|
Beowulf: จุดอ่อนของผู้ชาย
เคยได้ยินไหมครับ ที่เขาว่า พระเจ้าสร้างผู้หญิงขึ้นจากกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งของผู้ชาย ผู้ชายถึงรู้สึกเสมอว่า เวลามีผู้หญิงอยู่ใกล้แล้วเหมือนเจอชิ้นส่วนที่ขาดหาย
แต่อย่าถามนะ ว่าแล้วทำไมผู้ชายบางคนถึงไม่ชอบผู้หญิง แต่ชอบผู้ชาย สงสัยพระเจ้าหยิบซี่โครงผิด
เบวูลฟ์ สร้างจากนิทานปรัมปราของเดนมาร์ค ว่าด้วยกษัตริย์ผู้แข็งแกร่ง ฉลาด กล้าหาญ นาม เบวูลฟ์ แต่ไปพ่ายให้แก่อำนาจความงามของอิสตรี ที่แสดงโดยแอนเจลีน่า โจลี จะว่าไป ก็เข้าใจเลือก เพราะโจลี เธอติดอันดับผู้หญิงในฝันของผู้ชายโดยเฉลี่ย
หนังเรื่องนี้ ว่ากันว่า เป็นอนิเมชั่นที่เนียนและสมจริงที่สุดที่เคยสร้างกันมา เนียนจนผมตั้งคำถามว่า ทำไมจะต้องทำเป็นอนิเมชั่นให้ลำบาก
แต่พอดูๆไป ก็เริ่มถึงบางอ้อ ... อ้อ..... เพราะมันเป็นนิทานแฟนตาซี ประการหนึ่ง ยังไงก็ต้องทำ Computer Graphic เยอะแยะอยู่แล้ว สอง เพราะมันเป็นเรื่องที่ต้องมีฉากวาบหวิวของเรือนร่างคุณโจลี แถมด้วยฉากต่อสู้ ปีศาจที่ต้องดูโหดๆ ถ้าทำเป็น Realistic เกินไปก็จะดูโป๊มาก โหดมากไป
สุดท้าย อันนี้ผมตีความเอง คือ มันอาจจะเป็น Symbolic อย่างหนึ่ง ของ โรเบิร์ต เซเมคิส คือไอ้ปีศาจที่ คุณโจลี เธอแสดงเนี่ย มันมีลักษณะเป็นนามธรรมไม่ใช่ว่าใครจะมองเห็นได้ทุกคน มันต้องคนที่มีอำนาจ ได้ครอบครอง จอกรูปมังกรทองเสียก่อน
คล้ายๆกับจะบอกว่า .. ผู้ชายที่เก่ง มีอำนาจ รวย มักจะมีจุดอ่อนเรื่องผู้หญิงนี่แหละ
สมัยเด็กๆ ตอนอ่านเรื่องเล่าช่วงที่พระพุทธเจ้าท่านจะทรงตรัสรู้ จำได้ว่า ช่วงนั้น จะมีพญามารต่างๆ ออกมาแสดงอิทธิฤทธิ์ เพื่อหน่วงรั้งกันท่าไม่ให้เจ้าชายสิตธัตถะตรัสรู้ได้สำเร็จ
หนึ่งในนั้น ก็แปลงเป็นผู้หญิงที่เรือนร่างงามงดหมดจด อ้อนแอ้น ยั่วยวนที่สุด แบบเดียวกับคุณโจลี ในเรื่องเลย
ตอนจบของเรื่อง เบวูลฟ์ ผมจะไม่บอกก็แล้วกัน ไม่อยากสปอยล์ แต่เป็นตอนจบที่เข้าใจได้ว่า "มาร" ไม่เคยสูญพันธุ์จากโลก
แต่จะคอยมาล่อลวง หลอกหลอน ให้เราอยู่เวียนว่ายตายเกิดเป็นเพื่อนมันไปอีกนาน ขึ้นชื่อว่าเป็นมารระดับ "พญา" ก็เชื่อมือได้ว่า ท่านไม่ธรรมดาแน่นอน
ครูบาอาจารย์ผมท่านเคยเล่าว่า ที่จริงเหล่าพญามารนี่ เป็นผู้มีบุญมากนะครับ บางตนนี่ ถึงกับเป็นว่าที่พระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไปเลยเชียวนะ ทำเป็นเล่นไป
