Group Blog
 
All blogs
 

คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้




ชื่อบล็อควันนี้ มาจากสโลแกนใต้รูปทางขวาของผมเองครับ

ตอนใส่ประโยคสั้นๆสองอันนี้ ไม่มีเจตนาจะทำให้ใครงงหรอกครับ
เพียงแต่ผมอยากเขียนไว้เตือนตัวเอง ไม่ให้หลงทางในการปฏิบัติ

แต่เมื่อใน 2 บล็อคก่อนหน้านี้ คุณ printcess of the moon ออกปากว่าไม่เข้าใจ
ผมเลยสัญญาไว้ว่าจะขึ้นบล็อคใหม่ตอบให้คลายสงสัย

ว่าแต่... จะเริ่มอธิบายยังไงดีล่ะนี่

เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน..
ถ้ามันวิชาการไปนิดโปรดคิดอภัย อย่าไปโทษแก๊สโซฮอลล์เลยน๊า

พระพุทธเจ้าท่านแบ่งระดับของปัญญา หรือความรู้ ไว้เป็น 3 ระดับครับ
เรียงตามระดับรู้น้อยไปหารู้มาก เป็นภาษาแขกว่า

1. สุตตมยปัญญา (อ่านว่า สุด-ตะ-มะยะปัญญา)
2. จินตมยปัญญา (อ่านว่า จิน-ตะ-มะยะปัญญา)
และระดับสูงสุดคือ 3. ภาวนามยปัญญา (อ่านว่า พาว-วะ-นา-มะยะปัญญา)

แปลเป็นภาษาไทยสมัยรัตนโกสินทร์ศกปัจจุบัน ว่า
1. ความรู้ที่ได้จากการฟัง (หรืออ่าน) พูดง่ายๆคือ จำเขามา
2. ความรู้ที่ได้จากการคิด นึก วิเคราะห์ พิจารณา
และ 3. ความรู้ที่ได้จากการภาวนา


ที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญความรู้ที่ได้จากการภาวนา ก็เพราะท่านค้นพบว่า
มันเป็นความรู้ หรือปัญญาชนิดเดียว ที่จะนำพาสิ่งมีชีวิตไปสู่การหลุดพ้นได้
ที่ท่านเอ่ยว่า บุคคลเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ ด้วยปัญญา ท่านหมายถึงปัญญาตัวนี้แหละครับ

(ท่านไม่เคยบอกว่า บุคคลเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยสมาธินะครับ
ใครที่ชอบนั่งสมาธิอย่างเดียว แล้วคิดว่าจะบรรลุธรรม
แนะนำว่าน่าจะปรับความเข้าใจใหม่)

ที่น่าสังเกตคือ ท่านแยกไว้ชัดเจนว่า
ความรู้จากการ "คิด" ยังเป็นแค่ปัญญาขั้นที่สอง
อันนี้ไม่ต้องพูดถึงปัญญาพื้นๆขั้นแรก อย่างสุตตะ

สมัยนึงผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือธรรมะมาก อ่านมากก็คิดว่าตัวเองรู้มาก
แต่ตอนนั้น มานะอัตตาเยอะแยะยุ่บยั่บ ไม่ยักกะมองเห็น
เป็นข้อยืนยันได้ว่า มันเป็นปัญญาระดับสิวๆ ช่วยอะไรเราไม่ได้มากมาย
อย่าว่าแต่จะไปถึงนิพพานเลย แต่ชีวิตเจอทุกข์ธรรมดาก็ขาดสติลืมหมดแล้ว

วิธีการจะนำมาซึ่งปัญญาในขั้นที่สาม ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ว่าต้อง "ภาวนา"
ภาวนา หมายถึง การทำให้เจริญขึ้น

ถามว่า ทำให้อะไรเจริญเจ้าขา คุณแอสตั้น?
ตอบโดยอ้างอิงพระสูตร ว่าด้วย สติปัฏฐานสูตรว่า "สติ" ไงครับ

"สติ" กับ "ปัญญา" จึงเป็นคำที่ถูกเอ่ยถึงคู่กันบ่อยๆว่า "สติปัญญา"
เพราะก่อนจะมีปัญญา ต้องทำให้สติที่อยู่นำหน้า เขาเจริญเสียก่อน

ถามว่า คุณแอสตั้น อิฉันจะทำให้สติเจริญได้ยังไง ?
ตอบว่า ครูบาอาจารย์ท่านแนะแนวผมมาเรียบร้อย ว่า
สติ แปลว่า การระลึกได้ ดังนั้น "การจำสภาวะได้" จึงเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติครับ

ผมเดาว่า ท่าทางจะมีคนสงสัยต่อว่า จะทำยังไงให้จิตมันจำสภาวะได้
ตอบว่า.. ให้หมั่นตามรู้ตามดูตัวเองบ่อยๆ ที่บางท่านบอกว่า ให้หมั่นรู้สึกตัวนั่นแหละ

กายเคลื่อนไหว จิตก็ตามรู้ตามดู
จิตเองเคลื่อนไหว ก็อาศัยจิตนั่นแหละคอยตามรู้ตามดู

ครูบาอาจารย์ ท่านแนะให้ทำเท่านี้ แค่รู้สึก ไม่ทำอะไรมากกว่านี้
รู้ ด้วยความเป็นกลาง รู้สบายๆ ไม่เครียด ไม่เพ่ง ไม่จ้อง

