หลายวันที่ผ่านมา..ฉันเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ทุกวันต้องเดินไปส่งและรับลูกกลับจากโรงเรียน เนื่องจากเวลาเรียนของลูกทั้งสองไม่ตรงกัน จากที่เดินไปกลับวันละสี่เที่ยว ต้องเดินเพิ่มเป็นหกเที่ยว เรียกว่า..เมื่อหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายเหนื่อยกายแค่ไหน..ก็ยังไม่เหนื่อยใจเท่ากับผลสอบเสตทของนิกที่ออกมาแล้ววิชาเลขลูกคะแนนสูงเกินมาตรฐานที่เสตทกำหนด แต่วิชาศิลป์-ภาษา กลับอ่อนกว่ามาตรฐานที่เสตทกำหนด ทำให้แม่ผิดหวังวิ๊ดเอากับลูก จนลูกร้องไห้ แม้ว่าลูกจะบอกว่า..นิกจะปรับให้มันดีขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นในตอนนั้น ฉันบอกลูกว่า..ก่อนที่ลูกจะมาพูดอย่างนี้กับแม่ ควรจะตั้งใจทำข้อสอบให้ดีกว่านี้ ณ. ตอนนั้นฉันโทษลูกไปเต็มๆ ไม่ได้มองเหตุผลอะไรมากมายนัก ฉันคุยกับน้องอาร์ตๆให้ข้อคิดมาข้อหนึ่งว่า..ขอให้ไปดูเด็กทั้งห้องก่อนว่าทั้งกลุ่มผลมันออกมาเป็นอย่างไร เธอพูดให้ฉันใจเย็นๆ อย่าดุด่าว่ากล่าวลูก และคืนนั้นฉันก็ขอโทษลูกและบอกว่า..เดี๋ยวเราเริ่มต้นกันใหม่ปีนี้นะลูก แม่อาจจะให้ความสนใจกับวิชานั้นน้อยไป และคิดว่า การที่นิกพูดภาษาอยู่ทุกวัน นิกคงไม่มีปัญหาอะไรนัก แต่แม่คิดผิดรุ่งเช้า ไปถึงโรงเรียน ฉันเจอ เออม่า แม่ของเพื่อนนิก จึงถามเรื่องผลสอบของเสตทของลูกเขา สรุปได้ว่า..ลูกของเออม่าก็เจอปัญหาเดียวกันกับนิก ทั้งๆที่เด็กคนนี้วิชาศิลป์ภาษาของเธอดีกว่านิกมาก ฉันเลยได้ข้อสรุปว่า ไม่ใช่ความผิดของลูก แต่เป็นเพราะวิธีการสอนของครูไม่ดีพอ ฉันอุตส่าห์ไว้ใจ ให้เครดิตซะมากมาย ต่อไปนี้ ฉันไม่วางใจอีกต่อไป เพราะนักเรียนมันเยอะและฉันไม่คิดว่าครูจะมีเวลา มาเอาใจใส่ลูกฉันอยู่ได้คนเดียวแทนที่ฉันจะวางใจและสบายใจว่าลูกไม่มีปัญหา กลับกายเป็นว่าต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม และลูกก็ทำท่าไม่สนใจกับการเรียน เวลาทำการบ้านแม่จะต้องนั่งเฝ้าถ้าไม่เฝ้านิกก็หันไปเล่น อย่างไม่มีความรับผิดชอบ และเวลาทำการบ้านก็สักแต่เขียนๆให้เสร็จ ไม่ใส่ใจเนื้อหาสาระ ไม่พยายามคิดหาเหตุผลมาตอบคำถาม รวมถึงไม่พยายามเข้าใจว่าคำถามๆว่าอะไร หลายปัญหาที่ฉันทนไม่ได้อีกต่อไป เพราะฉันรู้สึกว่า ลูกอายุ 9 ขวบแล้ว ไม่ควรที่จะให้แม่ต้องเฝ้า ต้องพูดมาก หรือคอยบอกคอยสอนซ้ำๆซากๆอีก เขาควรจะมีความรับผิดชอบในหน้าที่ให้มากกว่าที่เป็น ไม่ใช่เล่นไม่รู้เรื่องเหมือนที่ผ่านมา ตกค่ำ..