อย่างพระเทวฑัต ญาติของพระพุทธเจ้าเอง และคู่ปรับเบอร์หนึ่งของท่าน ก็เป็นผู้มีฤทธาบารมีมาก แต่แพ้กิเลสมารของตัวเอง คือตัวอิจฉา อิจฉาว่าพระพุทธเจ้าเก่งกว่า อิจฉาว่าพระพุทธเจ้า ได้สัมมาสัมโพธิญานก่อนท่าน ไม่ยินดีที่เห็นคนอื่นได้ดีกว่า ว่างั้นเถอะ
ฉะนั้น จะเป็นนักรบ เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างเบวูลฟ์ เป็นนักบวช เป็นผู้มีฤทธิ์ ถ้ายังไม่ได้มรรคผล นิพพาน ท่านว่า.. อย่าพึงประมาท
ขาดสติ นิดเดียว นรกก็เป็นที่หมายอันมั่นใจได้แน่นอน ที่ว่าเก่ง ว่าแน่ อย่างพระเฑวฑัต ก็เป็นเหยื่อกิเลสมารจนอิจฉาจนตามัว ทำบาปหนักถึงธรณีสูบ
แต่วันหนึ่งข้างหน้า แต่อีกน๊านนนนนน นานนน นะ ท่านก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งด้วย
ราชินี ถามเบวูลฟ์ตอนหนึ่งว่า .. ปีศาจเนี่ย สวยมากเลยเหรอ เบวูลฟ์? เบวูลฟ์บอกว่า "ไม่ใช่แค่สวยสะคราญ แต่ยังมาพร้อมข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธได้"
อาจารย์ผมท่านเคยบอกว่า กิเลสมาร เป็นเจ้านายที่เป็นนักรัฐศาสตร์ชั้นเยี่ยมที่สุด คือถ้าทำตามมัน มันจะโยนความสุขให้ก้อนนึงทันที เป็นการตอบแทน
แต่เป็นความสุข ชั่วคราวนะ แถมยังเสพติดได้ด้วย ให้คุณอยากไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่ที่คุณคิดจะหนีมัน จะปลดแอกจากมัน หรือคิดหือ มันจะลงโทษคุณทันที ไม่รีรอ
จะติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดเกม ติดยา ติดช๊อปปิ้ง ติดอะไรก็แล้วแต่ มันยึดหลักปฏิบัติต่อคุณโดยเสมอภาคหมด
ถ้ามันไม่แน่จริง ไม่มีคนเป็นทาสมันครึ่งค่อนโลกแบบนี้หรอก
พญามารท่านก็ไม่ได้ยกเว้นผมนะครับ ผมก็ต้องสู้กะท่านเหมือนกัน
Create Date : 16 พฤศจิกายน 2550 | | |
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2550 22:43:42 น. |
Counter : 6952 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
คำถาม
ขออภัยที่รอบนี้หายไปหลายวันนะครับ งานยุ่งรัดตัวทั้งงานราษฏร์ งานหลวง
ที่จริงก็แว่บๆเข้ามาเขียนบล็อคค้างไว้ สองสามอัน แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ได้อย่างใจ เลยขออนุญาตดองไว้ก่อน แก้ไขให้ได้อย่างใจเมื่อไหร่ จะปล่อยออกมา
งั้นขอทำมาหารับประทานกับคำถามก่อนนะครับ เพราะมีสองคำถามที่ค้างคุณไว้ อันแรกมาทางหลังไมค์ ถามว่า ..
