Group Blog
All Blog
### ขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อมรรคผล ###















“ขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อมรรคผล”

เงินทองนี้มีประโยชน์

แต่การออกบวชนี้มีประโยชน์มากกว่าเงินทอง

 เพราะเงินทองซื้อนิพพานไม่ได้

การบวชนี้ทำให้หลุดพ้นทำให้เป็นพระพุทธเจ้าได้

 พระพุทธเจ้าจึงไม่เสียดายทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง

พอถึงเวลาที่จะต้องไป ท่านก็ไปได้อย่างง่ายดาย

ไม่เคยคิดถึงมันเลย แม้แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่ขณะที่ออกไป

ไปสวนทางกับขอทาน ขอทานเห็นว่าสวยก็เปลี่ยนให้

 ท่านกลับชอบเสื้อผ้าของขอทาน

 เพราะมันไม่ต้องดูแลรักษาลำบาก

เสื้อผ้าของเจ้าชายนี้มันวิจิตรพิสดารเปื้อนง่าย

เสื้อผ้าของขอทานนี้ มันเปื้อนง่ายเพราะมันเปื้อนอยู่แล้ว

 นั่งกับดินกินกับทรายมันสบาย

ท่านก็เลยดีใจมีคนมาขอเปลี่ยน ก็ยกให้เขาไปเลย

 นี่แหละอานิสงส์ของคนที่ไม่ยึดติดกับทรัพย์สมบัติ

ข้าวของเงินทองต่างๆ คนที่ยึดติดกับบุญกุศลจะเป็นอย่างนี้

จะไม่ค่อยหวงไม่ค่อยห่วงกับสิ่งต่างๆ

เพราะความหวง ความห่วงกับสิ่งต่างๆนี้มันเป็นทุกข์ เป็นอกุศล

 การทำบุญ การเสียสละ การแบ่งปันนี้มันเป็นกุศล

ทำแล้วใจสงบใจเย็นใจมีความสุข

นี่คือการปฏิบัติขั้นแรกของผู้ที่ต้องการ

ออกจาก วัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

ต้องไม่ยึดติดในวัตถุต่างๆ ที่มีอยู่ ให้มีไว้พอกินพอใช้ก็พอ

ถ้ามีเกินอันนั้นก็อย่าเอามาใช้ให้เกิดกิเลส

 เพราะว่ามันจะทำให้เราติด เช่น เอาเงินไปเที่ยว

เที่ยวแล้วมันก็ติดมันก็ต้องเที่ยวอยู่เรื่อยๆ

เอาเงินไปช๊อปปิ้งมันก็ต้องไปช๊อปปิ้งอยู่เรื่อยๆ

ข้าวของเต็มบ้านล้นบ้านมันก็ยังช๊อปอยู่นั่น

 เห็นกระเป๋าใบใหม่ก็อยากจะได้ เห็นรองเท้าคู่ใหม่ก็อยากจะได้

ทั้งๆที่เท้าก็มีอยู่คู่เดียวเวลาใส่ก็ใส่ครั้งละคู่เดียวแต่มีเป็นสิบๆ คู่

นี่มันทำให้เรามาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ

 แทนที่จะเอาเวลามาตัดตัณหากิเลสต่างๆ

ที่เป็นตัวผูกรัดให้ยึดติดอยู่กับการเกิดแก่เจ็บตาย

การเวียนว่ายตายเกิด เราก็ไม่มีวันที่จะไปทำได้

 เพราะเราถูกมันดึงเอาไว้ด้วยความอยากในวัตถุต่างๆ

นอกจากวัตถุแล้วก็ยังอยากดูอยากฟัง

อยากดื่มอยากรับประทานอะไรต่างๆ

 เวลารับประทาน เวลาดื่มก็สุขเดี๋ยวเดียว

พอเสร็จแล้วมันหายไปเหมือนควันไฟ

ปล่อยให้เหลือแต่ความอ้างว้างความหิวความอยาก

ที่จะต้องไปหามาดูมาฟัง มาดื่มมารับประทานใหม่

