบุญไม่ได้ละบาป

 ไม่ได้ชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ใจก็จะไม่สะอาด

 ใจก็ยังจะมีความอยากสามประการนี้

อยู่ในใจตลอดเวลา ความอยากสามประการนี้

ก็จะดึงให้ใจต้องไปเกิด

หลังจากที่ไปใช้บาปในอบายแล้ว

 หรือไปรับผลบุญในสวรรค์แล้ว

 พอบุญกับบาปที่ทำไว้ได้ชำระได้ใช้หมดแล้ว

 ก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่

มาทำบุญทำบาปกันใหม่

จนกว่าจะได้มาเจอกับพระพุทธศาสนา

 เจอกับพระพุทธเจ้าก็ดี หรือพระธรรมคำสอนก็ดี

 หรือพระอริยสงฆ์สาวกก็ดี

ทั้งสามนี้จะสอน เหมือนกัน ถ้าเจอพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าก็บอกว่าให้ทำบุญละบาป

 ให้ชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์

 ถ้าอ่านหนังสือธรรมะ

หนังสือธรรมะที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกนี้

 ๘๔,๐๐๐ ธรรมบทนี้ สอนให้ทำบุญละบาป

ให้ชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์ สอนแค่นี้

 สอนสามข้อนี้เท่านั้นเอง

 ถ้าเจอพระอริยสงฆ์สาวก

เจอพระอรหันต์ท่านก็จะสอนแบบเดียวกัน

 ท่านก็จะสอนให้ทำบุญละบาป

ชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์

ท่านจะบอกว่าเกิดมา

เพราะว่าเรามีความอยากทั้งสาม

 มีกามตัณหา มีภวตัณหา มีวิภวตัณหา

 เราจึงมาเกิดกัน พอเรามาเกิดแล้ว

เราสุขหรือเราทุกข์กัน สุขบ้าง แต่ทุกข์มากกว่า

สุขต้นแต่ทุกข์ปลายกัน เวลาเกิดนี้

เวลาเป็นเด็กกำลังเจริญเติบโตนี้

มันมีแต่ความสุขมากกว่าความทุกข์

 แต่พอเวลาเข้าสู่วัยชรานี้

 มันจะมีความทุกข์มากกว่ามีความสุข

 พอแก่แล้วก็ไปไหนไม่ได้

 จะดูจะฟังอะไรก็ดูไม่ค่อยถนัด ฟังไม่ค่อยถนัด

 จะไปเต้นแร้งเต้นการ้องรำทำเพลงก็ไม่ไหวแล้ว

 ยังมีโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มาเยี่ยมเยือนอยู่เรื่อยๆ

ต้องไปหาหมออยู่เรื่อยๆ

 ต้องไปโรงพยาบาลอยู่เรื่อยๆ

แล้วเดี๋ยวในที่สุดก็ต้องตายกัน นี่คือการเกิด

เกิดมาแล้วมันต้องทุกข์ ถ้าไม่อยากจะทุกข์

ก็ต้องหยุดการเกิดให้ได้เท่านั้นเอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 28 สิงหาคม 2561
Last Update : 28 สิงหาคม 2561 12:35:46 น.
Counter : 1160 Pageviews.

0 comment
<<< " พระธรรมคำสอนขอทำหน้าที่แทนท่าน" >>>








“พระธรรมคำสอน

  ขอทำหน้าที่แทนท่าน”

