Group Blog
All Blog
### คำว่าอนัตตาก็คือไม่มีตัวตน ###

















“คำว่าอนัตตาก็คือไม่มีตัวตน”

คำว่าอนัตตาก็คือไม่มีตัวตน เช่นต้นไม้นี้มีตัวตนหรือไม่

ก้อนหินมีตัวตนหรือไม่ น้ำฝนที่หล่นลงมานี้ มีตัวตนหรือไม่

 แต่ทำไมพอมารวมตัวกันเป็นร่างกายจึงเป็นตัวตนขึ้นมา

 มันก็ยังไม่มีตัวตนอยู่นั่นแหละ

ร่างกายนี้มาจากไหนก็มาจากดิน ดินผ่านทางอาหาร

ข้าวนี้มาจากไหน ผักมาจากไหน

 อาหารที่เรากินเข้าไปมันก็มาจากผัก มาจากข้าว

ผักกับข้าวก็มาจากดินจากน้ำจากลมจากไฟ

เพราะต้นข้าวถ้าไม่มีน้ำก็เจริญเติบโตไม่ได้

ไฟถ้าไม่มีความร้อนก็เจริญเติบโตไม่ได้

ถ้ามันหนาวแบบขั้วโลกเหนืออย่างนี้ ปลูกต้นไม้ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น

 ต้องมีความร้อนพอประมาณ มีน้ำหล่อเลี้ยงต้นไม้

 มีดินที่มีอาหารของต้นไม้ แล้วก็มีอากาศอ๊อกซิเจน ลมหายใจ

 ต้นไม้ก็ต้องมีอากาศหายใจเหมือนกัน

เมื่อมีธาตุทั้ง ๔ มีดินน้ำลมไฟก็ทำให้เกิดเป็นต้นข้าว เป็นต้นไม้

 เป็นผลหมากรากไม้ที่เรารับประทานเข้าไป

 พอเรารับประทานเข้าไปในร่างกาย มันก็เป็นผม เป็นขน

 เป็นเล็บ เป็นฟัน เป็นหนัง เป็นเนื้อ เป็นเอ็น เป็นกระดูก

 เป็นอวัยวะต่างๆ แล้วอวัยวะแต่ละชิ้นมันมีตัวตนหรือไม่

 ผมมันมีตัวตนหรือเปล่า ขนมีตัวตนหรือเปล่า

 เล็บ ฟัน หนัง มีตัวตนหรือเปล่า

 เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด

ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย สิ่งเหล่านี้มีตัวตนหรือไม่

เราต้องวิเคราะห์แบบนี้เราถึงจะเห็นว่ามันไม่มีตัวตน

 มันเป็นอาการที่เราตั้งชื่อต่างๆ เรียกมันว่าผม เรียกมันว่าขน

 เรียกมันว่าเล็บ เรียกว่าฟันไปเท่านั้น

 แต่มันก็เป็นเพียงสิ่งที่เกิดจากธาตุทั้ง ๔ คือดิน น้ำ ลม ไฟ

 แล้วเวลาที่ร่างกายหยุดทำงานไม่หายใจ อะไรเกิดขึ้น

ก็การแยกออกของธาตุทั้ง ๔ ลมก็ไม่เข้ามีแต่ลมออก

 กลิ่นที่เราได้รับกลิ่นของร่างกายก็เป็นลมออกมา

 ไฟก็หายไป ความร้อนในร่างกายก็หายไป

จากร่างกายของคนตายกับคนเป็นจะมีอุณหภูมิไม่เท่ากัน

ร่างกายของคนตายนี้จะเป็นอุณหภูมิของอากาศ รอบข้าง

 แต่ร่างกายของคนเป็นนี้จะอุ่นกว่า แล้วก็ไฟก็ไม่มี

น้ำก็จะไหลออกมา น้ำเหลืองน้ำอะไรต่างๆ ออกมาทางทวารต่างๆ

 ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไปเรื่อยๆ มันก็จะแห้งกรอบไป

ร่างกายตอนต้นก็ต้องเน่าก่อน ต้องขึ้นอืดก่อน

 ขึ้นอืดแล้วน้ำมันก็จะไหลออกมาแล้วมันก็จะฟุบลงไป

เน่าเปื่อยแล้วก็จะแห้งไป ทิ้งไปนานๆ มันก็จะผุจะพัง

กลายเป็นดินไป นี่คือร่างกายที่เราคิดว่าเป็นตัวเราของเรา

ผู้ที่คิดว่าเป็นตัวเราของเราไม่ได้อยู่ในร่างกาย

 แต่ผู้ที่คิดไม่รู้ ไปคิดว่าอยู่ในร่างกาย

ก่อนที่จะมีร่างกายนี้ผู้ที่คิดอยู่ที่ตรงไหน เคยถามตัวเองไหม

ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะมาเจอกันนี้เราอยู่ตรงไหน เราอยู่ที่ไหน??

