Group Blog
 
All blogs
 

ทาน หมายเลข 1

เห็นความดุเดือดของการเมืองยุคนี้แล้ว .. นอกจากเรื่องกาลามะสูตร ผมยังนึกถึงอีกคำครับ
ผมนึกถึงคำว่า... "ทาน"

ทาน ในความหมายที่ผมจะเขียน ไม่ได้หมายถึงคำเรียกฉบับสุภาพของกิริยา การทำพุงให้กาง
ที่บางท่านเรียก สวาปาม รับประทานหรือ กิน นะครับ

ผมหมายถึงการที่เราสละบางอย่างออกไปให้ผู้อื่น ให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ ด้วยความเต็มใจ ยินดี

พระพุทธเจ้าจำแนกทานไว้เป็นหลายอย่าง หลายระดับครับ
ตั้งแต่ การให้ของ ให้เงิน ในขั้นสูงสุด ท่านบอกว่า การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง

แต่ในธรรมระดับสูงนั้น ยังมีทานตัวนึงที่เรียกว่า "อภัยทาน" อยู่ด้วยครับ

ที่ถือว่าเป็นทาน ระดับสูง เพราะทานตัวนี้ไม่ใช่ทำกันง่ายๆ
บางคนมีเงินร้อยๆล้าน พันล้าน ก็ทำไม่ได้ ทำไม่เป็น

เพราะมันเป็นทาน ที่ไม่ได้ขึ้นกับความมั่งคั่งของประเป๋าตังค์
แต่ขึ้นกับความมั่งคั่งทางจิต

อภัยทาน จะทำได้ต้องมีจิตที่ปราณีต ฝึกมาดี ใช้จิตที่อ่อนโยน มีเมตตา กรุณา ถึงจะทำได้

สังเกตว่าคนที่มีโทสะมากๆ อารมณ์ร้ายๆ จะทำทานตัวนี้ยากครับ
ใครที่ขับรถอยู่ในกรุงเทพฯ จะรู้ดี บางทีปาดหน้ากัน ก็ลงไปยิงกันได้
เพราะขาดทานตัวนี้แหละ

ปกติ "ทาน" นี่ให้ผลเป็๋นความสุขใจ ทั้งผู้ให้ และผู้รับนะครับ

ใครเคยไปทำบุญสุนทาน อยู่เนืองๆ จะสังเกตเห็นว่า
ถ้าทำทานโดยใจบริสุทธิ์ ไม่ไปโลภอยากได้ผลกรรมดี
เราก็จะอิ่มบุญ เป็นความสุขใจอย่างเห็นได้ชัด

ยิ่งถ้าเป็นอภัยทาน ถ้าทำได้จริงๆ โอ... อานิสงส์เยอะมาก
ใจจะเบา สบาย คลายทุกข์ สว่างขึ้นในฉับพลัน

ส่วนคนที่มีชีวิตด้วยโทสะ มากๆ ขี้โมโห โมโหร้าย
หน้าจะหมองๆ ราศี ก็จะออกไปทาง มาคุ มาคุ
ไม่เหมือนแสงเฮ้ากวง ของเง็กเซียนฮ่องเต้

อยากเห็นหน้าตาคนที่ไม่ค่อยมีอภัยทาน
ไปเยี่ยมๆมองๆดูตามม๊อบต่างๆได้ตามอัธยาศัยครับ

ช่วงนี้บ้านเมืองเราดูจะขาดอภัยทานกันมากสักหน่อย
ใครว่างๆ ก็ช่วยๆกันทำหน่อยนะครับ ดวงเมืองจะได้ดีขึ้น

ไม่ต้องไปห่วงเรื่องว่า ถ้าไม่มีเราเกลียดเขาสักคนนึง
แล้วบ้านเมืองจะไปไม่รอดหรอก
เหมือนที่เคยมีคนถามผมว่า.. ถ้าผู้ชายทุกคนไปบวชหมดแล้วโลกนี้จะอยู่ได้ไง

พูดอะไรเป็นลิเก ลิโก ขนาดน้านนนน

ผมยังเชื่อว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
และ ..เวร..ย่อมระงับ ด้วยการไม่จองเวร

การไปสร้างกรรมใหม่ขึ้นมา มันก็ต่อยอดกันไปมาไม่จบสิ้น

ชั่วโมงนี้ เรามีคนเล่นเกมการเมืองกันเยอะเกินไปแล้วครับ
เยอะจนบ้านเมืองปั่นป่วน ป่วยแป่ปี่กอ กันไปหมด

สังเกตว่า ปกติ ถ้าเราปล่อยให้นักการเมืองเขาเล่นกันไป
ปล่อยให้นักวิชาการ วิชาเกิน เขาเพลินกันไป
มันก็มีทางไปของมันเอง จะต่อยกันในสภามั่ง ก็ชิล ชิล
เดี๋ยวเขาก็โอบไหล่ไปตีกอล์ฟกันได้

