Group Blog
All Blog
### สัมมาสมาธิ ###














“สัมมาสมาธิ”

สมาธิที่จำเป็นต่อการเจริญปัญญา

ที่จะเอามาใช้ในการทำลายอคติทั้ง ๔ หรือกิเลสตัณหา

ให้หมดไป จากใจอย่างถาวร จำเป็นจะต้องมีอุเบกขา

ที่ได้จากสมาธินี้มาเป็นผู้สนับสนุนในการเจริญปัญญา

ในการใช้ปัญญา ต่อสู้กับกิเลสตัณหาหรืออคติทั้ง ๔

 คือความรัก ความชัง ความกลัว ความหลงนี้

การภาวนา การเจริญปัญญาก็เพื่อให้ได้สัมมาสมาธิอันนี้

ให้จิตเข้าสู่อัปปนาให้เหลือแต่สักแต่ว่ารู้

เหลือแต่อุเบกขาแล้ว ก็ความสุขที่ได้จากความสงบ

 ความอุเบกขานี้ก็จะเป็นอาหารหรือเป็นกำลังของใจ

ที่จะทำให้ตัดความสุขต่างๆ ตาหูจมูกลิ้นกายไปได้

ถ้าเป็นมิจฉาสมาธิก็จะเป็นความสงบที่ไม่สักแต่ว่ารู้

แต่กลับไปรับรู้นิมิตต่างๆอันนี้ท่านเรียกว่าเป็นอุปจารสมาธิ

พอจิตรวมแล้วไม่อยู่เฉยๆ ไม่สักแต่ว่ารู้

กลับไปรับรู้นิมิตต่างๆ ไปรับรู้กายทิพย์ไปท่องเที่ยวในสวรรค์

ปท่องเที่ยวในนรกหรืออะไรต่างๆ

หรือไปมีความสามารถพิเศษที่เรียกว่าอภิญญา

 อ่านวาระจิตของผู้อื่นได้ ระลึกชาติได้ มีตาทิพย์หูทิพย์

เห็นสิ่งที่คนธรรมดาตาธรรมดามองไม่เห็น

ได้ยินเสียงที่หูธรรมดาไม่ได้ยิน

อันนี้เป็นผลที่ได้จากอุปจารสมาธิ

แต่อุปจารสมาธินี้ไม่เป็นคุณเป็นประโยชน์

ต่อการบำเพ็ญทางด้านปัญญาเพื่อทำลายกิเลสตัณหา

 ตัวที่สร้างภพสร้างชาติให้กับจิตใจ

ถ้าไปทางอุปจารสมาธิเวลาออกจากสมาธิมานี้จะไม่มีกำลัง

 ไม่มีอุเบกขาติดออกมา

พอสัมผัสรับรู้อะไรก็จะไหลไปตามอคติทันที

 เห็นรักก็รักทันที เห็นชังก็ชังทันที เห็นกลัวก็กลัวทันที

เห็นหลงก็จะหลงทันที แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิมีอุเบกขานี้

จะไม่ไหลไปทันทีจะมีแรงต้าน

แล้วจะใช้ปัญญามาช่วยทำลายได้ด้วยการพิจารณาอสุภะ

 ด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ดังนั้นผู้ที่บำเพ็ญสมาธิต้องระมัดระวัง