ร่างกายที่เราใช้ในการหาลาภ ยศ สรรเสริญ

 หรือหารูป เสียง กลิ่น รส ก็เช่นเดียวกัน

 ร่างกายของพวกเราก็อนิจจังเหมือนกัน

 เกิดแล้วก็ต้องแก่และต้องเจ็บต้องตายไป

 แล้วตายเวลาแก่เวลาเจ็บก็เป็นเวลาทุกข์กัน

 ไม่มีใครอยากแก่ไม่ มีใครอยากเจ็บ

ไม่มีใครอยากตายกัน แต่ไม่มีใครหลีกเลี่ยง

ความแก่ความเจ็บความตายได้

เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการมาเกิด

 ถ้าไม่อยากจะแก่จะเจ็บจะตาย

ก็ต้องไม่กลับมาเกิดเท่านั้น

และการที่จะไม่กลับมาเกิดได้

 ก็ต้องทำใจให้มีความสุข

 ทำใจให้หายจากความอยากต่างๆ

 ความอยากต่างๆ ทำให้ใจไม่มีความสุข

 ก็ทำให้ใจต้องกลับมาหาความสุขจากลาภยศสรรเสริญ

 จากรูปเสียงกลิ่นรสโผสฐัพพะชนิดต่างๆ

 แต่ถ้าเรามาสร้างความสุขให้แก่ใจได้

พอใจมีความสุขแล้ว ใจก็ไม่ต้องใช้ความสุข

จากลาภยศสรรเสริญ

 ความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผสฐัพพะ

 ใจก็ไม่ต้องกลับมาหาลาภยศสรรเสริญ

หารูปเสียงกลิ่นรสโผสฐัพพะอีกต่อไป

ใจก็ไม่ต้องกลับมาเกิดมามีร่างกาย

 พอมามีร่างกายแล้วก็ต้องมามีร่างกาย

ที่จะต้องแก่ต้องเจ็บและก็ต้องตายไป

 เวลาแก่เวลาเจ็บเวลาตาย ใจก็ทุกข์

กับความแก่ความเจ็บความตาย

นี่คือความจริงของพระพุทธศาสนา

 ของคำสอนของพระพุทธเจ้า

ให้เรารู้จักวิธีหาความสุขกันอย่างถูกต้องอย่างแท้จริง

 ต้องหาความสุขด้วยการทำใจให้สงบกัน

 อย่าไปหาความสุขจากลาภยศสรรเสริญ

 จากรูปเสียงกลิ่นรสโผสฐัพพะกัน

 เพราะมันจะนำพาไปสู่ความทุกข์ในลำดับต่อไป

เวลาที่ลาภภยศสรรเสริญเสื่อมไป

 เวลาที่ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นเสื่อมไป

ความทุกข์ก็จะเข้ามาแทนที่

 แต่ถ้าเรามาสร้างความสุขทางใจ

ความสุขที่เกิดจากความสงบของใจกันได้

 เราจะมีความสุขตลอดเวลา

เพราะความสุขที่ได้จากความสงบนี้

 จะอยู่กับเราไปเรื่อยๆ เพราะเราจะรู้จักวิธีสร้างมัน

 แล้วก็จะรู้จักวิธีรักษามัน

ให้คงอยู่ไปกับใจของเราได้อย่างถาวร

เป็นความสุขที่เป็นอกาลิโก

ไม่มีวันเสื่อมไม่มีวันหมด

 ความสุขที่พระพุทธเจ้า

และพระอรหันต์สาวกทั้งหลายได้รับกันนั้น

 ตอนนี้ก็ยังมีอยู่กับใจของพระพุทธเจ้า

กับใจของพระอรหันต์สาวก ใจของท่านไม่ได้ตาย

ไปกับร่างกายของท่าน แต่ท่านไม่มีร่างกาย

ที่จะมาติดต่อกับพวกเราได้แล้วเท่านั้นเอง

เพราะใจของท่านไม่ต้องการมีร่างกายแล้ว

ไม่จำเป็นที่จะต้องมีร่างกายแล้ว

ท่านจึงไม่ได้กลับมาเกิดมาสอนมาบอกพวกเรา

ให้รู้ความจริงอันนี้ ท่านก็เลยต้องทิ้ง

พระธรรมคำสอนทำหน้าที่แทนท่าน

ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะจากพวกเราไป

ก่อนที่ร่างกายของท่านจะตายไป

 ท่านก็พูดสอนฝากไว้ว่า

พวกเธอจะไม่ได้อยู่ปราศจากศาสดา

ปราศจากครูบาอาจารย์

เพราะว่าคำสอนของเรานี้

จะเป็นครูเป็นอาจารย์ของพวกเธอต่อไป

ขอให้พวกเธอเข้าหาพระธรรมคำสอนของพวกเรา

 แล้วพวกเธอจะไม่ปราศจากการมีครูอาจารย์

 พวกเธอจะมีอาจารย์คอยสั่งคอยสอนคอยบอก

ให้พวกเธอได้ไปสู่การหลุดพ้น

จากความทุกข์ทั้งหลาย

 พาให้พวกเธอไปสู่ความสุขที่ถาวรที่เราได้รับ

จะเป็นความสุขเช่นเดียวกันกับที่พวกเธอจะได้รับ

 นี่คือสิ่งที่พวกเราจะต้องมี ศรัทธามีความเชื่อ

 เชื่อว่าการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้านี้

ไม่ว่าจะอยู่ในยุคใดสมัยใด

สามารถให้ผลได้ เช่นเดียวกัน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.....................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๐

"ความสุขที่เหนือกว่าความสุขทั้งปวง"






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 20 สิงหาคม 2561
Last Update : 20 สิงหาคม 2561 6:52:51 น.
Counter : 335 Pageviews.

