Group Blog
 
All blogs
 

องุ่นเปรี้ยวเคี้ยวปริญญาโท



ผมรู้ว่าจะต้องมีคนสงสัยว่า.. ภาพข้างบนเกี่ยวไรกะปริญญาโท หือ.. คุณแอสตัน?

เอาน่า.. อ่านไปให้จบแล้วผมจะเฉลย

บล็อคนี้มีที่มาจากคำถามที่มีคนไปหย่อนไว้ ดังนี้ครับ

ยังถามได้อยู่มั้ยคะเนี้ย..

เราอยากรู้มุมมองของคุณในเรื่องของเกรดอ่ะค่ะ
เกรดมันสำคัญกะชีวิตนักศึกษาปริญญาโทมากมั้ยคะ

คือเราไม่ค่อยสนใจเรื่องเกรดเพราะเราคิดว่าเรามาเรียนโทต่อเพื่อจะเอาความรู้ไปทำงานให้ดีขึ้น..แต่ดูในมุมมองของคนอื่นๆ..ดูมันสำคัญจัง..

เลยอยากรู้มุมมองของคุณบ้าง

โดย: วุ้นเส้นย้อมสี IP: 203.149.12.234 วันที่: 30 มีนาคม 2550 เวลา:9:28:07 น.


ตอบคุณวุ้นเส้นย้อมสีครับ

มนุษย์เราอาจมีจุดมุ่งหมายในการทำเรื่องเดียวกัน เหมือนหรือต่างกัน

เช่น บางคนไปวัดเพื่อขอหวย บางคนอยากไปทำทาน บางคนอยากได้กำลังใจ
บ้างก็อยากไปเรียนวิปัสสนา บ้างก็ไปสะเดาะเคราะห์ เสริมดวง บ้างอยากไป"ขอ"
บางคนไม่ต้องการอะไรนอกจากได้รู้สึกว่า ทำหน้าที่ของพุทธบริษัท ได้ทำบุญบ้างตามสมควร

เอาตัวอย่างทางโลกบ้างก็ได้.. สังเกตไหม ว่าคนไปสยามแสควร์ด้วยเหตุผลต่างกัน

บางคนไปเพราะอยากไปฆ่าเวลา บางคนอยากได้เสื้อชุดใหม่ บ้างอยากไปอัพเดทตัวเอง
บางคนอยากไปเหล่สาว บางคนอยากไปซื้อซีดี บางคนอยากไปเรียนกวดวิชา
บ้างก็อยากไปดูหนัง บ้างก็ไปเดินอวดชุดใหม่ บางคนไปเพราะแฟนบังคับ หรือนัดเพื่อน

ปริญญาโทก็เหมือนกันนั่นแหละ บางคนเรียนเพื่ออยากได้ความรู้ บางคนอยากได้แค่วุฒิ
บางคนอยากได้สายสัมพันธ์ใหม่ๆ บางคนอยากหาคู่ บ้างก็โดนหน้าที่การงานบังคับให้เรียน

บางคนเรียนเพราะไม่อยากอยู่ว่าง แต่ก็ไม่อยากทำงาน เลยเรียนเพราะ ดีกว่าอยู่เปล่าๆ

ฉะนั้น ถ้าคุณวุ้นเส้นย้อมสีจะต้องการในสิ่งที่ต่างจากคนอื่น ก็ไม่น่าแปลกอะไร
แต่ขอให้เข้าใจคนอื่น อย่าไปตั้งข้อรังเกียจเดียดฉันท์อะไร

คือถ้าถามคนที่เห็นว่าเกรดเป็นเรื่องสำคัญ มันก็สำคัญ ถ้าถามคนที่เห็นว่าไม่สำคัญ มันก็ไม่สำคัญ

ตอนเรียนปริญญาตรี ผมก็คิดแบบคุณนี่แหละ ผมได้เกรด 3.16
เวลาไปบอกใครๆที่ได้เกรดไม่ค่อยสวยว่า เกรดไม่สำคัญหรอก
เขาก็มักจะบอกว่า.. พี่ก็พูดได้สิ พี่เรียนเก่งนี่

