เล่าด้วยความช้ำใจคราวที่ไปโอเรก้อนที่ผ่านมา ก่อนไปนึกสังหรณ์อยู่ในใจว่าต้องมีอะไรผิดปกติขึ้นแน่ๆ ตัวเองถึงได้ถามย้ำกับพ่อเจ้านิกว่า..แน่ใจนะว่าเราไปถูกวันที่นัดไว้กับพี่สาวที่บินมาจากลอนดอน ไปถึงจริงๆเข้าก็ไปถูกวันแต่เกิดมีปัญหาว่าพ่อสามี..ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ ได้ไปรับปากกับเพื่อนที่เป็นหมอฟัน อนุญาตให้เขามาใช้บ้าน ตรงกับวันที่เราไปพอดี หอบสังขารไปกันแบบเหนื่อยๆ หวังว่าจะได้สนุกสนานกันเต็มที่ เพียงวันแรกก็เกิดปัญหาขึ้นมาจนเครียดกันไปหมด เพราะเราตั้งใจว่าเด็กๆจะได้เล่นน้ำทะเล ผู้ใหญ่จะได้เม้าท์กันด้วยว่านานๆเรามาเจอกันที เรื่องระเห็ดออกจากบ้านไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ระเห็ดแล้วไม่มีที่จะอยู่นี่สิ เรื่องใหญ่ เพราะช่วงซัมเมอร์ห้องพักที่ทะเลนั้นจะไม่ว่างเลย ครั้นจะกลับไปพักบ้านพ่อในเมือง มันจะสนุกอะไร ไอ้คนที่จะเข้ามาใช้ก็ดันมีหลักฐานการอ้างอิงอยู่พอสมควร ที่จริงเราจะไม่ให้เขาเข้ามาอยู่ก็ได้ แต่คำพูดที่พ่อไปรับปากเขาไว้มันก็สำคัญ ครั้นถามพ่อๆก็จำไม่ได้ว่าได้รับปากเขาไปมั๊ย..นี่แหละ..ที่ทำให้พวกเราต้องระเห็ดออกจากบ้านของตัวเอง ไปนอนได้เพียงสองคืนเท่านั้น+++++++++++++++++++++++++++++ทุกครั้งที่ไปพักที่บีช ครอบครัวฉันจะต้องนอนห้องพักด้านล่าง บ้านที่เราอยู่นั้นมีสามห้องนอน ปกติพ่อสามีจะนอนชั้นบน แต่ปีนี้ พ่อสามีไม่สามารถไต่บันไดขึ้นไปพักห้องด้านบนได้ ห้องเลยตกเป็นของครอบครัวฉัน ในปีนี้..ไม่ต่างจากปีที่แล้วเท่าใดนัก ที่ไม่ต่างเพราะฉันต้องไปทำความสะอาดฉี่พ่อสามี ระบบการฉี่ของพ่อสามีใช้การไม่ได้ ยังดีว่าปีนี้พ่อใส่ไดเพิสเอาไว้ ถึงกระนั้นก็ตาม เวลาที่พ่อเข้าห้องน้ำ พ่อก็ฉี่ราดอยู่ดี ความที่พ่อกินยาควบคู่กันไป กลิ่นฉี่นั้นเหม็นคาวไม่หาย ห้องนอนก็มีกลิ่นฉี่ ผ้าปูที่นอนก็ติดกลิ่น แล้วลูกสาวเขาน่ะไม่ทำความสะอาด ถ้าจะทำก็ทำไปอ๊วกไปจนน่ารำคาญ พวกเขาได้แต่เล่าๆถึงพ่อเพื่อให้ฉันรู้สึกเห็นใจๆเพื่อจะได้ทำความสะอาดให้ฉันก็ทำ..ทำเพราะดูดายไม่เป็น ทำด้วยความเมตตาและอดสูใจซะมากกว่า กับคำพูดของลูกสาวพ่อที่ว่าถ้าเช็ดขี้เยี่ยวให้ลูกเขาๆยังไม่รังเกียจ(อ้าว...ในทางกลับกันพ่อหล่อนก็เคยเช็ดขี้เยี่ยวหล่อนมาก่อนไง)แล้วเธอก็เล่าให้ฉันเห็นใจอีกว่า..อาทิตย์ที่แล้วที่เธอพักอยู่กับพ่อๆล้มบ่อยครั้ง เป็นธรรมดาสิที่คนแก่อายุเกิน 80 ต้องล้มๆเพราะต้องลุกเข้าลุกออกไปหาของกิน เข้าห้องน้ำ ตอนที่ฉันไปอยู่ด้วยพ่อไม่เคยล้ม ที่ไม่ล้มเพราะฉันทำอาหารให้พ่อกิน นำไปวางถึงที่ในขณะที่ลูกๆเขาไม่เคยทำให้ พ่อไม่ล้มเพราะทุกครั้งที่พ่อลุกด้วยความยากลำบากจนขาสั่น ฉันจะต้องถามว่าพ่อต้องการอะไร แล้วจัดหาให้ทันที หลักการง่ายๆแค่นี้เขาก็คิดไม่ถึง ฉันเพียงแต่เฝ้ามองให้พ่อสามีไปนั่งรับแดดอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วพ่อจะล้มได้อย่างไรไดเพิสที่ใช้แล้วของพ่อ ก็เป็นฉันที่ไปหยิบใส่ถุงนำไปทิ้งเพราะลูกเขารังเกียจที่จะหยิบ ฉันทำใจว่า..