Group Blog
All Blog
### ต้องฝึกปล่อยจากของข้างนอกจากของที่ง่ายก่อน ###
















“ต้องฝึกปล่อยจากข้างนอก

 จากของที่ง่ายก่อน”

สิ่งต่างๆที่เราปล่อยวางได้ค่อนข้างที่จะง่าย

 ก็คือของภายนอกของร่างกายเรา

 ของนอกกายนี้เราปล่อยง่ายกว่าของที่อยู่ในกายของเรา

เช่นอวัยวะต่างๆ หรือร่างกายนี้

เป็นของที่ปล่อยยากกว่าทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง

เราจึงต้องฝึกปล่อยจากข้างนอก ปล่อยจากของที่ง่ายก่อน

ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอน ให้เสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ

 ให้เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต

 แล้วเมื่อถึงเวลาที่ต้องเสียชีวิต ก็ให้เสียชีวิตไปเพื่อรักษาใจ

 เพื่อจะรักษาธรรมที่จะคุ้มครองใจ ไม่ให้ทุกข์กับการสูญเสียชีวิตไป

 ดังนั้นท่านจึงทรงสอนให้เรามาปล่อยวาง

มาเสียสละสิ่งที่อยู่ภายนอกของร่างกายไปก่อน

คือทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ

ความสุขความสะดวกความสบาย ทางตาหูจมูกลิ้นกาย

อย่าไปยึดอย่าไปติด เพราะเป็นเหมือนกับติดยาเสพติดนั่นเอง

การที่เราจะปล่อยได้ เราก็ต้องพิจารณาด้วยปัญญา

ว่าเป็นของไม่ถาวร เป็นของชั่วคราว ไม่ใช่เป็นของเรา

 เป็นดินน้ำลมไฟ ของทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนทำมาจากธาตุทั้ง ๔

คือดินน้ำลมไฟทั้งนั้น แล้วก็ไม่ถาวร

มีการรวมตัวแล้ว ก็ต้องมีการแยกตัวกันไป

 ก็ต้องมีการแยกสลายกันไป ไม่อยู่เหมือนเดิมตลอดเวลา

 เวลาที่เขาต้องแยกทางกันไป

 ก็เป็นเวลาที่จะทำให้เรามีความเสียอกเสียใจ

 เพราะความอยากของเรา ที่อยากจะให้ของต่างๆที่เป็นของเรานี้

 อยู่กับเราไปเรื่อยๆ อยู่แบบไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

เคยดีอย่างไรก็อยากจะให้ดีอย่างนั้นไปเรื่อยๆ

 แต่ไม่มีของอะไรในโลกนี้ที่จะดีไปเรื่อยๆ

 ของที่ได้มาใหม่ๆก็ดี แต่พอใช้ไปหรือปล่อยทิ้งไว้

เวลาก็จะทำให้มันเสื่อมคุณภาพไป

ของที่ดีก็กลายเป็นของไม่ดีไป

ได้กลายเป็นของเสียไปได้ นี่ก็คือการสอนใจ

ให้เห็นความจริงของสิ่งต่างๆ ที่เราไปหลงไปยึดติดอยู่

 ถ้าเรายังไม่สามารถที่จะปล่อยได้ เราก็ต้องมาฝึกสมาธิกัน

 มาฉีดยาสลบหรือมาฉีดยาชา เพื่อให้ใจของเราไม่รู้สึกสะเทือนใจ

 เวลาที่เราจะต้องสูญเสีย สิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราชอบ

สิ่งที่เราหวงไป เช่นทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง บุคคลต่างๆ

ถ้าเราไม่มีสมาธิ เวลาที่เราสูญเสียสิ่งต่างๆไป

 เราจะมีความเศร้าโศกเสียใจ

 แต่ถ้าเราทำสมาธิได้ ทำใจให้เป็นอุเบกขาได้ เราจะรู้สึกเฉยๆ

 นี่คือเครื่องมือที่เราต้องสร้างขึ้นมาให้ได้

ถ้าเราอยากจะถอดถอนอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น

ในทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เราคิดว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา

 เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องทุกข์กับเขา

ในเวลาที่เขากับเราต้องแยกทางกันไป

และในเวลาที่เราอยู่ด้วยกันกับเขา เราก็ไม่ต้องมาวิตกกังวล

 เพราะวิตกกังวลอย่างไร ก็ต้องแยกทางกันอยู่ดี

 เพราะว่ามันเป็นสัจธรรมความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้

 เป็นของไม่เที่ยง เป็นของที่จะต้องมีการเสื่อมมีการสูญหมดไป

มีการพลัดพรากจากกันไป แล้วก็เป็นอนัตตา

ก็คือ ไม่มีใครมายับยั้งความจริงอันนี้ได้

ถ้าเรามีอุเบกขาภายในใจของเรา เราก็จะไม่เดือดร้อน

 เพราะเวลาเรามีอุเบกขานี้

เราจะไม่มีความรักไม่มีความชังกับสิ่งต่างๆ

เวลาที่เราต้องเสียสิ่งที่เรารักเราก็จะเฉยๆ

 เวลาที่เราต้องพบกับสิ่งที่เราไม่ชอบเราก็จะเฉยๆ

นี่คือเครื่องมือที่เราจำเป็นจะต้องสร้างขึ้นมา

การปฏิบัติถ้าไม่มีสมาธิ อย่าไปหวังว่าจะได้ผลเลย

เหมือนกับการผ่าตัดโดยที่ไม่ดมยาคนไข้ก่อน

 หรือการถอนฟันโดยไม่ฉีดยาชาให้กับคนไข้ก่อน

จะไม่มีวันที่จะทำได้สำเร็จ

จะไม่สามารถผ่าตัดเอาเนื้องอกเนื้อร้ายออกจากร่างกายไปได้

 จะไม่สามารถถอนฟัน ที่ให้ความเจ็บปวดกับร่างกายได้

 เพราะคนไข้จะกลัวความเจ็บปวดที่เกิดจากการผ่าตัด

หรือจากการถอนฟันไป แต่ถ้ามียาฉีดให้ชาก็จะถอน

 คนไข้ก็จะไม่ต่อต้าน คนไข้ก็จะปล่อยให้หมอถอนฟันได้อย่างสบาย

 เช่นเดียวกับการผ่าตัด ถ้าคนไข้ถูกดมยาสลบแล้วก็จะไม่รู้เรื่อง

เวลาหมอเอามีดไปผ่าเนื้อก็จะไม่รู้สึกอะไร

หมอก็จะสามารถที่จะทำงานได้อย่างสบาย คนไข้ไม่ดิ้น

อันนี้ก็คือการถอดถอนอุปาทานกิเลสตัณหา

 ที่มีอยู่ภายในใจของเรา ก็เป็นเหมือนงานผ่าตัด

 หรือเป็นเหมือนกับการถอนฟันนี่เอง ถ้าเราไม่มียาสลบไม่มียาชา

 เราจะไม่สามารถทำการผ่าตัด หรือทำการถอดถอนอุปาทาน

กิเลสตัณหา ออกไปจากใจของเราได้

ดังนั้นไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรก็ตาม ถ้าเขาบอกว่าสมาธิไม่สำคัญ

 ก็พูดได้เลยว่าเป็นคนพูดที่ไม่รู้เรื่อง

พระพุทธเจ้านี้ทรงสอนสมาธิในมรรค ๘

 สัมมาสมาธิ ในไตรสิกขาก็ทรงสอนสมาธิ ศีลสมาธิปัญญา

 ในภาวนาก็สอนสมถภาวนาวิปัสสนาภาวนา

ถ้าใครมาพูดว่าสมถภาวนาไม่สำคัญ สมาธิไม่สำคัญ

 ก็แสดงว่าเขาไม่ได้ปฏิบัติมา ถ้าเขาปฏิบัติมา เขาจะไม่พูดอย่างนี้

 เขาอาจจะไปแอบอ้างคิดว่า เวลาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม

ให้แก่ผู้ฟังธรรม แล้วผู้ฟังธรรมสามารถบรรลุ มรรคผลนิพพานได้

ในขณะที่ฟัง โดยที่เขาอ้างว่าเป็นปัญญาล้วนๆ อันนี้ก็ไม่ใช่อีกแหละ

เพราะคนที่ฟังนี้ต้องมีสมาธิก่อนถึงจะบรรลุได้

ถ้าคนไม่มีสมาธิ ฟังไปก็บรรลุไม่ได้

อย่างสมัยพระพุทธกาล คนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้ฟัง

 ในกลุ่มแรกๆนี้ล้วนเป็นนักบวช ล้วนเป็นผู้ที่มีศีลมีสมาธิสมบูรณ์แล้ว

 ขาดเพียงปัญญาเท่านั้น พอทรงแสดงปัญญา

สอนให้เขาว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา

 มีใจเท่านั้นที่เป็นตัวเราเป็นของเรา

ถ้าเราอยากจะรักษาตัวเราของเราไม่ให้ทุกข์

 เราก็ต้องปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง พอเขาฟัง เขาก็ปล่อยได้

เพราะเขามีสมาธิ มียาชา พอพระพุทธเจ้าบอกว่าให้ถอนฟันออก

เขาก็ถอนได้ พอบอกว่าให้ผ่าเอาเนื้องอกออกไปเขาก็ผ่าได้

เพราะเขามียาชามียาสลบ

แต่พวกเรา หรือคนที่ไม่มีสมาธิอย่างพวกเรา

เราฟังธรรมกันมาไม่รู้กี่ปีแล้ว ฟังแล้วเราถอดถอนอุปาทาน

กิเลสตัณหาออกไปได้หรือไม่ เราถอนไม่ได้เพราะเรากลัวความทุกข์

ที่เกิดจากการถอน เพราะการถอนนี้เราจะต้องไปปฏิบัติธรรมกัน

ไปเจริญสติไปสร้างสมาธิกัน เราก็ไม่อยากไป

เพราะเราเห็นว่ามันเป็นความทุกข์ที่จะต้องไปอยู่วัด

ไปอยู่ที่ไม่มีรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆให้เราได้เสพ ให้เราได้มีความสุข

เรายังติดอยู่กับความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายอยู่

เราก็เลยไม่อยากจะไปกัน พอมีคนมาสอนว่าไม่ต้องไปก็ได้ บรรลุได้

 ให้ใช้ปัญญาเลย ฟังเทศน์ฟังธรรมแล้วก็พิจารณาตาม

 เหมือนกับในสมัยพระพุทธกาล ฟังเทศน์ฟังธรรมแล้วพิจารณาตาม

สัพเพ ธัมมา อนัตตา พอเห็นแล้วเข้าใจแล้วก็จะปล่อยได้

มันปล่อยไม่ได้ เพราะมันไม่มีกำลัง มันไม่มียาชา

ไม่กล้าถอดถอน เวลาถอดถอนนี้มันทุกข์ทรมาน

 เหมือนเวลาคนที่จะต้องเลิกดื่มสุรายาเมา

 คนที่จะต้องเลิกยาเสพติดนี้ ถ้ามีสมาธินี้เลิกได้อย่างง่ายดาย

 เพราะจะไม่รู้สึกเดือดร้อน ใจอยู่ในความสงบ ใจไม่ปรุงแต่ง

 ไม่ปรุงตัณหาความอยากที่จะเสพสุรา

ไม่ได้ปรุงแต่งตัณหาที่อยากจะเสพยาเสพติด

 พอไม่ได้เสพมันก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร มันก็รู้สึกเฉยๆ