อ้าว.. เก่งตายล่ะเอ็ง เกียรตินิยมอันดับสอง ฉันยังไม่ได้เลย
คือในมุมของผม พวกเรียนเก่งต้องโน่น 3.5 ขึ้นไป พวกชนฃั้นกลางแบบผม อย่าสะเออะ

แต่มุมของน้องเขา เขาก็คิดว่า ได้ 3 ขึ้นไปก็ถือว่าเก่งแล้ว

ทุกคนย่อมมีสิทธิทำในสิ่งที่คิดว่าดีกับตัวเองมากที่สุดนะครับ ตราบใดที่ไม่เบียดเบียนตัวเอง และผู้อื่น

ผมเป็นมนุษย์เผ่าที่ไม่ได้เรียนปริญญาโท เคยคิด เคยอยากเรียน
เพราะผมอยากเป็นอาจารย์ อยากสอนหนังสือ ไม่มีวุฒิปริญญาโท มันลำบาก

แต่ผมก็ไม่เคยได้เรียน เพราะผมเป็นพวกคิดมาก
มัวแต่คิดว่าควรจะเรียน เมื่อรู้ว่าอยากเรียนอะไรก่อน

ไม่ใช่เรียนเพราะใครๆเขาก็เรียน MBA กัน ไม่ใช่เรียนเพราะอันนี้มันโก้ดี หรือเผื่อจะไปเจอลูกหนี้(รัก)

อีกอย่าง.. ผมสนุกกับการมีชีวิตของผมดีแล้ว คือได้ทำงานเต็มที่ พักผ่อนอย่างที่อยากทำเต็มที่
สิบปีที่ผ่านมา ผมทำงาน 7 วันมาเกือบตลอด มีเว้นอยู่ ปีเดียว
ฉะนั้น ก็ไม่รู้ว่า จะเอาเวลาที่ไหนไปเรียน แล้วกลัวจะไม่มีเวลาให้อดีตแฟนมากกว่ากลัวจะไม่มีวุฒิ

(ก็เลยหาแฟนไม่ได้ โสน้าหน้า)

ใครที่เรียนโทมาแล้ว หรือกำลังเรียนอยู่ ก็จงภูมิใจว่า ท่านมีอะไรเหนือกว่าผมอยู่
คือความอุตสาหะ ในเรื่องเรียนโท และฝาบ้านท่านก็จะเท่กว่าฝาบ้านผมอยู่ขั้นนึง

อันนี้พูดกันแค่ปริญญาโทนะ ผมเจอใครเรียนจบด็อกเตอร์มา ยิ่งอายุน้อยๆ ผมงี้แทบน้ำตาไหล
ไปเอาทรัพยากรอะไรจากไหนมากมายไปเรียนกันจนได้หนอ คนเรา
อันนี้ ชื่นชมนะครับ

ใครอ่านมุมมองผมแล้วไม่เห็นด้วย ก็อย่าเสียเวลาแปลกใจนะครับ
ให้คิดเสียว่า ผมเป็นพวกองุ่นเปรี้ยวคนนึง ที่ไม่มีปัญญาจะเรียน แล้วก็พูดแก้ตัวไปงั้นๆเอง

ส่วนเฉลยเรื่องรูป .. ผมเอามาเป็นตัวอย่างว่า โลกนี้มีอะไรน่าสนใจกว่าปริญญาโทเยอะเลย 5555

ปล. ความติงต๊องเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัว กรุณาอย่าดื่มเกินวันละสองขวด และควรปรึกษาแพทย์ เด็ก สตรี และคนชรามีครรภ์ ก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง



สุขสันต์วันที่อ่าน นะครับ




 

Create Date : 02 เมษายน 2550    
Last Update : 5 เมษายน 2550 19:44:30 น.
Counter : 3850 Pageviews.  

ราคาของชีวิต งานศพ งานแต่ง

ถ้าตีราคาชีวิตเป็นเงินได้ คุณคิดว่าชีวิตของคุณมีราคาเท่าไหร่ครับ?

