Group Blog
All Blog
### เรื่องสำคัญที่สุดของชีวิต ###


















“เรื่องสำคัญที่สุดของชีวิต”

...............

เรื่องสำคัญที่สุดของชีวิตเราก็คือความตาย

ถ้าเราระลึกถึงความตายได้แล้ว เราก็จะได้เปลี่ยนชีวิต

 เปลี่ยนบทบาทการดำเนินชีวิตของเรา

แทนที่จะไปหาสิ่งต่างๆ ที่มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน

ที่ไม่ได้ให้ความสุขที่ถาวร ที่ไม่ได้มาดับความทุกข์ภายในใจ

เราก็จะเปลี่ยนไปหาสิ่งที่จะให้ความสุข กับเราอย่างถาวร

 เป็นสิ่งเราสามารถเอาติดตัวไปกับเราได้

 หลังจากที่ร่างกายนี้ตายไปแล้ว เราก็จะได้กำไร จะไม่คว้าน้ำเหลว

 ได้มาเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นสิ่งที่วิเศษอย่างมาก

เพราะมีมนุษย์นี้เท่านั้นแหละ ที่จะมาสร้างบุญสร้างกุศล

มาสร้างความสงบสุขให้แก่จิตใจ มาดับความทุกข์

มาดับการเวียนว่ายตายเกิด ให้กับจิตใจได้

หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้

ต้องหลุดด้วยการมาเกิดเป็นมนุษย์

 และก็ต้องมีพระพุทธศาสนาเป็นผู้นำทาง

 ถ้าเกิดเป็นมนุษย์แต่ไม่มีพระพุทธศาสนา เป็นผู้นำทาง

 ก็จะไม่สามารถที่จะปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้น

 จากการเวียนว่ายตายเกิดได้

 เพราะวิธีที่จะปฏิบัติให้หลุดพ้น จากการเวียนว่ายตายเกิดได้

ไม่มีใครรู้นอกจากพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

 ถ้าเป็นการเข้าบ้านก็มีคนคนเดียวที่ถือกุญแจบ้านอยู่

ถ้าไม่มีคนนี้พวกเราก็เข้าบ้านกันไม่ได้

 ต้องรอให้คนนี้มาไขกุญแจ

เปิดประตูให้พวกเราเข้าบ้านกันไป ฉันใด

พระนิพพานก็เป็นเหมือนบ้าน ที่เราจะเข้ากัน

แต่เราเข้ากันไม่ได้ถ้าไม่มีคนที่ถือกุญแจ

เอากุญแจมาเปิดประตูให้พวกเราเข้าไป

คนที่จะเปิดประตูบ้านพระนิพพานให้กับพวกเรา

ก็คือพระพุทธเจ้านี่เอง ถ้าเรามาเกิดเป็นมนุษย์

 แต่เราไม่ได้พบกับพระพุทธศาสนา ไม่ได้พบกับพระพุทธเจ้า

 เราก็จะไม่มีผู้ที่จะเปิดประตูให้เรา เข้าไปสู่พระนิพพานได้

 แต่ชาตินี้เป็นชาติที่วิเศษอย่างมาก

 เพราะว่าเราได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว

เราได้มาพบ กับพระพุทธศาสนาที่เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า