แต่ถ้าคนนอกสภา ไปถือหางข้างไหนเมื่อไหร่
เป็นได้วุ่นกันเมื่อนั้น

เพราะเราเป็นพวกที่รู้อะไรก็รู้ไม่จริงหรอกครับ
เราจะรู้ก็แต่ข่าวที่เขา "ว่ากันว่า" หรือข่าวที่ใครสักคน อยากให้เรารู้่ ในแบบที่เขาหวังปฏิกิริยาบางอย่าง

ลองไปดู FWD mail สิครับ ร้อยละเก้าสิบ ไม่เคยลงชื่อคนเขียน
ถึงจะบอกว่า ออกมาจากหน่วยนั้น หน่วยนี้

ครึ่งนึง ของ FWD mail ที่ผมได้ ผมมีแหล่งข่าวอ้างอิงได้เหมือนกันว่า .. ไม่จริง

ที่เหลือ ผมไม่รู้ ผมไม่ทราบว่าจริงไม่จริง ผมเลยไม่เชื่อ

อ่านแล้วก็เหมือนโดนหลอกใช้อยู่กลายๆ ให้ส่งต่อๆกันไป
ส่งไปทั้งที่ไม่รู้นั่นแหละว่าจริงแค่ไหน เชื่อได้ไหม
แต่อคติมันนำไปแล้ว ว่า "จริง" แ้ล้ววันนี้ก็เห็นแล้วว่า่
บ้านเมืองเราไม่ได้วุ่นวายเพราะใครคนนึงหรอก
เพราะ FWD mail นี่แหละ

ผมเลยแอบหวังเล็กๆว่า.. คนไทยจะตื่นขึ้นมาจริงๆ
แล้วไม่ใช่รู้ทันแต่รัฐบาล ต้องรู้ทันฝ่ายค้าน ฝ่ายแค้น
ฝ่ายเสียผลประโยชน์ ฝ่ายหวังผลประโยชน์

ว่าไอ้ที่นำคนไปเย้วๆ ไปปิดถนน จนตำรวจเขาไม่ต้องหลับ ไม่ต้องนอน
จนห้างร้าน เขาต้องปิดทำการ เสียงานเสียการ
จนภาพพจน์ประเทศ ต้องมัวหมอง
จนสถาบันกษัตริย์ต้องกลายเป็นจุดอ้างอิงเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง

เขาไม่ได้ทำเพื่อชาติอย่างที่เราคิดหรอกนะครับ
ทุกคน ทำเพื่อสนองอัตตา จุดหมายทั้งส่วนตัว และจุดหมายทางการเมืองบางอย่าง

รายละเอียดของแต่ละคนเป็นอย่างไร ผมคงไม่แจกแจง
เพราะไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของผม

เป็นแต่ อยากเห็นทุกคนอยู่กันอย่างสงบ ร่มเย็น เข้าใจกติกา

เกลียดนายกมาก ไม่ต้องหยุดงานไปประท้วง ไม่ต้องเถียงกับคนในครอบครัว
ไม่ต้องไปถือหางสร้างความชอบธรรมให้คนกลุ่มนั้นเขาหรอก

ง่ายๆ 2 เมษา ไปเลือกตั้ง
รักทักษิณ เลือก เบอร์ 2
ชังทักษิณ เลือกช่องไหนก็ได้ จะเลือกเบอร์อื่น หรือกาช่องไม่ลงคะแนนก็ได้

ที่แล้วมา ก็ต้อง อภัยให้คนข้างบ้าน ที่เคยไปด่าเขาเมื่อวันก่อน ที่เขาเชียร์แม้ว

อภัยให้เพื่อนที่ทำงาน โทษฐานขัดใจเรา

และอภัยให้ตัวเองด้วย ที่หลงไปกับกระแส จนเกือบจุดชนวนวิกฤตแบบเสียค่าฉลาดน้อย

ใครไม่เชื่อผม.. ก็คอยดู..
เดี๋ยวผมก่อม๊อบหน้าบ้าน ซะเลย..

อิอิอิอิ




 

Create Date : 31 มีนาคม 2549    
Last Update : 31 มีนาคม 2549 18:09:25 น.
Counter : 3584 Pageviews.  