ถ้าไม่ตัดสิ่งเหล่านี้จะไม่มีวันที่จะตัดกิเลสตัณหา

 ตัวที่ฉุดลากให้เราไปเวียนว่ายตายเกิดได้

นี่ตัวแรกที่เราต้องตัดให้ได้ก็คือกามฉันทะ

ความอยากในรูปเสียงกลิ่นรส การตัดมันก็ต้องใช้ศีล ๘ ช่วย

เรายังไม่มีกำลังก็ต้องอาศัยศีล ๘

ถ้าเรามีศีล ๘ เราก็จะได้ห้ามใจเราได้ว่า ทำไม่ได้นะ

เช่นวันนี้วันพระมาถือศีล ๘ กัน วันนี้นอนกับแฟนไม่ได้นะ

 หลังจากเที่ยงวันไปแล้วกินไม่ได้แล้วนะ

ห้ามเปิดทีวีห้ามดูหนังฟังเพลง

ห้ามไปเที่ยวตามสถานบันเทิงต่างๆ

ไปงานเลี้ยงวันเกิดงานแต่งงานของใครก็ไปไม่ได้แล้ว

ห้ามออก แล้วก็ห้ามแต่งตัวสวยๆงามๆ เสียเวลา

 แต่งไปแล้วเดี๋ยวก็ต้องถอดมันอยู่ดีเวลานอน

และนอนก็นอนบนพื้นไม้แข็งๆ อย่าไปนอนบนฟูกหนาๆ

 เพราะจะนอนมากเกินไป ร่างกายมันต้องการพัก

เพียง ๔ - ๕ ชั่วโมง ถ้านอนบนไม้แข็ง

เวลามันง่วงมากๆ เหนื่อยๆ มากๆ มันก็นอนได้

แล้วพอมันพักเต็มที่ ๔ - ๕ ชั่วโมงมันก็จะตื่นขึ้นมา

แล้วพอมันรู้สึกตัวว่ามันนอนบนไม้แข็งมันก็ไม่อยากจะนอนต่อ

ก็จะลุกขึ้นมานั่งไหว้พระสวดมนต์  ไปเดินจงกรม

 ถ้านอนบนฟูกหนาๆ มันสบาย ตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่อยากจะลุก

นอนต่อ นอนต่ออีก ๒-๔ชั่วโมง

 เวลาที่จะได้เอามาทำใจให้สงบ

มาสร้างความสุขที่แท้จริงก็ไม่ได้ทำ

 ก็จะต้องติดอยู่กับการหาความสุขทางร่างกาย

พอเวลาที่ร่างกายไม่สามารถทำตามความอยากได้

ก็จะเป็นเวลา ที่มีแต่ความทุกข์ เช่นเวลาแก่ เวลาเจ็บ เวลาตาย

ดังนั้นตอนนี้ยังไม่แก่ ยังไม่เจ็บ ยังไม่ตาย รีบมาสละ

 รีบมาเลิกหาความสุขผ่านทางร่างกาย

แล้วมาหาความสุขผ่านทางธรรม

ธรรมะของพระพุทธเจ้า คือสติ สมาธิ ปัญญา

นี่คือขั้นต้นของปฏิบัติ ทำทานเพื่อที่จะได้ตัดการไปยึดติด

กับความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วจะได้มารักษาศีล ๘ได้

 รักษาศีล ๘ ได้ก็ไปอยู่ที่วิเวกอยู่คนเดียวได้

อยู่ที่คนเดียวก็จะได้มีเวลาควบคุมความคิด

ถ้าไปอยู่ด้วยกันเดี๋ยว ก็อดชวนกันคุยไม่ได้

 คุยกันแล้วมันก็ฟุ้งมันไม่สงบ คุยกันแล้วเดี๋ยวก็เกิดความอยาก

 เดี๋ยวก็อยากกินโน่นกินนี่ นั่งคุยกันเดี๋ยวก็ไปเอากาแฟมาดื่ม

เอาขนมมากิน ก็เลยไม่ได้ไปนั่งสมาธิไม่ได้ไปเดินจงกรม

ผู้ที่ต้องการความสงบความสุขทางใจนี้

ต้องปลีกวิเวกต้องอยู่คนเดียว แล้วต้องมีวินัยบังคับตัวเอง

 ให้ทำงานที่ต้องทำ พวกที่ยังต้องไปเข้าค่ายอยู่

ก็เพราะว่ายังไม่มีวินัย

 ต้องไปปฏิบัติหลักสูตร ๓ วัน ๗ วันให้เขาต้อนเหมือนวัวควาย

 ถึงเวลาตื่นก็ปลุก ถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลาเดินก็เดิน