ช่วงนี้ได้ไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับธรรมะมาเล่มนึงค่ะ และทำให้นึกถึงเรื่องในบล็อกที่คุณเคยเขียน
คนเขียนได้พูดว่า "รู้จักเหตุปัจจัย ว่ามิใช่เวรกรรม", "ทุกอย่างเกิดขึ้นมา ล้วนมีสาเหตุ"
คุณแอสตันลองเปรียบเทียบให้เห็นหน่อยได้มั๊ยคะว่า เหตุ ที่ทำให้เกิดผลบางอย่าง ต่างจากสิ่งที่เราเรียกว่าเวรกรรมอย่างไร ....จะรออ่านค่ะ
ผู้เขียนหนังสือเล่มนั้น ท่านต้องการชี้ว่า สิ่งที่เรามักจะคิดเอาว่าเป็นเวรกรรมนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องยอมจำนน
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ชาวพุทธก้มหน้ารับกรรมสถานเดียว ถึงแม้ว่า เวรกรรม มันก็มาจากสิ่งที่เราเคยทำ ก็ไม่ได้แปลว่าจบแค่นั้น
เพราะที่สำคัญมากและต้องเน้นก็คือ กรรมนั้นมีสองส่วน กรรมจากอดีตที่เราย้อนกลับไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ กับกรรมในปัจจุบัน ที่เราสร้างได้ เลือกได้ ด้วยสติและปัญญา
การกระทำในปัจจุบันนี่แหละ ที่เรียกว่าเป็นเหตุและปัจจัยของอนาคต
เวรกรรม ไม่ได้อยู่ๆโผล่ขึ้นมา แต่มันก็คือผลสืบเนื่องของเหตุและปัจจัยที่เคยทำในอดีต ฉะนั้น.. สิ่งที่คุณทำในขณะปัจจุบัน มันก็จะเป็นเหตุและปัจจัยของอนาคตสืบไป
เวลาพูดถึงอนาคต มันไม่ได้หมายถึงอะไรไกลๆขนาดเป็นปีๆหรอกนะครับ เพราะวินาทีถัดจากที่คุณอ่านข้อความนี้จบ มันก็คืออนาคตแล้ว
ผมลองยกตัวอย่างแบบนี้ดีไหมครับ
สมมติคุณทำกรรมเก่ามาดี เกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้มรดกร้อยล้าน แต่กรรมใหม่ หรือเหตุและปัจจัยของอนาคตคุณ ขึ้นอยู่กับการบริหารเงิน ไม่เกี่ยวอะไรกับกรรมเก่า ไม่เกี่ยวอะไรกับเวรกรรม อันนี้พอเข้าใจใช่ไหมครับ
อีกคำถาม มาจากสมุดเยี่ยมเล่ม 2 ครับ
"สวัสดีค่ะ เราเคยเจอกันที่หิ่งห้อยค่ะ นับว่าเป็นช่วงเวลาที่จิตเบา สบาย สว่างไสว พอกลับบ้านก็ดีอยู่สัก 1 สัปดาห์ ตอนนี้ดูจิตกับความรู้สึกตัวไม่ได้ไปด้วยกันแล้วค่ะ พยายามอ่านตำราทบทวนก็ไม่เหมือนเดิม ทำอย่างไรดีคะ"
คำถามนี้ ตอบง่าย แต่ทำยากครับ คือยิ่งพยายาม "ทำ" อะไร ก็จะยิ่งยาก ง่ายที่สุดคือรู้มันไปซื่อๆ ว่ามันเป็นแบบนั้นแหละ
ไม่ได้กวนนะ แต่ผมเองก็เคยเซ่อหาทางแก้แบบคุณอยู่หลายเดือน ทั้งๆที่อาจารย์ท่านก็สอนอยู่ทุกทีว่า ให้รู้ลงปัจจุบันไป ไม่ต้องแก้
จิตมันไม่รู้สึกตัว ก็รู้ว่ามันไม่รู้สึกตัว ไม่ชอบที่มันเป็นแบบนี้ รู้ว่าไม่ชอบ เสียดาย ก็รู้ว่าเสียดาย อยากรู้สึกตัว รู้ว่าอยาก
