รอยเท้าที่เลือนหาย
(ภาพจาก //www.oknation.net/.../430/3430/images/Image2.jpg) หลวงพ่อรูปนึง ท่านเล่าว่า สมัยหลวงปู่มั่น ท่านคนเดียวมีลูกศิษย์เก่งๆคอยสืบทอดคำสอนเป็นสิบๆคน แต่พอมาสมัยนี้ ครูบาอาจารย์เก่งๆมรณภาพไป เรื่อยๆ ชนิดที่หลายๆองค์มีตัวตายตัวแทนรวมกันแค่คนเดียวก็มี ผมไม่เคยเรียนกับหลวงพ่อปัญญาฯ แต่ผมเคยฟังท่านบรรยายธรรม ทางวิทยุบ่อยๆ รวมทั้งชอบไปวัดอุโมงค์ที่ท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสที่นั่นอยู่หลายปี และชื่นชมเคารพในวิถีการส่งผ่านธรรมะของวัดชลประทานฯ ไปยังชาวบ้าน ใครเคยไปงานศพที่วัดชลประทานฯ น่าจะเข้าใจสิ่งที่ผมบอก คือวัดนี้เขาไม่ได้สวดยาวๆ เป็นภาษาบาลี เขาให้พระมานั่งแสดงธรรมเลย หลวงพ่อปัญญา ท่านเป็นพระที่ปฏิรูป ศาสนพิธีไว้หลายเรื่อง ผมเรียกว่าเป็นการปอกเปลือกของศาสนาให้เหลือแก่นมากที่สุด ครูบาอาจารย์ผมท่านเคยเตือนว่า .. ให้รีบลงมือปฏิบัติภาวนา รู้กาย รู้จิตตัวเองไว้เนืองๆ อย่าประมาท เพราะรอยเท้าของพระผู้บอกทางที่เป็นอริยสงฆ์แท้ๆ กำลังจางและเลือนหายไปเรื่อยๆ หลวงพ่อปัญญา ก็เป็นรอยเท้าอีกรอยที่กำลังจะเลือนหาย *********************************************** หลายวันก่อน เพื่อนสนิทผมโทรมาปรึกษาเรื่องหาเพลงไปประกอบการเสนองาน ผมเลยมีโอกาสนั่งขุดเพลงในชั้นวางมาพลิก มาเปิดฟัง แล้วก็เจอเพลงๆนึงของ lighthouse family ซึ่งผมชอบเนื้อหามันมาก เคยนึกว่าจะเอามาใส่บล็อคไว้แต่ลืมไปแล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องของท่านปัญญาข้างบนหรอกนะครับ เพลงนี้ชื่อว่า "เรามักจะต้องการสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา" You always want what you haven't got เนื้อเพลงเขาบอกว่า It's like I just woke up one morning Looked at the way that we live Thought things could be so much better There must be better than this มันเหมือนผมเพิ่งตื่นมาในเช้าวันนึง เหลียวดูวิถีทางการใช้ชีวิตของเรา นึกขึ้นได้ว่า อะไรๆมันน่าจะดีกว่านี้ มันต้องดีกว่านี้สิ Thought if I relocated To where the grass is greener Maybe I'd be happy again ถ้าผมได้ย้ายไปอยู่ ในที่ซึ่งหญ้ามันเขียวกว่านี้ บางทีผมอาจจะมีความสุขอีกครั้ง But I'm a little bit disappointed Cos now I've got my freedom But I'm still looking over the fence It's always the same At the end of the day You always want what you haven't got แล้วมันก็อีหรอบเดิม คือ..ท้ายที่สุดแล้ว คุณจะอยากได้อะไรที่ไม่ใช่ของคุณเสมอ It's like the hands on the clock stopped turning Right at the moment you left You went looking for something better You stopped me dead in my tracks มันเหมือนเข็มนาฬิกาหยุดเดิน ณ วินาที ที่คุณจากไป คุณไปเพื่อมองหาสิ่งที่ดีกว่า ปล่อยให้ผมซังกะตายอยู่คาที่ It's a bittersweet emotion That I'm feeling baby, now you're happy again ใจผมมันขื่นขมผสมหวานนะ คนดี ที่ยามนี้ได้เห็นคุณเป็นสุขอีกครั้ง But I'm a little bit disappointed Cos now you've got your freedom But you're still looking over the fence แต่ผมก็ผิดหวังนิดนึงนะ เพราะตอนนี้คุณมีอิสระแล้ว คุณก็ดันชะเง้อมองข้ามรั้ว(อยาก)กลับเข้าไปอีก It's always the same At the end of the day You always want what you haven't got แล้วมันก็อีหรอบเดิม คือ..