เรื่องแปลกๆในโลก
เคยได้ยินไหมครับว่า.. ปลาวาฬ จริงๆแล้วไม่ใช่ปลา มันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ดันไปอยู่ในน้ำ จริงๆแล้วจระเข้ไม่มีลิ้น .. ไอ้ที่เขาพูดว่าคนๆนั้นเป็นพวกลิ้นจระเข้ อันนั้นเขาแซวกันเล่น สองอันบนนี่ยังเด็กๆนะ โลกนี้มีอะไรแปลกๆเยอะแยะ ที่เราแทบไม่เคยรู้ อย่างล่าสุด นักร้องสาวเสียงดีคนนึงที่คุ้นเคยกัน ผมไม่บอกว่าเป็นใคร ไม่ให้อักษรย่อ เพราะผมไม่ใช่ดาราเดลี่ หรือมายาแชนเนล เอาเป็นว่า จู่ๆเธอ ก็โทรมาปรึกษาผมเรื่องจัดงานแต่งงาน ว่าที่เจ้าบ่าว เป็นหนุ่มออสเตรีย เรื่องแปลกคือเธอเล่าว่า เธอเพิ่งรู้จักกันมาเดือนเดียว อันนั้นยังไม่แปลกเท่ากับว่า ว่าที่เจ้าบ่าวเธอเล่าว่า ในออสเตรียนี่ ผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายมาขอผู้ชายนะ ผู้หญิงออสเตรีย ต้องจ่ายสินสอดให้บ้านฝ่ายชาย ไอ้หนุ่มนั่นจะพูดจริงๆหรือเปล่า ผมไม่รู้แฮะ แต่เล่นเอาผมอึ้งกิมกี่ เพราะนึกว่าธรรมเนียมแบบนี้ จะมีที่อินตะระเดียเท่านั้นนะนายจ๋า.. แต่มีอย่างนึง ที่ไม่ได้มีแต่ในอินเดียแน่ๆ นั่นคือแผ่นผี ทั้งละมุนภัณฑ์ (software) ซีดีเพลง ดีวีดีหนัง เมื่อวานแอบไปสำรวจแผงแผ่นผีมา เห็นบางแผ่นก็นึกขำๆอยู่ คือคนซื้อแผ่นผีนี่ เขาเคยชินกับการซื้อแต่แผ่นผี จนบางทีไม่รู้ว่าของจริงบางเรื่อง เขาขายถูกกว่าแผ่นผีเสียอีก คุณล่ะ เจอเรื่องแปลกๆอะไรมั่ง เล่าให้ฟังมั่งสิครับ
Create Date : 17 ตุลาคม 2549
Last Update : 20 ตุลาคม 2549 0:32:48 น.
Counter : 3243 Pageviews.
ความจำสั้น ปลาทอง จราจร จลาจล
ผมค้นพบเทคนิคอย่างนึงในการหาเรื่องมาเขียนโดยบังเอิญ นั่นคือการแวะไปอ่านเรื่องของชาวบ้านมาก่อน แล้วมันจะป๊อปอัพสิ่งที่ตัวเองเจอขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆ อันนี้เป็นกรรมอย่างนึงของคนความจำสั้นเหมือนปลาทองอย่างผม มีคนถามว่า.. ทำไมต้องความจำสั้นเหมือนปลาทองล่ะ คุณแอสตัน ตอบว่า.. เพราะมีคนบอกผมว่าปลาทองเป็นสัตว์ความจำสั้น เนื่องจากถ้ามันความจำยาว มันจะต้องตรอมใจตายด้วยความเบื่อ เพราะมันมักจะถูกเลี้ยงในภาชนะเล็กๆ อย่างมากก็ไม่เกินเมตรเศษๆ วันๆก็ว่ายไปว่ายมาอยู่แค่นั้น ฉะนั้นธรรมชาติก็จะทำให้ความจำปลาทองสั้น แค่เพียงชั่วว่ายน้ำจากฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่ง