0 comment
<<< " การพิจารณาอสุภะ" >>>








"การพิจารณาอสุภะ"



การพิจารณาอสุภะนี้ มีเป้าหมายอยู่ที่

การดับกามารมณ์ที่คอยมารบกวนใจของเรา

ทำให้เราอยู่ในความสงบ อยู่ตามลำพังไม่ได้

เวลาเกิดกามารมณ์แล้วเราจะรู้สึกว้าเหว่

เศร้าสร้อยหงอยเหงา อยากจะมีแฟน

 อยากจะมีเพื่อน อยากจะมีคู่หลับนอน

แต่การมีกามารมณ์นี้ จะทำให้เรา

ไม่สามารถมีความสุข

ที่ได้จากความสงบอยู่ตามลำพังได้

 ดังนั้น ผู้ที่แสวงหาความสุขจากการทำใจให้สงบนี้

 จำเป็นต้องพิจารณาอสุภะเพื่อมาดับกามารมณ์

ที่จะทำให้ไม่สามารถตั้งอยู่ในความสงบได้

เป้าหมายของอสุภะนี้ อยู่ที่การดับของกามารมณ์

 ไม่ได้อยู่ที่การดับของ อสุภะ

 อสุภะนี้เป็นเหมือนยา ที่จะมารักษาโรคใจ

ก็คือ กามารมณ์ ความทุกข์ที่เกิดจาก

การเวลามีกามารมณ์ขึ้นมา

ถ้าพิจารณาเห็นอสุภะ กามารมณ์ก็จะดับไป

ฉะนั้นตราบใดที่ยังมีกามารมณ์อยู่

การพิจารณาอสุภะจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น

 เหมือนกับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ

ที่จำเป็นต้องรับประทานยาไปเรื่อยๆ

 จนกว่าโรคจะหาย

ถ้าโรคไม่หายก็ต้องกินยาไปเรื่อยๆ

 รับประทานยาไปเรื่อยๆ

ฉันใดถ้ายังมีกามารมณ์อยู่ ยังอยากเสพกามอยู่

ก็ยังต้องพิจารณาอสุภะไปเรื่อยๆ

จนกว่าความอยากเสพกามนี้หมดไปเท่านั้น

การพิจารณาอสุภะก็จะหมดไป

ไม่มีความจำเป็นต่อไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๖






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2561
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2561 9:03:58 น.
Counter : 1081 Pageviews.

0 comment
<<< " ให้คิดไปในทางปัญญา " >>>











"ให้คิดไปในทางปัญญา"

