Group Blog
 
All blogs
 

Promotion Love Cycle

ถ้าคุณเคยเรียนการตลาดมา.. คุณอาจคุ้นกับศัพท์ว่า
Product Life Cycle อยู่บ้าง

พูดโดยสังเขป .. มันคือทฤษฎีว่าด้วยวงจรชีวิตของสินค้า
มีช่วงแนะนำ เติบโตปรู๊ดปร๊าด คงที่อยู่ตัว และถดถอย

พูดแบบพุทธศาสนา ..
สินค้าทั้งหลาย ก็อยู่ในกฏว่าด้วยความไม่เที่ยง
เหมือนกับทุกอย่างในโลก.. คือ..

เกิดขึ้น.. ตั้งอยู่ ..แล้วก็ดับไป

ถ้าเอาตรรกะเดียวกันมาอธิบายความรัก
ก็คงต้องเชื่อว่า .. ความรักมีช่วงเวลาของมันด้วยเช่นกัน

มีช่วงเริ่มต้นแนะนำตัว ช่วงที่มันเข้าที่คงที่ และถดถอย

ความสัมพันธ์ที่ดูหวือหวาดูดีที่สุด มักจะเป็นช่วงแรก
ช่วงที่บางคนเรียกว่า "โปรโมชั่น"
ภาษาชาวบ้านเขาเรียก "จีบกัน"

เหมือนที่เวลามือถือค่ายต่างๆ
อยากจีบเราให้เป็นลูกค้าเขา
ก็จะนำเสนอสารพัดเงื่อนไขสวยหรู ดูเวิร์คๆ มาดึงดูดเรา

แต่พอหมดโปรโมชั่นแล้ว..
อะไรๆก็อาจจะไม่สวยหรูดูดีเหมือนเดิม

ฟังดูเหมือนผมมองโลกในแง่ร้าย
เหมือนโลกนี้มันโหดร้าย ไม่ควรจะมีความรักนะครับ ..
แต่ฟังก่อน ..

สินค้าทุกตัว มีวัฏจักรของมันก็จริง
แต่ถ้าเราสังเกตให้ดี สินค้าแต่ละตัวไม่ได้มีอายุขัยเท่ากัน

ดูอย่างโคคาโคล่า สิครับ เกิดขึ้นมาบนโลกตั้งแต่ปี 1886
ถึงวันนี้ ก็ 120 ปีแล้ว มีขึ้นมีลง มาหลายรอบ
แต่ก็ยังทำโปรโมชั่นใหม่ๆ เพื่อให้อยู่รอด และหวานซ่าได้เสมอ

ฉันใดฉันนั้น.. ความรัก เองก็มีช่วงโปรโมชั่น
และช่วงต่างๆสั้นยาวไม่เท่ากัน ตามเหตุและปัจจัย

ไม่ได้แปลว่า มันจะต้องจบลงในชั่วปีสองปี หรือสิบยี่สิบปีเสมอไป

ถ้าเป็นโคคาโคล่า ทุกอย่างขึ้นกับ CEO ผู้นำทัพ
แต่ถ้าเป็นความรัก ทุกอย่างมันขึ้นกับคนสองคน

ย้ำว่าสองคนนะครับ ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่ง

ที่สำคัญ.. มนุษย์เราไม่ใช่สินค้า เรามีสิ่งนึงที่สินค้าไม่มี
คือความรู้สึก นึกคิด จิตใจ ประสบการณ์ การเรียนรู้ และสติปัญญา

รักแท้ เกิดขึ้นได้.. รักยืนยง มีได้
โปรโมชั่น หมดแล้ว ก็ออกโปรโมชั่นใหม่ได้เสมอ

ตราบเท่าที่ฝ่ายนึง ยังอยากใช้โทรศัพท์ยี่ห้อนั้น
และอีกฝ่าย ยังอยากให้อีกฝ่ายเป็นลูกค้าไปชั่วนาตาปี

ตราบเท่าที่สองฝ่าย ยังรัก และเทิดทูนกันและกัน
อย่างที่บอก.. มันเป็นเรื่องของคนสองคน

ขอให้คุณมีโปรโมชั่นให้คนรักของคุณไปนานๆนะครับ :)




 

Create Date : 16 มีนาคม 2549    
Last Update : 16 มีนาคม 2549 2:22:05 น.
Counter : 1611 Pageviews.  