วันก่อน คุณสรยุทธ์เล่าเรื่องข่าว(อดีต)ตำรวจยิงเจ้าของปั้ม กะภรรยาตาย
สาเหตุเพราะโกรธเรื่องที่เด็กปั้มเติมน้ำมันขาดไป 25 สตางค์
เลยโวยวาย เจ้าของปั้มเลยยื่นเงินคืนให้ 1 บาท แต่คุณตำรวจยังไม่พอใจ

ที่สุดก็ลุกลามไปเป็นการฮึดฮัด ด่าทอ ใช้กำลัง และอาวุธก็ตามมา

เงิน 1 สลึง บวกโทสะ คูณด้วยอาการขาดสติ
ผลลัพท์กลายเป็น 2 ชีวิตที่ดับลง และ อีก 1 ชีวิต ที่หมดอนาคต

อีกรายนึง ก็สาวฝ่ายการเงินที่หายตัวไปพร้อมกับเงิน 4-5 แสน ที่จะต้องเอาไปเข้าธนาคาร

อันนี้ราคาแพงขึ้นอีกนิด แต่ต่างกันที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด (ในชาตินี้)
นอกจากโชคร้าย ที่มีคนขับรถที่โลภโดยไม่เกรงกลัวและละอายต่อบาป

แต่ก็นั่นแหละครับ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ปุถุชนอย่างเรา ไม่มีญานทัศนะ ที่สามารถมองล่วงไปในอดีต
ว่าเคยทำอะไร อย่างไร กับใครไว้บ้าง มากี่ชาติ กี่ภพ แล้วจะจบเมื่อไหร่

ชาตินี้ นาย 1 ฆ่า นาย 2 ชาติหน้า นาย 2 ฆ่า นาย 1 คืน ชาติต่อไป นาย 1 กลับมาฆ่านาย 2 อีก
แล้วก็จองเวร จองกรรม วนไป วนมา เป็นลูปอย่างนี้ ไม่มีสิ้นสุด

เวลามีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นกับผม ผมถึงรีบอโหสิ แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร ขออโหสิในกรรมที่เคยมีต่อกันมา

ถ้าใครเคยถูกผมทำกรรมไว้ ต้องการจะเอาคืน ผมก็ไม่ว่า และขอให้หมดเวรหมดกรรมกัน
ใครเคยทำอะไรผมไว้ ไม่ว่าจะในชาติไหน จะโกง จะหลอกลวง ทำร้าย
จะเคยฆ่า จะเคยทำให้ผมทุกข์ทรมานอย่างไร ผมไม่ติดใจอะไร ผมอโหสิให้

แต่ยกเว้นหนี้รักครับ ยังอยากเจอลูกหนี้ที่เคยมีหนี้รักค้างไว้กะผมอีกแค่คนเดียวในชีวิต 5555

ผมมีเหตุจะต้องไปงานศพมา 2 คืนติดกัน แต่เป็นงานศพ ที่ไม่ค่อยเศร้ามากนัก
เพราะเจ้าของงานท่านอายุตั้ง 92 ปี โอ้โห อายุยืนจัง

ผมแอบรู้สึกว่า ผมจะอายุไม่ยืนมาก เคยกะไว้ว่าประมาณ 65 ไม่เกิน 70 ก็คงเท่งทึงแล้ว

อันนี้เป็นเคล็ดลับที่ทำให้ผมรีบทำในสิ่งที่ควรทำ โดยไม่ประมาท
อยากทำอะไร ทำ รวมถึงการเจริญสติภาวนา รู้กาย รู้ใจ เสมอๆ

การเสียเวลาในชีวิต จึงเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับผม
เพราะเท่ากับเราเสียโอกาสในการใช้ชีวิตให้มีค่า

อย่างนึงที่ทำให้คนเราเสียเวลามาก คือการมีคู่ผิดคน

น้องสาวคนนึง ถามผมเมื่อวันก่อนว่า ถ้าเธอจะเลิกกับแฟน เพราะเรื่องสูบบุหรี่ จะดูงี่เง่าไปไหม
เธอบอกว่าเคยขอร้อง เคยสัญญากันไว้ตอนจะเป็นแฟน แต่ 2 ปี ผ่านไป แฟนก็ไม่ทำตามสัญญา

