ต้นไม้ของแฟร้งคลิ่น
วันนี้จัดหนังสือของนิกที่อยู่ในชั้นวางให้เรียบร้อย มีหนังสือหลายเล่มที่นิกเคยอ่านเมื่อยังเรียนประถมหนึ่ง หนังสือเหล่านี้ฉันยังเก็บไว้ให้อลีนารับช่วงอ่านต่อจากพี่นิก หนังสือเล่มนี้เป็นอีกเล่มหนึ่งที่ฉันประทับใจ และเก็บไว้อ่านให้อลีนาฟัง และหวังว่าซักวันอลีนาจะอ่านได้ด้วยตัวเอง
หนังสือมีชื่อว่า Franklin plants a tree
เรื่องมีอยู่ว่า แฟร้งคลิ่น เต่าน้อยตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในป่ากับบรรดาผองเพื่อนทั้งหลาย สถานที่เล่นของแฟร้งคลิ่นกับเพื่อนคือ ต้นเมเปิ้ลใหญ่ที่มีบ้านหลังหนึ่งถูกปลูกสร้างไว้ด้านบนเพื่อให้พวกเขาขึ้นไปเล่น
วันหนึ่งแฟร้งคลิ่นเห็นประกาศแผ่นหนึ่งที่บอกไว้ว่า จะมีการแจกต้นไม้ฟรี แฟร้งคลิ่นนึกกระหยิ่มใจ คิดหวังเอาไว้ว่า ตัวเองจะมีต้นไม้ใหญ่ส่วนตัวอยู่หลังบ้านให้ปีนป่ายเล่น แฟร้งคลิ่นจัดแจงกลับบ้าน ขุดดินหลังบ้านเป็นหลุมกว้างใหญ่เพื่อให้พอดีกับเมเปิลต้นใหญ่ดังที่คาดการณ์เอาไว้
เมื่อถึงวันที่มีการแจกต้นไม้ แฟร้งคลิ่นเตรียมรถลากไปรับต้นไม้ใหญ่ แต่ระหว่างทางเขาเจอเพื่อนๆที่เดินไปรับแจกต้นไม้ เดินสวนทางกลับบ้านไป แฟร้งคลิ่นถามเพื่อนๆสัตว์เหล่านั้นว่า ไหนล่ะต้นไม้ใหญ่ของพวกเธอ คำตอบของเพื่อนๆทำให้แฟร้งคลิ่นจิตใจห่อเหี่ยว เพราะแต่ละคนได้รับต้นกล้าเล็กๆเท่านั้น กระนั้นแฟร้งคลิ่นยังไม่หมดกำลังใจเสียทีเดียว เขายังคาดหวังว่า ตัวเองจะได้ต้นไม้ใหญ่ไปปลูกและได้เล่นอย่างทันอกทันใจ
ถึงคิวของแฟร้งคลิ่นที่จะรับต้นกล้า แฟร้งคลิ่นรู้สึกผิดหวังทันทีเพราะสิ่งที่เขาได้รับเป็นต้นกล้าเล็กๆ เช่นเดียวกับของเพื่อนๆที่เดินผ่านไป ไม่ใช่ไม้ใหญ่อย่างที่คาดหวังไว้ แฟร้งคลิ่นเดินกลับบ้านอย่างหมดอาลัยตายอยาก กลับถึงบ้านก็ต้องกลบหลุมใหญ่ที่ขุดเตรียมเอาไว้แต่แรกให้เล็กลง แต่เมื่อแฟร้งคลิ่นหันไปเพื่อจะหยิบต้นกล้า กลับพบกับความว่างปล่าว ของรถเข็น
บนโต๊ะอาหารแฟร้งคลิ่นเล่าให้พ่อแม่ฟังเกี่ยวกับต้นไม้ที่หายไป แฟร้งคลิ่นพูดอย่างเสียไม่ได้ว่า " ไม่สำคัญหรอกครับ เพราะถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่ต้นไม้ที่ใหญ่พอที่จะเล่นได้" พ่อแม่ของแฟร้งคลิ่นตอบลูกว่า "เล็กหรือใหญ่มันก็ไม่สำคัญ ถ้าลูกดูแลมันให้ดีๆ"
แฟร้งคลิ่นจึงกลับไปตามหาต้นไม้ที่ตัวเองทำหายไป ระหว่างทางแฟร้งคลิ่นเจอตัวตุ่น และถามว่า "เธอทำอะไร" ตัวตุ่นตอบว่า "ฉันวัดความสูงของมันเอาไว้ ในอีกสามปีมันจะต้องสูงกว่าตัวฉันแน่ๆ" ระหว่างทางแฟร้งคลิ่นเจอเพื่อนกระต่าย และถามว่าเธอกำลังทำอะไร กระต่ายตอบว่า "ฉันปลูกต้นกล้าของฉันในที่แสงสว่างส่องถึง และจะรดน้ำมันทุกวันเลย" แฟร้งคลิ่นเริ่มคิดถึงต้นกล้าของตัวเองที่หายไปว่า ถ้ามันไม่ได้รับแสงอย่างเพียงพอ ไม่ได้รับน้ำ มันคงต้องตายแน่ๆ ระหว่างทางอีกเช่นกันที่แฟร้งคลิ่นเจอหมีน้อย จึงถามว่าหมีน้อยทำอะไร หมีน้อยตอบว่า "ฉันทำรั้วกั้นต้นกล้าเอาไว้ ฉันกลัวว่าใครจะมาเหยียบมันตาย"แฟร้งคลิ่นเริ่มวิตกกังวลกับต้นไม้ที่หายไปเช่นเคย กลัวว่าใครจะเหยียบมันเข้าและมันคงไม่มีโอกาสเจริญเติบโต และสูงกว่าเขาเป็นแน่แท้
