Group Blog
All Blog
### ความสุขที่ไม่ต้องใช้ร่างกาย ###















“ความสุขที่ไม่ต้องใช้ร่างกาย”

ท่านทั้งหลายได้ตั้งใจมาวัดด้วยความศรัทธา

 ด้วยความเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ว่าเปรียบเป็นเหมือนแสงสว่างนำทางในที่มืด

จิตใจของพวกเราตอนนี้เหมือนอยู่ในที่มืด

ไม่ได้มืดเพราะสิ่งต่างๆรอบข้าง

แต่มืดเพราะใจถูกความหลงครอบงำ

เหมือนกับคนตาดีแต่ถูกผ้าปิดตาไว้

 จึงไม่สามารถมองเห็นอะไรต่างๆได้ตามความเป็นจริง

เราจึงต้องอาศัยคนตาดีอย่างพระพุทธเจ้า

 อย่างพระอริยสงฆ์สาวกผู้มีตาดีผู้เห็นสุขเป็นสุข

เห็นทุกข์เป็นทุกข์ เห็นกงจักรเป็นกงจักร เห็นดอกบัวเป็นดอกบัว

 แต่พวกเรานี้เป็นพวกที่ตาไม่ดีถูกความหลงครอบงำอยู่

จึงมองไม่เห็นตามความเป็นจริง เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข

เห็นสิ่งที่เป็นสุขว่าเป็นทุกข์ เราจึงเดินหนีความสุข

แล้วก็เดินเข้าหาความทุกข์

 แล้วเราก็ต้องมาร้องห่มร้องไห้วุ่นวายใจกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน

 เพราะเราไม่เดินตามทางที่คนตาดีอย่างพระพุทธเจ้า

 อย่างพระอริยสงฆ์สาวกเดินกัน

เราเดินสวนทางกับท่านเราก็เลยเดินเข้าหากองทุกข์

 ท่านเดินเข้าหากองสุข ท่านเดินสู่กองสุขที่เป็นความสุขที่แท้จริง

ที่ถาวร พวกเราเดินเข้าสู่กองสุขที่เป็นกองสุขปลอม

ป็นกองสุขที่มีความทุกข์หลบซ่อนอยู่

ความสุขเป็นเปลือกเป็นผิวแต่ความทุกข์นี้เป็นเนื้อ

 พวกเรากินแต่เปลือกกันถ้ากินส้มก็กินแต่เปลือกเนื้อไม่กิน

 ถ้ากินทุเรียนก็กินแต่เปลือกเนื้อทุเรียนกินไม่เป็นกัน

 เราก็เลยไม่ได้เจอความสุขที่แท้จริงกัน

เราไปหาความสุขแบบเปลือกผลไม้ที่มีความทุกข์ซ่อนอยู่ข้างใน

เราจึงทุกข์กันทุกวันนี้ ทุกข์กับสิ่งที่เราคิดว่าเป็นความสุขนั่นแหละ

 สิ่งใดที่เราคิดว่าเป็นความสุขก็คือลาภ ยศสรรเสริญ

รูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ พวกเราเวลาได้ลาภได้ยศได้สรรเสริญ

 ได้เสพรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆเราก็ดีอกดีใจกัน

แต่พอเวลาที่เราไม่ได้เสพความดีใจความสุขใจก็หายไป

สิ่งที่มาแทนความสุขใจก็คือความทุกข์ใจ

 ตราบใดที่เรายังคิดว่าลาภยศสรรเสริญ

รูปเสียงกลิ่นรสต่างๆนี้เป็นสิ่งที่ให้ความสุขกับเรา

ตราบนั้นเราก็ยังจะต้องเจอความทุกข์อยู่เสมอ

เพราะความจริงสิ่งที่เราคิดว่าเป็นความสุขนั้น

 เป็นความทุกข์เสียมากกว่า

 พระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายท่านได้สัมผัสมาแล้ว

เหมือนพวกเรา ท่านก็เคยหลงเหมือนพวกเรา

เคยชอบเคยอยากได้ลาภยศสรรเสริญ

อยากได้ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

 แต่ได้มามากน้อยเพียงไร ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องสูญเสียไป

 หรือไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถที่จะใช้มันได้

เช่นเวลาเราแก่ เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาเราตาย

 เราไม่สามารถใช้ลาภยศสรรเสริญ

 และความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายได้

ตอนนี้ร่างกายเรายังแข็งแรงอยู่เรายังใช้มันได้

ขนาดใช้มันได้ก็ยังเจอกับความทุกข์

เพราะว่าเราขาดเงินที่จะไปซื้อสิ่งต่างๆ

 เวลาเรามีเงินเราก็ดีใจมีความสุข อยากจะซื้ออะไรก็ซื้อได้

 อยากจะไปไหนก็ไปได้ แต่พอเวลาที่เงินหมด

เวลานั้นความสุขที่เกิดจากการใช้เงินใช้ทอง ก็จะต้องหมดไป

 เหลือแต่ความทุกข์ ทุกข์กับการไปหาเงินใหม่

ต้องไปทำงานทำการใหม่ แล้วพอได้เงินมาก็ใช้มันหมดใหม่

 เราก็จะต้องทุกข์อย่างนี้ไปเรื่อยๆไม่มีวันสิ้นสุด

 พระพุทธเจ้ากับพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย

ท่านเห็นความทุกข์ในสิ่งเหล่านี้

ท่านจึงเดินถอยออกจากการหาลาภยศ สรรเสริญ

หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

 แล้วก็ไปหาความสุขอีกแบบหนึ่ง

เรียกว่าความสุข ที่เกิจากความสงบของใจ

ความสุขที่ได้จากความสงบของใจนี้

เป็นความสุขที่เป็นความสุขที่แท้จริง

 ไม่มีความทุกข์เพราะมันจะไม่หมดไปจากเรา

มันจะอยู่กับเราไปตลอด หลังจากที่ร่างกายนี้ตายไปแล้ว

 ความสุขที่ได้จากความสงบของใจก็ยังอยู่กับเราต่อไป

เพราะใจของเราไม่มีวันตาย

สิ่งที่ตายไม่ใช่ของเรา ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราเป็นของพ่อของแม่

ที่พ่อแม่ใช้ดินน้ำลมไฟสร้างมันขึ้นมา

ดินน้ำลมไฟนี้แหละเป็นเจ้าของที่แท้จริงของร่างกายของพวกเรา

 พวกเราเพียงแต่มาครอบครองไว้ เหมือนกับรถยนต์ที่เราซื้อมา

แล้วเอามาใช้ ใช้ไปสักระยะหนึ่งมันก็เก่าแล้วต่อไปมันก็เสีย

 พอซ่อมไม่ได้ก็ต้องทิ้งไป ร่างกายนี้เหมือนรถยนต์

ใจนี้เหมือนคนขับรถยนต์ คนขับรถยนต์ไม่ได้เป็นอะไรไปกับรถยนต์

เวลารถยนต์เก่ารถยนต์เสียรถยนต์พังไปคนขับก็เปลี่ยนรถได้

 แต่เปลี่ยนก็ต้องเหนื่อยต้องเสียเงินเสียทอง ฉันใด

ร่างกายก็เป็นเหมือนรถยนต์ที่พวกเรามาซื้อกัน

ซื้อด้วยการทำบุญทำบาปกัน

แล้วพอได้ร่างกายมาเราก็ต้องมาดูแลรักษาร่างกาย

 แล้วก็ต้องมาพบกับความแก่ของร่างกาย

 พบกับความเจ็บไข้ได้ป่วยของร่างกาย

 แล้วก็พบกับความตายของร่างกาย

 ทั้งของเราเองและของคนที่เรารัก

เช่น ของพ่อของแม่ ของปู่ย่าตายาย ของสามีของภรรยา

 ของบุตรธิดา ร่างกายของทุกคนในที่สุดก็จะต้องแก่เจ็บตายไป

แต่เจ้าของร่างกายแต่ละคนนี้ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย

พ่อแม่ไม่ได้ตายไปกับร่างกายของพ่อแม่

พี่น้องลูกหลานไม่ได้ตายไปกับร่างกายของเขา

สามีภรรยาไม่ได้ตาย เขาไปเปลี่ยนร่างกายอันใหม่

อย่างพวกเราเดี๋ยวก็ต้องไปเปลี่ยนร่างกายอันใหม่

เพราะต่อไปมันก็ต้องแก่ต้องเจ็บและต้องตายไป

 ถ้าเราไปหลงไปยึดไปติดไปใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุข

เราก็จะทุกข์ เพราะว่าต่อไปเราจะไม่สามารถพึ่งร่างกายได้นั่นเอง

คนฉลาดจึงเลิกพึ่งร่างกาย พึ่งร่างกายไว้หาเงินหาทอง

เพื่อจะซื้อความสุขต่างๆ หันมาพึ่งใจพึ่งความสงบของใจ

ดีกว่าเพราะใจไม่เหมือนร่างกาย ใจไม่มีวันแก่ ไม่มีวันเจ็บ

 ไม่มีวันตายแต่ใจของพวกเราตอนนี้ไม่มีความสุขกัน

 เพราะเราไม่มาสร้างความสงบให้แก่ใจ

เรามัวแต่ไปหาเงินหาทองกัน แล้วก็ใช้เงินทองซื้อความสุขต่างๆกัน

ที่ในที่สุดก็จะต้องหมดไป หมดไปก็เหลือแต่ความทุกข์

ให้เราต้องแบกหามต่อไป แล้วพอร่างกายตายไปเราก็ต้องไปเกิดใหม่

ไปได้ร่างกายอันใหม่แล้วก็ต้องไปทุกข์

กับการดูแลเลี้ยงดูร่างกายอันใหม่ ทุกข์กับความแก่

 ทุกข์กับความเจ็บ ทุกข์กับความตาย ของร่างกายอันใหม่

 ตราบใดที่เราไม่หยุดการหาความสุขผ่านทางร่างกาย

 เราก็จะต้องไปหาร่างกายใหม่อยู่เรื่อยๆ

แต่ถ้าเรายุติการใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุข

มาหาความสุขจากการทำใจให้สงบกัน

ถ้าใจสงบแล้วเราก็ไม่ต้องใช้ร่างกาย

ร่างกายเก่าเสียไปตายไปเราก็ไม่ต้องไปหาร่างกายอันใหม่

 เหมือนคนที่ใช้รถยนต์อยู่ทุกวันถ้าเลิกใช้รถยนต์ได้

ถ้าไม่ต้องออกนอกบ้านได้

ถ้าในบ้านมีของวิเศษที่ดีกว่าของนอกบ้าน

เราก็ไม่ต้องออกไปหาของนอกบ้านกัน

 แต่ตอนนี้ในบ้านเราไม่มีของวิเศษ

เราจึงต้องออกไปหาของนอกบ้านกัน

เราออกไปหาของนอกบ้าน เราก็ต้องมีรถยนต์

 เพราะรถยนต์เป็นเครื่องมือที่จะพาให้เราไปหาของต่างๆ

ที่ข้างนอกได้ เช่น เราไปซื้อกับข้าวกับปลาอาหาร

เราก็ขับรถไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต เราต้องการสินค้าอะไรเราก็ขับรถไป

 แต่ถ้าเรามีของทุกอย่างครบบริบรูณ์อยู่ในบ้านเราแล้ว

และดีกว่าของที่เราจะได้จากการไปซื้อมาจากนอกบ้าน

เราก็ไม่จำเป็นจะต้องออกไปข้างนอกบ้าน

 เมื่อเราไม่ต้องออกไปข้างนอกบ้านเราก็ไม่ต้องมีรถก็ได้

รถก็จอดทิ้งไว้ถ้ามันพังก็ไม่ต้องซื้อใหม่

เพราะเราไม่ออกไปข้างนอกแล้ว

เรามีของทุกอย่างที่เราต้องการอยู่ในบ้าน

สมัยใหม่นี้ก็ต่อไปเราไม่ต้องออกไปนอกบ้านก็ได้

สามารถสั่งซื้อของผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้หมดเลย

อยากจะซื้อกับข้าวก็ซื้อได้อยากจะซื้ออะไรก็ซื้อได้

 เปิดเครื่องคอมพ์เปิดเครื่องมือถือขอให้มีเงินจ่ายเท่านั้น

 สั่งมาได้หมด ต่อไปจะมีคนมาส่งให้ถึงบ้าน

ต่อไปเราไม่ต้องออกไปนอกบ้านให้เหนื่อย

ไปขับรถก็ไปรถติดบนท้องถนน แล้วก็ต้องมาคอยดูแลรักษารถ

 และก็ต้องไปเสี่ยงภัยกับอุบัติเหตุบนท้องถนน

 ถ้าอยู่บ้านได้นี้สบายกว่าไม่ต้องมีรถก็ได้ฉันใด

ถ้าเรามีความสงบภายในใจของเราแล้ว

ใจของเราก็เป็นเหมือนกับบ้านที่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการ

ความสงบนี้แหละเป็นเหมือนดวงแก้ว แก้วสารพัดนึก

ที่เราจะสามารถนึกถึงอะไรก็จะได้ทันที

ความสงบของใจนี้เป็นอย่างนั้น

เป็นความสุขที่เหมือนกับได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการจะได้

ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามพอนึกถึงปั๊ปก็ได้เลย

 นี่แหละคือสิ่งที่นักปราชญ์อย่างพระพุทธเจ้า

และพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายท่านได้ค้นพบกัน

พอท่านค้นพบแล้วท่านก็ไม่ต้องมีร่างกายอันใหม่

พอร่างกายอันเก่าของท่านตายไป

ท่านก็ไม่ต้องไปหาร่างกายอันใหม่

ท่านอยู่บ้านไม่ต้องออกมานอกบ้านไม่ต้องมาเกิดแก่เจ็บตาย

พวกเรานี้ยังต้องออกจากนอกบ้านออกจากใจกัน

 ไม่สามารถอยู่ในใจกันได้เพราะว่าในใจไม่มีอะไร

 ในใจมีแต่ความหิวความอยากเลยต้องออกไปหาของนอกใจ

แต่หามาได้แทนที่จะเป็นความสุข กลับกลายเป็นความทุกข์ไป

 ทุกข์ทั้งตอนที่ได้ร่างกายมาก็ต้องทุกข์กับการหากินหาอยู่

ทุกข์กับความแก่ทุกข์กับความเจ็บทุกข์กับความตาย

ของที่เราใช้ร่างกายไปหามาก็เป็นของที่ไม่เที่ยงเป็นของชั่วคราว

 เวลาได้มาก็มีความสุขแต่มันอยู่ไม่นานเดี๋ยวมันก็หมดไป

 พอมันหมดไปเราก็มีความทุกข์กลับคืนมา

นี่คือการหาความสุขต่างๆที่พวกเรากำลังหากันอยู่ทุกวันนี้

แทนที่จะเป็นการหาความสุขกลายเป็นการหาความทุกข์กัน

 เพราะว่าเราไม่มีความสุขภายในใจของเรานี่เอง

ถ้าเรามีความสุขภายในใจของเราแล้ว

 เราไม่ต้องออกไปหาอะไรต่างๆ

 พระพุทธเจ้าพระอริยสงฆ์สาวกท่านไม่ต้องออกไปหาอะไร

เหมือนพวกเราหากัน ท่านอยู่ในป่าในเขาสบาย

 หาอย่างมากก็หาอาหารมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเท่านั้นเอง

ซึ่งถ้าหาไม่ได้ท่านก็ไม่เดือดร้อน ปล่อยให้ร่างกายตายไปได้

เพราะไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องตายไป เมื่อท่านไม่ต้องใช้ร่างกาย

 ท่านก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีอาหารมาเลี้ยงร่างกายก็ได้

 การที่ท่านยังเลี้ยงร่างกายของท่านอยู่

ก็เพราะว่าท่านยังมีความเมตตากับพวกเรา

 ท่านยังสามารถใช้ร่างกายนี้มาสอนมาบอกพวกเรา

ให้มาหาความสุขที่แท้จริงกัน ให้มาหาความความสงบทางใจกัน

พระพุทธเจ้าพระอริยสงฆ์สาวกนี้

ท่านไม่ต้องหาความสุข เหมือนพวกเราหาแล้ว

 ท่านไม่ต้องใช้ร่างกายหาความสุข

แต่ท่านใช้ร่างกายมาสั่งสอนพวกเรา

 เพราะถ้าไม่มีร่างกายก็ไม่สามารถที่จะสั่งสอนมาพูดมาคุย

มาบอกวิธีการหาความสุขที่แท้จริงได้นั่นเอง

 ท่านจึงต้องเลี้ยงร่างกายของท่านต่อไปด้วยการออกบิณฑบาต

แต่ถ้าเกิดร่างกายของท่านไม่สบาย หรือจะต้องตายไป

ท่านก็ไม่เกิดความทุกข์แต่อย่างใด

 เพราะท่านไม่ต้องอาศัยร่างกายเหมือนพวกเรา

ถ้าหาอาหารมาไม่ได้ร่างกายต้องอดตายไป ท่านก็ไม่เดือดร้อน

ที่ท่านทำอยู่นี้เพื่อพวกเราเพื่อจะได้สอนพวกเรา บอกพวกเรา

 วิธีที่จะออกจากกองทุกข์ วิธีที่จะเข้าสู่กองสุขที่แท้จริง

วิธีที่จะทำให้พวกเราเข้าสู่กองสุขที่แท้จริงก็คือ

เราต้องยุติการหาความสุขทางลาภยศ สรรเสริญ

 ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายกัน

 แล้วมาหาความสุขจากการทำใจให้สงบ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...................................

ธรรมะในศาลา วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๘

“ศรัทธา”












ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 24 มกราคม 2559
Last Update : 24 มกราคม 2559 10:34:12 น.
Counter : 1121 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