ขอบเขตของความรู้สึกในการดูแลพ่อของคนเรามันต่างกัน แม้บางทีฉันจะน้อยใจอยู่บ้าง แต่ก็คิดว่า..ทำบุญไปเถอะ มือไม้เราล้างได้ แม้ใจอยากจะร้องไห้ก็ตาม เพราะพ่อฉันเองฉันยังไม่เคยปรนนิบัติเท่านี้เลย อีกประการ ถ้าฉันไม่ทำมันก็ไม่มีใครทำอยู่ดี ที่สำคัญพี่สาวเขาบอกฉันว่า แฟนของพ่อจะพาพ่อไปอยู่บ้านเขาปรนนิบัติพ่อให้ ฉันบอกว่า..เป็นความใจดีอย่างหาไม่ได้อีกแล้ว(เพราะคนเป็นลูกยังไม่คิดจะทำเลย)แต่ฉันก็พูดแสดงความคิดเห็นไปว่า..ความคิดที่จะช่วยเหลือเป็นสิ่งที่ดี แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่า..นี่คือภาระที่หนักสำหรับแฟนพ่อ แม้ว่าพ่อจะยกมรดกส่วนหนึ่งให้เขาก็ตามที แต่มันคือภาระที่หนักที่จะดูแลคนๆหนึ่ง ความเป็นจริงกับคำพูดและความตั้งใจ มันคนละเรื่องกัน เราจะพูดอย่างไรก็ได้ให้มันดูดี แต่เมื่อความเป็นจริงปรากฏว่า..เขาต้องตะโกนใส่พ่อทุกครั้งที่พูดเพราะหูพ่อเริ่มไม่ได้ยิน ต้องพูดบ่อยครั้งเพราะพ่อจะถามคำถามเดิมซ้ำๆกัน ต้องหาอาหารให้พ่อ ต้องทนยอมให้บ้านตัวเองรกเพราะคนแก่จะสุมทุกอย่างไว้ใกล้ตัว นั่นแหละคือความจริงที่ฉันกลัวว่าแฟนพ่อจะทนไม่ได้ ฉันบอกพี่สาวสามีว่า ฉันไม่แคร์ที่พ่อจะใช้เงินของพ่อจ้างคนมาทำความสะอาดบ้านแฟนพ่อเท่าที่พ่อจะทำได้ ทั้งๆที่พ่อมีเงินแต่พ่อก็ขี้เหนียว เรื่องที่ควรเสียพ่อไม่ยอมเสีย แต่เรื่องไม่ควรเสียพ่อกลับจ่ายง่ายๆถ้าพ่อพอใจ สมบัติพัสถานฉันไม่สนใจถ้ามันจะหมดก่อนพ่อตายลง ขอเพียงพ่อสามีสุขสบายอยู่กับลูกหลานได้นานๆ ฉันก็พอใจ เงินทองเป็นของหายากนั้นจริงอยู่ แต่ของที่เราไม่ได้หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง หรือได้มาแบบคดโกงมันอยู่กับเราไม่นาน ถ้าจะไม่เหลืออะไรเมื่อพ่อตายฉันก็เฉยๆ ชินซะแล้วกับการทำมาหาได้ด้วยตัวเอง เห็นมานักกับความละโมภของคน แล้วก็ไม่เหลืออะไรในบั้นปลายชีวิตฉันก็ไม่รู้หรอกว่า..พวกเขาจะตัดสินใจกันอย่างไรกับพ่อ ปล่อยลูกๆเขาจัดการกันเอง ลำพังทุกปีที่ไปแล้วต้องตามล้างตามเช็ด ก็มากพอแล้วสำหรับฉัน +++++++++++++++++++++++++++เรื่องมากมายที่เล่าไม่จบ เก็บมาเล่าต่อได้เรื่อยๆ เป็นเรื่องของน้องสาวสามี หล่อนแก่กว่าฉัน 2 ปี ตลอดเวลาที่ผ่านมา หล่อนพยายามเหลือเกินที่จะมีแฟน หาคนแต่งงานด้วย แต่ไม่มีใครตกบ่วงหรือหล่อนหาคนถูกใจไม่ได้ก็ไม่รู้ ปีนี้..