ต้องรู้จักว่ามีทั้งสัมมาสมาธิและมิจฉาสมาธิ

สัมมาสมาธิคือสมาธิ ที่เป็นประโยชน์ต่อการบำเพ็ญ

เพื่อมรรคผลนิพพาน

ส่วนอุปจารสมาธินี้เป็นมิจฉาสมาธิ

 เป็นสมาธิที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการบำเพ็ญ

เพื่อมรรคผลนิพพาน แต่จะเป็นประโยชน์กับกิเลสตัณหาได้

 เพราะผู้ที่มีอภิญญามักจะหลงตัวเอง

 หลงกับความรู้กับความสามารถพิเศษของตัวเอง

 หลงคิดว่านี่คือผล คิดว่าเป็นมรรคเป็นผล

แล้วก็จะไม่สนใจที่จะออกไปทางปัญญา

ก็จะสนใจอยู่กับการสร้างอภิญญาเหล่านี้

แล้วใช้อภิญญาเหล่านี้ไปตามอำนาจของความโลภ

 ความอยากต่างๆ เช่นผู้ที่มีอภิญญามีความรู้นี้

มักจะมีอาชีพเป็นหมอดูกัน เป็นผู้ทำนายทายทัก

สิ่งนั้นสิ่งนี้เรื่องนั้นเรื่องนี้ คนนั้นคนนี้ เพื่อที่จะได้มีรายได้

 จากการใช้ความรู้เหล่ามาเลี้ยงชีพ

มาตอบสนองตัณหาความอยากต่างๆ

 ผู้บำเพ็ญจึงต้องระมัดระวังว่า กำลังไปในทิศทางไหน

 ไปสู่มรรคผลหรือไปสู่การติดอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด

 ถ้าไปทางอุปจารสมาธิแล้ว รับรองได้ว่าจะไปทางปัญญาไม่ได้

ไปทางมรคผลนิพพานไม่ได้ ถ้าเรามีนิสัยทางนี้เราแก้ได้

 เวลาจิตจะออกไปเราดึงกลับมาได้

ถ้าเรามีสติเราดึงกลับมาให้อยู่แต่สักแต่ว่ารู้ได้

 ไม่ให้ไปตามรู้เรื่องราวต่างๆ

อันนี้ถ้าผู้ปฏิบัติไม่มีครูบาอาจารย์

จะไม่สามารถแยกแยะสมาธิทั้ง ๒ รูปแบบนี้ได้

ว่าอันไหนเป็นคุณและ อันไหนเป็นโทษ

 แล้วส่วนใหญ่ก็มักจะติดไปสมาธิที่เป็นโทษ

ต้องมีครูบาอาจารย์ที่ท่านผ่านมาแล้วจะช่วยได้มาก

 พอลูกศิษย์คนไหนได้อุปจารสมาธิมาเล่าให้ท่านฟังนี้

 ท่านจะเตือนทันที ท่านจะบอกทันทีว่า

อย่าไปหลงกับนิมิตต่างๆ อย่าไปหลงกับอภิญญา

ความรู้ความสามารถพิเศษต่างๆ เพราะมันไม่ได้เป็นเครื่องมือ

ที่จะใช้ในการดับทุกข์ได้ ให้กลับเข้าไปในอัปปนาสมาธิ

ให้กลับเข้าไปที่อุเบกขา ให้กลับไปอยู่ที่สักแต่ว่ารู้

 แล้วให้อยู่ในนั้นให้นานๆ และให้กลับเข้าไปบ่อยๆจนชำนาญ

จนสามารถเข้าไปได้ทุกเวลาที่ต้องการ

แล้วค่อยออกไปทางปัญญา

 เพราะเวลาการเจริญปัญญานี้ต้องใช้ความคิดปรุงเเต่ง

แล้วใช้ไปมากๆ ก็อาจจะเกิดความฟุ้งซ่านเลยเถิดได้

 ถ้าเข้าสมาธิไม่ได้ จิตก็จะไม่สงบจิตก็จะทุกข์จะวุ่นวายใจได้

แต่ถ้ามีความชำนาญในการเข้าสมาธิ

พอพิจารณาทางปัญญาไปจนถึงขีดที่รู้ว่าเริ่มฟุ้งซ่านแล้ว

ก็สามารถหยุดได้ ดึงจิตกลับเข้ามาสมาธิ

พักจิตให้เป็นอุเบกขาได้ แล้วค่อยออกไปทางปัญญาใหม่

นี่คือขั้นตอนของการบำเพ็ญจิตตภาวนา

ขั้นตอนแรกต้องเจริญสติเพื่อให้ได้อัปปนาสมาธิ

 ถ้าได้อุปจารสมาธิ ก็ต้องอย่าตามไป ดึงกลับมา

ให้อยู่ในอัปปนาสมาธิ แล้วพอเข้าออกสมาธิได้อย่างช่ำชอง

อย่างชำนาญ ต้องการจะเข้าเมื่อไรก็เข้าได้

 แล้วค่อยออกไปทางปัญญาต่อไป

ไปพิจารณาไตรลักษณ์ไปพิจารณาอสุภะแล้ว

จิตก็จะมีปัญญาที่สามารถที่จะมาทำลายกิเลสตัณหาต่างๆ

 ที่เป็นตัวฉุดลากให้ใจไปเกิดแก่เจ็บตายได้

สมาธิหรือสตินี้ไม่สามารถที่จะทำลายตัณหาได้

อัปปนาสมาธินี้เพียงแต่กดเอาไว้ชั่วขณะที่อยู่ในสมาธิ

แต่พอออกจากสมาธิมาแล้วกิเลสตัณหาก็จะโผล่ขึ้นมาใหม่ได้

สิ่งที่จะทำลายกิเลสตัณหาตัวที่เป็นต้นเหตุ ของภพชาติ

ของการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างถาวรก็คือปัญญา

ปัญญาจะไปถอนรากโคนของกิเลสตัณหาคือความหลง

 ความหลงคืออะไร คือความไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นเอง

 กลับไปเห็นนิจจัง สุขัง อัตตาแทน

 ความจริงสภาวธรรมทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้

เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยงเป็นทุกข์

ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา แต่ผู้ที่มีความหลงครอบงำใจอยู่นี้

จะมองไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

 แต่กลับจะไปเห็นว่าเป็นนิจจังคือถาวร เที่ยง ถาวร สุขัง เป็นสุข

อัตตาเป็นตัวเราเป็นของเรา พอเห็นว่านิจจัง สุขัง

อัตตาก็จะเกิดความยึดมั่นถือมั่นติดอยู่กับสิ่งเหล่านั้น

แล้วก็จะเกิดความอยากให้สิ่งเหล่านั้น ถาวร

ให้เป็นสุขให้เป็นของเราไปนานๆ ไปเรื่อยๆ

พอเกิดความอยากแล้วมันไม่ได้ดังใจอยาก

ก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมา แล้วก็จะทำให้ไปหาสิ่งที่ไม่เที่ยงใหม่

 พอเสียสิ่งนี้ไปก็ยังอยากได้อยู่ก็กลับไปหาใหม่

เสียแฟนคนนี้ไปพอแฟนคนนี้จากไปก็ไปหาแฟนคนใหม่

 เพราะความอยากที่จะมีแฟนยังมีฝังอยู่ในใจ

 ยังมองไม่เห็นว่ามีแฟนนี้มันเป็นทุกข์ เพราะว่าจะต้องเสียไป

เวลาเสียไปก็ทุกข์แล้วก็ต้องไปหามาใหม่

หามาใหม่เดี๋ยวก็เสียใหม่อีก เสียใหม่ไปก็หามาใหม่อีก

มันก็เลยต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ซ้ำแล้วซ้ำอีกไป

เพราะไม่สามารถตัดความอยากได้

จะตัดความอยากได้ต้องเห็นว่าไม่เที่ยง

 เห็นว่าเป็นทุกข์ เห็นว่าไม่ใช่ของเรา

นี่คือการเจริญปัญญาในสภาวธรรมทั้งหลาย

ที่ใจไปเกี่ยวข้องด้วยไปผูกพันด้วย ไปยึดไปติดด้วย

ต้องพิจารณา ให้เห็นว่าเป็นไตรลักษณ์

ถ้าเห็นว่าเป็นไตรลักษณ์แล้วจะปล่อย

เพราะไม่มีใครต้องการความทุกข์กัน

 ถ้ารู้ว่าสิ่งที่ตนเองยึดติดนี้เป็นความทุกข์ ใครจะไปยึดติดกัน

 ถ้าเราจับงูพิษแล้วเราไปคิดว่าเป็นปลาไหล เราก็จะจับมัน

 แต่พอคนที่เขาดูงูเป็น เขามาบอกว่าเป็นงูเห่า

 เราจะปล่อยทันทีเราจะไม่อยากจะจับมันไว้ในมือ

เราเหวี่ยงมันทิ้งให้ไปไกลๆเลย

ตอนต้นคิดว่าเป็นปลาไหล คิดว่าเป็นอาหาร

 พอคนที่เขาดูงูเป็นมาบอกว่า เป็นงูเห่าเท่านั้น

ก็ไม่อยากจะเก็บเอาไว้ ฉันใด

พอเรามาเจอพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่าลาภยศ

 สรรเสริญ ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายนี้มันเป็นงูพิษนะ