๋JK Rowling จากเรื่องร้ายกลายเป็นสวรรค์

ผมพยายามนึกว่า ณ วันนี้ี้
คนที่มีชีวิตในทางโลก ยังรับสื่อต่างๆอยู่บ้าง
ที่ไม่เคยได้ยินชื่อของพ่อมดน้อย แฮร์รี่ พอตเตอร์

จะมีสักกี่คน

แฮร์รี่ พอตเตอร์ หรือที่บางคนเรียกเล่นๆว่า ช่างปั้นหม้อ ขนดก
กลายเป็นวรรณกรรมเยาวชน ที่ขายดีที่สุดในโลกเล่มนึง
เป็นหนังสือที่ทำให้เด็กหลายคนสนใจการอ่านขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

แต่ที่ไม่น่าเชื่อไปกว่านั้น ..
แฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นผลิตผลจากมันสมองของคุณแม่วัยกลางคนที่โดนสามีทิ้ง
ไม่มีงาน ไม่มีเงิน

เธอแบกความระทมทุกข์ เข้าไปนั่งในร้านกาแฟ
และอาศัยจินตนาการเป็นเครื่องบรรเทาทุกข์
เธอปลดปล่อยตัวเองผ่านตัวละครที่เธอสร้างขึ้น
ลงบนกระดาษเช็ดปากในร้านกาแฟ

นั่นคือห้องทำคลอดของ แฮร์รี่ พอตเตอร์
เด็กที่มีพื้นเพน่าเวทนา เป็นลูกกำพร้า
อาศัยลุงป้าอยู่ในห้องใต้บันได

แฮร์รี่ พอตเตอร์ ขาดหลายสิ่งเหมือนกับ เจเค โรวลิ่ง
แต่มีสิ่งหนึ่ง ที่ เจเค โรวลิ่ง ไม่มี และไฝ่ฝันอยากจะมี นั่นคือ "เวทย์มนต์"

ถึงวันนี้.. แม่ม่าย โรวลิ่ง จะยังไม่มีเวทย์มนต์อย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์
แต่พ่อมดน้อย ก็บันดาลให้เธอกลายเป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จ
และโด่งดังที่สุดคนหนึ่งในโลก

รายได้มหาศาลมาจากค่าลิขสิทธิ์หนังสือ ภาพยนตร์ของที่ระลึกต่างๆ ในปัจจุบัน
เกิดขึ้นได้เพราะเรื่องร้ายที่เกิดกับเธอโดยแท้

ลองนึกว่า.. ถ้าวันนั้น สามีเธอไม่ทิ้งไป
วันนี้ เธอก็อาจจะยังคงเป็น แม่บ้านโทรมๆคนนึง
ที่เลี้ยงลูกไปวันๆ พึ่งพารายได้นิดๆหน่อยๆจากสามี เหมือนเดิม

เธอไม่ใช่คนแรก ไม่ใช่คนเดียว และผมเชื่อว่า.. ไม่ใช่คนสุดท้าย
ที่เจอกับเรื่องร้ายๆในชีวิต แล้วอาศัยเรื่องร้ายนั้น
เป็นบาทฐานในการไต่ขึ้นไปสู่จุดที่ดีกว่า สูงกว่า สง่างามกว่า จุดเดิมที่เธอต้องสูญเสียไป

ถ้ามูลสัตว์ ที่เน่าเหม็น
ยังเป็นปุ๋ยชั้นเลิศให้พืชพรรณงอกงามได้ฉันใด

เรื่องเลวร้ายในชีวิตที่เจอ
ก็ย่อมนำความงดงามมาให้ชีวิตเราได้เฉกเช่นกัน
อยู่ที่เราจะมีสติปัญญา จะนำพาชีวิตไปได้แค่ไหน จากจุดนั้น

จะไปได้สูง ได้ไกลอย่าง เจเคโรวลิ่งไหม คงไม่สำคัญ
ขอเพียงแค่่.. อย่าจมกับเรื่องร้ายๆนานเกินไปนะครับ

มันเหม็น.. :)




 

Create Date : 15 มีนาคม 2549    
Last Update : 15 มีนาคม 2549 1:14:39 น.
Counter : 1335 Pageviews.  