ความรัก อคติ สิทธิ และหน้าที่

วันนี้มีน้องชายท่านนึงมาปรึกษาเรื่องความรัก
เพราะเจอปัญหาว่าคนเก่าก็ผูกพัน แต่คนใหม่ก็ดีเลิศ ไฉไล

ผมแนะนำไปว่า.. ให้ลองไปตั้งสติ นั่งสมาธิให้สงบ แล้วคิดใหม่อีกที
คิดแบบไม่มีอคติ ไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่เข้าข้างคนเก่า ไม่เข้าข้างคนใหม่

ผมบอกว่า.. ถ้าคิดแบบคนมีอคติ ก็ให้ดูบ้านเมืองตอนนี้เป็นตัวอย่าง

ฝ่ายที่คิดแต่จะไล่นายกฯ ต่อให้นายกฯทำดีสักร้อยอย่าง
เขาก็จะหาความผิดสักสิบข้อ มาไล่จนได้นั่นแหละ

ส่วนฝ่ายที่คิดจะเชียร์ ต่อให้นายกฯทำผิดสักร้อยข้อ
เขาก็จะหาความดีสักสิบข้อ มาเชียร์จนได้นั่นแหละ

อันว่าคนเรา ถ้าอคติมันบังตาเสียแล้ว
จะให้งามแสนงาม ก็มองเป็นอัปลักษณ์ได้
จะให้ขี้เหร่เหลือแสน ก็มองเป็นแสนงามได้

คนที่เคยรักเคยผูกพัน เคยเป็นเหมือนอัศวินม้าขาว
จะเหลี่ยมยังไงก็ดูมีราศี

บทจะชังขึ้นมา ทำอะไรก็ผิดไปหมด แค่หายใจ ก็หาว่าตด
เป็นกันได้ขนาดนั้น

ผมบอกน้องชายท่านนั้นไปว่า.. ถามว่าเขาผิดไหม ถ้าจะเลิกคนเก่าไปคบคนใหม่
ตอบว่า.. เรื่องแบบนี้มันอยู่เหนือ ผิด เหนือถูก

ต่อให้ถูก แต่เขาไม่เลือก ไม่ทำ ก็ไม่มีความหมาย
ต่อให้ผิด แต่เขาดึงดันจะทำ ก็ทำได้อยู่ดี
และก็สามารถมีเหตุผลอีกร้อยแปดที่จะทำอย่างนั้น

เพราะคนเรามีสิทธิ มีเสรีภาพ ในการแสดงออกซึ่งความต้องการของตัว
ในการเลือกสิ่งที่คิดว่าดีสำหรับเรา สำหรับชีวิตเรา

แต่ในอีกมุมหนึ่ง.. คนเราไม่ได้มีแต่สิทธิ
เรามีหน้าที่ พ่วงมาพร้อมกับสิทธิเสมอ

หน้าที่ ในกรณีนี้ คือรับผิดชอบผลของการตัดสินใจ
ถ้าคิดว่าจะเดินหน้า ก็ต้องยอมรับว่า ผลมันอาจไม่สวยหรูดูดี อย่างที่เราคิดเสมอไป

และอย่างน้อย ก็ต้องไม่ใส่ไข่ คอยพยายามหาข้อเสียของอีกฝ่าย
เพียงเพื่อให้ตัวเองมีความชอบธรรม มีข้ออ้าง ที่จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน เจ็บช้ำน้ำใจ

ผมบอกว่า ทุกความสัมพันธ์ มีช่วงเวลาของมัน
และโดยมากก็จะเริ่มต้นด้วยความหวือหวา ร้อนแรง
แต่ไม่วันใดก็วันหนึ่ง มันจะจบลง
คนเราไม่จากเป็น ก็จากตาย มีแค่นั้นแหละ

ได้แต่หวังว่า.. เขาจะไม่มานั่งตีอกชกหัวทีหลัง
เพราะลืมนึกไปว่า.. ความสัมพันธ์อันใหม่ มันก็ไม่เที่ยง
เหมือนอันเดิมที่เคยมีนั่นแหละ

แล้ววันนึง สิ่งที่เขาทำ จะตอบเขาได้เอง ว่าเขาโง่หรือฉลาด
แต่อาจจะวันที่เรากำลังจะหายใจเฮือกสุดท้ายโน่น

พูดเรื่องความรัก ยังอุตส่าห์ แถๆไปหาเรื่องการเมืองได้..

ยกให้ผมสักวันเถอะน่า..




 

Create Date : 29 มีนาคม 2549    
Last Update : 31 มีนาคม 2549 17:09:34 น.
Counter : 1089 Pageviews.  