รู้ แบบเป็นธรรมชาติ ไม่ดัดจริต ไม่เสแสร้ง ไม่แทรกแซง
จิตดี ก็รู้ว่าดี จิตมันไม่ดี ก็รู้ว่าไม่ดี ไม่ต้องพยายามแก้ไข ดัดแปลง
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ ดี หรือ ไม่ดี มันสำคัญที่ "รู้" หรือ "ไม่รู้"

เพราะถ้าอยากได้ธรรมะ ต้องเข้าใจก่อนว่า ธรรมะ คือธรรมชาตินะครับ
อะไรที่ผิดธรรมชาติ เราไม่เรียกว่าธรรมะ ไม่เรียก "อธรรม" ก็บุญแล้ว

คนที่ภาวนาเป็นแล้ว จะรู้สึกเลยว่า มันง่าย ง้ายยยง่าย ง่ายขำๆ ง่ายจนไม่ต้องทำอะไร
ส่วนคนที่ภาวนายังไม่เป็นไม่ถูกวิธี ยังไม่เข้าใจ จะรู้สึกว่ามันยาก ยากจังเลยโว้ย

แต่ก็..นะ กว่าจะง่าย กว่าจะเป็น มันก็ต้องใช้เวลาศึกษานิดนึง
พูดง่ายๆ มันก็ต้องยาก ต้องลำบากมาก่อนแหละครับ
โดยเฉพาะพวกคาราบาวเรียกพี่แบบอีตาแอสตั้นเนี่ย

อาจารย์ผมท่านเคยเตือนลูกศิษย์ว่า
การศึกษาธรรมะปฏิบัติ มันเหมือนการเรียนทางโลกนะ
กว่าเราจะเรียนจบปริญญาตรี เรียกกันมากี่ปีล่ะ 16 ปี โทอีกสองปี เอกอีกล่ะ

บางคนเป็นเซียนทางโลกมาเรียนธรรมะ กะว่า 7 เดือน จะเอาปริญญาตรีเลย
พวกนี้มึนตึ้บ ม้วนเสื่อกันไปหลายรายแล้ว

เพราะความรู้ทางโลก มันเรียนด้วยความจำ ด้วยการคิด พวกคิดยิ่งเก่ง ยิ่งฉลาด ยิ่งเรียนง่ายเรียนไว
แต่ทางธรรม โดยเฉพาะสายวิปัสสนา ยิ่งคิด ยิ่งโง่ ยิ่งไม่รู้ ยิ่งยาก ยิ่งเนิ่นช้า

อีกอย่าง.. จิตคนเรานี่ มันรู้อารมณ์ทีละหนึ่ง ถ้ามันหลงไปคิดอยู่ มันจะรู้สึกตัวไม่ได้ครับ
ลองสังเกตุดูตัวเองก็ได้ ว่าถ้าคุณตั้งใจคิด ยิ่งคิดเมามันมากเท่าไหร่
ความรู้เนื้อรู้ตัว มันก็ลดลงเป็นเงาตามตัวเท่านั้น ดูพวกชอบเหม่อก็ได้ครับ

ผมถึงใช้คำว่า "คนรู้ ไม่คิด คนคิด ไม่รู้"

จะว่ายากก็ยาก จะว่าลำบากก็ใช่นะ แต่เหมือนถ้าคิดว่าไม่อยากลำบาก
จบ ป.4 ก็พอ จะไปต่อมัธยม อุดมศึกษาให้เหนื่อยทำแป๊ะอะไร

เพราะเรารู้ว่าการเรียนสูงๆ มันมีประโยชน์ มันเป็นการลงทุนลงแรง
เรียนธรรมะ เรียนวิปัสสนา หัดเจริญสติ ก็เหมือนกันครับ

ครูบาอาจารย์ท่านจะเตือนเสมอว่า เรื่องบรรลุธรรม ไม่มีฟลุ๊ก
ถามว่า สมัยพุทธกาล พวกที่ฟังพระพุทธเจ้า 5 นาที บรรลุเลยมีไม่ใช่เหรอคุณแอสตั้น

มีครับ ..

แต่ท่านเหล่านั้น ท่านสะสมการเจริญสติปัญญามาไม่รู้กี่ชาติ
ท่านเดินปัญญามาจนสุดทางแล้ว ขาดแต่คนมาเปิดประตูให้
พอเจอพระพุทธเจ้า ท่านไขกุญแจให้ ก็ผลัวะหลุดออกมาได้เลย

โอว.. ว่าจะอธิบายแค่.. ทำไมคนที่ "รู้" ถึงไม่คิด ทำไมคนที่ "คิด" ถึงไม่รู้
แต่ยาวไปถึงไหนๆ

อันนี้ต้องขออภัย

อยากศึกษามากกว่านี้ เรียนเชิญช่วยเหลือตัวเองได้ ที่ลิงค์ "วิมุตติ" ทางฝั่งขวานี้นะครับ