กรี้ดสลบ หล่อนพาแฟนมาแนะนำตัวด้วยฉันน่ะไม่ถึงกับชังหล่อนหรอกนะ พูดได้ คุยได้ แต่ไม่ค่อยจะชอบนิสัยเห็นแก่ตัวของหล่อนเท่าไหร่ปีไหนที่ไป ฉันจะกลายเป็นนังแจ๋วให้หล่อนทุกที บ้านหล่อนฉันก็ไม่ไป ไปสองรอบด้วยความจำเป็นด้วยความขัดสามีไม่ได้ ก็ไปเป็นนังแจ๋วประจำบ้านหล่อนเพราะหล่อนเล่นเขียนรายการร้องขอให้ฉันทำ ร้ายมั๊ย..น้องสามีฉัน ราวกับว่านั่นคือราคาที่ฉันต้องจ่ายเมื่อไปพักที่บ้านของหล่อน ทุกปีที่ไปบีช หล่อนก็ไปไปเจอพวกเราทั้งๆที่เราไม่อยากเจอหล่อนหรอก เพราะเธอจะมาแบบ เชิญชวนโคตรเหง้ามาโดยไม่บอกเรา นัดเขามากินข้าวเย็น แต่หล่อนไม่ทำ ไม่ช่วย และไม่จ่าย หล่อนถนัดพูดเอาหน้าล้วนๆ ต้องเป็นฉันกับพี่สาวที่ผลัดกันทำอาหารให้หล่อนกินสุดแต่หล่อนจะเชิญตัวเองมากินกี่วัน ฉันจะไปทำอะไรหล่อนได้ เพราะจะว่าอะไรไปก็เห็นแก่หน้าพ่อ ด่าเขาไปพ่อผัวพาลหัวใจวายตายเอาดื้อๆ เพราะเป็นลูกสาวสุดรักของเขา จะกลายเป็นบาปปล่าวๆ ได้แต่หวานอมขมกลืนทุกปีที่หล่อนเชิญตัวเองมาเอาหน้าพ่อปีนี้หล่อนมาพร้อมแฟน อีตานี่ก็มองฉันอย่างคนแปลกหน้า ฉันก็เลยเฉยๆไม่พูดไม่จาซะดื้อๆคิดอย่างไรคิดไป ไม่ได้ขอเงินใครกิน จบไป ตกเย็น..พี่แกกรึ่มวายน์ แล้วก็โม้ละทีนี้ ผมจบโท ผมเดินทางทั่วโลก ทำธุรกิจ ตอนนี้ลาออกอยากวิ่งมาราธอน (พูดดีเข้าไปมัน) แต่ใจฉันคิดว่า..แม้ๆๆๆ น้องสามีฉันหาแฟนเจ๋งจริงๆ อีตานี่ นั่งรถมาฟรีเพราะหล่อนขับรถให้ ที่พักฟรี กินฟรี เอาฟรีอีกต่างหากสรุปแล้วไม่มีใครรู้กำพืดอีตานี่อย่างแท้จริงว่าเป็นอย่างไร ทุกคนเพิ่งเห็นอีตานี่เป็นครั้งแรกต่างคนต่างถามกันรีบหาข้อมูลกันใหญ่ แล้วเราจะไปถามกับใครล่ะ(สามีฉันซึ่งเป็นพี่ชายหล่อน กระซิบบอกฉันว่า สงสัยมันจ้างคนมาอวดเราแน่ๆเลย) เอาเถอะแม่คุณ หวังว่าหล่อนจะเจอคนดีหรอกนะ ฉันกลัวแต่หล่อนจะเจอขอนผุก็รีบคว้าไว้ มันจะเป็นอะไรมั๊ย ถ้าจะอยู่ตัวคนเดียวในวัยเลย 44 เนี่ย ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันวันต่อมา..เวรฉันทำอาหาร น้องสาวสามีก็พาอีตานี่มากินฟรีอีก หล่อนโทรถามว่าเดี๋ยวจะแวะไปกินอาหารเย็นด้วย วันนี้มีใครทำอะไรกินกันหรือยัง(พูดดี๊ดี ทำอย่างกับหล่อนจะมาทำอาหารงั้นแหละ) วันนั้นฉันทำแพนงไก่ แกงเขียวหวาน ทำยำลูกพีชใส่ไก่ แล้วก็ผัดผัก แต่ละชามใหญ่ๆทั้งนั้น เพราะกินกันหกคน ฝรั่งน่ะกินกับเยอะกว่าข้าวอยู่แล้ว เรากินกันไปคนละจานก่อนหน้านั้น ตอนท้ายรายการ แฟนน้องสาวสามีถามขึ้นกลางวงว่า มีใครจะกินแพนงอีกมั๊ย เราก็นึกว่าพี่แกจะ..ตักไปราดข้าวในจาน ที่ไหนได้ พี่แกยกชามข้าวมา ตักข้าวเจ็ดทัพพีลงคลุกในชามแพนงซะดื้อ เราเก็บเอามาขำกันต่อทีหลัง เพราะไม่เคยเห็นมรรยาทที่ตรงไปตรงมาอย่างนี้ในโต๊ะอาหาร พี่แกกินคำ ป้อนหมาคำ ฉันก็แอบขำอยู่ในใจ พอใจที่เขาชอบกินอาหารของเรา พอใจที่เขาแสดงตัวตนอย่างที่เป็นออกมาให้เห็น เพียงแต่ผิดคาดไปนิดตรงที่..ฉันให้เครดิตเขามากเกินไป
จาก //www.maewmong.org