ฉันเรียกนิกมานั่งคุย ฉันถามว่า..ทำไมเวลาที่แม่พูดดีๆแล้วนิกไม่ปฏิบัติ ต่อเมื่อแม่..โมโห หรือขึ้นเสียง นิกก็จะกลัว พอกลัวแล้วร้องไห้ นิกจะร้องทำไม ในเมื่อแม่ไม่เคยตีลูก ถ้านิกรู้จักรับผิดชอบ แม่ก็ไม่โมโหหรอก..นิกเห็นมั๊ย!!...ว่าทุกวันนี้ เรากินข้าวเย็นกันดึก เพราะแม่ไม่มีเวลาทำอาหาร แม่เอาเวลาของแม่ไปนั่งเฝ้านิกทำการบ้าน นิกเห็นมั๊ย!!...ว่าแม่เหนื่อยเดินไปรับไปส่งลูกสองคน เพราะแม่ไม่อยากกวนแด๊ด จากที่แม่เดินแค่ไปรับส่งนิกเดี๋ยวนี้แม่ต้องเดินเพิ่มขึ้นเพื่อไปรับอลีนานิกเห็นมั๊ย!!...ว่าแม่พยายามที่จะทำหน้าที่ของแม่ให้ดีที่สุดเพื่อลูก เพื่อครอบครัวของเรา เหนื่อยแม่ก็ทนได้ แต่ที่แม่อยากเห็นคือ นิกรู้จักรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง อย่าให้แม่ต้องตามเช็ดตามล้างไปในทุกๆเรื่อง นิกเห็นมั๊ย!!..แทนที่แม่จะได้เอาเวลาที่เหลือไปเอาใจใส่น้อง แม่ก็ยังทิ้งนิกไม่ได้อยู่นั่นเอง ในทุกเรื่องเมื่อวาน..เป็นวันที่เหนื่อยที่สุดที่ฉันต้องกรองคำพูดๆกับลูกให้เข้าใจ ถึงหน้าที่และความรับผิดชอบ เข้าใจถึงความรักของพ่อแม่ เข้าใจถึงคำว่าครอบครัวที่มันไม่สามารถจะเดินไปได้เพียงลำพัง หากปราศจากทีมเวิร์คที่ดี ดูเหมือนว่า..นิกจะเข้าใจมากขึ้น ฉันรู้ว่า..ลูกแคร์ฉันและรักฉันมากมาย หลายหนที่ฉันต้องขอโทษลูกที่แสดงกิริยาไม่ดี แต่ความเป็นแม่มันสอนให้ฉันต้องทำอย่างนั้น หลายหนที่ฉันก็เสียใจเมื่อหันไปทบทวนมัน ไม่มีแม่คนไหนกล้าสามารถไปหมดทุกเรื่อง เรียกว่าลูกใครๆก็ต้องเรียนรู้กันไปเองที่จะแนะนำลูกไปในทางที่ถูกที่ควร..คำว่า..ที่ถูกที่ควรนี่แหละทำให้ฉันล้า ว่าเมื่อไหร่ลูกจะไปในทางที่ถูก และเมื่อใหร่จะไปในทางที่ควร ในสมัยของฉัน ความถูกความควร การคิดเป็น ฉันก็เรียนรู้ด้วยตัวเอง พ่อแม่ไม่ต้องสอนสั่งมากมายนัก หรือเป็นเพราะความยากลำบากของพ่อแม่ สอนให้เราเป็นเช่นนั้น..ฉันคุยกับเพื่อนว่า..หรือเด็กสมัยนี้ไม่ได้เรียนรู้ความยากลำบากด้วยตาเห็น เลยไม่เข้าใจว่า..ชีวิตไม่ได้ความสบายมาโดยง่าย ต่อให้เราพูดสอนจนปากแทบฉีก เด็กจะเข้าใจมั๊ย..ในเมื่อเขาเกิดมาบนความสบายไปแล้ว นี่แหละ..หัวข้อที่พูดกันไม่เคยจบ และหลายวันที่ผ่านมาก็มีเรื่องให้คิดมากมาย
สู้ๆ ค่ะ แม่น้องนิก ...