 มันไม่ใช่ปลาไหล มันเป็นทุกข์มันไม่ใช่เป็นสุข

 มันเป็นอนิจจัง มันไม่เป็นนิจจัง

มันเป็นอนัตตามันไม่ได้เป็นอัตตา

ไม่ได้เป็นของเรา พอเห็นอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ ทรงเห็นแล้ว

ก็จะสลัดทิ้งไปหมดเลย ลาภยศ สรรเสริญ

ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายนี้จะรู้เลยว่ามันเป็นยาพิษ

ไม่ใช่เป็นขนมหวาน แต่ที่มองไม่เห็น

เพราะถูกความหลงครอบงำอยู่ จึงต้องใช้ปัญญา

หมั่นพิจารณาให้เห็น ให้ได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เที่ยง

มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่เป็นของเรา

การพิจารณาก็เช่นร่างกายก็ดูซิ มันเที่ยงหรือไม่เที่ยง

มันเกิดมาแล้วมันอยู่อย่างนั้นหรือเปล่า

หรือมันมีการเจริญเติบโต

เจริญเติบโตแล้วหลังจากนั้นก็มีการเสื่อม

มีการแก่มีการเจ็บมีการตาย พอมันตายแล้ว

มันก็หายไปจากเรามันเป็นของเราเมื่อไร

มันเป็นในขณะที่มันมีอยู่เท่านั้นเอง

แล้วมันเที่ยง หรือไม่เที่ยง เวลามันไปนี้มันสุขหรือมันทุกข์

 เวลามันแก่มันสุขหรือมันทุกข์

เวลาเจ็บหรือเวลาตายมันสุข หรือมันทุกข์

ให้พิจารณาอย่างนี้แล้วก็จะเห็นชัดเจนว่า

ร่างกายนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

 เวทนาก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

 สุขเวทนาอยากจะให้มันอยู่มันก็ไม่อยู่

อยู่ได้แป๊บเดี๋ยวมันก็หายไป

ทุกขเวทนาเวลามันมาไม่อยากให้มันมามันก็มา

อยากจะให้มันไปมันก็ไม่ไป มันเป็นของเราตรงไหน

 ถ้ามันเป็นของเรา เราก็ต้องสั่งมันได้

นี่พิจารณาให้เห็นแล้วเราจะได้ปล่อยวางไม่ไปยึดไปติดมัน

 มันจะเป็นอย่างไรก็ไม่ไปยุ่งกับมัน เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา

ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีมันเราไม่ตาย เราไม่เดือดร้อน

ถ้าเรามีสติมีสมาธิมีปัญญานี้เรามีที่พึ่งของเรา

เราก็จะปล่อยที่พึ่งปลอมที่เราหลงไปยึดเป็นที่พึ่งได้

ก็คือขันธ์ ๕ ร่างกายของเรา ความรู้สึกทางกาย

 ความรู้สึกสุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ เราจะปล่อยวางได้