จะคิดว่าเพื่อเตรียมตนให้พ้นทุกข์ หรือจะคิดว่าไม่จำเป็น
อันนี้ก็ตามสะดวกครับ ไม่ว่ากัน ผมไม่คิดมาก

คิดมากไป เดี๋ยวไม่ "รู้" น่ะครับ

สุขสันต์วันปิยะครับ



ปล. ขออุทิศบุญกุศลจากบล็อคใดๆ ที่ผมเขียนมา และจากที่ผมเคยสร้างสมมา (หากจะมีอยู่บ้าง)
ให้กับคุณซออู้ เพื่อนชาวบล็อคซึ่งเคยแวะมาเยี่ยมผมบ่อยๆ แต่ตอนนี้เธอสิ้นอายุขัยไปแล้ว

เชื่อว่าเธอจะได้ไปสุขคติภูมิครับ




 

Create Date : 23 ตุลาคม 2550    
Last Update : 26 ตุลาคม 2550 1:34:24 น.
Counter : 2333 Pageviews.  

บุญของหิ่งห้อย



ไม่ได้จะมาเปิดหลักสูตรกีฏวิทยาว่าด้วยวงจรชีวิตแมลงอะไรหรอกครับ

เพียงแต่ อย่างที่ทิ้งท้ายในบล็อคที่แล้ว ว่าผมจะไปทำบุญ กลับมาแล้วจะเอามาฝาก
บุญที่ว่า คือไปเป็นพี่เลี้ยงให้ชาวกฟผ. ที่สมัครใจเข้าอบรมเรียนรู้การเจริญสติในชีวิตประจำวัน

เราไปพักปักหลักอยู่ที่รีสอร์ทชื่อ หิ่งห้อยชาเลต์ ซึ่งไม่มีหิ่งห้อยให้เห็นสักตัว
เพราะเขาบอกว่าหิ่งห้อยที่นั่นจะโชว์ตัวในหน้าหนาว
อันนี้เท็จจริงอย่างไร ไม่ทราบนะครับ แต่ไม่เป็นไร

เพราะความตั้งใจจริง ไม่ได้จะดูหิ่งห้อย
แต่เป็นหลักสูตรไปดูกาย ดูจิตตัวเอง

พี่เลี้ยงอย่างพวกผม นอกจากจะให้คำแนะนำผู้เข้าอบรม
ตัวเองก็ต้องคอยดูของตัวเองเหมือนกัน

ข้อสงสัยยอดฮิตที่มักจะเจอ หรือภาษายุคนี้เขาเรียก FAQ ก็จำพวก
"ทำไมไม่กำหนดเจาะจงให้ทำในรูปแบบอะไรสักอย่าง?"
"ดูจิตด้วยความรู้สึกตัว เอาอะไรดู?"
"ดูแล้วเห็นแต่ความคิด ความฟุ้ง มันดีกว่านั่งสมาธิตรงไหน?"

หรือไม่ก็ "วิปัสสนา ไม่ใช่ต้องนั่งสมาธิเหรอ?"
ถ้ายากหน่อยก็เป็นพวก "ไหนทำให้ผมเชื่อหน่อยว่าชาติหน้ามีจริง ผมจะได้เห็นประโยชน์ที่จะฝึกฝน"

โชคดีที่รอบนี้ ไม่เจอคำถามแบบอันหลัง
อาจจะเพราะทุกท่านที่ไปมีศรัทธาอยู่ประมาณนึง และสมัครใจมาเอง
ไม่ใช่โดนที่ทำงานบังคับ หรือผบ. ทบ. (ผู้บัญชาการที่บ้าน) ส่งมา

ความยากของการตอบ ไม่ใช่อยู่ที่คำตอบหรอกครับ
เพราะบางอัน เราผ่านมาแล้ว บางอันก็มีหลักฐานรองรับ เปิดตำราตอบเอายังได้เลย

แต่มันลำบากตรงที่ จะตอบอย่างไร ให้พอเหมาะกับวาระจิตของแต่ละคน
เพราะหลายท่านเป็นชนเผ่าคิดมาก ฟุ้งง่าย ชอบคิดต่อยอด ฟังมากก็ฟุ้งมาก
ฟุ้งมาก ก็เสียเวลามาก เพราะวิปัสสนา ไม่ใช่วิปัสสนึก
คิดเอาไม่ได้ นึกเอาไม่ได้ จินตนาการก็ยิ่งไม่ได้

ไม่ให้ฟังเลย ก็ขัดใจ พาลคิดว่าพี่เลี้ยงตอบข้อสงสัยตัวเองไม่ได้

บางคนก็น่ารัก บอกให้ย้อนไปดูความสงสัยไว้เป็นเบื้องต้น ก็เชื่อ ทำตาม
บางคนก็เหนื่อยหน่อย เพราะทิฎฐิกล้า ซึ่งอันนี้ไม่ผิดปกติ มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล

คือคนที่อยู่ในห้องมืด ไม่เคยเห็นแสงสว่างเลย ถ้าไม่มีอะไรไปสะกิด
เขาก็คิดว่าห้องที่อยู่ มันสว่างดีแล้ว เพราะคุ้นเคยที่จะอยู่ในห้องแบบนั้น