ทุกครั้งที่เจอกัน แล้วเธอจับได้ว่าแฟนสูบบุหรี่ เธอจะหงุดหงิด ซึ่งเธอเบื่อ

ผมบอกว่าเธอว่า.. เรื่องเลิก ไม่เลิก ผมขอไม่เกี่ยว
แต่จะบอกว่า สิ่งแรกที่เธอควรทำ คือให้รู้ทันความหงุดหงิด

ปัญหา กับความหงุดหงิด เป็นคนละส่วนกัน ปัญหาคือสิ่งที่ต้องแก้
แต่ไม่ควรแก้ด้วยความหงุดหงิด หากควรแก้ด้วยความมีสติ

พูดง่ายๆ ความหงุดหงิดเป็นส่วนเกินที่จิตมันปรุงขึ้น จากปัญหา
ถ้าจะต้องอยู่กัน ด้วยความหงุดหงิดตลอดเวลา อันนั้นไม่ว่าจะเรื่องบุหรี่ หรือเรื่องอะไร ก็จะไม่มีความสุข
ถึงผมจะบอกให้เขาอดทน ความหงุดหงิดก็จะสะสม รอวันแตกหัก เท่านั้น

ฉะนั้น ให้เข้าใจเขาก่อน ว่าเขาไม่ต้องการเลิกบุหรี่ ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง
แล้วกลับไปถามตัวเองว่า นอกจากเรื่องนี้ เรามีความสุขกับเขาดีไหม
เราพอใจในสิ่งที่เขาเป็นหรือเปล่า อยู่กับเขาแล้วมีความสุข เข้าใจกัน เข้ากันได้ไหม

พูดง่ายๆ ถ้าเราจะต้องนอนข้างๆไอ้หมอนี่ไปอีกตลอดชีวิต เราจะเอาไหม

ถ้าคิดว่า เลือกถูกคนแล้ว ก็อย่าคิดมาก ค่อยๆคุยกันแต่อย่าคุยด้วยอารมณ์
อย่าเอาแต่พูดว่า เราไม่เข้าใจเขา ทำไมเธอต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมเธอไม่รักษาสัญญา

พูดแค่ว่า เราคิดว่าเรารับอะไรเขาไม่ได้บ้าง อะไรที่จะทำให้การมีชีวิตคู่ของเรากับเขามันเป็นทุกข์จริงๆ

ถ้าคิดว่าไม่ใช่จริงๆ ไม่อยากเป็นแฟนมันแล้ว(โว้ย) ก็อย่าเสียเวลา
เพราะไม่ใช่แค่เราเองที่เสียเวลา เขาก็เสียเวลาที่ต้องมาผูกติดกะเราด้วย
แทนที่เขาอาจจะได้ไปเจอคนอื่น ที่สูบบุหรี่ด้วยกัน แล้วช่วยต่อบุหรี่ให้อีกต่างหาก

อันนี้ใครที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องแฟนสูบบุหรี่ ก็อย่าคิดมากนะครับ
คำแนะนำประเภทนี้ มันเป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล ห้ามลอกเลียนแบบ

สงสัยผมมัวแต่แนะนำคนแบบนี้แหละ ตัวเองถึงไม่มีแฟนสักที

สุขสันต์วันที่อ่านครับ

วันนี้รีบออกไปทำบุญ ขออภัยที่ต้องงดใส่รูป ใส่เพลงนะครับ




 

Create Date : 31 มีนาคม 2550    
Last Update : 31 มีนาคม 2550 7:50:21 น.
Counter : 1062 Pageviews.  

The Fountain: จะเลือกชีวิตอมตะ หรือจะละวาง



นานๆที บ้านเราจะมีหนังสักเรื่องที่ไม่เห็นวี่แววจะได้สตางค์ มาเข้าฉายแบบตัวลีบๆ
ท่ามกลางหนังฟอร์มยักษ์หักเหลี่ยมผี จำพวกหอแต๋วแตก บอดี้การ์ดหน้าหม่ำ

อันนี้เป็นปรากฏการณ์ที่หาชมได้ยาก พอๆกับจันทรุปราคา

ดูจบแล้วผมมีคำถาม.. มีใครอยากมีชีวิตอมตะไหมครับ?

