Group Blog
All Blog
### คุณประโยชน์ของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ###


















“คุณประโยชน์ของพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้า”

....................

พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสวากขาโต ภควตา ธัมโม

 คือเป็นธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว เป็นธรรมที่ถูกต้องแม่นยำ

ตามความเป็นจริงทุกประการ

 เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง

 ไม่มีใครรู้ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ได้ด้วยพระองค์เองนี้

 มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว

และเป็นธรรมที่สำคัญต่อจิตใจของสัตว์โลกทั้งปวง

 เพราะเป็นธรรมที่จะสามารถนำพาสัตว์โลก

 ให้หลุดออกจากวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้

 ให้ออกจากกองทุกข์แห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตายได้

 ถ้าไม่มีพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ จะไม่มีผู้นำทาง

หรือจะไม่มีแสงสว่างในที่มืด ที่จะทำให้ผู้เดินทางได้เห็นทาง

และเดินตามทางจนได้ไปถึงจุดหมายปลายทาง ที่ปลอดภัยได้

ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาทรงตรัสรู้ นำเอาพระธรรมคำสอน

นำเอาความรู้ที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้นี้

มาเผยแผ่ให้แก่สัตว์โลก

จะไม่มีวันที่จะได้หลุดพ้นออกจากกองทุกข์

แห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตายได้เลย

 จะต้องเกิด แก่ เจ็บ ตายซ้ำแล้วซ้ำอีก

อย่างที่พวกเรานี้กำลังเป็นกันอยู่

พวกเรานี้เกิด แก่ เจ็บ ตายกันมาไม่รู้กี่ล้านๆ รอบแล้ว

 แล้วก็จะเกิด แก่ เจ็บ ตายอย่างนี้ไปอีก

เป็นล้านๆ รอบเช่นเดียวกัน

 ถ้าเราไม่ได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

ถ้าพบพระพุทธศาสนาแต่ไม่สนใจที่จะศึกษา

ที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

การได้พบกับพระพุทธศาสนาก็ไม่เป็นประโยชน์แต่อย่างใด

เหมือนกับไก่ที่ได้พลอย ไก่นี้จะไม่สนใจกับเพชรพลอย

 ที่ขุดคุ้ยเขี่ยไปเจอเข้า

เพราะไก่นี้จะหาแต่ไส้เดือน มาเป็นอาหาร

 ไม่เห็นคุณค่าของเพชรพลอยที่พบ

ในขณะที่ขุดคุ้ยก็จะเขี่ยทิ้งๆไป

ใจของผู้ที่ไม่มีปัญญา ใจของผู้ที่ยังมืดบอดอยู่

จะไม่เห็นคุณค่าของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

จะไม่ให้ความสำคัญจะไม่สนใจที่จะศึกษา

จะไม่สนใจที่จะปฏิบัติตาม

เพราะสิ่งที่ใจของผู้ที่มีความมืดบอดสนใจนั้น

ไม่ใช่เป็นพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

แต่เป็นลาภยศ สรรเสริญ สุข ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

 ผู้ที่มีความมืดบอดจะมุ่งไปหาลาภยศ สรรเสริญ

หาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กายกัน

จะไม่เข้าหาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 เพราะไม่ได้เห็นคุณค่าเห็นคุณประโยชน์นั่นเอง

ผู้ที่ยังไม่เห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ของพระธรรมคำสอน

ก็ยังไม่สายจนเกินไป ถ้าสนใจเข้ามาศึกษา

เข้ามาฟังมาหาความรู้

หาความเข้าใจว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านี้

 มีคุณค่ามีประโยชน์อย่างไร ถ้าได้ศึกษาไปเรื่อยๆ

ก็จะเกิดความเข้าอกเข้าใจดีขึ้นไปเรื่อยๆ

 จะเห็นคุณค่าของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

เพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่จะปฏิบัติตามได้

แล้วก็ถ้าได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อย่างขยันหมั่นเพียร

ไม่ท้อถอยไม่ย่อท้อ ไม่หยุดไม่หย่อน

ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ช้าบ้าง เร็วบ้าง มากบ้าง น้อยบ้าง

ตามวาระตามโอกาส ตามกำลัง ไม่ช้าก็เร็ว

ก็จะได้รับผลประโยชน์ จากการปฏิบัติ

ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

 จะได้หลุดพ้นกองทุกข์แห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

การฟังธรรมจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง

 สำหรับผู้ที่ยังไม่เห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ ของพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้า ต้องพยายามหมั่นฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ

เหมือนกับไก่หรือคนที่ไม่เห็นคุณค่าของเพชรนิลจินดา

เช่นเด็กเขาจะไม่รู้จักคุณค่าของเพชรนิลจินดาว่ามีคุณค่าอย่างไร

เด็กๆเขาก็จะสนใจกับขนมนมเนย

 เขาก็จะไม่รู้ว่าเวลาได้เพชรพลอยมาแล้ว

จะเอามาทำประโยชน์อะไรให้กับเขาได้

แต่ถ้าเขาได้ยินได้ฟังคุณค่าของเพชรพลอยอยู่เรื่อยๆ

ว่า มีคุณค่าราคามากกว่าขนมนมเนยที่เขาสนใจที่เขาอยากได้

เพราะถ้ามีเพชรมีพลอยแล้วสามารถเอาเพชรพลอยเหล่านี้

ไปแลกกับขนมนมเนยได้เป็นจำนวนอันมากมาย

 เขาก็จะเริ่มเห็นคุณค่าเห็นความสำคัญ

ของเพชรพลอยต่อไป ฉันใด

ผู้ที่ยังไม่เห็นคุณค่าของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ถ้าได้ศึกษาได้ฟังธรรมบ่อยๆเข้าไปแล้ว

ก็จะเริ่มเห็นคุณค่าเห็นคุณประโยชน์ของพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้าว่ามีคุณค่า มีคุณประโยชน์

มากกว่าสิ่งต่างๆทั้งหลายในโลก

มากกว่าสิ่งต่างๆ ที่เขากำลังแสวงหาอยู่ในตอนนี้

คือการหาลาภยศ สรรเสริญ หาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

 เขาจะเริ่มเห็นว่าการหาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

 การหาความสุขด้วยลาภยศ สรรเสริญนี้

ถึงแม้ว่าจะเป็นความสุขแต่ก็เป็นความสุขชั่วคราวเท่านั้น

แล้วก็มีความทุกข์อันยิ่งใหญ่ตามมา

 เวลาที่สูญเสียเวลาที่เสื่อมลาภยศ สรรเสริญ

 เวลาที่สูญเสียความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กายไป

 หรือเวลาที่เขามีความทุกข์ลาภยศ สรรเสริญ

และความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

ก็จะไม่สามารถดับความทุกข์ใจของเขาได้

แต่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านี้

 สามารถดับความทุกข์ใจได้ทุกชนิด

นี่คือความเหนือกว่าของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ต่อสิ่งต่างๆ ทั้งหลายในโลกนี้

จึงมีคุณค่ามีคุณประโยชน์กว่าสิ่งต่างๆ ทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้

เพราะสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ไม่สามารถดับความทุกข์ใจ

กำจัดความทุกข์ใจให้หมดไปจากใจได้

ทำได้ก็เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ดับความทุกข์ใจด้วยการให้ความสุข

 แต่ก็เป็นความสุขชั่วคราว พอความสุขนั้นหมดไป

ความทุกข์ใจที่มีอยู่ก็ยังกลับคืนมาเหมือนเดิม

 ต่อให้มีความสุขทางลาภยศ สรรเสริญ

ทางตา หู จมูก ลิ้น กายมากมายเพียงไรก็ตาม

ก็จะไม่สามารถที่กำจัดความทุกข์ให้หายไปจากใจอย่างราบคาบได้

 แต่ถ้านำเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ

จะสามารถดับความทุกข์ใจต่างๆ ที่มีอยู่ภายในใจนี้

ให้หมดไปได้อย่างราบคาบเลย

นี่คือคุณประโยชน์ของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ถ้าเราไม่ได้ศึกษา เราก็จะไม่รู้คุณค่าของพระพุทธศาสนา

คุณค่าของพระธรรมคำสอนเหมือนกับถ้าเราไม่ได้ศึกษา

คุณค่า ของเพชรนิลจินดาต่างๆ เวลาเราเห็นก้อนเพชร

 เราก็จะคิดว่าเป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่งเท่านั้น

ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรได้ แต่ถ้าได้ศึกษาว่าถ้ามีก้อนเพชรนี้