ถ้าเรามีสติมีสมาธิมีปัญญา ใจของเราจะอยู่กับความสงบ

ความสงบนี่แหละเป็นที่พึ่งที่แท้จริง

ถ้าเราปล่อยได้เราก็จะหลุดพ้นจากกิเลสตัณหา

ตัวที่เป็นต้นเหตุที่ฉุดลาก ให้เรากลับมาเวียนว่ายตายเกิดได้

 เมื่อไม่มีกิเลสตัณหาหลงเหลืออยู่ภายในใจ

การกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ก็จะไม่มีอีกต่อไป

นี่คือกิจกรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พวกเรากระทำกัน

เป็นกิจของเรา ประโยชน์ของเรา

จงยังประโยชน์ตนให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด

 ให้รีบสร้างธรรมะให้เกิดขึ้นมาภายในใจ

ด้วยการทำบุญ ทำทานถ้าเป็นจุดเริ่มต้นก็ทำทาน

รักษาศีล ๕ ไป พอทำทานจนไม่มีอะไรจะทำแล้ว

ไม่มีเงินทองจะทำแล้วก็ขยับขึ้นสู่การภาวนา

 การรักษาศีล ๘ ต่อไปเพื่อจะได้บำเพ็ญกันอย่างเต็มที่

 การภาวนานี้จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำแบบ ๒ วันที

 เช้าชามเย็นชามอย่างนี้ใช้ไม่ได้จะไม่ได้ผล

จะได้ผลจะต้องทำตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นจนหลับ

ถ้ามัวทำไป ๒ -๓ วันแล้วก็ออกไปทำผ้าป่าออกไปทำกฐิน

 ออกไปสร้างโบถส์สร้างเจดีย์ อันนี้มันก็จะทำลาย

หรือมาขัดจังหวะการบำเพ็ญจิตตภาวนาไม่ให้ต่อเนื่อง

 เมื่อมันไม่ต่อเนื่อง ผลมันก็จะไม่เกิด

ดังนั้นผู้ปฏิบัติจึงต้องรู้จักขั้นตอนของตน

ว่าตอนนี้อยู่ขั้นตอนไหน

กำลังอยู่ขั้นตอนของการทำทานรักษาศีลก็ทำไป

พอเข้าสู่ขั้นภาวนาแล้วก็ต้องหยุดการทำทาน การรักษาศีล ๕

เปลี่ยนเป็นการรักษาศีล ๘ แล้วเปลี่ยนการทำบุญทำทาน

มาเป็นการภาวนาแทน ถ้าทำอย่างนี้แล้ว

จิตก็จะเจริญก้าวหน้าขึ้นไปตามลำดับจะบรรลุธรรมขั้นต่างๆ

ขึ้นไปได้ตามลำดับจนถึงขั้นสูงสุด

จนถึงขีดที่จะไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

หลังจากที่ได้ทำกิจของตนได้สำเร็จลุล่วงไปหมดแล้ว

 ไม่มีกิจอันใดที่จะต้องทำอีกต่อไปแล้ว

หลังจากนั้น จึงค่อยมาทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น

เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าหลังจากที่ได้ทรงตรัสรู้

ได้ทรงหลุดพ้น จากการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว

 พระองค์ก็ทรงมาประกาศพระธรรมคำสอน

 สั่งสอนญาติโยม สั่งสอนพระเณร สั่งสอนเทวดา

และบุคคลที่พึงที่จะไปโปรดในแต่ละวัน

ไปก็เพื่อไปสั่งสอนให้เขาได้บรรลุธรรมนั่นเอง

ให้เขาได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

นี่คือคำสอนครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า

ก่อนที่จะจากพวกเราไป สังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง

 มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไปเป็นธรรมดา

จงยังประโยชน์ของตนและของผู้อื่นให้ถึงพร้อม

ด้วยความไม่ประมาทเถิด

ขอให้ท่านจงนำเอาคำสอนนี้มาเป็นคติเตือนใจ

สอนใจให้เราไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ให้เราหมั่นปฏิบัติธรรม

 ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติกันคือทาน ศีล และภาวนา

ให้ทำไปจนกว่าเราจะสำเร็จถึงขั้นที่เราหลุดพ้น

จากการเวียนว่ายตายเกิดได้แล้ว ถ้าได้ถึงขั้นนั้นแล้วล่ะ

ถึงจะเป็นเวลาที่เราจะไปทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นอีกต่อไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..........................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๙

“คำสอนสุดท้ายของพระพุทธเจ้า”









ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2559
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2559 13:34:53 น.
Counter : 1095 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