ผมเชื่อว่าคนส่วนมาก กลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวตาย เป็นธรรมดา
แต่ไม่น่าจะมีคนมากนัก ที่อยากอยู่ไปชั่วฟ้าดินสลาย เพราะอยู่ๆไป ก็จะค่อยๆเห็นเอง ว่าชีวิตมันไม่เที่ยงแท้ ถาวร
ชีวิตมันเปราะบาง เป็นทุกข์ และที่สำคัญ.. มันบังคับไม่ได้เสียด้วย

ที่น่าสนใจคือ..ถึงจะรู้ว่า การเกิดเป็นทุกข์ แต่ยักกะมีใครบอกว่า กลัวเกิด สักเท่าไหร่

ที่จริง.. ไม่ต้องอยากมีชีวิตอมตะ เราก็มีกันทุกคนอยู่แล้ว เว้นแต่อริยบุคคลระดับพระอรหันต์เท่านั้น
ที่เหลือ ต่างก็ยังต้องเวียนว่าย ตายเกิด เดินทางจากภพหนึ่ง สู่อีกภพ

วันพรุ่งนี้ จะมีหนังเข้าฉายแบบจำกัดโรงเรื่องนึง ชื่อ The Fountain
บอกไว้ก่อนว่า เป็นหนังสวยมาก แต่อาจจะมีวิธีเล่าเรื่องแปลกๆอยู่สักหน่อย

หนังพูดเรื่องการพยายามแสวงหาวิธีการรักษาชีวิตให้เป็นอมตะ ของผู้ชายคนนึง เพื่อรักษาชีวิตของคนรัก

จนที่สุด เขาเรียนรู้ว่า การเข้าถึงความสุขที่แท้จริง
ไม่ใช่การยึดรั้งรักษาสิ่งที่เขาเชื่อว่ามันเป็น "ของกู"
หากแต่เป็นการเข้าใจความจริง ว่า
"สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา"

เขาเรียนรู้ว่า คำถามของชีวิต ไม่ควรจะเป็น "จะอยู่นานเท่าไหร่"
แต่มันควรจะเป็น "เมื่อไหร่จะจบ" มากกว่า

จบนี่ คือจบการเวียนว่ายตายเกิดนะครับ ไม่ใช่จบชีวิตนี้ อย่าเข้าใจผิดเป็นอันขาด

ถ้าเปรียบเรื่องในบันทึกที่นางเอกเขียนไว้ เป็นเรื่องชีวิตชาติก่อนๆ ที่ผ่านๆมาที่ถูกเขียนไว้แล้ว แก้อะไรไม่ได้แล้ว

บทที่สิบสอง ที่นางเอกเว้นว่างไว้ บอกให้พระเอกเขียนต่อให้จบ ก็คือชาติปัจจุบันของเรานั่นแหละ

หนังเรื่องนี้มีแก่นของเรื่องละม้ายคล้ายปรัชญาแบบพุทธ พอสมควร
ถึงแม้จะให้คำจำกัดความของการหลุดพ้น เข้าสู่นิพพานได้ไม่ตรงนัก
ก็เข้าใจได้ว่า ฝรั่ง ก็ยังคิดว่า นิพพาน คือแดนสุขาวดี เป็นโลกๆนึง พูดง่ายๆว่าคือสวรรค์นั่นแหละ

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ข้อความที่หนังพยายามเน้นมาก กับคำว่า "ทำให้มันจบซะ"

ผมว่าคนเขียนบทเรื่องนี้ นอกจากจะมีความเชื่อแบบพุทธ ในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว
ท่าทางหมอนี่จะกลัวการเกิดอยู่ไม่น้อย

อาจารย์ผม เพิ่งจะสอนเมื่อวันอาทิตย์ก่อนโน้นว่า..
ท่ามกลางคนเป็นพันหมื่นล้านบนโลก มีคนไม่มากที่รู้จักพุทธศาสนาจริงๆ
ยิ่งกลุ่มที่มีโอกาสรู้จักวิปัสสนา ซึ่งเป็นเครื่องมือนำความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
ที่ภาษาแขกเรียก วัฏสงสาร หรือสังสารวัฏ นี่.. ยิ่งมีน้อยมากนะครับ