รู้ไปแค่นี้ จิตมันจะค่อยๆดีขึ้นเอง หลักมันอยู่ที่ การรู้ลงปัจจุบัน รู้อย่างเป็นกลาง ไม่แทรกแซง ไม่แก้ไข
ดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ ทันก็ได้ ไม่ทันก็ช่วยไม่ได้ รู้ได้เท่าที่รู้
เพราะหลักของจิตตานุปัสสนา มีเท่านี้แหละครับ คือตามรู้ ดามดู อย่างที่มันเป็น ไม่ใช่ต้องรู้แต่จิตที่ดี ปฏิเสธจิตไม่ดี
ไม่ได้ดูเพื่อให้มันดี แต่ดูเพื่อให้เห็นความจริง
ความจริงอะไร? ความจริงว่ามันไม่เที่ยงหรอกนะ มันไม่คงที่ด้วย เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของมันเอง เราบังคับไม่ได้
ที่เขาเรียกว่าเห็นไตรลักษณ์ๆ ก็เห็นตัวนี้แหละ
ผู้ศึกษาเรื่องจิตของตน จะเป็นแบบนี้กันทั้งนั้นครับ บางช่วงสติเกิดดับให้เห็นถี่ๆ ปฏิบัติได้ดี จิตเบา จิตสว่าง
แต่อยู่ๆบางที อีกวันนึง มันก็เสื่อมไปซะอย่างนั้น มีแต่โมหะ หมองๆ มัวๆ ทึบๆ ความรู้สึกตัวได้ดีมันหายไป
อันนั้น ครูบาอาจารย์ท่านว่า ให้ยอมรับไปซะ แต่ไม่ใช่เลิกดูนะครับ ก็ดูต่อไปแบบซื่อๆ สบายๆ มันเสื่อมก็รู้ว่าเสื่อม
มันอยากดิ้นให้หาย ก็รู้ว่าอยาก ถ้ารู้ไม่ทัน มันดิ้นไปก่อน ก็ตามรู้ไปว่ามันดิ้นรนอยู่
จิตจะดี หรือจะเสื่อม มันเรื่องธรรมชาติ เหมือนฟ้าจะโปร่ง หรือจะทึบ มันก็ธรรมชาติใช่ไหมครับ ฟ้าไม่เคยโปร่งได้ทุกวัน มันก็ไม่ทึบได้ทุกวันหรอก
เรามีหน้าที่ดู ก็ดูไปอย่างที่มันเป็น แล้วจะเห็นของดี เห็นว่าสภาวะทุกอย่างมันเป็นของมันอย่างนั้นเอง ไม่ใช่เพราะเราบังคับ ไม่ใช่เพราะเราอยากให้มันเป็น
แต่มันเป็นไปตามเหตุและปัจจัยบางอย่าง ที่เราอาจจะมองเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ที่ทำได้คือ สร้างเหตุและปัจจัยที่ดีขึ้นมา ด้วยการขยันฝึกซ้อมตามรู้ ตามดูจิตของตัวเอง
ไหว้พระสวดมนต์ ทุกวัน ถึงจะไม่มีเวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิก็ไม่เป็นไร แค่คุณเดินในชีวิตประจำวัน ออกจากบ้าน ไปขึ้นรถ เดินเข้าออฟฟิส ก็คอยรู้สึกตัว
อันนั้นแหละ เขาเรียกเดินจงกรม เพราะเดินจงกรม แปลว่าเดินด้วยความรู้สึกตัว ไม่ใช่เดินกลับไปมาเป็นวงกลมนะ
ส่วนนั่งสมาธิก็เหมือนกัน ผมน่ะไม่ค่อยได้นั่งเป็นครึ่งชั่วโมงอะไรกับชาวบ้านเขาหรอก ตอนเช้าผมจะนั่งแค่สิบนาที พอให้จิตมันได้พัก
แล้วในระหว่างวัน เช่นขับรถติดไฟแดง เห็นเลขวินาทีว่าเหลืออีก 60 วิ ผมก็จะหลับตา เอาจิตไปพักไว้กับลมหายใจ
แค่ชั่วลมหายใจ เข้า ออก เข้า ออก จิตก็สบายขึ้นเยอะแล้วครับ วิธีนี้เป็นการทำสมถะ เพื่อประโยชน์ในการเจริญสติต่อไปในระหว่างวัน