แฟร้งคลิ่นเร่งรีบเดินไปให้ถึงสถานที่ๆได้รับการแจกต้นไม้ ที่นั่นเขาเจอลุงนกกระยางที่กำลังเก็บข้าวของ ลุงนกกระยางถามถึงต้นไม้ของแฟร้งคลิ่น เขาจึงเล่าให้ลุงนกกระยางฟังว่า เขาทำมันหายไป ลุงนกกระยางจึงหยิบต้นกล้าของแฟร้งคลิ่นชูขึ้นมา แล้วส่งให้แฟร้งคลิ่น พร้อมๆกับบอกว่า มีคนเก็บได้แล้วนำคืนมาให้ลุง แฟร้งคลิ่นรู้สึกดีใจที่ต้นไม้ของเขาไม่ได้หาย หรือตายไปอย่างที่คิด
ก่อนกลับ..ลุงนกกระยาง อวดรูปภาพรูปหนึ่งให้แฟร้งคลิ่นดู ภาพนั้นเป็นภาพลุงนกกระยางในวัยเด็กที่ปลูกต้นกล้า ลุงนกกระยางบอกแฟร้งคลิ่นว่า " นั่นเป็นภาพฉันปลูกต้นไม้ต้นแรก ตอนที่อายุเท่าๆเธอ" แฟร้งคลิ่นถามว่า "แล้วมันโตมั๊ยครับ" ลุงนกกระยางตอบว่า "แน่นอน..และเรากำลังยืนอยู่ใต้ร่มเงาของมันอยู่นี่ไงล่ะ"
( ต้นไม้ต้นนั้นคือต้นไม้ที่ปลูกสร้างบ้านเอาไว้ให้แฟร้งคลิ่นและเพื่อนๆได้ปีนป่ายเล่นนั่นเอง)
..........................................................
ถ้าอ่านหนังสือเล่มนี้ให้ลูกฟัง ลูกคงเข้าใจความหมายในเรื่องนี้ว่า หนังสือเล่มนี้สอนให้รู้จักดูแลรักษา ของที่เป็นของตัวเองไม่ว่าของสิ่งนั้นจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม
แต่สำหรับฉันๆคิดลึกไปกว่านั้นว่า เวลาที่เราปลูกต้นไม้ต้นหนึ่ง เราย่อมรู้ดีว่า ต้นไม้นั้นต้องการการดูแลและรักษาเพื่อให้มันเจริญเติบโตเป็นไม้ใหญ่ ที่มีความสวยงามและแผ่ร่มเงาให้เราได้อาศัยร่มเงาของมัน ก็คงเปรียบเหมือนลูกของฉัน ที่ฉันต้องอบรมเลี้ยงดูเพื่อที่ว่า วันหนึ่งลูกจะได้เติบโตงดงามโดยที่เราไม่ต้องกางปีกปกป้องอีกต่อไป
เวลาที่เรารักใครซักคนโดยไม่มีข้อแม้ เราก็ต้องการเช่นนี้มิใช่หรือ เราคงไม่เห็นแก่ตัวอยากให้เขาอยู่กับเราตลอดไป เพราะวันหนึ่งเขาก็ต้องไปมีชีวิตของเขาเอง และถ้าเราเป็นผู้ให้ที่แท้จริง เราก็ควรยินดีและภูมิใจที่ได้เห็นเขาก้าวเดินไปได้อย่างมั่นคง
Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2550 |
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2550 7:44:01 น. |
|
26 comments
|
Counter : 631 Pageviews. |
|
|
วันหลังน้องเก๋จะเอาไปประยุกต์ เล่าให้น้องอิ๊งค์ฟังบ้างนะคะ
อาจเปลี่ยนชื่อแฟรงค์คลิ่นเป็นเจ้าตัวน้อย อะไรงี้
นี่ไม่ได้ตอนแต่เด็กๆได้เท่านั้นนะคะเนี้ย ผู้ใหญ่อย่างเราๆ
อ่านแล้วยังรู้สึกเลย ว่าบางทีสิ่งนั้นเล็กหรือใหญ่ไม่สำคัญจริงๆ
เราให้เวลา ให้ความรัก ให้ความเอาใจใส่ ต่อสิ่งนั้นหรือเปล่า
ตอนเด็กๆ ที่บ้านเลี้ยงปลาทองเยอะมาก จนเปิดร้านได้พักนึง
เก๋เลยได้เรียนรู้เกี่ยวกับเจ้าลูกปลาเนี้ย
เหมือนกับการเลี้ยงลูกปลา ตอนที่มันออกจากไข่ใหม่ๆ
ตัวจิ๋วจนแทบมองไม่เห้น พอโตมาอีกนิด ตัวมันเริ่มมีสีเงิน
ทั้งที่เป็นปลาทอง มันยังไม่ค่อยสวยเลย แต่ผ่านไปอีกหน่อย
ในที่สุดมันก็กลานยเป็นปลาทองจริงๆๆ ที่เรารักเสียด้วย
เพราะได้เอาใจใส่ดูแล เห็นความเปลี่ยนแปลงตลอด
หากไปซื้อปลาตัวโตๆๆมา ปล่อยไว้ในตู้ ก็คงไม่ได้รู้สึก
ผูกพันธ์กับปลาตัวนั้นเท่าไหร่ เพียงแต่ เออ มันสวยดี
ซื้อทีเดียว สวยเลยโตเลย
แต่เราอาจเสียโอกาสในการเรียนรู้ประสบการณ์บางอย่าง
ว่ากว่าที่ลูกปลาจะโต กว่ามันจะเปลี่ยนสี และการอดทน
การมีความหวัง และความสุข