ที่รู้จัก และเข้าใจแบบถูกต้อง ไม่หลงทาง ยิ่งน้อยไปอีก

ท่านบอกว่า.. นี่คือโอกาสทองอันยิ่งใหญ่แห่งสังสารวัฏ ของพวกเรา
เพราะหลุดจากชาตินี้ไป ก็ไม่รู้เมื่อไหร่ จะได้กลับมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์
ในดินแดนที่มีพุทธศาสนา ในยุคสมัยที่มีพระพุทธเจ้า และมีคนสอนวิปัสสนาอีก

เคยได้ยินพระสูตรหนึ่ง มีผู้ทูลถามพระพุทธเจ้า เรื่องสังสารวัฏของชีวิต ว่าจะยาวขนาดไหน
พระพุทธองค์ทรงบรรยายว่า "จับต้นไม่ได้ หาปลายไม่เจอ"

ถ้าอยากมีชีวิตอมตะ เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดใหม่ ไม่จบไม่สิ้น ก็ไม่ว่ากันล่ะครับ

อันนี้ท่านไม่ได้พูดนะครับ ผมพูดเอง

วันนี้แถมเพลงให้ฟัง 3 เพลง เพลงแรกเป็นเพลงบรรเลงชื่อ Who Wants To Live Forever?



เพลง 2 กับ 3 ต้องคลิกฟังเองตามอัธยาศัยนะครับ เป็นเพลงที่มีคำว่า Forever ทั้งคู่ เพราะมากๆทั้งสองเพลง





สุขสันต์วันที่อ่านครับ




 

Create Date : 29 มีนาคม 2550    
Last Update : 2 เมษายน 2550 8:27:43 น.
Counter : 3974 Pageviews.  

สติ: สิ่งดีๆ ในวันร้ายๆ



นึกยังไงไม่รู้ อยากกินข้าวผัดกุ้งขึ้นมาตะหงิดๆ เลยหารูปมาดมไปพลางๆก่อน
ผมไม่ได้ผัดเองหรอกนะ เพิ่งบอกเพื่อนคนนึงไปว่า
ความฝันในชีวิตผมอย่างนึงคือ อยากผัดข้าวผัดได้เหลือง หอม ร่วน อร่อยเหาะ 55555

ผมเพิ่งอกสั่นขวัญแขวนกลับมาจากบล็อคคุณดำรงเฮฮา
ผมพบว่าอากาศร้อนปีนี้ ได้พรากอาการเต็มบาทไปจากน้องผมเสียแล้ว 555

ใครไม่เชื่อรีบแวะไปดูนะครับ แต่อย่าลืมไหว้พระสวดมนต์ก่อน ไม่งั้นอาจจับไข้หัวโกร๋นได้

อากาศร้อนจริงๆนะครับ .. ร้อนจนนึกไม่ออกว่า คนจะอยากไปคลายร้อนที่ทะเลได้ยังไง ผมว่ายิ่งไป ก็ยิ่งร้อน

แต่ที่ร้อนยิ่งกว่า คือที่ทำงานผมเอง ..
อยู่ๆ เมื่อวานก็ได้รับเชิญจาก MD เข้าไป รับฟังข้อมูลจากพี่คนนึง ซึ่งเขาเป็นห่วงผม

เรื่องของเรื่องคือ ช่วงนี้เป็นฤดูผลัดใบ ประชาชนรับโบนัสเสร็จแล้ว ก็ตัดสินใจเปลี่ยนงาน ลาออกกันหลายคน

บ้งเอิญแผนกอื่นๆถูกนายผมสั่งให้เอามาควบรวมกับสายงานของผม
เพื่อสะดวกต่อการสั่งงานและแก้ปัญหา คนที่ไม่เคยขึ้นกับผม ก็ต้องมาขึ้นกับผม โดยปริยาย

เป็นกรรมอย่างหนึ่งของผม ที่ต้องรับเผือกร้อนมาปรับปรุงระบบและบุคคลากรกันอีกครั้ง

ตามธรรมเนียม คนที่เขามีปัญหาอยู่เดิม กำลังเจียนอยู่เจียนไป
ผมก็ต้องเรียกมาสอบถามความสมัครใจ ว่าอยากจะทำงานต่อ หรืออยากจะตัดสินใจอย่างไร
เพราะผมต้องการคนที่ทำงานด้วยใจ