ความวุ่นวายใจกับความไม่วุ่นวายใจอันไหนจะดีกว่ากัน

 ตอนนี้ใจเราไม่วุ่นวายใจเราสบาย

 ทำไมเราไม่รักษามันไว้ให้มันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

 เพราะเราไม่รู้จักวิธีรักษามันนั่นเอง

เดี๋ยวพอร่างกายไปหิว

พอร่างกายไปอะไรก็วุ่นวายขึ้นมา

 ถ้าไม่ได้กินไม่ได้อะไรเดี๋ยวร่างกายเจ็บ

ถ้าไม่ได้ขยับก็วุ่นวายขึ้นมาแล้ว

 ต้องขยับแข้งขยับขาถึงจะหายวุ่นวาย

 แต่ถ้ารู้จักฝึก ถ้าจำเป็นจะต้องให้มันนั่งอยู่อย่างนั้น

ให้มันเจ็บอยู่อย่างนั้น

ก็ยังสามารถรักษาใจไม่ให้วุ่นวายได้

 ถ้ามีสติ มีสมาธิ มีปัญญา

อันนี้จะสามารถสอนใจให้ไม่วุ่นวาย

กับความเจ็บของร่างกายต่างๆ ได้

นี่แหละประโยชน์ที่เราจะได้รับ

จากการที่เรามาฟังเทศน์ฟังธรรม

 แล้วเราเอาไปปฏิบัติตามต่อ

 อันนี้รู้แล้วว่าเราต้องปฏิบัติอะไรกันบ้าง

 ถ้าเราอยากจะรักษาใจของเรา

ไม่ให้มันวุ่นวายไปกับเหตุการณ์ต่างๆ

ก็คือเราต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา

สมาธิก็คือความนิ่งแบบตอนนี้แหละ

 ตอนนี้เราก็มีสมาธิกันแล้ว แต่ยังไม่เต็มร้อย

ถ้าสมาธิเต็มร้อยนี่มันจะเข้าไปข้างใน

 ร่างกายจะหายไปจะเหลือแต่ตัวใจตัวเดียว

 ใจจะกลับเข้าไปสู่ตัวใจ ตอนนี้ยังไม่ได้กลับเข้าไป

 ตอนนี้เพียงแต่หยุดคิดนึก

 เพราะตอนนี้เอาความคิดมาฟังเทศน์แทน

 เพราะเอาใจมาฟังเทศน์ เลยไม่ได้ไปคิดเรื่องอื่น

 ก็เลยนั่งเฉยๆ ได้ อยู่ในความสงบได้

สมมุติว่าลืมปิดเตาไม่ได้ปิดเตาแก๊สอยู่ที่บ้าน

 ถ้าคิดถึงปั๊บนี่ เดี๋ยวมันจะนั่งอยู่ไม่ได้แล้ว

เดี๋ยวกลัวบ้านไหม้ต้องรีบกลับบ้านไปปิด

 แต่ถ้าลืมคิดถึงมัน มันจะไหม้เราก็ไม่รู้

เราก็สงบของเราสบายไป อันนี้คือสมาธิ

 อย่างไรมันก็ต้องไหม้อยู่ดี ไม่ไหม้มันก็ต้องพังอยู่ดี

 บ้านสร้างมันไปห้าสิบปีร้อยปีก็ต้องทุบทิ้งอยู่ดี

 มีอะไรอยู่คงเส้นคงวาบ้าง ดูกรุงศรีอยุธยาสิ

มโหฬารใหญ่โตขนาดไหน

 เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นซากปรักหักพัง

ถ้าจะคิดก็ให้คิดไปในทางปัญญา

คิดไปในทางความเป็นจริงว่า

ทุกอย่างมันจะต้องมีวันจบวันหมด

 ร่างกายของเราดูแลรักษามันดีขนาดไหน

 เดี๋ยวมันก็ตาย จะใหญ่โตร่ำรวยขนาดไหน

 ก็ห้ามมันไม่ได้ ถ้าไปกังวลกับมัน

 กังวลไปทำไม ห่วงมันทำไม

 แล้วเราไปเปลี่ยนมันได้หรือเปล่า

 เปลี่ยนแปลงมันได้หรือ ห้ามมันได้หรือ ก็ไม่ได้อยู่ดี

ไปวุ่นวายไปทำไม ไปทุกข์กับมันทำไม

 พอมันเห็นด้วยปัญญา มันก็ไม่ทุกข์ มันก็เฉยๆ ไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

....................................

สนทนาธรรมบนเขา

วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐









ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2561
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2561 9:54:29 น.
Counter : 250 Pageviews.

0 comment
<<< "อย่าปล่อยให้ชาตินี้ผ่านไป" >>>











"อย่าปล่อยให้ชาตินี้ผ่านไป"

ชาตินี้เราโชคดีได้มาเจอพระพุทธศาสนา

 ได้มาเจอพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ได้มาเจอพระอริยสงฆ์สาวก

ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เจอพระพุทธเจ้า

ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะพระพุทธเจ้า

ได้ทรงตรัสไว้ก่อนที่จะจากไปว่า

ธรรมวินัยที่ตถาคตตรัสไว้ชอบแล้วนี้แล

จะเป็นศาสดาของพวกเธอต่อไป

 พวกเธอจะไม่ได้อยู่ปราศจากศาสดา

 คือพวกเราจะไม่ได้อยู่ปราศจากพระพุทธเจ้า

 เพราะพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านี้

เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า

ได้พบกับพระธรรมคำสอนก็ถือว่าได้พบกับพระพุทธเจ้า

 อย่างทรงตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต

 ใครเห็นธรรมเห็นคำสอนของพระพุทธเจ้า

ผู้นั้นก็ได้เห็นพระพุทธเจ้า

ดังนั้นถึงแม้ไม่มีพระพุทธเจ้า

ก็เหมือนกับมีพระพุทธเจ้า

 เพราะเรามีพระธรรมคำสอนเป็นผู้คอยสอน

คอยเตือนคอยบอกเรา เราโชคดี

ที่ได้มาเจอพระธรรมคำสอน

หรือได้มาเจอกับพระอริยะสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า

ที่มีความสามารถที่จะสอนให้พวกเรา

ออกจากไตรภพได้

ออกจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏได้

ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา

ไม่มีพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 ไม่มีพระอริยสงฆ์สาวกหลงเหลืออยู่ในโลกนี้แล้ว