Wednesday Child

หนึ่งในกระทู้ที่เห็นบ่อยๆ ในห้องสวนลุมฯ
คือกระทู้ตัดพ้อถึงความน้อยใจ ที่ตนรู้สึกว่า พ่อแม่รักน้อยกว่าพี่น้อง

ฝรั่งเขามีสำนวนว่า.. Wednesday Child แปลตรงตัวว่า เด็กวันพุธ

ดั้งเดิม เขาหมายถึงเด็กที่เป็นลูกคนกลาง เพราะวันพุธ เป็นวันกลางสัปดาห์
เป็นวันที่มีสีสันน้อยที่สุดในความรู้สึกของคนทั่วไป
ต่างจากวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือวันจันทร์

ถามว่าทำไมไม่ Tuesday Child หรือ Thursday Child
ผมก็ไม่แน่ใจ แต่เข้าใจเอาว่า วันพุธ มันอยู่กลางพอดี
ระหว่างจันทร์ และศุกร์

แต่มันหมายรวมถึง เด็กคนไหนก็ได้ ที่มีภาวะความรู้สึกเหมือนลูกคนกลาง

ว่ากันว่า ลูกคนกลาง มักเป็นเด็กที่รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าพี่คนโต และน้องคนเล็ก

ใช้ของก็ใช้ของเก่าของพี่คนโต ขณะที่น้องได้ของใหม่
เพราะกว่าเราจะใช้เสร็จมันก็พังพอดี .. อะไรทำนองนั้น

อันนี้เป็นทฤษฎี .. ใครเป็นลูกคนกลางแต่ไม่รู้สึกอะไร ก็ดีอยู่แล้ว
อย่าไปคิดมากเป็นอันขาด

เมื่อวันสองวันก่อน ก็มีคนตั้งกระทู้เรื่องนี้ขึ้นมา
.. กระทู้เขาว่าแบบนี้ครับ

เคยรู้สึกไม๊ว่าแม่ไม่รักรักน้องหรือพี่มากกว่าให้ได้ทุกอย่าง....

ทุกวันนี้เรารู้สึกอยู่...รู้สึกมากๆ
หลายปีก่อนตอนเรียนจบใหม่ๆสอบเข้าปริญญาโทได้
ที่บ้านบอกว่าจะสนับสนุนเต็มที่ ผลสุดท้ายก็ลอยแพกลางคัน....
น้องสาวแต่งงาน ผู้ชายไม่มีเงินแม่ออกเงินดาวน์เรือนหอให้น้องสาวส่งแม่เดือนละ 2 พัน เงินต้นเป็นแสน
แล้วก็ซื้อรถมือสองให้น้องสาวอีกคัน ผ่อนเอง...เพราะหมู่บ้านใหญ่ มีแต่บ้านเดี่ยวกลัวน้องลำบาก...
ตอนนี้ต่อเติมบ้านให้น้องสาวอีก
ทุกอย่างเค้าทำ...คิดว่าเราโง่ไม่รู้
กว่าเราจะได้อะไรมาในชีวิติถ้าให้...ก็ด่าว่าจิกด่าเค้นคำพูดออกมามากมาย
เรารู้สึกผิดหวังชีวิตินี้ไม่มีใครรักเราเลย...
อยากไปทำงานไกลๆ หดหู่ทุกครั้งที่รู้ว่าแม่ลำเอียง
เอาบ้านไปรีไฟแนนซ์เอาเงินออกมาตั้งมากให้น้อง แต่จะมาโอนให้เราผ่อนต่อ....
เท่ากับเอาบ้านค้ำประกัน กู้มาให้น้องแล้วจะให้เราผ่อนต่อ
โดยอ้างว่ายกบ้านให้เรา....

จากคุณ : เรานี่เเหละ - [ 25 มี.ค. 49

**********************************

ผมไปตอบไว้ยาวพอสมควร ดังนี้ครับ

ผมเคยรู้สึกแบบเดียวกับคุณอยู่หลายปี ..
พูดให้ตรงกว่านั้น.. เป็นสิบปีเลยแหละ

ในบรรดาลูกทั้งหมด..
ผมเป็นคนเดียวที่ไม่เคยได้อยู่กับพ่อแม่เลย

ผมถูกส่งไปอยู่กับปู่ย่า ตั้งแต่เล็กแบเบาะกับพี่สาว 2 คน
พอขึ้น ป.สาม แม่มารับพี่สาวทั้งคู่ไปอยู่ด้วย ก่อนจะไปเมืองนอกในอีกสามปีต่อมา
เลยเหลือผมคนเดียว ..

ผมเป็นคนเดียวในครอบครัว ที่ต้องผจญภัยในหอพักนักเรียน
อันนั้นแค่หนังตัวอย่าง..

มีรายละเอียดอีกเยอะ ที่เล่าไปคุณจะรู้สึกว่าเรื่องของคุณน่ะเรื่องเล็ก
แม้แต่เรื่องทรัพย์สินสมบัติ ที่มองมุมไหน
ก็ไม่มีคำว่ายุติธรรม

แม้แต่ล่าสุด เมื่อปีที่แล้ว พ่อมาบอกว่าให้เตรียมพาสปอร์ต
จะพาไปโอนคอนโดที่เมืองนอกให้เป็นชื่อผม

พอใกล้วันจะเดินทาง ผมถามพ่อว่า จะไปวันไหน
พ่อบอกว่า.. ไม่ต้องแล้ว .. คอนโดนั้น พี่ชายผมเขาจะเอา