เขาสามารถที่จะเอาไปทำเครื่องประดับ

 เอาไปทำอะไรต่างๆที่มีคุณค่าราคามหาศาลได้

 เขาก็จะเริ่มรู้จักคุณค่าของเพชรนิลจินดา

ดังนั้นการฟังเทศน์ฟังธรรม จึงเป็นสิ่งที่สำคัญต่อผู้ที่ยังไม่มีศรัทธา

 แล้วก็มีความสำคัญต่อผู้ที่มีศรัทธาแล้ว เช่นเดีวกัน

สำหรับผู้ที่ไม่มีศรัทธาเมื่อได้ยินได้ฟังแล้วก็จะเกิดศรัทธา

 เกิดความเชื่อ เห็นคุณค่าเห็นประโยชน์

ของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

สำหรับผู้ที่มีศรัทธาแล้ว ก็จะได้ประโยชน์จากการฟังธรรม

 เพราะจะได้รู้เพิ่มเติม วิธีที่ของการปฏิบัติธรรมขั้นต่างๆ

มากขึ้นไปตามลำดับ เพราะการปฏิบัติธรรมแต่ละขั้น

 ก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป

การฟังธรรมเพียงครั้งเดียวนี้

ยังไม่สามารถที่จะเข้าถึงธรรมทั้งหมดได้

ก็ต้องอาศัยการฟังไปเรื่อยๆ เป็นระยะๆ

ยกเว้นผู้ที่ได้มีการศึกษา มีการปฏิบัติมาอย่างโชกโชนแล้ว

เช่นในสมัยพระพุทธกาล ที่มีผู้ได้ศึกษาได้ปฏิบัติ

ที่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง

แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องมีไว้รองรับคำสอน

ของพระพุทธเจ้าอีกชั้นหนึ่งก็คือนักบวชทั้งหลาย

 ที่ได้ออกบวชได้รักษาศีล ให้บริสุทธิ์และได้ทำใจให้สงบ

เป็นสมาธิเป็นฌาณ แต่สิ่งที่เขาไม่มีก็คือปัญญา

ความรู้ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้

ปัญญานี้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ

ในการที่จะกำจัดความทุกข์ต่างๆ ให้หมดไปจากใจได้

ถ้าไม่มีปัญญาของพระพุทธเจ้า

ไม่มีความรู้ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้

ผู้ปฏิบัติธรรมที่มีศีล มีสมาธิแล้ว

ก็ยังจะไม่สามารถที่จะกำจัดความทุกข์ต่างๆ ให้หมดไปจากใจได้

 จะทำให้ก็เป็นเพียงการระงับไว้ชั่วครั้งชั่วคราว

ในขณะที่ทำใจให้สงบให้ใจอยู่ในสมาธิ

เวลาใจสงบอยู่ในสมาธิ ความทุกข์ต่างๆ ก็จะยุติไปชั่วคราว

 ท่านเปรียบเทียบสมาธิเป็นเหมือนกับหินทับหญ้า

หินที่ทับหญ้าอยู่ เวลามีหินทับหญ้าอยู่

หญ้าก็จะไม่สามารถงอกเงยขึ้นมาได้

แต่เวลาออกจากสมาธิมาแล้ว

ก็เหมือนกับการยกเอาหินออกจากหญ้าไป

พอไม่มีหินทับหญ้า หญ้าก็จะเจริญขึ้นมาใหม่ได้

จิตก็ออกจากสมาธิมาก็จะคิดปรุงเเต่ง

 ไปในทางที่จะทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาใหม่ได้

เพราะว่าไม่รู้ว่าความคิดปรุงเเต่งต่างๆของจิตนี้เอง

 เป็นตัวสร้างความทุกข์ให้แก่ใจ

ถ้าคิดไปในทางความอยาก ๓ ประการด้วยกัน

 คือความอยากในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

เรียกว่ากามตัณหา ความอยากมีอยากเป็น

 อยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 บุคคลนั้นบุคคลนี้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เรียกว่า ภวตัณหา

 และอยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างนี้

บุคคลนั้นบุคคลนี้ไม่ให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 อยากนี้เรียกว่าวิภวตัณหา

ถ้ายังมีความคิดไปในแนวทางทั้ง ๓ ประการนี้อยู่

ความทุกข์ก็จะไม่มีวันหมดไป

ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาทรงตรัสรู้ถึงความจริงอันนี้

ว่าความทุกข์เกิดจากความคิดปรุงเเต่งไปในแนวทาง ๓ ประการนี้

ถ้ายังคิดไปในแนวทางของกามตัณหา ภวตัณหา

ของวิภวตัณหาอยู่ความทุกข์ก็จะปรากฏขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ

 ไม่มีวันสิ้นไม่มีวันหมดไป ถ้ายุติการคิดไปในทางนี้ได้

 ก็จะไม่มีความทุกข์ปรากฏขึ้นมา.

.......................

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๘

“การเข้าหาพระธรรมคำสอน”







 

 

ขอขอบคุณที่มา  fb.พระอาจารย์สุชาติ  อภิชาโต

ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ 




Create Date : 15 ธันวาคม 2558
Last Update : 15 ธันวาคม 2558 10:31:30 น.
Counter : 1195 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