 ก็จะไม่มีใครมาสอนวิธี

ที่จะทำให้เราออกจากสังสารวัฏได้

 เราก็ยังจะต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป

 ถึงแม้ว่าจะได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นต่างๆ

ชั้นเทพ ชั้นรูปภพ ชั้นอรูปภพ

 แต่ก็เป็นสวรรค์ที่จะต้องมีวันเสื่อมมีวันหมดไป

 เพราะภพต่างๆในสังสารวัฏนี้

ยังอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์อยู่

ภายใต้กฎของอนิจจังความไม่ถาวร

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ได้เป็นอะไรแล้วเดี๋ยวก็ต้องหมดไป

 เพราะภพเหล่านั้นไม่ได้เป็นของเราอย่างถาวร

 เป็นของเราเพียงชั่วคราว

ได้อรูปภพเดี๋ยวก็เสื่อมลงมาสู่รูปภพ

 จากรูปภพก็จะเสื่อมลงมาสู่เทวภพ กามภพ

จากเทวภพก็ลงมาเป็นมนุษย์

แล้วถ้ากลับมาเป็นมนุษย์แล้ว

มาทำบาปมากกว่ามาทำบุญ

ตายไปก็ไปสู่อบายต่อ ไปสู่เดรัจฉาน

เปรต อสุรกาย และนรก พอบาปที่ทำไว้หมดกำลัง

ที่จะดึงให้จิตอยู่ในอบาย

จิตก็จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่

 แล้วก็มาทำบุญทำบาปใหม่

 ก็จะขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด

ถ้าไม่ได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

ดังนั้นการที่เราได้มาพบกับพระพุทธศาสนานี้

 จึงถือว่าเป็นโชคมหาศาล นานๆ จะมีโอกาส

ได้มาพบกับพระพุทธศาสนาสักครั้งหนึ่ง

 เพราะนานๆ จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้

ทางที่จะพาสัตว์โลกให้หลุดออกจากวัฏฏะ

แห่งการเวียนว่ายตายเกิดกันสักครั้งหนึ่ง

 ไม่ใช่ว่าทุกภพทุกชาติที่เรามาเกิด

จะมีพระพุทธศาสนารอเราอยู่

พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้

 ก็จะรอเราอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น

ตอนนี้ก็ผ่านมาแล้วครึ่งทาง ๒,๕๐๐ กว่าปี

 เหลืออีก ๒,๔๐๐ กว่าปี

พระพุทธศาสนาก็จะสูญจากโลกนี้ไป

 ถ้าเรากลับมาเกิดคราวหน้า

หลังจาก ๒,๔๐๐ กว่าปีนี้ไปแล้ว

 เราก็จะไม่ได้เจอพระพุทธศาสนาอีก

เราจะไม่เจอคนที่จะสอนให้เราออกจาก

การเวียนว่ายตายการเวียนว่ายตายเกิดได้

 เราจะไม่ได้เจอคำสอนของพระพุทธเจ้า

 หรือถ้าเจอก็ไม่เข้าใจความหมาย

 อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ เพราะไม่มีใครที่รู้หรือเข้าใจ

มาอธิบายให้เราฟังกัน

ดังนั้นเราจึงไม่ควรที่จะทิ้งโอกาสอันงามนี้

ให้หลุดไปจากมือของเรา

ชาตินี้เป็นชาติหนึ่งในหลายๆ ล้านชาติ

ที่มีโอกาสได้พบกับพระพุทธศาสนา

ได้พบกับวิธีที่จะพาให้เราไม่ต้องกลับมา

เวียนว่ายตายเกิดกัน นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง

 เกิดมาล้านชาติ อาจจะมีชาติหนึ่ง

ที่จะได้เจอพระพุทธศาสนา

 อย่าปล่อยให้ชาตินี้ผ่านไป

เพราะถ้าผ่านไปแล้วอาจจะต้องรอไปอีกหลายล้านชาติ

กว่าจะได้มาเจอกับพระพุทธศาสนาอีกครั้งหนึ่ง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๐

"เหตุของการเกิดภพชาติ"







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2561
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2561 6:22:40 น.
Counter : 236 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