ไม่มีเหตุผล ไม่มีคำอธิบาย

แต่ถามว่าวันนี้ผมรู้สึกอะไรไหม..
ผมมีความสุขดีครับ สบายใจด้วย

อย่างแรก.. เรื่องสมบัติ .. ผมถือว่ามันเป็นสิ่งที่พ่อผมหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง
ท่านมีความชอบธรรม ที่จะยกให้ใคร หรือไม่ให้ ตามใจปรารถนา

ของพ่อ คือของพ่อ ไม่ใช่ของผมแน่นอน
ในเมื่อไม่ใช่ของๆผม ผมก็ไม่รู้จะเอามาแบกไว้ทำไม

สอง เรื่องชีวิตวัยเด็ก..
ทุกวันนี้ผมเข้าใจแล้วว่า.. ในความน่าน้อยใจนั้น
มันแฝงด้วยโชคของผมอย่างนึกไม่ถึง

การที่ผมเติบโตมากับปู่ ย่า ผมได้ซึมซับบางอย่าง
ที่พี่น้องคนอื่นๆ ไม่เคยได้รับอย่างผม
..นั่นคือการใกล้ชิดกับพุทธศาสนา

ผมไปวัดกับคุณย่าทุกอาทิตย์
ผมเห็นคุณย่าสวดมนต์ทุกวัน

ผมมานึกขอบคุณอะไรก็ตาม ที่ทำให้ชีวิตผมเดินไปอย่างนั้น
เพราะมันคือเมล็ดพันธุ์ที่ทำให้ผมเป็นคนมีพุทธศาสนาในใจ
และพุทธศาสนานี่แหละ ทำให้ผมมีทัศนคติดีๆหลายอย่าง
แม้แต่เรื่องพ่อ..

ในศาสนาพุทธ มีเรื่องเกี่ยวกับ หมอเทวดา ประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้า ชื่อว่า หมอชีวกโกมารภัจ

หมอท่านนี้เป็นลูกของโสเภณีครับ
ตามธรรมเนียมของอินเดีย ถ้าโสเภณีคลอดลูก
ถ้าเป็นลูกสาว จะเลี้ยงไว้ ถ้าเป็นลูกชาย เขาห้ามเลี้ยง
ต้องเอาไปทิ้ง

แม่ของหมอชีวกก็เลยต้องเอาลูกไปทิ้งกองขยะ

โตมาพอหมอชีวกรู้ความจริง ก็เสียใจ
โกรธแม่.. จนต้องมีคนเตือนสติด้วยคำถามว่า..

ถ้ามีคนจะจ่ายเงินเพื่อแลกกับ แขน ขา ตา ข้างนึงของหมอ
หมอจะคิดเท่าไหร่
หมอบอกว่าไม่ขาย เพราะแขนเอย ขาเอย ตาเอยต่างก็มีความหมาย ตีค่าเป็นเงินไม่ได้

คนถามเลยถามว่า .. แล้วถ้ามีคนเอาเงินทองของมีค่ามหาศาลมาให้เรา
โดยไม่รับเงิน หรือหวังอะไรตอบแทนเลยสักนิด จะคิดยังไง

หมอชีวกตอบว่า .. ก็ต้องขอบคุณคนๆนั้นมากๆ
แปลว่าเขาต้องเป็นคนดี ใจกว้าง ใจดีมากๆ

คนที่สอน ซึ่งผมจำไม่ได้ว่าเป็นพระเจ้าพิมพิสารเอง หรืออภัยราชกุมาร พระโอรส ที่เก็บหมอชีวกมาเลี้ยง
จึงสอนว่า.. ขนาดแขนข้างนึง ขาข้างนึง ตาข้างหนึง
ท่านยังเห็นว่ามีค่าขนาดนี้

แล้วกับแม่ที่ให้ชีวิตหมอมา ให้ร่างกายครบสามสิบสอง
หมอยังต้องการอะไรมากกว่านั้นอีกเหรอ

เรื่องทุกเรื่องมีหลายมุมให้มอง
มองในมุมดี ก็มีสุข
มองในมุมร้าย ก็มีทุกข์

ไม่เข้าใจวันนี้.. ก็ไม่เป็นไร
หวังแต่ว่า.. คุณจะเข้าใจ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง


ที่จริง ผมลืมบอกเขาไปว่า.. ที่ผมตอบนี่ช่วยแก้ทุกข์ทางใจ
แต่ปัญหาทางโลก ก็ส่วนปัญหา ต้องแก้กันไปตามเหตุตามผล

เรื่องผ่อนบ้าน จะผ่อน หรือไม่ผ่อน ก็ต้องคุยกันด้วยเหตุด้วยผล ว่าไหวไม่ไหว ควรไม่ควร
แต่ไม่ต้องไปคิด ไปมีอคติ ว่าแม่เป็นธรรม หรือไม่เป็นธรรม