 ที่เป็นผู้ถือกุญแจที่จะเปิดประตูสู่พระนิพพาน ให้กับพวกเราได้

 ถ้าพวกเราไม่ไปขอให้ท่านเปิดประตูให้กับพวกเรา

พวกเราก็จะไม่สามารถเข้าไปสู่ บ้านอันประเสริฐ

บ้านที่มีแต่บรมสุข บ้านที่ปราศจากความทุกข์

ปราศจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ได้

ดังนั้นตอนนี้พวกเราได้มาเจอผู้ที่ถือกุญแจแล้ว

เราก็ต้องขอให้ท่านสอนเรา บอกเรา

ก็เป็นเหมือนกับ ให้ท่านช่วยเป็นผู้เปิดประตู

ไขกุญแจบ้านให้กับพวกเรานั่นเอง

ดังนั้นเราจึงควรที่จะทุ่มเทชีวิตจิตใจ ให้กับการศึกษาและปฏิบัติ

เพื่อที่เราจะได้เข้าไปสู่บ้านอันประเสริฐนี้

การที่เราจะศึกษาและปฏิบัติทุ่มเท อย่างสุดชีวิตได้นี้

ก็ต้องระลึกถึงความตายอยู่เรื่อยๆ

เพราะถ้าเราเห็นความตายอยู่เรื่อยๆ

เราจะได้ยุติการแสวงหาสิ่งต่างๆ ที่ไม่ใช่เป็นของเรา

 ที่เราไม่สามารถจะเอาติดตัวกับเราไปได้

ก็คือเราจะไม่ไปสนใจกับการหาความสุขผ่านทางร่างกาย

ไม่สนใจกับการหาทรัพย์สมบัติ ข้าวของเงินทอง

 ลาภยศ สรรเสริญต่างๆ จะสนใจกับการศึกษาและการปฏิบัติ

เพื่อที่จะทำให้เราได้ไปถึงพระนิพพานให้ได้

อันนี้เกิดขึ้นจากการเห็นความตายในชีวิตของเรา

 เช่นพระพุทธเจ้าของเรา

ก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกจากพระราชวัง

เพื่อไปศึกษาไปปฏิบัติ เพื่อให้ได้ไปถึงพระนิพพาน

พระองค์ก็ทรงเห็นความตาย เห็นเทวทูต ๔

 เห็นคนแก่ เห็นคนเจ็บ เห็นคนตาย และเห็นนักบวช

จึงทำให้พระองค์ทรงเปลี่ยนความสนใจเป้าหมายของชีวิตเดิม

จากการหาลาภยศ สรรเสริญ

หาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

 มีปราสาทพระราชวังอยู่ ๓ หลังด้วยกัน เป็นปราสาท ๓ ฤดู

หาความสุขจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอยู่ตลอดเวลา

แต่ทรงเห็นว่าร่างกายนี้ก็ต้องเสื่อมลงไปเรื่อยๆ

ก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ แล้วก็ต้องตายไป

พอตายไปแล้วความสุขต่างๆ ที่หาผ่านทางร่างกายมันก็หมดไป

พระพุทธเจ้าจึงเปลี่ยน หาความสุขอีกทางหนึ่ง

หาความสุขของทางนักบวชกัน ทรงถามมหาดเล็กว่า

 นักบวชนี้เขาทำอะไร นักบวชนี้เขาหาทางออก

จากความแก่ ความเจ็บ ความตาย

เขาต้องการหาสุขที่ไม่ต้องผ่านทางร่างกาย

ผ่านความแก่ ผ่านความเจ็บ ผ่านความตาย

ท่านก็เลยอยากจะบวช อยากจะหาความสุขแบบนั้น

 พอถึงเวลาที่จะต้องบวช ก็ทรงสละราชสมบัติไปอย่างง่ายดาย

เพราะเห็นว่าอยู่ไปก็จะไม่มีวันได้ความสุข

ที่ไม่ต้องอาศัยร่างกายที่จะต้องแก่ ที่จะต้องเจ็บ ที่จะต้องตายไป

 พระองค์ก็เลยเสด็จออกจากพระราชวัง

แล้วก็ทรงไปศึกษาวิธีทำใจให้สงบ

 วิธีที่จะทำให้ใจหลุดพ้น จากความทุกข์ต่างๆ

แต่ก็สามารถศึกษาได้แต่ระดับขั้นฌาณสมาบัติ

ก็คือสามารถทำใจให้สงบระงับความทุกข์

ระงับความโลภ ความโกรธ ความหลง

ความอยากต่างๆ ได้เป็นพักๆ ในขณะที่เข้าไปในสมาธิ

เข้าไปในฌาณ แต่เวลาออกจากสมาธิมา ออกจากฌาณมา

 ใจก็กลับมีความโลภ ความโกรธ ความหลง

ความอยากอยู่เหมือนเดิม จึงรู้ว่ายังไม่สำเร็จ

แต่ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถสอนให้สามารถระงับความโลภ

 ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ

 โดยที่ไม่ต้องเข้าไปในสมาธิ ไม่ต้องเข้าไปในฌาณได้

พระองค์จึงต้องศึกษาและค้นคว้าวิธีด้วยพระองค์เอง

จนในที่สุดก็ทรงค้นพบวิปัสสนาภาวนาคือ

 การใช้ปัญญาแก้ความหลง เพราะความหลงเป็นต้นเหตุ

ที่ทำให้เกิดความโลภ เกิดความอยาก เกิดความโกรธ

ถ้าเห็นว่าพอไม่หลงแล้วความโลภ ความโกรธ

ความอยากต่างๆ ก็หายไป

 เช่นถ้าเราอยากได้อะไร ถ้าเราเห็นสิ่งที่เราอยากได้

ว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นของชั่วคราว เป็นความสุขเดี๋ยวเดียวแล้ว

เดี๋ยวก็หมดไป เวลาหมดไปก็จะกลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา

อย่างนี้ก็จะทำให้ไม่อยากได้ ได้อะไรมาแล้วต้องเสียไปแล้ว

เวลาเสียนี้มันเสียใจหรือดีใจ ทุกข์ใจหรือสุขใจ

ทรงพิจารณาอย่างนี้ก็ทรงเห็นว่า

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ใจอยากได้ อยากมีอยากเป็นนี้

ล้วนเป็นของไม่เที่ยงทั้งนั้น เป็นของชั่วคราวเวลาได้ก็ดีใจ

 แต่ในที่สุดก็ต้องเสียใจ ก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ไม่ได้

ถ้าต้องการจะหลุดพ้นจากความทุกข์ก็ต้องไม่เอาอะไร

 ไม่อยากได้อะไร ไม่อยากมีอะไร ไม่อยากเป็นอะไร

พอไม่มีความอยากใจก็หายทุกข์ แล้วไม่มีอะไรใจก็ไม่ทุกข์

กับสิ่งที่ไม่มี ความว่างนี้ไม่มีโทษ เพราะว่ามันไม่เกิดไม่ดับ

 แต่สิ่งอื่นๆนี้มันเกิดมันดับ

ดังนั้นขอให้เราอยู่กับความว่างให้ได้

 ถ้าเราอยู่กับความว่างได้ เราก็อยู่กับพระนิพพานได้

เพราะว่าพระนิพพานก็คือปรมัง สุญญังนั่นเอง

 ก็คือความว่าง คือใจไม่มีอะไร ใจอยู่กับความว่างได้

จะอยู่กับความว่างได้ก็ต้องมีวิปัสสนา มีปัญญา

มีความเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเกิดจะต้องมีดับไปเป็นธรรมดา

 ถ้าได้มาแล้วก็จะต้องเสียใจจะต้องมีความทุกข์ใจตามมาต่อไป

 ถ้าไม่อยากจะทุกข์ใจไม่อยากจะเสียใจ ก็อย่าไปมีอะไร

เช่นคนไม่มีสามีก็ต้องไม่ทุกข์กับสามี

คนไม่มีภรรยาก็ไม่ทุกข์กับภรรยา

คนไม่มีตำแหน่งก็ไม่ทุกข์กับตำแหน่ง

 ตอนนี้มีตำแหน่งก็มีคนคอยไล่คอยขับอยู่ตลอดเวลา

ทุกข์อยู่ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน

ตื่นขึ้นมาก็เจอแต่ข่าวเขาจะไล่เราๆ จะมีความสุขได้อย่างไร

ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จะอยู่ถึงวันไหนก็ไม่รู้

 แต่ถ้าไม่มีตำแหน่งก็ไม่ต้องมาทุกข์กับตำแหน่งแล้ว

นี่แหละการบวชก็เพื่อสละทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่กับความว่าง

พระพุทธเจ้าในที่สุดก็ทรงค้นพบวิธี ที่จะทำให้จิตหลุดพ้น

จากความทุกข์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

เพราะการเวียนว่ายตายเกิด ก็เกิดจากความอยากนี่เอง

เวลาเกิดความอยากแล้วถึงแม้ว่าร่างกายนี้จะตายไป

แต่ความอยากมันอยู่ในใจ ใจที่มีความอยากอยู่

มันก็ไปหาร่างกายอันใหม่มาเกิดใหม่ มาแก่ มาเจ็บ มาตายใหม่

มาหาสิ่งนั้นสิ่งนี้ใหม่ แล้วก็มาทุกข์กับสิ่งนั้นสิ่งนี้อีก

ทำอย่างนี้มาไม่รู้กี่ร้อยล้านรอบแล้ว

ทำอย่างนี้มา ทุกข์มาไม่รู้เท่าไรแล้ว

แต่ก็ไม่มีวันที่จะรู้วิธีที่จะหยุดมันได้

ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าผู้ที่มีปัญญาที่แหลมคม

 ที่สามารถเห็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหลายได้ว่าเกิดจากความหลง

 ความหลงที่ไม่เห็นว่าไม่มีอะไรในโลกนี้

ที่มันจะให้ความสุขกับเราอย่างแท้จริงอย่างถาวร

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นความสุขปลอม

 เป็นความสุขที่เคลือบความทุกข์ไว้ภายใน

เวลาความสุขนี้จางหายไปก็จะมีความทุกข์โผล่ขึ้นมา

 เหมือนกับยาขมเคลือบน้ำตาล เวลาอมใหม่ๆก็หวานดี

แต่พอน้ำตาลที่เคลือบนั้นละลายไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่ความขม

