การเจริญการเสื่อมของใจ
ใจกับร่างกายนี้เป็นคนละคนกัน ใจเรานี้ไม่ได้แก่ตามร่างกาย
ไม่ได้เจ็บตามร่างกาย แต่เราหลงไปคิดเองว่าเราเป็นร่างกาย
พอร่างกายเป็นอะไรก็เป็นไปกับมัน
เหมือนมีนิทานเรื่องชายเลี้ยงม้าคนหนึ่งขาเป๋ เดินไปก็ขาเป๋
ม้ามันก็เดินขาเป๋ตามคนเลี้ยงม้า เพราะอยู่ด้วยกันเลี้ยงมาตั้งเเต่เล็ก
พอโตขึ้นเห็นเขาเดินเป๋ ม้ามันก็เป๋ตาม
ใจก็เหมือนกัน พอออกมาก็ออกมาคู่กับร่างกาย
พอร่างกายคลอดออกมาใจก็เกาะติดอยู่กับร่างกาย
เจริญเติบโตกับร่างกายก็เลยแก่ เจ็บ ตายตามร่างกายไป
แต่ใจไม่ได้ตายใจไม่ได้แก่
ใจไม่มีรูปร่างก็เลยไม่มีการเจริญหรือการเสื่อม
การเจริญการเสื่อมของใจอยู่ที่ความสุขหรือความทุกข์
ถ้าใจทุกข์ก็เสื่อม ถ้าใจสุขก็เจริญ
ใจสุขก็เพราะมีธรรมะ มีความดี
ถ้าใจเสื่อมก็เพราะว่ามีกิเลสมีตัณหา มีการกระทำไม่ดี
ดังนั้นพระพุทธเจ้าสอนให้เรามาพัฒนาใจกัน
ด้วยการสร้างธรรมะ ด้วยการทำความดี ทำทาน รักษาศีล ภาวนา
อันนี้เป็นการพัฒนาใจให้เจริญขึ้นไปตามลำดับ
ใจเจริญต่างกับร่างกาย ร่างกายเจริญด้วยขนาดใหญ่ขึ้น
สูงขึ้น ยาวขึ้น หนักขึ้น แต่ความเจริญของใจสูงขึ้น ด้วยคุณธรรม
คุณธรรมของมนุษย์ คุณธรรมของเทวดา คุณธรรมของพรหม
คุณธรรมของพระอริยเจ้า อันนี้จะสูงขึ้นไปตามลำดับ
คุณธรรมสูงขึ้นเท่าไรความสุขก็มีมากขึ้น
เทวดาก็มีศีล ๕ ขึ้นไป ถ้าพรหมก็มีศีล ๘ ความสงบ มีสมาธิ
ถ้าพระอริยเจ้าก็มีปัญญา นี่คือการเจริญของใจ
ถ้าเสื่อมก็บาปถ้าไม่มีศีล ๕ ก็ไม่ได้เป็นมนุษย์แล้ว
เป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์นรก
ใจก็เสื่อมได้ ที่เป็นนรกนี่ก็ใจ
ใจที่เป็นพระพุทธเจ้านี้ก็เป็นนรกมาก่อน
เช่นเทวทัต ใจของเทวทัตไปทำบาปมาก
เลยต้องไปใช้กรรมในอบายไปตกนรกไป
พอใช้กรรมเสร็จแล้วก็กลับมาเป็นมนุษย์ใหม่
แล้วก็มาพัฒนาใจมาบวชใหม่ มาปฏิบัติธรรมใหม่
แล้วก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไป
เพราะว่าเทวทัตกับพระพุทธเจ้านี้เป็นคู่กัดกันมาทุกภพทุกชาติ
ถ้าเป็นนักมวยก็อยู่ระดับเดียวกัน แต่ไปต่อยแบบผิดกติกา
ต่อยใต้เข็มขัดก็เลยถูกเขาลงทัณฑ์ไว้ไม่ให้แข่งไม่ให้ขึ้นเวที
ต้องไปใช้โทษก่อน พอหมดโทษแล้วก็ขึ้นมาชกบนเวทีใหม่
เขาเป็นระดับพุทธภูมิ เทวทัตกับพระพุทธเจ้านี้เป็นพวกพุทธภูมิ.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
.............................
ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๙
สนทนาธรรม
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