Both Sides Now

ใครที่รู้จักผมเป็นการส่วนตัว จะทราบว่าผมเป็นนักฟังเพลง
เวลาตอบกระทู้ บางทีผมก็ยกเนื้อเพลงมาเล่าให้ฟัง
บ้างก็เล่าถึงชีวิตของนักร้องศิลปินบางคน ที่ใช้อ้างอิงกันได้

แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่า ข้อเสียในการเป็นนักฟังเพลงของผม
คือผมจะสนใจในรายละเอียดส่วนดนตรี มากกว่าเนื้อร้อง

นั่นคือเหตุที่หลายๆครั้ง ผมรู้จักเพลงดีๆมานานแสนนาน
โดยไม่รู้เลยว่า ความหมายของมันคืออะไร
เพลงดีๆหลายๆเพลง ก็เลยกลายเป็นเพลงธรรมดาๆสำหรับผม

เหมือนชีวิตของหลายคนที่อ่านอยู่ ..
บางที เรามีสิ่งดีๆใกล้ๆตัว แต่เราไม่เคยรับรู้ หรือมองเห็นค่าของสิ่งนั้น

ต้องรอให้มีเหตุการณ์อะไรสักอย่าง มาเตะหัวใจเราให้ตื่น
มาเห็นความจริง มาเปลี่ยนมุมมองที่เราเคยมี
มามองในด้านที่เราไม่เคยเห็น หรือเห็นแต่ไม่เคยสนใจมาก่อน
.................
ช่วงส่งท้ายปีเก่าเมื่อราว สาม-สี่ปีก่อน ผมไปดูหนังเรื่อง Love Actually
พนันได้ว่าหลายคนชอบหนังเรื่องนี้ เหมือนกัน

ผมไปสะดุดเพลงเข้าเพลงนึง ในหนัง ที่ผมรู้จักมานานแล้ว ..
แต่ไม่เคยใส่ใจให้ค่าอะไรเป็นพิเศษ

เพลงชื่อว่า.. Both Sides Now ร้องโดย Joni Mitchell ครับ
จะว่าไปตอนที่ได้ยินเพลงนี้ในหนัง ผมก็ยังเหมือนเดิม คือชอบดนตรีของฉบับนี้มาก
แต่ก็ไม่ได้สนใจเลยว่าเนื้อเพลงเขาร้องอะไรบ้าง

จนกระทั่งผมไปนั่งฟังเพลงนี้ ที่ออฟฟิศเก่า
แล้วเจ้านายผมมานั่งฟังด้วย แล้วแกก็เล่าให้ฟังว่าเนื้อเพลงนี้มันดียังไง

แกบอกว่า เนื้อเพลงเล่าถึงมุมมองของคนสามวัย

จากวัยเด็ก ที่ชอบมองท้องฟ้า เห็นเมฆแล้วก็จินตนาการไปสวยงาม
พอโตขึ้น เมฆกลับกลายเป็นตัวขวางแสงแดด ตัวสร้างฝนและหิมะ
เป็นต้นเหตุของอุปสรรคไม่ให้เราได้ทำหลายอย่างที่อยากทำ
พอมองย้อนกลับไป.. เออนะ ดูเหมือนตอนเด็กๆเราไม่เคยรู้จักเมฆเลย

พอเป็นวัยรุ่น วัยหนุ่มสาว
เราก็มีมุมมองความรักแสนหวานสีสวย
แต่พอรักกลับกลาย ฝันสลาย ถึงได้เห็นอีกด้านของความรัก

เห็นทั้งมุมของการรับ และการให้ .. การพบและพลัดพราก
เห็นว่ามันก็แค่อีกเรื่องราว ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ในชีวิตยึดมั่นถือมั่นกับมันไม่ได้

มองย้อนกลับไป.. เหมือนกับเราไม่เคยเข้าใจความรักเลย

พอเลยวัยหนุ่มสาวไป เป็นผู้ใหญ่ มองย้อนดูชีวิต ที่เห็นและเป็นไป
ผ่านชีวิตแต่ละวันมาก็มาก ทั้งดี ทั้งร้าย ทั้งได้ และเสีย