ตอนอยู่ที่หิ่งห้อย ไม่ทราบยังจำได้ไหมที่ผมเล่าสิ่งที่หลวงพ่อท่านสอนว่า สมถะ เหมือนการนอนหลับ เป็นสิ่งจำเป็น ทุกคนต้องพักผ่อนจะได้มีแรง วิปัสสนา คือการทำงาน ต้องทำงานถึงจะเลี้ยงชีพ ถึงจะรวยได้
อยากมีฐานะ ก็ต้องทำงานนะครับ อยากมีสติ มีปัญญา ก็ต้องทำวิปัสสนา ไม่ได้แปลว่านอนหลับพักผ่อนดี แล้วเลยตั้งหน้านอนอย่างเดียว
ขอบคุณที่ถามนะครับ ผมมีเรื่องเขียนบล็อคได้อีกอัน อิอิอิอิ
Create Date : 12 พฤศจิกายน 2550 | | |
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2550 9:24:55 น. |
Counter : 2302 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
There is no spoon
อาทิตย์ก่อน ผมไปดูรอบพรีวิวหนังเรื่อง The Reef ผมสังเกตว่าบรรดาผู้ใหญ่ดูหนังเรื่องนี้แล้ว จะเฉยๆ บ่นๆ ว่ามันคล้ายๆนีโม บวก Shark Bait
แต่ถามเด็กๆเล็กๆ เขาบอกว่าสนุก
ผู้ใหญ่มักจะคิดอะไรไม่เหมือนเด็กนะครับ คุณว่ามั้ย
ผมเคยเขียนถึงหนัง เดอะ แมทริกซ์ ไปครั้งนึง บอกว่า.. เป็นหนังที่คนเขียนบท อาศัยแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากพระสูตรเล่มหนึ่งในศาสนาพุทธสายธิเบต
ในหนังถึงมีฉากที่มันบอกธรรมสำคัญๆของพุทธไว้หลายข้อ เช่นฉากที่นีโอ เข้าไปหาออเรเคิลครั้งแรกในครัว และเธอกำลังอบคุกกี้อยู่
ออเรเคิล บอกให้นีโอหันกลับไปมองดูป้ายอันนึงที่อยู่เหนือทางเข้าครัว ป้ายนั้นเป็นภาษาอะไร จำไม่ได้ จำได้แต่ในเรื่องเขาแปลเป็นอังกฤษไว้ว่า "know yourself"
ผมบอกไว้เสมอว่า วิปัสสนา เริ่มต้นด้วยการรู้จักตัวเอง จำได้ใช่ไหมครับ รู้กาย รู้ใจไปเรื่อยๆนี่แหละ ไม่มีอะไรพิสดารหรอก
หรืออย่างตอนที่นีโอ เรียนการต่อสู้ใน Simulation กับมอร์เฟียรซ์ มอร์เฟียรซ์ บอกเคล็ดลับที่สำคัญว่า "เลิกพยายามคิดว่าจะอัดผมแล้วอัดผมเลย"
อันนี้เหมือนกับบล็อคก่อนนั้น ที่ผมพยายามอธิบายว่า ทำไมวิปัสสนา "คิด" เอาไม่ได้ "อยาก" ก็ไม่ได้ มันต้องรู้กายรู้ใจไปซื่อๆ ตรงๆ ไม่ต้องท่ามาก ไม่ต้องคิดมาก
แต่อันที่เด็ดดวงที่สุด และหลายคนงงเต๊กมาจนปัจจุบัน คือฉากที่นีโอเห็นเด็กหัวเหม่งเหมือนเณรคนนึงนั่งงอช้อนด้วยพลังจิต
แล้วเด็กบอกเคล็ดให้ว่า "There is no spoon" ทุกวันนี้ เวลาคุยกับใครเรื่อง matix ก็ยังต้องอธิบายฉากนี้ให้ฟัง
อาจารย์ผมเคยเปรยๆว่า จิตที่เรียนวิปัสสนาได้ดีที่สุด คือจิตแบบเด็กๆ เพราะเด็กจะไม่ค่อยท่ามาก ไม่ลีลา ไม่คิดมากเหมือนผู้ใหญ่
เด็กจะไม่ค่อยมีอีโก้ประเภท หนังเอ๋ย..หนังดีต้องมีสิบอย่างด้วยกัน ต้องเท่ ต้องเจ๋ง ต้องเมเมนโต้ ต้องลุ่มลึก ต้องใหม่ ต้องอย่างนั้นอย่างนี้