เพียงแต่ชนเหล่านี้ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าท่านบารมีเยอะ
ถ้ามีบุญไปเจอท่าน ท่านบอกทางแป๊บนึงก็หลุดออกมาเห็นแสงสว่าง
แต่ตอนนี้พระพุทธเจ้าท่านมาแสดงธรรมเองไม่ได้ ทิ้งไว้แต่ธรรมให้เราศึกษาเอง

ถ้าท่านเป็นแสงอาทิตย์ ผมก็เป็นได้แค่แสงหิ่งห้อย

เคยมีคนเล่าว่า ถ้าจับหิ่งห้อยมาใส่ขวดโหลไว้หกตัว
ก็จะมีแสงเพียงพอสำหรับอ่านหนังสือ

ผมก็ได้แต่หวังว่า พวกหิ่งห้อยพี่เลี้ยงหกเจ็ดคนที่ไปช่วยกันรอบนี้
คงจะเปล่งแสงพอจะให้คนที่เข้าอบรมได้อ่านจิตอ่านใจตัวเองบ้าง ไม่มากก็น้อย

ถ้าการไปครั้งนี้ มีบุญกุศลอะไรอยู่บ้าง
ขอให้กุศลนั้นส่งผ่านไปถึงทุกท่านที่ได้อ่านบล็อคนี้
ไม่ว่าท่านจะปรารถนาดีกับผมหรือไม่ก็ตาม จะเป็นมิตร หรือศัตรู


ถ้าเป็นอย่างหลัง ขอให้ท่านทราบว่า ผมอโหสิให้นะครับ
แล้วถ้าบังเอิญ ผมเคยไปล่วงเกินท่านไว้ จะด้วยคำพูด การกระทำ หรือความคิด
ทั้งที่เจตนา และไม่เจตนา ผมก็ขออโหสิจากท่านด้วยนะครับ

ที่นั่นมีดอกไม้สวยๆอยู่ประมาณนึง เลยเก็บรูปมาฝาก

ธรรมชาติเขามักจะบอกธรรมให้เราเห็นนะครับ

ดอกไม้เกิดจากต้นเดียวกัน อยู่ในกระถางเดียวกัน
ได้น้ำเท่ากัน แสงเท่ากัน ดินเสมอกัน แต่บานไม่พร้อมกัน

สุขสันต์วันนี้ครับ






 

Create Date : 21 ตุลาคม 2550    
Last Update : 23 ตุลาคม 2550 21:48:46 น.
Counter : 1847 Pageviews.  

ปารีส... ข้ารักเอ็งว่ะ



ปารีสเป็นเมืองที่ฝรั่งว่าโรแมนติคเหลือเกิน
อันนี้เท็จจริงอย่างไร ไม่กล้ายืนยันเพราะไม่เคยไป

ถ้าเมืองไทย ผมว่าเชียงใหม่เป็นเมืองโรแมนติคที่สุด ในความรู้สึกผมนะ

ช่วงเดือนนี้ ผมได้ดูหนังเกี่ยวกับปารีส สองเรื่องในเวลาไล่เรียงกันโดยมิได้นัดหมาย

เรื่องแรกคือ Paris Je T'aime เวลานึกคำแปลชื่อหนังภาษาไทย
ผมไพล่ไปนึกถึงหนังของพจน์ อานนท์ทุกทีสิน่า

เรื่องของหนังเป็นอย่างไร น่าจะหาอ่านกันได้ทั่วไป ในนิตยสารภาพยนตร์
หรือแม้แต่ในบล็อคของหลายๆคน

สรุปสั้นๆว่า มันคือหนังสั้นของ 18 ผู้กำกับ ทั้งที่คุณคุ้นชื่อและไม่คุ้น
ทั้งที่คุณเชื่อและไม่เชื่อ ว่าเขาจะทำหนังรักได้ อย่างเวส คราเวน เป็นอาทิ

หนังทุกเรื่องมีตัวละครไม่ซ้ำกัน มีพล็อตจบในตัวของมันเอง
แต่ทุกเรื่องพูดเรื่องเดียวกัน คือนาฏกรรมของความรักต่างรูปแบบ ต่างมิติ
ที่ล้วนแต่เกิดขึ้นในมหานครแห่งรักที่ชื่อว่า ปารีส

ตอนจบของเรื่อง ผมนึกไปถึงเพลงชื่อ Silly Love Song ของ พอล แม็คคาร์ทนีย์
พอลเขียนเพลงนั้น ด้วยแรงบันดาลใจมาจากคำเสียดสีของอดีตเกลอเก่า สมัยสี่เต่าทอง ที่ชื่อ จอห์น เลนน่อน

เรื่องของเรื่อง จอห์น เลนน่อน ไปพูดผ่านสื่อว่า
พอล เขียนแต่เพลงรักๆ I love you I love you ที่น้ำเน่า น่าเบื่อ ไร้สาระ

แทนการตอบโต้ด้วยวิธีพูดใส่ไมค์กลับไป
พอลกลับเขียนเพลงเพลงนึงขึ้นมาบอกว่า

You'd think that people
Would have had enough
Of silly love songs
I look around me and I see it isn't so