 เรามาเป็นเราในร่างกายตอนที่เป็นร่างกาย

หรือว่าเป็นก่อนที่จะมีร่างกาย

นี่คือการพิจารณาก็เพื่อให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้

ที่เกิดขึ้นมา ปรากฏขึ้นมาให้เราเห็นนี้มันเป็นธรรมชาติ

มันไม่ใช่ตัวเราของเรา มันไม่มีตัวไม่มีตน

มันเป็นการผสมรวมกันของธาตุทั้ง ๔ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิต

 หรือไม่มีชีวิตก็มาจากธาตุทั้ง ๔ ต้นไม้ก็ต้องมีดินมีน้ำมีอากาศ

มีความร้อนมันถึงจะเจริญเติบโตได้

สิ่งต่างๆ เมื่อมันเจริญเติบโตถึงขีดหนึ่งแล้ว มันก็จะเสื่อมไป

 ต้นไม้ก็จะตายไป นี่คืออนิจจัง

อนัตตาก็คือไม่มีใครตาย ไม่มีใครเสื่อม

 เป็นการรวมตัวและการแยกตัวของดินน้ำลมไฟเท่านั้นเอง

ร่างกายก็แบบเดียวกันเหมือนต้นไม้

 ต่างจากต้นไม้ตรงที่มีจิตหรือมีใจมาสถิตย์อยู่มาครอบครองอยู่

แล้วตัวที่มีครอบครองก็หลงไปคิดว่า

 สิ่งที่มาครอบครองเป็นตัวของเขาเอง

ซึ่งตัวของเขาไม่ใช่ร่างกาย ตัวของเขาเป็นร่างทิพย์

 ตัวของเขาไม่มีรูปร่างเหมือนกับร่างกาย

แต่เขาไม่เคยมองเห็นตัวของเขาเอง เขาเห็นแต่ตัวเเทนของเขา

คือร่างกาย ก็เลยไปคิดว่าร่างกายนี้เป็นตัวเขา

 ถ้ามาปฏิบัติธรรม ธรรมจะเป็นเหมือนกระจกส่องให้เห็นใจ

 ให้เห็นจิตว่าไม่ใช่ร่างกาย

ผู้ปฏิบัติธรรมจิตสงบแล้วจะเห็นว่าร่างกายกับจิตใจนี้แยกกัน

 ร่างกายนี้จะเป็นเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน เวลาจิตที่สงบ

 ส่วนจิตใจนี้ก็คือผู้รู้ก็จะปรากฏขึ้นมาให้เห็น ได้อย่างชัดเจน

ผู้รู้ผู้คิดนี้ก็จะเห็นว่าเป็น ๒ ส่วนกัน

ร่างกายเป็นส่วนหนึ่ง ผู้รู้ผู้คิดเป็นอีกส่วนหนึ่ง

มารวมกันในขณะที่ตั้งครรภ์อยู่ในท้องแม่ อยู่ในครรภ์ของแม่

 แล้วก็มาแยกกันที่โรงพยาบาลหรือที่วัด

 จิตก็ไปทางหนึ่ง ร่างกายก็ไปอีกทางหนึ่ง

ร่างกายก็ไปสู่เมรุ ถูกไฟเผาก็กลายเป็นขี้เถ้ากลายเป็นเศษกระดูกไป

ส่วนจิตที่ยังมีกรรมอยู่ก็ไปเกิดใหม่ ไปได้ร่างกายอันใหม่ต่อไป

 ก็จะวนเวียนอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ท่านถึงเรียกว่า การเวียนว่ายตายเกิด

ผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดคือจิต ไม่ใช่ร่างกาย

 ร่างกายนี้ไม่สามารถที่จะไปไหนได้ พอตายไปแล้ว

 ก็ต้องกลับคืนสู่ธาตุเดิม กลับคืนสู่ดินน้ำลมไฟไป

ส่วนจิตนี้ไม่มีวันตาย เมื่อยังมีกรรมอยู่ก็ต้องไปเกิดต่อไป

 ถ้าไม่อยากจะเกิดก็ต้องหยุดกรรมให้ได้

กรรมที่เป็นตัวผลักดันให้จิตไปเกิดก็คือตัณหาความอยากต่างๆ

 การมาปฏิบัติก็เพื่อมาตัดมาหยุดความอยากต่างๆ

ถ้าไม่มีความอยากแล้ว จิตก็ไม่ต้องไปหาร่างกาย

ไม่ต้องไปได้ร่างกายอันใหม่ มาทุกข์กับร่างกายอยู่เรื่อยๆ

จิตก็จะอยู่โดยที่ไม่ต้องมีร่างกาย นี่คือเรื่องของอนัตตา

 ไม่มีตัวตน มีธาตุ ๔ และมีธาตุรู้คือจิต

 ตัวตนเป็นความคิดปรุงเเต่งขึ้นมาของจิตเอง

 คิดว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่ขึ้นมา แต่เป็นเพียงความคิดไม่ใช่เป็นความจริง