เด็กเขาดูหนังแล้วมีแค่ สนุก หรือ ไม่สนุก.. จบ นั่นเป็นคำอธิบายว่า เด็กๆที่บ้านเราจะสามารถนั่งดูหนังเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆกันได้แปดสิบรอบ โดยไม่เคยบ่นเลย
จิตของเด็กจึงไม่ค่อยมีกรอบความคิดซับซ้อน ว่าไอ้นั่นไอ้นี่ ควรจะเป็นยังไง
ถามว่า ทำไมค้อง There is no spoon ตอบว่า.. ในโลกของ Matrix มันคือเรื่องของการต่อสู้ในจิตของแต่ละคน
ในโลกของจิต การสำคัญเอาว่ามีสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่.. มีศัพท์เรียกอีกคำว่า "การยึดมั่นถือมั่น"
ครูบาอาจารย์ท่านสอนผมว่า.. เรามีชีวิตอยู่ในโลกของการสมมติ เราชื่อแอสตั้น ชื่อ คิวนู ชื่อ โทนี่ ชื่ออรุ ชื่อแอม ชื่อต่าย ชื่อมะนาว อะไร ก็ด้วยการสมมติ
ฉะนั้น จริงๆแล้วสิ่งที่มันเป็น "ตัวเรา" จริงๆ ไม่มี มีแต่ตัวตนที่สมมติ เพื่อการสื่อสาร ช้อนก็ไม่มีหรอก มีแต่ธาตุอย่างนึง ที่รวมกันเป็นรูปร่าง แล้วตาเราเห็นเข้า แล้วแปลสัญญานภาพผ่านกระบวนความคิด ความจำ ออกมาเป็นคำว่า "ช้อน" ..ทันใช่ไหมครับ
ถ้ามองทะลุสิ่งที่เป็นสมมติกันไป โลกนี้ก็ไม่มีอะไรนอกจากก้อนธาตุกับสิ่งสมมติ เหมือนตอนท้ายเรื่องแมททริกซ์ ที่นีโอเห็นทุกอย่างเป็นรหัส 010101 เสมอกันหมด ไม่มีอะไรสวยกว่า ไม่มีอะไรขาวกว่า ไม่มีอะไรที่เป็นของเรา เพราะแม้แต่ตัวเรา ก็เป็นส่วนนึงของโลก ของจักรวาล
ขออภัย ถ้าจะฟังดูยากๆ งงๆ หน่อย เพราะสมองเรายังพยายามเข้าใจอะไรด้วยการ "คิด" อยู่
เมื่อ "คิด" ก็จะบดบังการรู้ที่แท้จริง เหมือนคุณพยายามเข้าใจว่ารสทุเรียนมันเป็นยังไงด้วยการคิด ให้คิดเก่งยังไง ก็ไม่รู้เท่ากับเอาทุเรียนจริงๆ ใส่ปากแล้วเคี้ยวหรอก
ไม่เข้าใจ ก็รู้ว่าไม่เข้าใจ ใช้ได้แล้วครับ ไม่ต้องเข้าใจหรอก เพราะเข้าใจที่ผมบอก คุณก็ได้แค่ปัญญาขั้นที่คิดจินตนาการเอา
ฉะนั้น.. งง ก็รู้จิตที่มันงง สงสัย ก็รู้ที่ความสงสัย อยากถาม รู้ว่าอยาก อยากหายสงสัย รู้ว่าอยาก พอแล้ว
แล้ววันนึง ก็จะรู้ว่า.. เออ.. จริงของเด็กมัน
"There is no spoon"
หันรีหันขวาง หันซ้ายหันขวา เอาเพลงอะไรมาประกอบดีหว่า เอาเพลงนี้แล้วกัน It's only a paper moon ของ เจมส์ เทย์เลอร์ มันแค่พระจันทร์สมมตินะ
ส่วนรูปประกอบข้างบน เข้ากับหัวข้ออยู่แล้ว ใครสังเกตทันขอคารวะ
มันมีแต่ขนมอยู่ แต่... "มันไม่มีช้อน" ไง อิอิอิอิอิอิ (ชั่วร้ายมั่กๆ อีตาแอสตั้น)
Create Date : 27 ตุลาคม 2550 | | |
Last Update : 31 ตุลาคม 2550 22:54:35 น. |
Counter : 2883 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เช้าวันหนึ่ง
ผมตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความรู้สึกหนึ่ง ที่ผมเคยเพียงรู้สึกแผ่วๆแต่ไม่ชัดเจนและจริงจังมาก่อน
ชีวิตช่วงนี้มันดูบางเบาในความรู้สึก ยามสุขดูสวยงามเหมือนน้ำค้างวาวแววกระทบแดดยามเช้า แต่ก็ระเหยหายไปไวเมื่อยามสาย
ปกติ ผมเป็นคนชอบคนสวย คนน่ารัก เหมือนผู้ชายทั่วไป แต่ผมเริ่มเห็นว่า ความสวยเป็นของจืด เมื่อเทียบกับความสุขอื่นๆ ความสวยความสาว ก็ของชั่วคราว จางได้ หมดได้ เหมือนของอื่นๆในโลก
ผมไม่ได้รู้สึกว่าการอยู่คนเดียว เป็นเรื่องดี เป็นคำตอบสุดท้ายเพราะผมก็อยากมีคู่ ผมเคยเป็นทั้งคนที่วิ่งหา และวิ่งหนีความรัก
แต่วันนี้.. ผมรู้สึกว่า ผมอยู่ฟากไหนก็ได้ ให้ผมมีคู่ ก็มีได้ ให้อยู่คนเดียว ก็อยู่ได้
ให้ผมบวช ก็บวชได้ ให้ผมเป็นฆราวาส ก็เป็นสุขได้
เพราะความสุข ความทุกข์ มันเกิดจากจิตผมเอง ไม่ใช่เพราะคนอื่น ไม่ใช่เพราะเสื้อผ้า หรือสถานะ
.........
ช่างมันเถอะเนาะ ฟังเพลงก็แล้วกัน
แค่รู้ ก็พอแล้ว
.........
วันนี้เอาเพลงมาฝาก.. เพลงที่ผมเข้าใจผิดเสียนาน นึกว่า windflower เป็นดอกไม้จำพวกดอกหญ้า ที่ปลิวหายไปง่ายๆกับสายลม
ภาพข้างบนถ่ายริมถนนใกล้ๆทางไปหิ่งห้อยชาเลต์ ตอนเย็นๆ
แต่เอาเข้าจริงๆ ไอ้ windflower กลายเป็นดอกไม้หน้าตาน่ารัก น่าชัง อย่างข้างล่างนี้ตะหาก เพียงแต่มันมีพิษด้วยแฮะ
(ภาพจาก //en.wikipedia.org/wiki/Image:Zawilec_gajowy_cm02.jpg)
มิน่า เนื้อเพลงถึงบอกว่า พ่อห้ามไม่ให้เข้าใกล้
windflowers, my father told me not to go near them he said he feared them always and he told me that they carried him away
windflowers, beautiful windflowers, i couldn't wait to touch them to smell them i held them closely and now i cant break away
their sweet boutque disappears like the vapor in the desert so...take them away son.....
windflowers....ancient windflowers their beauty captures every young dreamer who lingered near them ancient winflowers i love you
นึกถึง ภาพดอกหญ้า เพราะเพลง windflower มันโผล่มาอยู่ในหัวผมตั้งแต่เมื่อวันอังคาร
ถึงจะค้นพบว่า เออออ.. มันไม่ใช่ดอกหญ้าหรอก แต่ก็..นะ เพลงมันก็ยังเพราะอยู่ดี
ผมยังฟังเพลงเพราะอยู่ ถึงจะไม่อินมากเท่าเดิมก็ตามที
อยากฟังเพลงไหน บอกได้นะครับ ถ้ามีจะจัดให้
ยังไงก็.. ขอมาก่อนจะเลิกเขียนบล็อคนะครับ
Create Date : 26 ตุลาคม 2550 | | |
Last Update : 27 ตุลาคม 2550 9:39:41 น. |
Counter : 1716 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|