นายอาจคิดว่าผู้คนเขาเอียนกับเพลงรักไร้สาระแล้ว
แต่เรามองไปรอบตัวเรา มันไม่ยักเป็นงั้นว่ะ

Some people wanna fill the world
With silly love songs
And what's wrong with that?
I'd like to know
'cause here I go again
I love you, I love you

ใครบางคนยังอยากเติมโลกใบนี้
ด้วยเพลงรักเน่าๆ ไร้สาระ
มันผิดตรงไหนอ่ะ?
เราอยากรู้
เพราะเราจะเริ่มอีกแล้วนะ
ฉันรักเธอ ฉันรักเธอ

ผลก็คือ ประชาชนตอบรับความคิดของพอลเป็นอย่างดี จนเพลงนี้ขึ้นอันดับหนึ่งในหลายประเทศ
ไว้ถ้าอยากฟัง จะเอามาให้ฟังนะครับ

ปารีส ข้ารักเอ็งว่ะ น่าจะเป็นหนังที่พูดเรื่องเดียวกับเพลง Silly Love songs ของพอล
สำหรับใครที่คิดว่า หนังรักจะต้องน่าเบื่อ และมาอีหรอบเดียวกันหมด

นึกแล้วก็น่าเสียดาย ที่จอห์น เลนน่อน ไม่ได้เป็นเกย์ และไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
ไม่งั้นหลังจากดูหนังเรื่องนี้ เขาอาจจะหันไปมองพอล แล้วพูดว่า.. "เฮ้ย เพื่อน.. กูรักมึงว่ะ"




ส่วนอีกเรื่องที่ตามมาในเวลาห่างกันไม่กี่วัน คือเรื่อง 2 วัน ในปารีส
ดารานำและผู้กำกับ คือสาวปารีเซียงแท้ๆ ชื่อ จูลี่ เดลพี

ใครที่เคยดู Before Sunrise กับ Before Sunset ได้ยินชื่อเธอคงร้องอ๋อ กันทุกคน

หนังอาศัยบทสนทนาโต้ตอบที่คมคาย ชวนอึ้ง ในสูตรเดียวกัน เป็นการเดินเรื่อง
แถมยังเป็นเรื่องความรักของหนุ่มอเมริกันและสาวฝรั่งเศสเหมือนกันอีกต่างหาก

สองเรื่องนี้ เล่าพล็อตมากไม่ค่อยได้ เพราะเล่าน้อยจะไม่ค่อยน่าดู
เล่ามาก คุณก็จะรู้เรื่องและดูไม่สนุก

เอาเป็นว่า เป็นสองเรื่องที่คนชอบอ่านบล็อคผม น่าจะดูแล้วแฮปปี้คล้ายกัน
เพราะถ้าทนอ่านบล็อคนี้มาได้ ก็แปลว่า คุณกับผมดูหนังเรื่องเดียวกันได้แหละน่า

พูดถึงปารีส มีเกร็ดมาเล่าให้ฟังอีกเรื่อง

ผมชอบเล่าเรื่องนี้ เวลามีคนไม่ค่อยกล้าพูดภาษาต่างชาติ เพราะกลัวผิด
หรือมีคนชอบบอกว่า คนไทยออกเสียงชื่อเมืองนั้น เมืองนี้ผิด

ครั้งนึงตอนจัดรายการ เคยมีคนทักว่า ผมอ่านชื่อเมือง New Ark ผิดว่า "นิวอาร์ค"
เพราะที่ถูก ฝรั่งจะออกเสียงว่า "น็วคร์" ทั้งๆที่จริงๆ มันก็มาจากการออกเสียงว่า นิวอาร์ค เร็วๆนั่นแหละ

ผมจะบอกว่า ฝรั่งนี่แหละ ตัวออกเสียงชื่อชาวบ้านผิด ประจำโลก
เมืองหลวงเราชื่อเดิมว่า บางกอก ผมไม่เห็นฝรั่งที่ไหนออกเสียงถูกเลย

ได้ยินทุกวันนี้ ก็เรียก แบงค่อกๆ จนพวกเราเองต้องเรียกผิดตามไปด้วย
จะเพราะกลัวฝรั่งจะบอกว่าเราออกเสียงเมืองหลวงตัวเองผิด ก็คงไม่ใช่
แต่ก็ต้องกลัวว่าเขาจะไม่เข้าใจเรา เลยต้องทนอ่านไปแบบนั้น

หรืออย่าง Paris นี่ เจ้าของบ้านเมืองแท้ๆ เขาเรียกของเขาว่า "ปาครี" นะครับ
พวกฝรั่งชาติอื่นนั่นแหละ ไปเรียกว่า "แพ-ริส" ฉะนั้นถ้าคนไทยจะเรียกว่า ปารีส
ผมก็ไม่รู้สึกว่าเราต้องอายใครนะ

หรือถ้าจะคิดอย่างนั้น เราก็ต้องถือว่าประเทศ "ญี่ปุ่น" นี่ เรียกผิดนะครับ
เพราะคนญี่ปุ่นเองเขาเรียกชาติตัวเองว่า นิฮอน หรือ นิฮ่ง อะไรสักอย่าง