เพื่อจะได้ลืมว่าอีกฟากนึงมีอะไร จะได้ว่ายกลับไปดูได้ใหม่ ไม่รู้เบื่อ เคยมีผู้รู้ท่านบอกว่า.. ธรรมชาติก็ทำแบบนี้กับเราเหมือนกัน คือให้เราจำอะไรได้เป็นช่วงๆ และทยอยลบความจำเราเป็นช่วงๆ หมดชาติหนึ่ง ก็ลืมกันไป ว่าชาติที่ผ่านมาเป็นยังไง เพราะถ้าความจำเราดีขนาดจำทุกอย่างได้หมด แบบนั้น ไม่ต้องเอาทุกชาติที่ผ่านมาหรอก เอาแค่ชาติปัจจุบันก็แย่แล้ว อันนั้นเป็นในแง่ดี .. แต่ในแง่ร้ายก็มี เพราะมันทำให้เราประมาท ทำให้เราไม่เชื่อว่า การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ทำให้เราไม่เห็นว่า สังสารวัฏ การเกิดแล้วเกิดอีกมันทุกข์ขนาดไหน เพื่อนหลายคนของผมเชื่อว่า เขาเกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียว ขอใช้ชีวิตให้คุ้ม ฟังดูน่าจะดีนะครับ แต่เอาเข้าจริงๆ ไอ้การใช้ชีวิตที่ว่า มันกลายเป็น "ใช้ชีวิตเปลือง" มากกว่าใช้ "คุ้ม" หลายคนมองว่า การเที่ยวกลางคืนชนิดเมาหัวราน้ำ วันแล้ววันเล่า มีเซกส์กับคนไม่เลือกหน้า อัพยา เป็นการใช้ชีวิตคุ้มแบบสุดๆ สำหรับผม ผมเรียกว่า มันเป็นการใช้ชีวิต "เปลือง" นะ การใช้ชีวิตเปลืองอีกอย่าง.. คือการอยู่กรุงเทพในวันรถติดนี่แหละผมว่า เมื่อวันก่อน ที่ฝนตกชนิดฟ้ารั่วทั่วกรุงน่ะ ผมมีธุระต้องไปงานแถลงข่าวที่สยามพารากอนตอนหกโมงเย็น ออกจากออฟฟิศตอน ห้าโมงสิบนาที เอาเข้าจริงๆ ไปถึงสยามตอนเกือบสองทุ่มพอดี ใช้เวลาเดินทางเกือบสามชั่วโมง กับระยะทางที่เราเคยวิ่งแค่ ยี่สิบห้านาที ถึงไม่เกินชั่วโมงนึงนี่ ทรมานใช่เล่นนะครับ ถ้าคุณสังเกตเหมือนผม คงเห็นเหมือนกันว่า เวลาที่คนขับรถด้วยความเห็นแก่ตัว และฉุนเฉียวง่ายที่สุด คือตอนฝนตกรถติด นี่แหละ จะมีพวกอาแปะ (เขาต่อแถวกันดีๆ อาแกจะขับมาแปะตรงปลายๆรอแปลงกายเป็น) น้าแทรก ลุงมุด คนที่โดนกระทำ ก็จะหงุดหงิด ในอาการเอาเปรียบนั้นมากเป็นพิเศษ ส่วนตัวผม ผมเข้าใจทั้งสองฝ่าย ฝ่ายนึง ก็ไม่เคยมีคนสั่งสอนให้มีมารยาท คิดว่าแหม.. ฉันจะรีบไปตามหาบุพการี ขอแทรกแค่นี้อย่าคิดมาก ฝ่ายนึง ก็รู้สึกว่า ทำไมฉันรอมาตั้งนาน รถก็โคตะระติด ฉันยังต้องเจอไอ้พวกนี้ด้วย(วะ) ใครที่เคยถามผมว่า.. เราจะเอาหลักธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวันยังไง .. นี่ไงครับ ผมถือหลักว่า.. ผมสงสารตัวเอง ถ้าจะต้องอารมณ์เสียจากเรื่องแบบนี้ เพราะปกติผมหงุดหงิดจากการขับรถบ่อยมากจริงๆ ผมรู้ว่า ถ้าผมวางใจผิด ผมจะต้องสงสารตัวเองเยอะมากกว่าจะถึงจุดหมาย เลยมองทุกอย่างว่ามันเป็นธรรมดาของมันแบบนั้นแหละ .. เพราะฝนตก น้ำเลยท่วม เพราะน้ำท่วม จะมีรถเสีย รถก็วิ่งช้า รถจึงติด เพราะรถติด ก็จะมีคนรีบกลับบ้าน รีบไปมากกว่าคนอื่นมาก ก็จะมีคนแสดงความเห็นแก่ตัวมาก ที่สำคัญ.. ผมสามารถหงุดหงิดมากกว่าปกติอีกร้อยเท่า แต่จราจร ก็จะจลาจลเหมือนเดิม และอาจจะแย่กว่าเดิมในความรู้สึก ฉะนั้น จะดีกว่าไหม ถ้าผมปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น และให้สติตั้งมั่น ในกาย ในใจของเราเอง รถมันจะติด ก็อย่าไปช่วยมันติด มันจะไปเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น มีวิทยุ มีซีดี ก็ฟังเพลงไป อาจจะลำบากกว่าเดิม แย่กว่าเดิม นานกว่าเดิม แต่ที่สุดแล้ว มันก็จะผ่านไป เหมือนหลายๆอย่างในชีวิต วันที่ดีก็ดี วันที่ร้ายก็ดี ต่างก็มี 24 ชั่วโมงเท่ากัน หมดแล้วก็ขึ้นวันใหม่เสมอกัน จะไปคาดคั้นเอาเป็นเอาตายอะไรกับมันนักหนา บอกเผื่อไว้ เพราะช่วงนี้ พายุท่าทางจะอยู่อีกหลายวัน วางใจให้ดีกันทุกท่านนะครับ
Create Date : 13 ตุลาคม 2549
Last Update : 15 ตุลาคม 2549 1:34:39 น.
Counter : 2178 Pageviews.
The Matrix เรื่องง่ายๆ ที่กลายเป็นยาก
ครั้งหนึ่ง ผมเคยได้รับเชิญ ให้ไปช่วยให้ความรู้เรื่องพุทธศาสนากับเด็กมัธยมในโรงเรียน สามแห่ง ที่ต่างจังหวัด พระที่ชวนผมไป ท่านบอกว่า ท่านอยากให้มีฆราวาสไปคุยกับเด็กว่า ทำไมเด็กต้องสนใจเรื่องศาสนาพุทธ ทำไงให้เด็กรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องเชย น่าเบื่อ ท่านรู้สึกว่า บางทีเด็กอาจจะรู้สึกว่า ถ้าเป็นพระพูด พระก็พูดเพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องโฆษณาชวนเชื่อ และท่านคิดว่า ความเป็นฆราวาส สามารถเอื้อให้เราดัดแปลงวิธีการพูดได้หลากหลายกว่าพระ ผมเลยทำอย่างที่ท่านว่าจริงๆ ด้วยการเอาบางส่วนบางตอน ของภาพยนตร์ไปฉายเสียเลย เพราะเชื่อเอาว่า เด็กมักจะชอบ และสนใจมากกว่าไปยืนพูดๆๆๆๆ ผมเลือกเอาหนังเรื่อง the Matrix ไปฉาย เพราะภาคแรกของหนังเรื่องนี้ ถูกเขียนบทขึ้นมา โดยได้รับอิทธิพลจากคัมภีร์ปรัชญาพุทธสายมหายาน ทางธิเบต เมื่อวานนี้หยิบเอาหนังขึ้นมาดูอีกที ก็ยังนึกชมเชยความหลักแหลมของพี่น้องวาโชวสกี้ ที่เข้าใจปรัชญาพุทธเข้าขั้นลึกซึ้ง และคอยแซมหลักการปฏิบัติแบบพุทธไว้ในหนังอย่างเป็นระยะๆ อย่างตอนฉากที่มอร์เฟียร์ซ ให้นีโอเลือกว่า จะเลือกกินยาเม็ดสีแดง หรือสีน้ำเงิน อันนี้สะท้อนแนวความเชื่อของพุทธ ที่ศรัทธาในการ "เลือกกระทำ" ไม่ใช่พึ่งพาแต่ชะตาชีวิต เพราะนีโอ หรือมิสเตอร์ แอนเดอร์สัน ไม่ชอบความคิดเรื่องโชคชะตา เขาจึงมีสิทธิเลือกกระทั่ง จะตื่นขึ้นเพื่อเรียนรู้ความจริงของชีวิต หรือจะกลับไปฝันในโลกเดิมต่อไป ผมบอกน้องๆเด็กนักเรียนไปว่า.. น้องเลือกได้นะครับ ว่าจะหยิบยาเม็ดสีแดง หรือสีน้ำเงิน ถ้าคิดว่าศาสนาพุทธเป็นเรื่องเชย เป็นเรื่องของคนแก่ คนอกหักรักคุด มันไม่จ๊าบ ไม่ใจ ไม่คูล ก็เท่ากับน้องหยิบยาเม็ดสีน้ำเงิน ก็อยู่อย่างเดิมต่อไป แต่น่าแปลกที่คนฝรั่งทำหนังสุดเท่อย่าง thw Matrix เขายังสนใจพุทธปรัชญาน่ะ มันน่าเสียดายมั้ย พวกเราอยู่ใกล้ศาสนาพุทธแค่หายใจเข้าออก เรากลับปฏิเสธเสียอย่างนั้น ฉากหนึ่ง มอร์เฟียร์ซ พานีโอ ไปหา Oracle เขาบอกนีโอก่อนเข้าประตูว่า "ผมเป็นแค่คนบอกทาง แต่คุณคือคนที่ต้องเดินไปบนทางนั้นเอง" ซึ่งประโยคทำนองนี้ พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ จะศีล ก็ดี สมาธิ หรือปัญญาก็ดี เราแจกกันไม่ได้ ทำแทนกันไม่ได้ จะมีได้ ก็ต้องสร้างเอาเอง ด้วยตัวเอง พระท่านจึงกล่าวประโยคที่เราเคยได้ยินเสมอว่า "อัตตาหิ อัตโน นาโถ" ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ไงครับ ฉากที่ตอนดูแล้วผมขนลุก คือตอนที่เขาซ้อมสู้กันมือเปล่าซึ่งนีโอสู้ไม่ได้ แล้วมอร์เฟียร์ซ บอกว่า "Don't THINK you can beat me, just KNOW" "อย่า 'คิด' ว่าคุณเอาชนะผมได้.. จง 'รู้' ว่าคุณทำได้ " แล้วก็บอกว่า "Stop trying to hit me and hit me.." "หยุด 'พยายาม' จะซัดผม และซัดเลย" มันมีหลักง่ายๆแต่ลึกซึ้ง ในการปฏิบัติเพื่อเจริญสติ ที่พระท่านสอนไว้ว่า.. ถ้าจะทำวิปัสสนา ไม่ต้อง "พยายาม" ทำอะไร สร้างอะไรขึ้นมา ขอให้ "รู้" ด้วยการ "รู้สึกตัว" ในสภาวะที่เกิด ไม่ว่าจะดี จะร้าย รู้ด้วยความเป็นกลาง ไม่ยินดีที่สภาวะนั้นมันดี ตรงใจเรา ไม่ยินร้ายที่สภาวะนั้นมันแย่ ไม่ตรงใจเรา ไม่ต้องอยากให้มันดี และไม่รังเกียจที่มันแย่ เพราะทุกอย่างคือความจริง คือธรรมชาติ ที่เราไม่มีหน้าที่อะไรมากไปกว่าการ "รู้" "รู้" เข้าไปเฉยๆ ธรรมดาๆ สั้นๆ ง่ายๆ คนปฏิบัติวิปัสสนาเป็นแล้ว เขาไม่ได้ทำอะไรมากหรอกนะครับ มีแต่คนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ ที่พยายามไปจินตนาการว่า วิปัสสนาต้องนั่งสมาธิ ต้องหลับตา ต้องไม่ฟุ้งซ่าน ต้องไม่มีกิเลส ต้องนุ่งห่มขาว ต้องไม่ทานเนื้อสัตว์ ต้องไม่ยินดียินร้าย ต้องไม่มีอารมณ์ ต้องไม่มีความรู้สึก ต้องเอาจิตไปแปะตรงไหน ต้องไปเพ่ง ไปบังคับมือ บังคับเท้า บังคับลม บังคับความคิด จะยืน จะเดิน จะนั่ง ก็ต้องมีท่าทาง เหมือนเพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย หรือหมัดมังกร 18 ท่า ของอั้งชิดกง กระบวนท่าหมัดเมาของยาจกซู พูดให้ถนัดกว่านั้น เราเริ่มพลาดตั้งแต่ "จินตนาการ" แล้วครับ เพราะวิปัสสนานี่ เขาไม่ใช้การ "คิด" แต่ใช้การ "รู้สึกตัว" ไม่ใช้การบังคับอะไร เพราะเราต้องการเห็นความจริง และของจริง ว่าจิตมันไม่ใช่ตัวเรา มันไม่เที่ยง มันบังคับไม่ได้ เหมือนที่ ออเรเคิล ชี้ให้ นีโอ ดูป้ายที่เขียนไว้เหนือทางเข้าห้องครัวของเธอ ว่าให้ "รู้จักตัวเอง" ไม่ต้องถอดจิตไปไหน ไปดูใคร แต่ให้ดูแค่ตัวเองนี่แหละ อีกฉากนึง หลังจากนีโอช่วยมอร์เฟียร์ซออกมาได้ มอร์เฟียร์ซบอกว่า "There a difference between Knowing the path and walking the path" "มันต่างกันนะ ระหว่างการรู้ว่าทางสายนั้นมีอยู่ กับการเดินไปบนทางนั้น" คุณที่หลังไมค์มาคุยเรื่องปัญหาชีวิตกับผม แล้วผมแนะนำให้หัดเจริญสติ แล้วกลับมาบ่นว่า ยังวนเวียนอยู่ในปัญหาเดิมๆ บางครั้งก็ดีขึ้น บางครั้งก็แย่ลง หลุดออกมาไม่ได้เลย พยายามสวดมนต์ นั่งสมาธิ แต่ใจก็สงบได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่นานก็กลับเข้ามาสู่วงจรเดิมอีก รู้สึกว่าตัวเองมันแย่เอามากๆเลย อยากบอกว่า คุณยังไม่มีทางหลุดได้หรอกครับ ตราบใดที่เรายังไม่ใช่พระอรหันต์ เรายังมีกิเลสอยู่ พระโสดาบันก็ยังโลภ โกรธ หลง เลย เพียงแต่เวลาคุณ โลภ คุณโกรธ คุณหลง ขอให้มีสติ รู้ว่ากำลังโลภ กำลังโกรธ กำลังหลง ถ้ารู้ ถ้าเห็นบ่อยๆ ก็จะประจักษ์เองว่า มันไม่ใช่อะไรมากไปกว่าอารมณ์อันหนึ่ง ที่เกิดขึ้นตามแรงกระทบ ทำให้จิตกระเพื่อมขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วมันก็จะดับไป ตามธรรมชาติ เวลาคุณรู้สึกว่า จิตมันดี มันสงบ มันชุ่มชื้น คุณรู้สึกดี ก็ให้รู้ตรงที่คุณชอบใจ เวลามันเหี่ยว มันแห้ง มันแล้ง เหมือนแร้งทึ้ง คุณไม่ชอบ ก็ให้รู้ที่ความรู้สึกไม่ชอบ ถ้ารู้แบบนี้ ตามที่ผมบอก แต่ยังไม่หายทุกข์ ผมบอกได้ ว่าเป็นเพราะคุณยังละตัว "อยากหายจากทุกข์" ไม่ได้ คุณยัง "พยายาม" ดิ้นให้พ้นจากทุกข์ แต่ยิ่งดิ้น ทุกข์ก็จะยิ่งบีบรัดคุณให้ทุกข์แบบอินฟินิตี้ เพราะตัว "อยาก" มันไม่สมอยาก แล้วจะให้จิตเป็นสุขได้อย่างไร ทุกข์ตัวแรกเกิด แทนที่จะรู้ จะดูมันเฉยๆ ดันไปอยากให้มันหาย มันเลยไม่หาย เพราะมีกิเลส คือความอยากมาปรุงมันเข้า พอไม่สมอยากก็เกิดทุกข์ตัวที่สอง แล้วก็เกิดความอยากตัวใหม่ อยากให้ทุกข์ตัวสองมันดับ แล้วมันก็ดับไม่ได้ ก็ไม่สมอยากอีก เลยเกิดทุกข์ตัวที่สามและเกิดความอยากตัวใหม่ ซ้อนขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างนี้ มันถึงเข้าตำราที่ว่า คุณ knowing the path แต่ไม่ยอม walking the path ผมแอบเดาว่าคุณเถียงในใจว่า ฉันพยายามเดินแล้ว แต่มันไม่สำเร็จ ผมเลยถือวิสาสะบอกคุณไว้เลยว่า คุณหยุด "พยายาม" จะเดินสิครับ แต่ให้เดินไปเฉยๆ เดินสบายๆ ชิล ชิล น่ะ ทำได้ไหม เหมือนที่มอร์เฟียร์ซ บอกนีโอว่า "Stop trying to hit me and hit me." นั่นแหละ แค่รู้สึกตัว รู้ว่าทุกข์ แต่ไม่ต้องพยายามทำให้หายทุกข์ ถ้ามันมีความพยายามจะดิ้น ก็รู้ทันว่ามันดิ้นรน คุณจะตื่นขึ้นวูบนึง แล้วกลับไปหลงคิด เกิดทุกข์รอบใหม่ขึ้นมา ก็ให้กลับไปเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาใหม่ ไม่ต้องบ่น เพราะมันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นแหละ คุณบังคับมันไม่ได้หรอก หรือถ้าไปทำสมาธิมากๆ ไปเพ่ง ไปกดข่ม มันเอาไว้ ก็ได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว สมาธิคลายเมื่อไหร่ เมื่อเหตุยังอยู่ ผลมันก็อีหรอบเดิม ถ้าคุณทำอย่างที่พระท่านสอนไว้ คุณจะเห็นว่า ทุกข์ตัวนั้นแม้จะเกิดขึ้นเป็นลูป เป็นวังวนวังเวียน แต่มันจะเล็กลงๆ สั้นลงๆ คุณจะสบายขึ้นๆ คนจำนวนมากไป "พยายามทำ" มากกว่าแค่ "รู้" ไอ้ที่ง่ายแสนจะง่าย มันก็เลยกลายเป็นยากขึ้นมา ผมเป็นได้แค่คนบอกว่าประตูมันมีอยู่ ทางมันมีอยู่ แต่คุณจะเปิดประตูแล้วเดินไป หรือเอาแต่บ่นอยู่หน้าประตู ผมบังคับไม่ได้นะครับ
Create Date : 08 ตุลาคม 2549
Last Update : 9 ตุลาคม 2549 23:36:52 น.
Counter : 9107 Pageviews.