เราช่วยได้ ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็ต้องเรียนชี้แจงท่านไป
หรือถ้าจะยกให้เราจริงๆ ให้เราช่วยผ่อน ก็ให้โอนเป็นชื่อเรา
อะไรทำนองนั้น

ปัญหาทางโลก เป็นส่วนนึง ธรรมะแก้ไม่ได้โดยตรง
ธรรมะแก้ได้แต่ปัญหาทางใจ ให้คลายทุกข์ ให้มีสติ
มีสติแล้ว ก็จะคิดหาทางออก แก้ปัญหาได้ดี

สติเป็นเรื่องสำคัญ เป็นหัวใจของการมีชีวิตอย่างเป็นสุข
อยากเป็นคนมีสติให้ทำแบบฝึกหัดง่ายๆ

อ่านที่ผมเขียนจบแล้ว ชอบใจ ก็ให้รู้ทันว่าชอบใจ
อ่านแล้ว งงๆ ก็รู้ทันความรู้สึกว่า งงๆ
อ่านแล้วเบื่อ ไม่ชอบ ก็รู้ที่ความรู้สึกไม่ชอบนั้น

ก็ได้ชื่อว่ามีสติ มาแว๊บนึงแล้วครับ
แล้วก็คอยรู้ทันไว้บ่อยๆ เท่านั้นแหละครับ :)




 

Create Date : 28 มีนาคม 2549    
Last Update : 2 พฤษภาคม 2549 9:18:09 น.
Counter : 6194 Pageviews.  

การเมืองกับกาลามะสูตร

เหมือนกับอีกหลายๆท่านครับ คำถามยอดฮิตที่ผมเจอทุกวันตอนนี้คือ ..

"พี่อยู่ข้างไหน?"

เวลาเจอคำถามแบบนี้ .. ได้ FWD Mail ก็ดี ฟังข่าวก็ดี
ผมจิตตกไปเหมือนกัน ต้องมานั่งตามดูจิตกันอุตลุต

พยายามจะไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ดูข่าวทีวี
เพราะมีแต่ โทสะ โมหะ กันเต็มจอ
ไม่เว้นแม้แต่คนที่โฆษณาว่าตัวเองถือศีล 8 กินมังสวิรัติมื้อเดียว

พยายามจะไม่พูดเรื่องการเมือง ไม่สนใจการเมือง
ก็เหมือนจะยิ่งมีคนอยากให้พูด นิ..

สงสัยเป็นกรรมของผมอย่างนึง .. 5555

วันที่ไปงานเปิดตัวหนังสือของคุณดังตฤณ
พี่ตุลย์ก็ไม่พ้นต้องตอบคำถามแบบนี้อยู่ สี่ห้าข้อ
ตอนแรกๆ พี่เขาก็พยายามจะเลี่ยง แต่คำถามก็ถูกยิงมาๆ
จนพี่ตุลย์ ก็ต้องตอบ

อยากบอกว่า.. เสียดายสำหรับท่านที่ ไม่ได้ไป
ไม่ใช่..เสียดาย คนตายไม่ได้อ่านนะครับ
แต่..เสียดาย คนเป็นๆ บางคนที่ไม่ได้ไปฟัง

เพราะนั่นเป็นการแสดงจุดยืน และความเห็นว่าด้วยการเมืองที่ดีที่สุด ที่ผมเคยได้ยินมา
ตั้งแต่เกิดวิกฤตเที่ยวนี้

หลายท่านที่รอว่าผมจะเล่าอะไรต่อ..
ผมไม่กล้าอ้างคำพูดพี่ตุลย์ครับ แหะๆ.. ขออภัย
เพราะไม่มีเทปเสียงที่บันทึกไว้ กลัวจะคลาดเคลื่อน

แต่ผมกับพี่เขาคิดตรงกันอย่างนึงคือ ..
ผมมีความเห็นของผมอย่างนึง.. แต่อย่าให้ผมพูดเลย
เพราะพูดไปแล้วถ้าไปตรงใจฝ่ายนึง ก็จะไม่ตรงใจอีกฝ่าย

ท่านที่เห็นด้วย ก็ยินดีไป ท่านที่ไม่เห็นด้วย จะขุ่นใจ
เท่ากับเราจะมีเวร มีกรรมต่อกัน โดยไม่จำเป็นเลยสักนิด

ผมฝากพระสูตร ที่เห็นว่าเหมาะกับสภาวะบ้านเมืองตอนนี้อย่างยิ่ง ไว้ให้อ่านเล่นๆ คลายร้อน

แอบตั้งจิตไว้ ให้ท่านอ่านแล้วเข้าใจ มีปัญญาหยั่งรู้ปัญหาได้
และอย่าได้ทุกข์กับสิ่งที่เป็นไปมากนัก

พระสูตรนี้ ส่วนมากเราเคยเรียนกันมาแล้วในหนังสือเรียน
แต่เชื่อว่าหลายท่านลืมไปแล้วครับ.. : )

ผมไปอ้างอิงมาจากเว็บนี้นะครับ ขออนุโมทนากับผู้จัดทำไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

//www.dharma-gateway.com/monk/preach/somdej/sd-202.htm


กาลามะสูตร

พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนว่า เพราะเหตุนั้น คือเพราะเหตุที่สมณะพราหมณ์พวกต่างๆ ที่เข้ามา ต่างแสดงวาทะสอนต่างๆ กัน ฉะนั้น จึง

อย่าเชื่อถือเอาโดยฟังต่อกันมา

อย่าเชื่อถือเอาโดยนำสืบๆ กันมา

อย่าเชื่อถือโดยตื่นข่าว

อย่าเชื่อถือโดยอ้างตำรา

อย่าเชื่อถือโดยนึกเดาเอา

อย่าเชื่อถือโดยคาดคะเน

อย่าเชื่อถือโดยตรึกเอาตามอาการ

อย่าเชื่อถือโดยพอใจว่าต้องกันกับทิฏฐิคือความเห็น

อย่าเชื่อถือโดยพอใจว่าควรเชื่อได้

อย่าเชื่อถือโดยนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา

แต่ว่าให้ชาวกาลามะทั้งหลายได้ใช้ปัญญาพิจารณาดูตามเหตุผลว่าธรรมเหล่านี้ หรือสิ่งเหล่านี้เป็นอกุศล หรือเป็นกุศล มีโทษหรือไม่มีโทษ อันวิญญูคือผู้รู้ ติเตียนหรือสรรเสริญ


พระองค์ก็ได้ตรัสถามชาวกาลามะเป็นข้อๆ ไป และชาวกาลามะก็ได้ตอบเป็นข้อๆ ไป

สรุปความเข้าว่า ตรัสถามว่าโลภะ คือความโลภอยากได้ โทสะ คือความโกรธแค้นขัดเคือง โมหะ คือความหลง มีคุณหรือมีโทษ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ผู้รู้ใคร่ครวญแล้วสรรเสริญหรือติเตียน ชาวกาลามะก็กราบทูลว่าเป็นอกุศล มีโทษ

ผู้รู้ใคร่ครวญแล้วติเตียน พระองค์ก็ตรัสถามว่าบุคคลที่โลภแล้ว โกรธแล้ว หลงแล้ว จึงฆ่าเขาบ้าง ลักของเขาบ้าง ประพฤติผิดในกามทั้งหลายบ้าง พูดเท็จหลอกลวงเขาบ้าง ดื่มน้ำเมาคือสุราเมรัยอันเป็นฐานที่ตั้งของความประมาทบ้าง เป็นกุศลหรืออกุศล มีคุณหรือมีโทษ ผู้รู้ใคร่ครวญแล้วสรรเสริญหรือติเตียน
ชาวกาลามะก็กราบทูลว่าเป็นอกุศล มีโทษ ผู้รู้ใคร่ครวญแล้วติเตียน

พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสถามในด้านตรงกันข้ามว่า ความไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง และบุคคลที่ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง จึงเว้นจากการฆ่าเขาบ้าง เว้นจากการลักของๆ เขาบ้าง เว้นจากความประพฤติผิดในกามทั้งหลายบ้าง เว้นจากพูดเท็จหลอกลวงเขาบ้าง เว้นจากน้ำเมาคือสุราเมรัยอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งความประมาทบ้าง เป็นกุศลหรืออกุศล มีคุณหรือมีโทษ ผู้รู้ใคร่ครวญแล้วสรรเสริญหรือติเตียน ( เริ่ม ๑๓๕/๑ ) ชาวกาลามะก็กราบทูลว่าเป็นกุศล มีคุณ ผู้รู้ใคร่ครวญแล้วสรรเสริญ ดั่งนี้ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสย้ำว่าเพราะเหตุนี้เอง พระองค์จึงได้ตรัสสอนว่า อย่าได้เชื่อถือโดยฟังตามกันมา โดยนำสืบๆ กันมา โดยตื่นข่าวลือเป็นต้น

สาธุครับ




 

Create Date : 26 มีนาคม 2549    
Last Update : 2 พฤษภาคม 2549 9:14:11 น.
Counter : 1240 Pageviews.  