ทีฝรั่งยังเรียกว่า Japan ได้เลย เราจะเรียก ญี่ปุ่น ไม่ได้หรือ

ส่วนตัวแล้ว ผมว่า จะเรียกอะไรก็ได้นะครับ มันเป็นแค่สมมติบัญญัติ
จะเรียกว่า อเมริกา ยูเอสเอ เมืองลุงแซม มาเฟียโลก ก็ไม่แปลก

ขอให้คุยกับคนที่ต้องการคุย เข้าใจก็แล้วกัน

แอบสปอยล์นิดนึง ว่า เรื่องการสื่อสารที่มีปัญหา
ก็เป็นพล็อตสำคัญอันนึงของ 2 days in Paris ครับ

อดไม่ได้สิน่า อีตาแอสตัน

เรื่องแรกออกจากโรงไปแล้ว รอสนับสนุนดีวีดีของลิขสิทธิ์ได้ปลายเดือนนี้
ส่วนเรื่องหลังยังฉายอยู่ที่ลิโด้นะครับ

วันนี้ เอาเพลงฝรั่งเศสมาฝากให้เข้าบรรยากาศ สองเพลงครับ
เพลงที่สองต้องคลิก Play เองนะ






จะไม่อยู๋ 4 วัน ไปสร้างกุศล กลับมาแล้วจะเอาบุญมาฝากนะครับ




 

Create Date : 16 ตุลาคม 2550    
Last Update : 21 ตุลาคม 2550 8:50:22 น.
Counter : 1735 Pageviews.  

รอยเท้าที่เลือนหาย



(ภาพจาก //www.oknation.net/.../430/3430/images/Image2.jpg)


หลวงพ่อรูปนึง ท่านเล่าว่า สมัยหลวงปู่มั่น
ท่านคนเดียวมีลูกศิษย์เก่งๆคอยสืบทอดคำสอนเป็นสิบๆคน

แต่พอมาสมัยนี้ ครูบาอาจารย์เก่งๆมรณภาพไป เรื่อยๆ
ชนิดที่หลายๆองค์มีตัวตายตัวแทนรวมกันแค่คนเดียวก็มี

ผมไม่เคยเรียนกับหลวงพ่อปัญญาฯ แต่ผมเคยฟังท่านบรรยายธรรม ทางวิทยุบ่อยๆ
รวมทั้งชอบไปวัดอุโมงค์ที่ท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสที่นั่นอยู่หลายปี
และชื่นชมเคารพในวิถีการส่งผ่านธรรมะของวัดชลประทานฯ ไปยังชาวบ้าน

ใครเคยไปงานศพที่วัดชลประทานฯ น่าจะเข้าใจสิ่งที่ผมบอก
คือวัดนี้เขาไม่ได้สวดยาวๆ เป็นภาษาบาลี เขาให้พระมานั่งแสดงธรรมเลย

หลวงพ่อปัญญา ท่านเป็นพระที่ปฏิรูป ศาสนพิธีไว้หลายเรื่อง
ผมเรียกว่าเป็นการปอกเปลือกของศาสนาให้เหลือแก่นมากที่สุด

ครูบาอาจารย์ผมท่านเคยเตือนว่า ..
ให้รีบลงมือปฏิบัติภาวนา รู้กาย รู้จิตตัวเองไว้เนืองๆ อย่าประมาท

เพราะรอยเท้าของพระผู้บอกทางที่เป็นอริยสงฆ์แท้ๆ
กำลังจางและเลือนหายไปเรื่อยๆ

หลวงพ่อปัญญา ก็เป็นรอยเท้าอีกรอยที่กำลังจะเลือนหาย

***********************************************

หลายวันก่อน เพื่อนสนิทผมโทรมาปรึกษาเรื่องหาเพลงไปประกอบการเสนองาน
ผมเลยมีโอกาสนั่งขุดเพลงในชั้นวางมาพลิก มาเปิดฟัง

แล้วก็เจอเพลงๆนึงของ lighthouse family ซึ่งผมชอบเนื้อหามันมาก
เคยนึกว่าจะเอามาใส่บล็อคไว้แต่ลืมไปแล้ว

ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องของท่านปัญญาข้างบนหรอกนะครับ

เพลงนี้ชื่อว่า "เรามักจะต้องการสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา" You always want what you haven't got

เนื้อเพลงเขาบอกว่า

It's like I just woke up one morning
Looked at the way that we live
Thought things could be so much better
There must be better than this

มันเหมือนผมเพิ่งตื่นมาในเช้าวันนึง
เหลียวดูวิถีทางการใช้ชีวิตของเรา
นึกขึ้นได้ว่า อะไรๆมันน่าจะดีกว่านี้
มันต้องดีกว่านี้สิ

Thought if I relocated
To where the grass is greener
Maybe I'd be happy again

ถ้าผมได้ย้ายไปอยู่
ในที่ซึ่งหญ้ามันเขียวกว่านี้
บางทีผมอาจจะมีความสุขอีกครั้ง

But I'm a little bit disappointed
Cos now I've got my freedom
But I'm still looking over the fence


It's always the same
At the end of the day
You always want what you haven't got

แล้วมันก็อีหรอบเดิม
คือ..ท้ายที่สุดแล้ว
คุณจะอยากได้อะไรที่ไม่ใช่ของคุณเสมอ

It's like the hands on the clock stopped turning
Right at the moment you left
You went looking for something better
You stopped me dead in my tracks