มองย้อนกลับไป ถึงได้เห็นว่า ชีวิตก็เป็นคล้ายภาพลวง
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ยึดมั่นอะไรไม่ได้
เหมือนเราไม่รู้ ไม่เข้าใจ ความจริงของชีวิต

นายเก่าผมบอกว่า.. บางทีคนที่รู้จักชีวิตมากที่สุด
คือคนที่รู้ตัวว่า.. เราไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย

คนที่ฉลาดที่สุด.. คือคนที่รู้ตัวว่าตัวเองโง่มากนั่นแหละ

เพราะถ้าอัตตามันบังตา มันก็ไม่เห็นความจริง
บางทีความจริงอยู่ใกล้แค่ไรผม ติ่งหู ปลายจมูก
ก็ไม่เคยเห็นเลย ว่ามันมีอยู่

ฟังแล้วขนลุกครับ ...

เสียดายที่ผมเอาเพลงมาใส่ไม่เป็น
ใครทำเป็นช่วยแนะนำผมหน่อย
คราวหลังพูดเรื่องอะไรแบบนี้ จะได้ฟังเพลงด้วย

เนื้อเพลงที่ว่า อยู่ข้างล่างนี่ครับ :)

Rows and floes of angel hair
And ice cream castles in the air
And feather canyons ev’rywhere
I’ve looked at clouds that way

But now they only block the sun
They rain and snow on ev’ryone
So many things I would have done
But clouds got in my way
I’ve looked at clouds from both sides now
From up and down, and still somehow
It’s cloud illusions I recall
I really don’t know clouds at all

Moons and junes and ferris wheels
The dizzy dancing way you feel
As ev’ry fairy tale comes real
I’ve looked at love that way

But now it’s just another show
You leave ’em laughing when you go
And if you care, don’t let them know
Don’t give yourself away

I’ve looked at love from both sides now
From give and take, and still somehow
It’s love’s illusions I recall
I really don’t know love at all

Tears and fears and feeling proud
To say I love you right out loud
Dreams and schemes and circus crowds
I’ve looked at life that way

But now old friends are acting strange
They shake their heads, they say I’ve changed
Well something’s lost, but something’s gained
In living ev’ry day

I’ve looked at life from both sides now
From win and lose and still somehow
It’s life’s illusions I recall
I really don’t know life at all
I’ve looked at life from both sides now
From up and down, and still somehow
It’s life’s illusions I recall
I really don’t know life at all

สุขสันต์วันอังคาร .. วันนี้วันพระครับ :)




 

Create Date : 14 มีนาคม 2549    
Last Update : 14 มีนาคม 2549 9:17:36 น.
Counter : 1635 Pageviews.  

ธรรมะ อยู่ไกลๆ จริงเหรอ??

ผมมีเหตุอยู่หลายข้อ ที่ทำให้ต้องหันกลับไปมองตัวเองอย่างจริงจังอีกครั้ง เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา จนถึงเดือนที่แล้ว

ที่จริงข้อธรรมคำสอนที่ผมได้ยินได้ฟังมามันก็มีไม่น้อย
แต่เชื่อไหมครับว่า.. บางข้อนี่..ได้ฟังมาสิบกว่าปี
ถึงจะเข้าถึงจริงๆว่า ความหมายมันคืออะไร

ผู้รู้ท่านสอนว่า.. ธรรมะ อาจเข้าใจได้
แต่เข้าถึงไม่ได้..ด้วยการฟังแล้วคิด

เหมือนคนไม่เคยกินโรตีบอย ได้แต่กลิ่นแต่ขี้เกียจไปยืนต่อคิวแบบผม
ถึงจะเห็นจะอ่าน จะฟังคนบรรยายให้ละเอียด แจ่มชัดยังไง
ก็คงไม่เท่าการรับรสที่ผ่านลิ้นของเราเอง

ธรรมะ ก็มักเป็นแบบนั้นแหละครับ

สมัยเด็ก ผมมักจะนึกภาพเหมือนๆหลายท่านตอนนี้ ว่า..
ธรรมะคืออะไรสักอย่าง.. สูงๆ .. อยู่ไกลๆ.. จะเข้าถึงได้ ต้องหลับตา
ต้องนั่งสมาธิ ต้องเดินจงกรม ต้องนุ่งขาวห่มขาว
ต้องอยู่ในวัด หรือในห้องพระ ต้องอยู่ในที่เงียบๆ

จนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผมเพิ่งตระหนักว่า ธรรมะ ไม่ได้อยู่ไกลอย่างที่เราคิด

มันอยู่ในทุกขณะจิต ในตัวเรา รอบๆตัวเรา
มันคือธรรมชาติของกาย ธรรมชาติของจิต
ถ้าเราอยากเห็นธรรม ก็เพียงแค่ "รู้สึกตัว" แบบ สักว่ารู้สึกตัว
ไม่ถลำไปจ้อง ไม่บังคับ แต่ไม่ไหลตามมันไป

เป็นการรู้สึกตัวแบบ "ทางสายกลาง"
เหมือนเราดูละคร โดยไม่ชะโงกหน้าไป ไม่ไปพยายามแต่งเรื่องให้เขาใหม่

เราก็จะเห็นความจริงแห่งธรรมชาติ ของกายและจิต
ว่าไม่มีอะไรเลย ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ แล้วไม่ดับไป

จะความโกรธ หรือความรัก
ความเฉยๆ หรือวุ่นวาย
ความทุกข์ หรือความสุข

มันล้วนแต่มา อยู่สักพัก แล้วก็ไปตามกาล

ยกตัวอย่าง
เมื่อวานมีโทรศัพท์ใครบางคน ที่ผมไม่สบายใจจะคุยด้วยแล้ว
โทรเข้ามือถือผม

ความรู้สึกแรกคือตกใจ สับสนว่าควรจะรับดีไหม
แล้วความไม่อยากก็ตามมา

ผมรับไปหนึ่งครั้ง พูดธุระเท่าที่จำเป็นด้วยความสุภาพ
พอครั้งที่สอง เทวดา ท่านคงสงสารผม
โทรศัพท์เลยแฮงค์ ไปซะงั้น

ผมคิดกังวลอยู่สักพัก ว่าเธอจะเข้าใจว่า
การรับโทรศัพท์ครั้งแรก คือสัญญานบวกของผม
และจะยังโทรมาอีก เรื่อยๆ

ตอนที่เห็นชื่อเธอบนโทรศัพท์นั่นคือความรู้สึกตกใจ
พอมันจบลง ความสับสนเกิดขึ้นแทน ว่าจะรับไม่รับ
ตามมาด้วยความกังวล ซึ่งก็เกิดหลังจากความสับสน
แล้วสักพักก็สงบ ไปวุ่นวายเรื่องอื่นต่ออีก

เห็นไหมครับว่าอารมณ์มันเกิดขึ้นไวมาก
มันเกิด ดับ เกิด ดับ เพราะจิตคนเราเกิดดับตลอดเวลา
เหมือนกระแสไฟฟ้าจากหลอดไฟ ที่กระพริบๆๆๆๆๆ
แต่เราไม่เคยเห็นด้วยตาเปล่า ว่ามันกระพริบ
เราเห็นแค่ความสว่างที่เกิดมาต่อเนื่องเป็นสาย

ไม่ต้องหลับตา ไม่ต้องอยู่ในวัด ไม่ต้องนุ่งขาว
ไม่ต้องทิ้งความเป็นสาวทันสมัย หรือหนุ่มไฮโซ
เห็นได้แม้ภายใต้เมคอัพหนาเตอะ หรือบนรองเท้าปราด้า
ไม่ต้องนั่งสมาธิ แต่นั่งรถเมล์รถพอร์ช ซีรีส์เจ็ดก็เห็นได้

ว่านี่คือธรรมชาติของจิต ที่ทำงานตลอดเวลา
แต่ไม่มีอารมณ์ใดคงที่ เที่ยงแท้ แน่นอน
มันเกิดมา แล้วก็ดับไป ทั้งนั้น

นี่ก็คือการปฏิบัติธรรมง่ายๆแต่ได้ใจความแล้วครับ :)




 

Create Date : 12 มีนาคม 2549    
Last Update : 12 มีนาคม 2549 18:42:23 น.
Counter : 1244 Pageviews.  

จุดเริ่มต้น : At the beginning.