แสดงว่า ๑.ยังไม่รู้จักวิธีปฏิบัติ

 ๒.ไม่มีวินัยบังคับตัวเอง กลับไปบ้านก็เหมือนเดิม

 ไปอยู่มากี่วันพอกลับไปบ้านก็เหมือนเดิม

ไปก็ไม่ได้อะไร ได้แค่ขณะที่อยู่เท่านั้นเอง

 พอกลับมาบ้านก็ไม่บังคับตัวเองทำต่อ

เพราะ ๑.ที่บ้านก็บรรยากาศไม่เอื้อไม่อำนวย

 เพราะคนที่บ้านมีแต่ทำกิจกรรมที่มันทวนกระแสกับการปฏิบัติ

ดังนั้นผู้ที่ต้องการได้กอบกำในการปฏิบัติ ก็ต้องออกบวช

ถึงจะได้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องไม่ชักเข้าชักออก

ไปวัดที ๓ วันกลับมาอยู่บ้านอีกเดือนหนึ่ง แล้วค่อยกลับไปใหม่

มันก็ชักเข้าชักออก ถ้าปลูกต้นไม้ก็ปลูก ๓ วัน

แล้วถอนมันขึ้นมา เก็บไว้ก่อนแล้วอีกเดือน ค่อยเอามาลงใหม่

 อย่างนี้ต้นไม้ไม่มีวันที่จะเจริญเติบโตขึ้นไปได้

ต้องปลูกแล้วก็ปล่อยมันเลยให้ราก มันแผ่กระจายไป

มันจะได้ดูดซึมอาหารได้อย่างเต็มที่จะได้เจริญเติบโต

 การปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ก็แบบนี้

รากของธรรมะมันจะแผ่มันจะกระจาย สติมันจะกระจายไปทั่ว

ทุกระยะเลยทั้งวันทั้งคืน ถ้าฝึกสติต่อไปเรื่อยๆ

 ต่อไปมันจะไม่เผลอ แล้วเวลานั่งสมาธิมันก็สงบแล้ว

 พอสงบมันก็จะมองเห็นธรรม เห็นทุกข์ว่าเกิดจากความอยาก

เห็นโทษของความหลงที่ไปคิดว่า สิ่งต่างๆที่เราอยากได้นั้น

 เป็นสุขเพราะเราไปเห็นว่ามันไม่เที่ยง เห็นแต่ว่ามันดีๆ

ได้มาแล้วมันจะให้ความสุขกับเรา พอมันหายไปก็เสียอกเสียใจ

ร้องห่มร้องไห้เพราะไม่คิดว่ามันจะจากเราไป

 คิดว่าได้อะไรมาแล้วจะต้องเป็นของเราอยู่กับเราไปเสมอ

นี่คือความหลงไม่เห็นความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของชั่วคราว

 ได้อะไรมาแล้วเดี๋ยวก็ต้องหมดไป หมดไปก็ต้องทุกข์ทรมานใจ

 ถ้าไม่อยากทุกข์ทรมานใจก็อย่าไปได้มันมา

 อยู่กับความว่างอยู่กับความไม่มีดีที่สุด

 ถ้าไม่มีอะไรแล้วมันจะมีอะไรต้องเสียหรือเปล่า

 ถ้าไม่มีแฟนแล้วจะเสียแฟนไปหรือเปล่า

ไม่มีทรัพย์แล้วจะเสียทรัพย์ไปหรือเปล่า

นี่มันมีอะไรมันก็ต้องเสีย เพราะของทุกอย่างมันไม่เที่ยง

มันจะต้องมีวันสิ้นสุดลง มีสิ่งเดียวที่ไม่มีวันสิ้นสุดก็คือความว่าง

เราทำอะไรมีอะไรกับใครที่ไหนพอกลับมาบ้าน

ก็อยู่กับความว่างคนเดียวแล้วเห็นไหม

หนีความว่างไม่พ้นหรอก อยู่กับมันดีกว่า

หัดอยู่กับความว่างให้ได้ อยู่กับความว่างได้แล้วจะไม่ผิดหวัง

เพราะจะมีความว่างเป็นเพื่อนอยู่ตลอดเวลา

 วิธีที่จะอยู่กับความว่างได้ก็ต้องหยุดความอยาก

หยุดความอยากก็ต้องใช้สติหยุดความคิดทำใจให้สงบ

พอใจสงบมันก็จะอยู่กับความว่างได้

ดูพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านมีอะไรเหมือนพวกเรามีกันหรือเปล่า

 รถราบ้านช่องท่านมีกันหรือเปล่า ท่านมีก็แค่อัฐบริขาร

 สมบัติ ๘ ชิ้นไว้สำหรับเลี้ยงดูร่างกายเท่านั้นเอง

แล้วถ้าเลี้ยงดูไม่ได้ท่านก็ไม่เดือดร้อน

ร่างกายนี้ท่านก็พร้อมที่จะส่งมันไปสุสานได้ทุกเมื่อ

 เพราะสำหรับท่านมันเป็นภาระมากกว่าเป็นประโยชน์

 แต่ที่ท่านยังเลี้ยงดูมันก็เพราะว่ามันยังเอามาทำประโยชน์

ให้แก่คนอื่นได้ ถ้าไม่มีร่างกายพระพุทธเจ้า จะแสดงธรรม

ให้พวกเราฟังได้อย่างไร พอหลังจากพระพุทธเจ้าตายไปก็หมด

ไม่สามารถแสดงธรรมได้

แต่อย่างน้อยพระพุทธเจ้าได้สร้างผู้ ที่จะมาสืบทอดต่อ

สร้างพระอรหันต์ไว้ต่อ

พระอรหันต์ก็เลยมาทำหน้าที่แทนพระพุทธเจ้า

 เอาธรรมะนี้มาสั่งสอน สั่งสอนกันมาเป็นทอดๆ

 มาจนถึงปัจจุบันนี้ พระอรหันต์ก็สอนคนที่ไม่เป็น

สอนไปแล้วเขาปฏิบัติเดี๋ยวเขาก็เป็น

 พอเขาเป็นแล้วเขาไปสอนต่อ ๆ ไปจนถึงปัจจุบันนี้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

................................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘

 สนทนาธรรม














ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2559
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2559 15:09:42 น.
Counter : 944 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