ผมบอกว่า จะอยู่หรือไป ผมไม่ว่า เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล ที่ผมต้องเคารพ
แต่ถ้าจะอยู่ ผมก็มีวิธีทำงาน ที่เขาต้องเคารพด้วยเหมือนกัน จะอยู่แบบไม่มีทิศทางเหมือนเดิมไม่ได้

ปรากฏว่า ในการปรับโครงสร้างแผนกใหม่ มีคนตัดสินใจลาออก 6 คน ในเวลา สามเดือน

ซึ่ง 4 คน ในจำนวนนั้น ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผมเลย เพราะไม่ได้ทำงานขึ้นกับผมโดยตรง
มีแค่ 2 คน ที่เป็นลูกน้องโดยตรงจริงๆ ที่ผมอาจจะจู้จี้ มากหน่อย ซึ่งรายละเอียดไม่ขออธิบาย
และอีกสองคน ที่จะออกเดือนหน้าเพราะเหตุผล เรื่องทางบ้าน

แต่ก็นั่นแหละ บทจะดวงดีเราจะทำอะไรได้นิ

วันดีคืนดี ก็มีคนไปปล่อยข่าวบอกว่า ผมไปบีบให้คนโน้นคนนี้ออก ทั้งหมดที่ออก เป็นเพราะผม
ทีนี้เลยเป็นข่าวพาดหัวหน้าหนึ่ง เพราะพี่ที่เป็นเลขาประธานบริษัท เขาได้ยินและเป็นห่วง

ส่วนที่แย่คือ.. หนึ่งในคนที่ไปปล่อยข่าว เป็นคนที่ผมพยายามสนับสนุนให้เขาได้ทำงานต่อ
ในท่ามกลางแรงกดดันจากหลายคน แต่เขาคงไปคิดว่าผมก็ต้องการให้เขาออก

และมีน้อยคนที่รู้ว่า.. ผมไม่เคยต้องการไล่ใครออกเลย ผมยังเชื่อเสมอว่า ทุกคนมีความสามารถ ความถนัดต่างกัน ใครจะลาออก ผมจะเรียกมาคุยก่อนเสมอ
ถ้าช่วยได้ ผมจะช่วย ผมจะหางานที่เขาถนัด และอยากทำให้เขาทำ

แต่ส่วนที่ดีคือ เรื่องนี้ทำให้ผมเห็นอีกครั้งว่า โลกธรรม 8 ก็ยังเป็นธรรมะคู่โลกเสมอ
ไม่ได้แปลว่าทำดี คิดดี แล้วจะมีแต่คนสรรเสริญเสมอไป
มีสรรเสริญเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็จะมีนินทามาเป็นของคู่กันเสมอ

คิดง่ายๆว่า ถ้าเรื่องนี้ไม่เว้นแม้แต่พระพุทธเจ้า แล้วคนสุกๆดิบๆอย่างผมจะเหลืออะไร

ส่วนที่ดีอีกอย่าง คือได้รู้ว่า.. มีพี่บางคนเขาก็ยังเห็นว่าเราเจตนาดี ไม่ใช่คนคิดร้ายกับใคร

และที่ดีที่สุด .. ในระหว่างที่ฟังอยู่ แทนที่จะทุกข์ร้อน ผมกลับยิ้ม ไม่ใช่เพราะโรคจิตรู้ว่าคนนินทาแล้วมีความสุข
แต่เพราะรู้ว่า ทั้งที่มีปัญหาเกิดขึ้น แต่ทุกข์ในใจกลับไม่ค่อยมี เพราะสติมันคอยคุ้มครองอยู่

MD ถามว่า.. คุณเดือดร้อนไหม? ผมก็ยิ้มๆ แล้วบอกว่า .. ไม่เดือดร้อนครับ.. ผมเข้าใจ

ที่เข้าใจนี่ เข้าใจว่าธรรมดาของมนุษย์ก็เป็นแบบนี้ แล้วเราต่างก็ยังไม่ได้เหนือมนุษย์ มาจากดาวไหน