เวลาจิตหยุดคิดเมื่อไร ตัวตนก็จะหายไปเมื่อนั้น

มันเกิดจากความคิดแล้วก็ไปหลงยึดติดกับความคิดนั้นว่าเป็นความจริง

ผู้ที่ปฏิบัติที่สามารถหยุดความคิดได้จะเห็นความแตกต่าง

เวลาที่มีความคิดกับเวลาที่ไม่มีความคิด

เวลาที่มีความคิดจะมีความรู้สึกว่ามีตัวมีตนอยู่

พอหยุดความปรุงเเต่งไปก็จะเหลือแต่ความว่าง

 ไม่มีตัวไม่มีตนให้มีความรับรู้อยู่ อันนี้ต้องปฏิบัติถึงจะเห็นได้ชัดเจน

 การพูดนี้ก็เป็นเพียงแต่วาดภาพให้เห็นแบบสังเขปเท่านั้นเอง

 วาดอย่างไร ถ้ายังไม่ได้ปฏิบัติก็จะไม่เห็น

ก็ยังจะสงสัยอยู่อย่างนั้น เหมือนคนที่ถูกปิดตาด้วยผ้า

ถ้าอยากจะเห็นว่าภาพต่างๆ

ที่คนอื่นที่เขาไม่ได้ ถูกผ้าปิดตาไว้เห็นเป็นอย่างไร

ก็ต้องเอาผ้าปิดตาออกแล้วลืมตาขึ้น ถ้าลืมตาขึ้นแล้วก็จะเห็น

เหมือนกับคนที่เขาไม่มีผ้าปิดตา ปิดตาเขาไว้

ดังนั้นการปฏิบัติธรรมนี้ก็เป็นการเอาผ้าที่ปิดตาในออก

ผ้าที่ปิดตาในก็คือโมหะอวิชชา ความหลงความไม่รู้ความจริง

 การปฏิบัติท่านถึงเรียกว่าเป็นการเปิดตาใน

 ตาในนี้คือปัญญาที่จะเห็นว่า

ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั่นเอง

ดังนั้ต้องเกิดจากการปฏิบัติจึงจะหายสงสัย

ถ้ายังไม่ได้ปฏิบัติก็เหมือนตาบอดคล้ำช้าง

เคยได้ยินเรื่องตาบอดคล้ำช้างไหม

คนตาบอด ๔- ๕ คน ไปคลำช้างกันแล้วก็มานั่งเถียงกันว่า

ช้างเป็นอย่างนั้นช้างเป็นอย่างนี้ เพราะไปคลำคนละที่กัน

หรือเห็นเพียงบางส่วน ไปจับท้องช้างก็ว่าเหมือนฝาผนัง

 ไปจับหางช้างก็ว่าเป็นเหมือนเชือก

ไปจับงวงช้างก็ว่าเป็นเหมือนงู

 ไปจับงาก็ว่าเป็นหอก มันก็ทุกคนแต่ไม่ถูกหมด

แล้วมานั่งถกเถียงกัน ดังนั้นการที่จะเห็นอะไรได้อย่างชัดเจนนี้

ต้องเห็นด้วยการปฏิบัติ เหมือนกับโบราณที่พูดว่า

๑๐ ปากว่าไม่เท่า ๑ ตาเห็น คนที่เขาเคยไปเที่ยวต่างประเทศมา

เขามาเล่าให้เราฟังว่าประเทศนั้นเป็นอย่างนี้ประเทศนี้เป็นอย่างนั้น

เราฟังแล้วเราก็ได้แต่จินตนาการไป

เราก็ยังไม่รู้ว่าความเป็นจริงมันเป็นอย่างไร

นกว่าเราจะไปที่ประเทศนั้นแล้ว ไปสัมผัสไปดูไปเห็น

เราก็จะไม่สงสัยว่าสิ่งที่เขาพูดเขาเล่ามานี้เป็นอย่างไรกันแน่

 ดังนั้นการฟังนี้เป็นเหมือนกับการดูภาพยนต์ตัวอย่าง

เพื่อที่จะทำให้เกิดความสนใจที่อยากจะดูทั้งเรื่อง

การฟังเทศน์ฟังธรรมนี้ก็เพื่อที่จะปลูกศรัทธา ความเชื่อ

ความสนใจให้ไปศึกษาไปปฏิบัติ

 เพื่อจะได้เห็นของจริงที่เรายังมองไม่เห็น.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..................................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๘

“พัฒนาอินทรีย์ ๕ ให้เป็นพละ ๕”












ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 10 มกราคม 2559
Last Update : 10 มกราคม 2559 10:41:09 น.
Counter : 1244 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