 ชีวิตของพวกเราเวลาได้อะไรมาใหม่ๆนี้ก็หวานดี

เวลาแต่งงานกันใหม่ๆนี้ก็หวาน พออยู่ไปๆ

ความหวานมันก็หายไป เหลือแต่หวานอมขมกลืน

 เพราะเราไม่มีปัญญามองทะลุน้ำตาลที่เคลือบความขมอยู่

เราไม่มีปัญญามองทะลุความสุขที่มันเคลือบความทุกข์อยู่นั่นเอง

 เราจึงมักจะเดินเข้าหาความทุกข์กันอยู่เรื่อยๆ

 เวลาได้อะไรมาก็ดีอกดีใจกัน ได้สามีได้ภรรยา

ได้บุตรธิดาได้ลูกก็ดีอกดีใจกัน

แต่พอลูกมันเริ่มโตขึ้น ลูกมันเริ่มดื้อขึ้น

 ลูกมันเริ่มสร้างปัญหาให้กับเรา ทีนี้มันก็เห็นความทุกข์ตามมาแล้วซิ

 ถ้ามีปัญญาเราคิดไว้ล่วงหน้าก่อน มองเห็นอะไรจะเกิดก่อน

 เราก็จะได้ไม่ไปเดินเข้าไปหาปัญหานั้น แต่นี่เราไม่เห็นกัน

 เพราะปัญญาของเราไม่แหลมคม ปัญญาของเราเป็นปัญญาตื้นๆ

มองเห็นแต่ผิว มองไม่ทะลุเข้าไปใต้ผิวหนัง

เช่นร่างกายนี้ก็มองไม่เห็นใต้ผิวหนัง

มองทีไรก็มองว่าสวยว่างามทุกที

 แต่ถ้ามองทะลุเข้าไปใต้ผิวหนังได้ก็จะเห็นว่า

ร่างกายนี้ไม่สวยไม่งามเลย ถ้าเห็นอย่างนี้ก็จะไม่อยากมีสามี

ไม่อยากมีภรรยา ก็จะไม่ต้องมาทุกข์กับสามี

ไม่ต้องมาทุกข์กับภรรยา ไม่ต้องมาทุกข์กับบุตรธิดา

กับลูกกับหลาน

แต่นี่มันมองไม่เห็นปัญญาตื้นๆ มองเห็นแค่ระดับผิวหนัง

 เห็นแล้วก็ติดอยากได้ พอได้มาแล้วก็มีความทุกข์

ตามมาเป็นขบวนยาวเหยียด ทุกข์ตั้งแต่สามีภรรยา

 ตามมาด้วยบุตรธิดาแล้ว ก็หลานเหลนตามมา

นี่คือความทุกข์ที่พวกเราเดินเข้าหากัน เพราะความหลง

เพราะไม่มีปัญญา มองไม่เห็นความจริง

มองไม่เห็นความตาย มองไม่เห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอน

มองไม่เห็นอนิจจัง มองไม่เห็นอนัตตาก็คือไม่ใช่ของเรา

 เป็นของชั่วคราว เราไม่สามารถที่จะไปสั่งให้เขาเป็นของเรา

 อยู่กับเราไปได้ตลอด ไม่ช้าก็เร็วเขากับเราก็ต้องจากกันไป

มองไม่เห็นความทุกข์ที่เกิดจากการไปยึด ไปติด

กับของที่ไม่ใช่เป็นของเรา ไปยึดไปติดกับของที่ไม่ถาวร

อันนี้เป็นปัญญาที่พระพุทธเจ้า เพียงพระองค์เดียวที่จะมองเห็นได้

 ถ้าเราได้มาเกิดเป็นมนุษยแล้วได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

ก็ถือว่าเรานี้ โชคดีมาก เพราะว่าถ้าเราไม่ได้เป็นมนุษย์

 ถึงแม้จะมีพระพทุธศาสนา เราก็จะไม่สามารถปฏิบัติตาม คำสอน

ของพระพุทธเจ้า เช่นเรามาเกิดเป็นสัตว์ในภูเขาลูกนี้

เป็นลิง เป็นกระรอก เป็นกระแต อยู่ใกล้กับพระศาสนา

อยู่ใกล้กับพระกับเจ้า แต่ก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าเขาทำอะไรเขาสอนอะไร

 ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์

แล้วก็ต้องเจอกับพระพุทธศาสนา ได้ยินได้ฟัง

พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว

 ได้ยินได้ฟังแล้วก็เกิดศรัทธาขึ้นมา

 ถ้าได้ยินได้ฟังแล้วไม่เกิดศรัทธา ไม่เกิดความเชื่อ

 ก็เป็นเหมือนพวกทัพพีในหม้อแกง

ฟังไปแล้วก็ไม่รู้รสชาติของแกง

 ถึงแม้แกงจะวิเศษ ราคาแพงเป็นพันเป็นหมื่น

 ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับทัพพี ทัพพีไม่รู้หรอกว่า

แกงที่มันตักนี้ มีราคาเป็นพันเป็นหมื่น

มันต้องเป็นลิ้นกับแกงเท่านั้น

ดังนั้นถ้าเราได้พบกับพระพุทธศาสนาแล้ว

เราต้องทำตัวเราให้เป็นลิ้นให้ได้ อย่าทำตัวให้เราเป็นทัพพี

อย่าไปเมิน อย่าไปมองไม่เห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา

ถ้ายังมองไม่เห็นก็พยายามบังคับตัวเองให้ศึกษาไปเรื่อยๆ

เพราะบางทีปัญญาของเราอาจจะทึบ อาจจะต้องใช้เวลานานหน่อย

กว่าที่จะเข้าอกเข้าใจ แต่ถ้าตราบใดเรามีความพยายามที่จะศึกษา

 ไม่ท้อแท้ไม่ยอมแพ้ ศึกษาไปเรื่อยๆ แล้วมันก็ต้องเข้าใจเอง

พอเข้าใจแล้วก็จะเห็นคุณค่าของคำสอนของพระพุทธเจ้า

 ก็จะเกิดศรัทธา เมื่อเกิดศรัทธาแล้วก็จะเกิดฉันทะ วิริยะ

ฉันทะก็คือความพอใจที่จะปฏิบัติตาม

วิริยะก็คือความอุตส่าหะพากเพียรที่จะพยายามปฏิบัติตาม

 เพราะการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้านี้

เป็นการกระทำที่ยาก เนื่องจากว่า เป็นการกระทำที่เราไม่ถนัด

เราไม่เคยทำมาก่อน เหมือนกับการเปลี่ยนมือ

ที่เราถนัดมาใช้อีกมือหนึ่ง

เช่นเราถนัดมือขวา แต่เราต้องมาใช้มือซ้าย

 ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เราไม่อยากจะใช้เพราะมันไม่ถนัด

 เราอยากจะใช้มือขวา แต่ถ้ามือขวาเราพิการไปอย่างนี้

เราก็จะต้องหัดใช้มือซ้าย ถ้าเราหัดไปเรื่อยๆแล้ว

ต่อไปมือซ้ายนี้ก็จะใช้ได้เหมือนมือขวาไม่มีความแตกต่างกัน

เพราะคนที่เขาถนัดมือซ้าย ทำไมเขาใช้มือซ้ายได้อย่างสบาย

 เพราะความถนัดนี้เอง

เช่นเดียวกับการเปลี่ยนทิศทางของการดำเนินชีวิต

ของพวกเรา จากการแสวงหาความสุขผ่านทางร่างกาย

 ผ่านทางลาภยศ สรรเสริญ

เราต้องเปลี่ยนการหาความสุข มาในทางทาน ศีล ภาวนา

มาหาความสุขด้วยการทำทาน แบ่งปัน

มีอะไรที่เราพอที่จะแบ่งปันให้กับผู้อื่นได้ก็แบ่งปันกันไป

เก็บไว้เท่าที่จำเป็นที่เราจะต้องมี ส่วนที่เกินนี้ก็อย่าไปหวง

เก็บเอาไว้ แล้วเราก็จะได้มีความเมตตา ก็จะทำให้เรารักษาศีลได้

 เราจะไม่เบียดเบียนผู้อื่นได้ เพราะเรามีความเมตตา

เราอยากจะให้ผู้อื่นมีความสุข เราทำทานเพราะเราเห็นว่า

ทำแล้วให้ผู้อื่นเขามีความสุข ต่อไปเวลาเราจะทำอะไร

 เราก็ต้องระมัดระวังว่า จะต้องไม่ให้คนอื่นเขาเดือดร้อน

 เราก็จะรักษาศีลได้ พอเรารักษาศีล ๕ ได้

ต่อไปเราก็จะรักษาศีล ๘ ได้ ถ้าเรารักษาศีล ๘ ได้

 เราก็จะภาวนาได้ เพราะถ้ารักษาศีล ๘ ไม่ได้

 เราก็ยังจะถูกความอยากในความสุขทางร่างกาย

 คอยดึงเวลาของเราไป เช่นเวลาจะนั่งสมาธิ

 ถ้าเรายังกินข้าวเย็นอยู่ เวลานั่งสมาธิมันก็จะง่วงเหงาหาวนอน

หนังท้องตึงหนังตาหย่อน แต่ถ้าเราไม่รับประทานอาหารเย็น

ได้รับประทานถึงเที่ยงวัน หลังจากนั้นแล้วเราก็จะหยุด

 พอตอนบ่ายท้องก็จะเบา แล้วเวลานั่งสมาธิก็จะไม่ง่วงเหงาหาวนอน

 ก็จะทำให้เราสามารถนั่งสมาธิได้.

.................................

ธรรมะบนเขา แผ่นที่ ๗ วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๗

“ความตาย”















ขอบคุณที่มา fb.พระอาจารย์สชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ


พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต




Create Date : 13 ธันวาคม 2558
Last Update : 13 ธันวาคม 2558 12:45:09 น.
Counter : 863 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