คนเราถ้าเจอแรงกดดันมากๆ จะออกจากงานให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น ก็ต้องหาแพะมาสักตัวนึง

ถ้าผมโกรธไปนี่.. เวรกรรมเลยนะครับ ชาติหน้าต้องมาใช้หนี้กันใหม่ จองเวรกันต่อ
เลยคิดว่า ถ้าผมเป็นแพะให้แล้วเขาสบายใจขึ้น.. ก็เอาเถอะน้อง.. ตามสบาย

ผมขอบคุณพี่ที่มาบอกข่าวกับ MD แต่ผมก็บอกว่า ผมไม่รู้จะทำยังไง
จะเปิดแถลงข่าว ก็ดูฟูมฟาย ร้อนท้องไปหน่อย และผมยอมรับว่า ผมอาจจะอ่อน PR ไปหน่อย
แต่บางอย่างผมไม่ต้องพูดอะไร ถึงเวลา เขาก็รู้กันเอง.. ใครสงสัยถ้าเขามาถาม ผมก็ค่อยตอบก็แล้วกัน

นินทากาเล ก็เหมือนคนมาผายลมใส่น่ะครับ ไปเดือดร้อนมากก็เหนื่อยเปล่า เหม็นๆพอขำๆ แป๊บเดียวก็หาย


ในบล็อคผมก็เห็นนานๆโผล่มาทีเหมือนกัน 555
จริงๆ ด่าเลยตรงๆก็ได้ ผมอาจจะขำมากกว่า และผมรู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร

แต่ไม่อยากต่อความยาวด้วย เวรย่อมระงับด้วยการไม่ทำเวรน่ะ

ถือว่าผมอโหสิให้นะครับ

ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับวันหยุดครับ ฟังเพลงกันดีกว่า






 

Create Date : 24 มีนาคม 2550    
Last Update : 28 มีนาคม 2550 23:27:41 น.
Counter : 1282 Pageviews.  

1 ปีผ่านไป ไวเหมือนฝัน



เอาขนม ที่มีคนส่งให้ มาจัดงานปาร์ตี้ 1 ปี บล็อคนี้เสียหน่อย ขอบคุณท่านที่ถ่ายภาพมา ณ ที่นี้ด้วยครับ



อยู่ๆ ผมก็นึกสงสัยขึ้นมา ว่าผมเขียนบล็อคมานานเท่าไหร่แล้ว

เลยเลื่อนไปดูบล็อคแรก ที่ชื่อ At The Beginning ก็เห็นวันที่ระบุไว้ว่า 11 มีนาคม 2549

โห.... นี่ผมเขียนมาปีนึงแล้วเหรอนี่

จำได้ว่า.. ตอนเริ่มเขียน ผมกะไว้ว่า จะเขียนไปเรื่อยๆ ตันเมื่อไหร่ก็หยุดเขียน
ตอนนั้นกะว่า จากที่มีท่าทางจะได้สักยี่สิบบล็อค แต่ดูเอาเถอะ ปาเข้าไปร้อยกว่าบล็อค

เคยมีคนพูดว่า การเดินทางไกล เริ่มต้นด้วยก้าวแรกเสมอ
ขอให้หาก้าวแรกของคุณให้เจอ แล้วก้าวที่เหลือมันจะตามมาเอง

ดูที คนที่พูดแบบนั้น จะพูดจริง

บล็อคนี้ ก็เหมือนกับทุกๆอย่างในโลกนี้นะครับ
มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็จะดับไป ไม่วันใด ก็วันนึง

แค่อยากจะขอบคุณทุกท่านที่แวะมา
ไม่ว่าจะอ่านเฉยๆ อ่านแล้วคุยกะผมด้วย
ชมผมบ้าง เหน็บแนมผมบ้าง ปลอบบ้าง ขู่บ้าง

ผมก็ขอบคุณทุกๆท่านเสมอกัน

วันนี้ไม่เขียนยาว.. มาขอบคุณแล้วก็จะไปนอน
ขอบคุณนะครับ




 

Create Date : 22 มีนาคม 2550    
Last Update : 24 มีนาคม 2550 10:42:28 น.
Counter : 1037 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.