ปล่อยวางที่ใจ
คำสอนทั้งปวงในพุทธศาสนา ถึงที่สุดแล้วมุ่งไปสู่การปล่อยวาง
เพราะปล่อยวางได้เมื่อไร ก็หมดทุกข์เมื่อนั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงการปล่อยวาง
คนจำนวนไม่น้อยเข้าใจไปว่า หมายถึง อยู่เฉย ๆ งอมืองอเท้า
นี่เป็นความเข้าใจผิด
ปล่อยวางแบบพุทธหมายถึง ปล่อยวางที่ใจ
ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา หรือยึดมั่นให้มันเป็นไปตามใจเราก็จริง
แต่ก็ต้องดูแลเอาใจใส่ด้วยความรับผิดชอบ
เช่น ร่างกายนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ใช่ตัวเราของเรา
จึงควรปล่อยวาง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องดูแล
ร่างกายไม่ใช่ของเราก็จริง แต่เราต้องดูแลเอาใจใส่
เพราะเป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยเราในการทำความดี
เหมือนกับเรือที่จะพาเราข้ามฟาก เราก็ต้องดูแลเอาใจใส่
ถ้ารั่วก็ต้องอุด ถ้าเสียก็ต้องรู้จักซ่อมแซม
เรารู้อยู่ว่าเมื่อถึงฝั่งแล้วเราจะไม่แบกเอาเรือไปด้วย
แต่ในขณะที่ยังไม่ถึงฝั่งเราก็ต้องดูแล คอยซ่อมแซม
เพื่อนำเราไปถึงจุดหมายให้ได้ เรามีหน้าที่ต้องซ่อมแซมดูแลเรือ
ไม่ใช่ว่าเมื่อไม่ใช่เรือของเราก็เลยปล่อยวางไม่สนใจ
ถ้าเช่นนั้นเราจะถึงจุดหมายได้อย่างไร
มีเรื่องเล่าว่า คราวหนึ่งหลวงพ่อชา สุภัทโท
เดินไปตรวจตราตามกุฏิพระ เห็นพระรูปหนึ่งนั่งหลบฝน
เนื่องจากหลังคารั่ว ฝนจึงหยดลงมา
หลวงพ่อชาก็เลยถามว่า ทำไมไม่ซ่อมหลังคาล่ะ
พระรูปนั้นบอกว่าผมปล่อยวางครับ
หลวงพ่อชาก็เลยบอกว่า
ปล่อยวาง กับวางเฉยแบบงัวแบบควายนั้นไม่เหมือนกัน
ผู้คนมักคิดว่าวางเฉยแบบงัวแบบควายเป็นการปล่อยวางแบบพุทธ
นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด ปล่อยวางเป็นเรื่องภายในใจ
แต่หน้าที่การงานเราก็ต้องทำตามสมควรแก่เหตุปัจจัย
โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นทั้งแก่ตัวเราเอง
และต่อผู้อื่นด้วย
พระไพศาล วิสาโล