มันเหมือนเข็มนาฬิกาหยุดเดิน
ณ วินาที ที่คุณจากไป
คุณไปเพื่อมองหาสิ่งที่ดีกว่า
ปล่อยให้ผมซังกะตายอยู่คาที่

It's a bittersweet emotion
That I'm feeling baby, now you're happy again

ใจผมมันขื่นขมผสมหวานนะ คนดี
ที่ยามนี้ได้เห็นคุณเป็นสุขอีกครั้ง

But I'm a little bit disappointed
Cos now you've got your freedom
But you're still looking over the fence

แต่ผมก็ผิดหวังนิดนึงนะ
เพราะตอนนี้คุณมีอิสระแล้ว
คุณก็ดันชะเง้อมองข้ามรั้ว(อยาก)กลับเข้าไปอีก

It's always the same
At the end of the day
You always want what you haven't got

แล้วมันก็อีหรอบเดิม
คือ..ท้ายที่สุดแล้ว
คุณจะอยากได้อะไรที่ไม่ใช่ของคุณเสมอ

It's always the same
It won't ever change
You always want what you haven't got

Thought if I relocated
To where the grass is greener
Maybe I'd be happy again
But I'm a little bit disappointed
'Cos now I've got my freedom
But I'm still looking over the fence

It's always the same
At the end of the day
You always want what you haven't got

It's always the same
It won't ever change
You always want what you haven't got

You always want what you haven't got
You always want what you haven't got
You always want what you haven't got

คนอังกฤษมีสำนวนว่า "สนามหญ้าบ้านอื่น มักจะเขียวกว่าบ้านเราเสมอ"
หมายถึงมนุษย์เรามักจะไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่มีอยู่

ไอ้คนที่เป็นโสดก็อยากมีคู่ คนที่มีคู่ก็อยากเป็นโสด
คนไม่มีลูกก็อยากมี คนที่มีลูกก็ไม่อยากมี

เห็นแฟนเพื่อน ก็มักจะคิดว่าดีกว่าแฟนตัวเอง
หรือคิดว่างานของเพื่อน ดีกว่างานของตัวเอง

กระทั่งคิดว่าชีวิตคนอื่น ดีกว่าชีวิตตัวเอง

ตอนที่นั่งฟังเพลงนี้ ผมชอบเนื้อเพลงนี้ตรงนี้แหละ

สุขสันต์วันสุขนะครับ




 

Create Date : 12 ตุลาคม 2550    
Last Update : 20 ตุลาคม 2550 21:09:19 น.
Counter : 1582 Pageviews.  

The Namesake ชื่อนี้ที่พ่อให้



คุณจริงจังกับชื่อของคุณขนาดไหนครับ? แล้วเคยนึกอยากเปลี่ยนไหม

ผมเคยนึกๆว่าจะเปลี่ยนชื่ออยู่วูบๆ เพราะดันไปอ่านคู่มือตั้งชื่อเข้าเล่มนึง
แล้วเขาบอกว่า ชื่อผมเนี่ย มันมีตัวกาลกิณีอยู่หนึ่งอักษร

แต่ถึงที่สุดแล้ว ก็เสียดายชื่อที่พ่อตั้งให้ และอยู่กับมันมาตั้งสามสิบกว่าปี
ถึงมันจะเป็นแค่ "สมมติบัญญัติ"

แล้วก็เพราะคิดว่ามันเป็นแค่ "สมมติบัญญัติ" นั่นแหละ ผมถึงไม่ไยดีว่าจะต้องเปลี่ยน

ยุคนี้เป็นยุคที่การเปลี่ยนชื่อกลายเป็นเรื่องปกติอย่างนึง พอๆกับการทำศัลยกรรม
วัตถุประสงค์ที่จะเปลี่ยน ก็ใกล้เคียงกับการทำศัลยกรรม คือคิดว่าเปลี่ยนแล้วชีวิตจะดีขึ้น

คนที่เปลี่ยนชื่อ ถ้าไม่เพราะมีหมอดู หรือใครมาทัก ก็เพราะความสบายใจบางอย่าง
คนที่ทำศัลยกรรม ถ้าไม่เพราะมีใครเคยทักเรื่องจอแบน ก็เพราะความสบายใจบางอย่าง

เราเลยเห็นดาราหลายคนเปลี่ยนทั้งชื่อ และทำศัลยกรรม
อนุมานว่ามีหมอดูทัก และเพื่อความสบายใจบางอย่าง
น้อยคนจะนึกอยากเปลี่ยนชื่อ เพียงเพราะโดนเพื่อนล้อ

สักสองเดือนก่อน มีหนังเล็กๆเรื่องนึงที่น้อยคนจะรู้จักออกขายในเมืองไทย
โดยเป็นผลงานของผู้กำกับสาวอินตะระเดียชื่อว่า มิรา แนร์

ผมได้แผ่นเรื่องนี้มานาน แต่เพิ่งจะมีโอกาสเปิดดูเมื่ออาทิตย์ก่อน
ดูแล้วนึกเสียดาย ที่หนังดีๆแบบนี้ กำลังจะเงียบหายไปอีกเรื่องนึง