ท้ายที่สุดแล้ว คุณจะอยากได้อะไรที่ไม่ใช่ของคุณเสมอ It's always the same It won't ever change You always want what you haven't got Thought if I relocated To where the grass is greener Maybe I'd be happy again But I'm a little bit disappointed 'Cos now I've got my freedom But I'm still looking over the fence It's always the same At the end of the day You always want what you haven't got It's always the same It won't ever change You always want what you haven't got You always want what you haven't got You always want what you haven't got You always want what you haven't got คนอังกฤษมีสำนวนว่า "สนามหญ้าบ้านอื่น มักจะเขียวกว่าบ้านเราเสมอ" หมายถึงมนุษย์เรามักจะไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ ไอ้คนที่เป็นโสดก็อยากมีคู่ คนที่มีคู่ก็อยากเป็นโสด คนไม่มีลูกก็อยากมี คนที่มีลูกก็ไม่อยากมี เห็นแฟนเพื่อน ก็มักจะคิดว่าดีกว่าแฟนตัวเอง หรือคิดว่างานของเพื่อน ดีกว่างานของตัวเอง กระทั่งคิดว่าชีวิตคนอื่น ดีกว่าชีวิตตัวเอง ตอนที่นั่งฟังเพลงนี้ ผมชอบเนื้อเพลงนี้ตรงนี้แหละ สุขสันต์วันสุขนะครับ
Create Date : 12 ตุลาคม 2550
Last Update : 20 ตุลาคม 2550 21:09:19 น.
Counter : 1582 Pageviews.
The Namesake ชื่อนี้ที่พ่อให้
คุณจริงจังกับชื่อของคุณขนาดไหนครับ? แล้วเคยนึกอยากเปลี่ยนไหม ผมเคยนึกๆว่าจะเปลี่ยนชื่ออยู่วูบๆ เพราะดันไปอ่านคู่มือตั้งชื่อเข้าเล่มนึง แล้วเขาบอกว่า ชื่อผมเนี่ย มันมีตัวกาลกิณีอยู่หนึ่งอักษร แต่ถึงที่สุดแล้ว ก็เสียดายชื่อที่พ่อตั้งให้ และอยู่กับมันมาตั้งสามสิบกว่าปี ถึงมันจะเป็นแค่ "สมมติบัญญัติ" แล้วก็เพราะคิดว่ามันเป็นแค่ "สมมติบัญญัติ" นั่นแหละ ผมถึงไม่ไยดีว่าจะต้องเปลี่ยน ยุคนี้เป็นยุคที่การเปลี่ยนชื่อกลายเป็นเรื่องปกติอย่างนึง พอๆกับการทำศัลยกรรม วัตถุประสงค์ที่จะเปลี่ยน ก็ใกล้เคียงกับการทำศัลยกรรม คือคิดว่าเปลี่ยนแล้วชีวิตจะดีขึ้น คนที่เปลี่ยนชื่อ ถ้าไม่เพราะมีหมอดู หรือใครมาทัก ก็เพราะความสบายใจบางอย่าง คนที่ทำศัลยกรรม ถ้าไม่เพราะมีใครเคยทักเรื่องจอแบน ก็เพราะความสบายใจบางอย่าง เราเลยเห็นดาราหลายคนเปลี่ยนทั้งชื่อ และทำศัลยกรรม อนุมานว่ามีหมอดูทัก และเพื่อความสบายใจบางอย่าง น้อยคนจะนึกอยากเปลี่ยนชื่อ เพียงเพราะโดนเพื่อนล้อ สักสองเดือนก่อน มีหนังเล็กๆเรื่องนึงที่น้อยคนจะรู้จักออกขายในเมืองไทย โดยเป็นผลงานของผู้กำกับสาวอินตะระเดียชื่อว่า มิรา แนร์ ผมได้แผ่นเรื่องนี้มานาน แต่เพิ่งจะมีโอกาสเปิดดูเมื่ออาทิตย์ก่อน ดูแล้วนึกเสียดาย ที่หนังดีๆแบบนี้ กำลังจะเงียบหายไปอีกเรื่องนึง หนังเล่าเรื่องครอบครัวชาวอินเดียที่ไปตั้งรกรากในอเมริกา ตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ที่เกิดในกัลกัตตา จนถึงรุ่นลูกที่เกิดและโตในอเมริกา เรื่องของชื่อพระเอกมันเป็นเรื่องขึ้นมา เพราะคนอินเดียแท้ๆ จะมีสองชื่อ คือชื่อเล่นตอนที่พ่อแม่เรียกตั้งแต่เกิด กับชื่อจริงที่จะต้องมีพิธีตั้งกันภายหลัง ในตอนที่พระเอกเกิด ตามกฏหมายของอเมริกา ถ้าเด็กไม่มีสูติบัตร จะออกจากโรงพยาบาลไม่ได้ และจะมีสูติบัตรได้ ก็ต้องมีชื่อ พ่อไม่รู้จะเอาชื่ออะไร เลยตั้งชื่อเขาตามชื่อของนักเขียนคนนึงว่า "โกกอล" เพราะโกกอล เป็นทั้งนักเขียนคนโปรดและเกี่ยวพันกับการรอดชีวิตจากอุบัติเหตุแบบมหัศจรรย์ของเขา แต่เพราะความที่การเปลี่ยนชื่อกลับเป็นเรื่องวุ่นวาย และตัวพระเอกในวัย 4 ขวบ ก็ดันชอบชื่อเดิมว่า "โกกอล" มากกว่าชื่อใหม่ ประกอบกับอาจารย์ใหญ่ที่โรงเรียนสำทับมาด้วยกระดาษโน๊ตว่า "ในอเมริกา เด็กย่อมมีสิทธิใช้ชื่ออะไรก็ได้ที่เขาต้องการ" โกกอล เลยมีชื่อเหมือนนักเขียนชาวรัสเซียที่มีชีวิตแสนเพี้ยน นับแต่นั้นมาจนโต พอเรียนชั้นมัธยม ชื่อของเขาเป็นประเด็นฮา ให้เพื่อนล้อ จนเขาตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย หนังเรื่องนี้แสดงความผูกพันของคนรัก ของสามีภรรยา ของพ่อลูก แม่ลูก พี่กับน้อง คนที่ไม่ค่อยจะยอมผูกพันกับใครแบบผม ดูแล้วยังเห็นจิตตัวเองมันซึมไปเหมือนกัน ผมเล่าเท่านี้แหละครับ อยากให้คุณไปหามาดู เรื่องนี้ขายปลีกแค่ สามร้อยกว่าบาท ผมชอบฉากนึงที่ครอบครัวนี้กลับไปเยี่ยมญาติในอินเดีย แล้วแวะไปเที่ยวทัชมาฮาล ที่ซึ่งพระเอกประทับใจ ขนาดเกิดแรงบันดาลใจจะเลือกเรียนสถาปัตย์ แทนวิศวะที่ตั้งใจไว้เดิม ในฉากนี้ ภรรยาบอกสามีถึงความซึ้งใจในความรักที่กษัตริย์ชาห์ ชฮาน มีต่อมเหสีมุมตัซ ขนาดสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่และงดงามแบบนี้ได้ สามีตอบว่า.. สามีเธอก็รักเธอมากเหมือนท่านชาห์นะ เพียงแต่มันไม่มีปัญญาจะสร้างอะไรใหญ่โตแบบนี้ให้เท่านั้นเอง ในตอนท้ายเรื่อง พระเอก เปลี่ยนกลับไปใช้ชื่อเดิมที่พ่อตั้งให้ เลิกกับแฟนฝรั่ง แล้วไปแต่งงานกับสาวเบงกาลีเชื้อชาติเดียวกัน คนที่แม่เคยพยายามจับคู่ให้ แต่ที่สุดก็พบว่าชีวิตมันไม่มีสูตรสำเร็จ ชีวิตครอบครัวของโกกอลต้องจบลงเพราะสาวที่แม่ชอบ กลับลักลอบมีชู้กับคนรักเก่า การเลือกอะไรอย่างที่คิดว่า มันน่าจะดีเพียงเพราะแม่เห็นว่าดี ก็ไม่ใช่จะดีเสมอไป เพราะในขณะเดียวกัน น้องสาวที่แต่งงานกับคนต่างวัฒนธรรมอย่างคนอเมริกัน กลับอยู่กันอย่างเป็นสุข ผมว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ผู้กำกับเธอเปิดกว้างไว้ เพื่อไม่ให้รู้สึกว่าเธอให้น้ำหนักกับขนบธรรมเนียมมากแต่ข้างเดียว ไม่ว่าคุณจะยึดมั่นในการใช้ชีวิตแบบไหน จะใช้ชื่อเดิมที่พ่อให้ หรือชื่อใหม่ที่แสนจะหรูหรา ผมก็อวยพรให้คุณโชคดี มีสติไว้เนืองๆ นะครับ
Create Date : 09 ตุลาคม 2550
Last Update : 12 ตุลาคม 2550 9:48:14 น.
Counter : 2336 Pageviews.