Ray Charles เกิดแต่ตม แต่ไม่จมในปลัก

เมื่อ 2 ปีก่อนเคยมีกระทู้ของนักศึกษา ปริญญาโทคนนึง ในพันทิพนี่แหละ

เธอทุกข์ใจเรื่องเรียนยาก ปัญหาเยอะ เหมือนชีวิตมันมาถึงทางตัน

ตอนนั้นผมนึกถึงเรื่องที่เพิ่งอ่านมาหมาดๆ เลยตอบไว้ในกระทู้ให้เขา .. ผมเขียนไว้แบบนี้ครับ

*****************************

ผมเพิ่งอ่าน Time Magazine เมื่อคืน

เขาลงประวัติของ Ray Charles นักร้องนักดนตรีแนว Soul Blues ชื่อดังคนนึงของอเมริกา

ผมอ่านแล้วขนลุก
เขาเสียชีวิตเมื่อต้นเดือนมิ.ย.นี้เอง ในวัย 73

คุณรู้ไหม ว่าเขาตาบอดตั้งแต่อายุ 5 ขวบ
พ่อทิ้งแม่ให้เลี้ยงเขาตั้งแต่ยังแบเบาะ
ชีวิตวัยเด็กเขาลำบากขนาดที่เขาบอกว่า

"มีแต่พื้นดินแหละ ที่อยู่ต่ำกว่าเรา"

แต่เชื่อไหมว่า เขากลับบอกว่า เขาโชคดีที่ตาบอด
เขามองข้อด้อยของเขาว่า
มันทำให้เขาได้ขยายทักษะเรื่องการได้ยินมากกว่าคนธรรมดา

ตอนเขาอายุ 15 ก่อนแม่เขาตาย
แม่สอนเขาเป็นครั้งสุดท้ายว่า

"You might not be able to do things like a person who can see.
But there are always two ways to do everything.
You've just got to find the other way."

"แกอาจทำอะไรเหมือนคนที่มองเห็นปกติเขาทำไม่ได้
แต่โลกนี้มีวิธีการทำสิ่งต่างๆ มากกว่าหนึ่งวิธีเสมอ
เราเพียงแต่ต้องหาอีกวิธีที่ว่าให้เจอ"

Ray charles ใช้ชีวิตที่เหลือ พิสูจน์ให้แม่รู้ว่า เขาทำได้อย่างที่แม่บอก

ด้วยการคว้า 12 รางวัลแกรมมี่ และรางวัลเกียรติยศอีกหลายสถาบัน
และคนในวงการเพลง เรียกเขาว่า the Father of Soul

ฟังดูแล้วเรื่องของเราเล็กไปเลยนะครับ

คุณลองหา the other way ของคุณดูหรือยังครับ?

**************************

ที่จริงเรื่องของ Ray Charles ยังมีอีกหลายแง่มุมที่น่าสนใจ
นอกเหนือไปจากเพลงของเขาหลายเพลง ที่คุณอาจจะเคยฟัง แต่ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนแต่ง

อย่างเพลง You Don't Know Me ที่อยู่ในหนังเรื่อง My Best Friend's Wedding

อย่างที่เล่าไว้ข้างต้น ว่า Ray Charles ไม่ได้ตาบอดแต่กำเนิด
ตอนที่เขาตาเริ่มบอด เขากลัวและเอาแต่ร้องไห้

แม่เขาบอกให้หยุด .. แล้วก็บอกว่า ..
"ลูกอาจจะมองไม่เห็น แ่ต่ลูกไม่ได้โง่นะ"

แม่เขาสอนหลายอย่าง ที่เป็น "อีกวิธี" ของการมีชีวิต
ให้เขาช่วยตัวเอง และมีชีวิตรอดได้ดี
ในภาวะที่เขาต้องสูญเสียการมองเห็นทางตา

แม่สอนให้เขาใช้ความจำ การสังเกต และการฟัง

เรย์ ชารลส์ ไม่ได้เป็นคนตาบอดคนเดียวที่ค้นพบพรสวรรค์ฺในตัว
มีหลายคน อย่าง สตีวี่ วันเดอร์ ไดแอนน์ เชอรร์
แม้แต่นักร้องโอเปร่า อย่าง อันเดรีย บอแชลลี่

เวลาอ่านประวัติคนเหล่านี้ แล้วผมรู้สึกเสมอว่า
อุปสรรค หรือเรื่องเลวร้ายในชีวิต มันไม่ได้ให้โทษแก่เราเสมอไป

หลายครั้ง มันเป็นคุณ เป็นประโยชน์ให้เรา ค้นพบทางที่ดีกว่า ค้นพบสิ่งที่ดีที่ซ่อนอยู่ในตัว
และบังคับให้เราหยิบมันออกมาใช้

เพราะถ้าไม่มีเรื่องร้ายๆเหล่านั้น
เราอาจจะไม่เคยกล้าลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนั้นเลย

ผมมีเรื่องประวัติชีวิตนักร้องอีกหลายคนที่อยากเล่า
ไว้จะทะยอยเล่าให้ฟังนะครับ :)

สุขสันต์วันเสาร์ครับ




 

Create Date : 25 มีนาคม 2549    
Last Update : 25 มีนาคม 2549 10:53:10 น.
Counter : 4226 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.