หนังเล่าเรื่องครอบครัวชาวอินเดียที่ไปตั้งรกรากในอเมริกา
ตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ที่เกิดในกัลกัตตา จนถึงรุ่นลูกที่เกิดและโตในอเมริกา

เรื่องของชื่อพระเอกมันเป็นเรื่องขึ้นมา เพราะคนอินเดียแท้ๆ จะมีสองชื่อ
คือชื่อเล่นตอนที่พ่อแม่เรียกตั้งแต่เกิด กับชื่อจริงที่จะต้องมีพิธีตั้งกันภายหลัง

ในตอนที่พระเอกเกิด ตามกฏหมายของอเมริกา ถ้าเด็กไม่มีสูติบัตร จะออกจากโรงพยาบาลไม่ได้
และจะมีสูติบัตรได้ ก็ต้องมีชื่อ พ่อไม่รู้จะเอาชื่ออะไร เลยตั้งชื่อเขาตามชื่อของนักเขียนคนนึงว่า "โกกอล"
เพราะโกกอล เป็นทั้งนักเขียนคนโปรดและเกี่ยวพันกับการรอดชีวิตจากอุบัติเหตุแบบมหัศจรรย์ของเขา

แต่เพราะความที่การเปลี่ยนชื่อกลับเป็นเรื่องวุ่นวาย และตัวพระเอกในวัย 4 ขวบ ก็ดันชอบชื่อเดิมว่า "โกกอล" มากกว่าชื่อใหม่

ประกอบกับอาจารย์ใหญ่ที่โรงเรียนสำทับมาด้วยกระดาษโน๊ตว่า "ในอเมริกา เด็กย่อมมีสิทธิใช้ชื่ออะไรก็ได้ที่เขาต้องการ"

โกกอล เลยมีชื่อเหมือนนักเขียนชาวรัสเซียที่มีชีวิตแสนเพี้ยน นับแต่นั้นมาจนโต
พอเรียนชั้นมัธยม ชื่อของเขาเป็นประเด็นฮา ให้เพื่อนล้อ จนเขาตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย

หนังเรื่องนี้แสดงความผูกพันของคนรัก ของสามีภรรยา ของพ่อลูก แม่ลูก พี่กับน้อง
คนที่ไม่ค่อยจะยอมผูกพันกับใครแบบผม ดูแล้วยังเห็นจิตตัวเองมันซึมไปเหมือนกัน

ผมเล่าเท่านี้แหละครับ อยากให้คุณไปหามาดู เรื่องนี้ขายปลีกแค่ สามร้อยกว่าบาท

ผมชอบฉากนึงที่ครอบครัวนี้กลับไปเยี่ยมญาติในอินเดีย แล้วแวะไปเที่ยวทัชมาฮาล
ที่ซึ่งพระเอกประทับใจ ขนาดเกิดแรงบันดาลใจจะเลือกเรียนสถาปัตย์ แทนวิศวะที่ตั้งใจไว้เดิม

ในฉากนี้ ภรรยาบอกสามีถึงความซึ้งใจในความรักที่กษัตริย์ชาห์ ชฮาน มีต่อมเหสีมุมตัซ ขนาดสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่และงดงามแบบนี้ได้

สามีตอบว่า.. สามีเธอก็รักเธอมากเหมือนท่านชาห์นะ เพียงแต่มันไม่มีปัญญาจะสร้างอะไรใหญ่โตแบบนี้ให้เท่านั้นเอง

ในตอนท้ายเรื่อง พระเอก เปลี่ยนกลับไปใช้ชื่อเดิมที่พ่อตั้งให้ เลิกกับแฟนฝรั่ง
แล้วไปแต่งงานกับสาวเบงกาลีเชื้อชาติเดียวกัน คนที่แม่เคยพยายามจับคู่ให้

แต่ที่สุดก็พบว่าชีวิตมันไม่มีสูตรสำเร็จ
ชีวิตครอบครัวของโกกอลต้องจบลงเพราะสาวที่แม่ชอบ กลับลักลอบมีชู้กับคนรักเก่า
การเลือกอะไรอย่างที่คิดว่า มันน่าจะดีเพียงเพราะแม่เห็นว่าดี ก็ไม่ใช่จะดีเสมอไป

เพราะในขณะเดียวกัน น้องสาวที่แต่งงานกับคนต่างวัฒนธรรมอย่างคนอเมริกัน กลับอยู่กันอย่างเป็นสุข

ผมว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ผู้กำกับเธอเปิดกว้างไว้ เพื่อไม่ให้รู้สึกว่าเธอให้น้ำหนักกับขนบธรรมเนียมมากแต่ข้างเดียว

ไม่ว่าคุณจะยึดมั่นในการใช้ชีวิตแบบไหน จะใช้ชื่อเดิมที่พ่อให้ หรือชื่อใหม่ที่แสนจะหรูหรา
ผมก็อวยพรให้คุณโชคดี มีสติไว้เนืองๆ นะครับ





 

Create Date : 09 ตุลาคม 2550    
Last Update : 12 ตุลาคม 2550 9:48:14 น.
Counter : 2336 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.