มีคนถามผมบ่อยๆ .. ว่าคุณ aston27 ไม่ทำ Blog บ้างเหรอ

คำตอบคือ อยากทำ เพราะผมเป็นคนชอบเขียน
แต่เกรงใจคนที่จะมารออ่าน เพราะผมอาจไม่มีเวลามาเพิ่มเติม blog ได้บ่อยๆ

ดังนั้น..ถึงผมจะไม่ใช่แดง ไบเล่ย์ แต่ก็ต้องบอกว่า
จะเป็นแฟน blog ผม.. ต้องอดทน !! (ฮ่วย) /font>

ผมทำกราฟฟิคไม่เป็น .. นั่นคือประเด็นที่สอง
จะเอารูปไปย่อเพื่อมาตกแต่ง ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็น
blog ของผมมันจึงอาจจะไม่มีอะไรสวยๆงามๆให้คุณเห็น

อันนี้ต้องขออภัย..

สาม.. คือผมเป็นคนซุ่มซ่าม
เขียนๆทำๆอะไรไปสักพัก อาจจะเผลอไปคลิกอะไรสักอย่าง
ที่ทำให้ทุกอย่างหาย หรือเจ๊งกะบ๊ง เอาง่ายๆ

นี่ก็ต้องขออภัยอีก ..ล่วงหน้า

ไหนๆ ก็จะเริ่มต้นแล้ว
ผมพูดถึงสโลแกนหน่อยก็แล้วกัน

ใครที่เป็นแฟนหนัง Matrix อาจจะนึกว่าผมไปยืมไอเดียพี่น้อง วาโชวสกี้ มา

ถูกแค่ครึ่งเดียวครับ.. เพราะที่จริง ไอ้สโลแกนที่ว่า
มันมาจากศาสนาพุทธของพระสมณโคดม ศาสดาของเราตะหาก

สิ่งใดที่เกิดขึ้น.. ย่อมดับไปเป็นธรรมดา

ผมนึกไม่ออกว่า ..ตลอดชีวิตที่ผ่านมา
ผมอาศัยธรรมข้อนี้เป็นเครื่องอธิบายคลายทุกข์ทางความคิดของตัวเองและคนอื่นมาแล้วกี่พันครั้ง

รู้แต่ว่ามากโขอยู่.. มากพอที่จะทำให้ผมไม่รู้จะเริ่มนับยังไงนั่นแหละ

Matrix จึงไม่ได้เป็นแค่หนังแอ็คชั่นล้ำสมัย
ที่มีลีลาหลบกระสุนเท่ๆของ คีอานู รีฟส์ เท่านั้น
แต่ยังเท่ไปด้วยการผสมผสานปรัชญาแบบพุทธเข้าไว้ในเนื้อหาหลายๆตอน

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ว่า.. มนุษย์ในโลกนี้ ส่วนมากจะตื่นแต่ตัว
แต่ใจนั้นไม่เคยตื่นเลย

ชีวิต ความคิด จิตใจ เราถูกหล่อเลี้ยงด้วย กิเลส สารพัด
ที่เราไม่มีวันหนีมันพ้น ตราบใดที่เรายังเป็น มิสเตอร์ แอนเดอร์สัน
จะหลุดพ้นได้ก็เมื่อเราตื่นขึ้นมาเป็น "นีโอ"

การหลุดพ้นของ นีโอ.. ทำให้เขามองเห็นทุกอย่างใน Matrix เป็นรหัส 01 01 01
เหมือนที่พระพุทธเจ้าบอกว่า.. โลกนี้ มีแค่ "รูป" กับ "นาม"

ที่เหลือนอกจากนี้ เป็นคำที่เราสมมติขึ้นมาเรียก ทั้งนั้น

ถ้าเห็นความจริงข้อนั้นได้.. (ย้ำว่า เห็นจริงๆนะ ไม่ใช่คิดเอา)
กิเลสทั้งหลายก็ทำอะไรเราไม่ได้

เพราะกิเลส ก็เป็นแค่นามตัวหนึ่ง.. ที่เกิดขึ้น.. และก็ดับไปเป็นธรรมดา

ไม่รู้เรื่องเลยก็ไม่ต้องตกใจนะครับ :)
เดี๋ยวจะไม่กล้าเข้ามาอ่านอีก 555

สุขสันต์วันเสาร์ครับ




 

Create Date : 11 มีนาคม 2549    
Last Update : 11 มีนาคม 2549 7:38:13 น.
Counter : 1708 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.