แต่คนที่ไม่มีสมาธิไม่มีอุเบกขานี้ ใจคิดปรุงแต่ง

ถึงความอยากจะดื่มสุราอยู่ตลอดเวลา

เวลาที่เคยดื่มแล้วไม่ได้ดื่ม มันจะคิดแต่เรื่องดื่มสุรา

 เวลาที่เคยเสพยาเสพติดแล้วพอไม่ได้เสพ

 มันก็จะคิดอยู่แต่เรื่องเสพยาเสพติดอยู่ไปเรื่อยๆ

จนกว่ามันจะได้เสพมันถึงจะหยุด คิดไปในทางความอยากจะเสพ

 แต่ก็หยุดเพียงชั่วคราว

ไม่นานเดี๋ยวความอยากจะเสพก็โผล่ขึ้นมาใหม่

ดังนั้นคนจึงไม่สามารถเลิกสุรา หรือเลิกยาเสพติดกันได้

ยอมตายดีกว่า ทุกข์ทรมานอยู่กับการไม่ได้เสพยาเสพติด

แต่ถ้าได้มาฝึกสมาธิ ได้มาทำใจให้สงบเป็นอุเบกขาได้

ใจรวมเป็นหนึ่ง เป็นเอกัคคตารมณ์ สักแต่ว่ารู้ได้

เวลาออกจากสมาธิมานี้ จะมีอุเบกขา

ที่จะมาทำให้เราสามารถที่จะถอดถอนอุปาทานในสิ่งต่างๆได้

 ถ้าออกมาแล้ว ถอนไปได้ครึ่งทางแล้วหมดกำลัง

เราก็กลับเข้าไปในสมาธิใหม่ก่อน เหมือนกับหมอที่ฉีดยาชา

 พอยังถอนไม่เสร็จคนไข้เริ่มรู้สึกเจ็บ หมอก็ฉีดยาชาเพิ่มเข้าไป

 แล้วค่อยทำการถอนต่อไป

หรือการดมยาสลบในการผ่าตัดก็แบบเดียวกัน

เวลาที่ฤทธิ์ของยาสลบหมดกำลังลง คนไข้เริ่มรู้สึกตัวเริ่มดิ้น

 ตอนนั้นหมอก็ต้องดมยาใหม่ เพิ่มยาสลบขึ้นไปใหม่

ให้คนไข้สลบให้นิ่งเฉยๆ

การถอดถอนก็เหมือนกัน หลังจากออกจากสมาธิมาแล้ว

ก็เหมือนกับคนไข้ได้รับยาชาได้รับยาสลบ

เราก็สามารถที่จะต่อต้านต่อสู้กับความอยากในสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้

พอใจของเราอ่อนกำลังลง เริ่มจะแพ้ความอยาก

 เราก็ต้องกลับเข้าไปในสมาธิใหม่ ไปเพิ่มอุเบกขาใหม่

เพราะอุเบกขาเก่าที่เราได้มานี้ มันอ่อนกำลังลงไป

 นี่คือการปฏิบัติในการถอดถอนอุปาทานกิเลสตัณหาต่างๆ

จำเป็นจะต้องมีการฉีดยาชาดมยาสลบอย่างต่อเนื่อง

เวลาใดที่ใจเริ่มหมดกำลังอุเบกขา

เวลานั้นก็เป็นเวลาที่จะต้องกลับเข้าไปในสมาธิใหม่

พอได้อุเบกขาแล้ว ก็ออกมาถอดถอนต่อ

 มารับรู้รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

พอเห็นสิ่งที่เคยอยากดื่มก็หยุดได้ถ้ามีอุเบกขา

 เพราะเราจะใช้ปัญญาบอกว่า ถ้าไปทำตามความอยาก

 ความอยากนี้ก็จะมีอายุยาวขึ้นไป

ถ้าเราฝืนความอยาก ไม่ทำตามความอยากได้

ความอยากนี้ก็จะอ่อนกำลังลงไป

อุปาทานที่มีความยึดติดอยู่กับสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็จะอ่อนกำลังลงไป

แล้วต่อไปมันก็จะหมดกำลังไป

ถ้ายังถอนไม่หมด ก็กลับเข้าไปในสมาธิใหม่

ไปเติมพลังใหม่เติมอุเบกขาใหม่

แล้วพอออกมาเจอสิ่งที่เรารักเราชอบ

เช่นเราชอบดื่มสุรา ชอบเสพยาเสพติด หรือชอบดื่มกาแฟ

 หรือชอบดูภาพยนตร์หรือดูละคร หรือว่าอะไรก็ตาม

 พอเรามีอุเบกขาออกมา มันจะรู้สึกเฉยๆ

แล้วเราก็คอยสอนใจว่าอยากทำตามความอยาก

ถ้าเราเห็นว่าเราสู้ไม่ไหว เราก็กลับเข้าไปในสมาธิใหม่ก่อน

 แล้วออกมาใหม่ แล้วก็สอนใจไปเรื่อยๆ ซ้ำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

ถ้าเราไม่ได้ไปทำตามความอยาก

ต่อไปความอยากมันก็จะหมดกำลังไปเอง

นี่แหละคือวิธีที่เราจะสามารถถอดถอนอุปาทาน

ความยึดติดในสิ่งต่างๆ ที่เป็นสัพเพ ธัมมา อนัตตาได้หมด

ที่เราจะได้รักษาใจของเราที่เป็นสมบัติอันล้ำค่า

ไม่ให้ต้องทุกข์กับทุกสิ่งทุกอย่าง อันนี้เป็นสิ่งที่เราจะต้องปฏิบัติกัน

 ถ้าเราฟังธรรมแล้วเราตัดได้ปล่อยวางได้

ก็แสดงว่าเรามีอุเบกขาอยู่ภายในใจ เราไม่เดือดร้อน

 มีอะไรเราสละได้ตัดได้ สละทรัพย์ได้ สละอวัยวะได้ สละชีวิตได้

 ถ้าเรายังทำไม่ได้ก็แสดงว่า เรายังไม่มีอุเบกขาพอ

สละได้ก็เพียงแต่เล็กๆน้อยๆ แต่ไม่ถึงกับสละได้อย่างเต็มที่

ก็แสดงว่าเรามีอุเบกขาเพียงเล็กน้อย

 ก็ดีกว่าคนบางคนที่สละไม่ได้เลย

 คนบางคนนี้ไม่ยอมทำทานเลย มีความตระหนี่

มีความหวงในทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองของตน

ทั้งๆที่รู้ว่าตายไปก็เอาไปไม่ได้ แต่ความยึดมั่นถือมั่น

ในทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองนี้ มันมีกำลังมาก

จนทำให้ไม่สามารถ ที่จะเสียสละทำบุญทำทานได้เลย

ดังนั้นขอให้พวกเราจงมองเข้าไปที่อุเบกขา ว่าเรามีกันมากหรือน้อย

ถ้าเรายังปล่อยได้น้อย ก็แสดงว่าเรายังมีอุเบกขาน้อย

ถ้าเราปล่อยได้มากก็แสดงว่าเรามีอุเบกขามาก

ปัญญานี้เรามีกันมากพอแล้ว

เพราะว่าเราฟังเทศน์ฟังธรรมกันมาจนหูฉีกแล้ว

 เรารู้แล้วว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี้เป็นอะไรกัน

แต่พอถึงเวลาที่จะปฏิบัติกับมันจริงๆ

เราทำไม่ได้ เลิกไม่ได้ ละไม่ได้

 ก็เพราะว่าเราขาดอุเบกขา สมัยนี้กับสมัยก่อนต่างกัน

กลับตาลปัตรกัน สมัยก่อนเขาขาดปัญญากัน

พวกนักบวชทั้งหลาย พระปัญจวัคคีย์ พวกนักบวชในลัทธิต่างๆ

 เขามีอุเบกขากันแต่เขาไม่มีปัญญา

เขาไม่รู้ว่าความอยากนี้ เป็นตัวที่ทำให้เขายึดติดอยู่กับสิ่งต่างๆ

 ถ้าเขาอยากจะหลุดพ้นอยากจะหลุดจากการยึดติดกับสิ่งต่างๆ

ที่สร้างความทุกข์ให้กับเขา เขาก็ต้องหยุดความอยาก

ก็มีพระพุทธเจ้านี้เป็นพระองค์แรกที่ได้ตรัสรู้

รู้ว่าการที่เราจะถอดถอนอุปาทาน ที่เรายึดติดกับสิ่งต่างๆ

ที่ไม่ใช่เป็นของเรานี้ ที่จะต้องจากเราไปนี้

เราต้องถอดถอนด้วยการยุติความอยาก อย่าไปอยากได้สิงนั้นสิ่งนี้

แล้วต่อไปสิงนั้นสิ่งนี้ก็จะหมดความหมายไป

 สิงนั้นสิ่งนี้จะอยู่หรือจะไปนั้นก็จะไม่เป็นปัญหากับเราอีกต่อไป

แต่ตอนนี้มันยังเป็นปัญหา เพราะเรายังอยากให้เขา

เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้อยู่ พอเขาไม่อย่างนั้นเป็นอย่างนี้ขึ้นมา

ก็เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา เพราะเราไม่มีอุเบกขา

ที่จะปล่อยเขานั่นเอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต


.........................................

กัณฑ์ที่ ๔๗๕ ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๗

“คำสอนที่ลึกซึ้งมาก”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2559
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2559 10:32:55 น.
Counter : 1084 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