|
ความทุกข์ของมนุษย์เงินเดือน
ที่จริง.. ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์มันก็มีทุกข์มาตั้งแต่เกิดแล้วล่ะครับ ไม่งั้นเด็กคลอดมาใหม่ๆ คงไม่ร้องอุแว๊ อุแว๊ กระจองอแง
ลองนึกดูเล่นๆว่า ถ้าแม่คนไหนคลอดลูกออกมาปั๊บ เด็กหัวเราะคิกๆๆๆๆๆ สงสัยต้องมีการขนลุก ขนพองกันมั่ง
และที่ขึ้นหัวเรื่องไว้แบบนี้ ก็ไม่ใช่จะบอกว่า คนที่ไม่ใช่มนุษย์เงินเดือน ที่ภาษาทางการเขาเรียกเจ้าของกิจการ จะไม่มีทุกข์
เพียงแต่ผมจะมาเอ่ยถึงมุมหนึ่งของทุกข์แบบมนุษย์เงินเดือน เพราะผมเป็นมนุษย์เงินเดือน
สมัยผมเรียนจบใหม่ๆ เงินเดือนไม่กี่พันบาท ผมเคยนึกเล่นๆว่า ถ้าได้เงินเดือนสักสองหมื่นนี่ ผมคงจะมีความสุขมาก  เอาเข้าจริงๆ.. วันนี้ผมผ่านตรงนั้นมาไกลพอควร ก็ยังเห็นว่าเงินเดือนยังไม่พอจะเหลือใช้ เหลือเก็บอะไรมากมาย
ความสุขไม่ได้เพิ่มขึ้นตามเงินที่ได้เสมอไป
ส่วนนึงเพราะความพอดียังไม่เกิด ไม่ใช่เพราะเงินมันน้อย แต่ภาระที่เราสร้างให้ตัวเอง ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็นมันมีมากขึ้นตามวัย
ผมเห็นน้องๆบางท่านเงินเดือนสองหมื่น แต่ต้องผ่อนรถเดือนละหมื่นสอง จ่ายค่าน้ำมัน จ่ายค่าประกัน จ่ายภาษี จ่ายค่าที่จอดรถ ค่าทางด่วน ค่าล้าง ค่าซ่อมบำรุง
แทบจะไม่เหลืออะไรให้กินให้ใช้เลบ
จนผมอดนึกสงสัยไม่ได้ว่า.. เราซื้อรถมาเพื่อใช้ทำงาน หรือทำงานเพื่อมาซื้อรถ
ว่ากันว่า.. คนยุคนี้ ถ้าพ่อแม่ไม่สร้างฐานะไว้พอควร โอกาสจะตั้งตัวได้มั่นคง ยากมากนะครับ อันนี้ว่ากันโดยมาตรฐานคนกรุงเทพฯ
เพราะรถยนต์ก็แพงขึ้นเรื่อยๆ น้ำมันก็แพงขึ้น สมัยก่อนผมยังจำได้ว่า รถราคา สาม สี่แสน ยังมีให้เห็น เดี๋ยวนี้มันใกล้คันละล้านเข้าไปทุกที
กว่าจะผ่อนรถหมด เงินเดือนกำลังขยับๆ ต้องมาคิดเรื่องซื้อบ้าน อีกแล้ว
บ้านสมัยนี้ก็ดูแล้วปวดใจนะครับ ไอ้ที่ดูดีมีความหวัง ฝากฝังอนาคตได้ ดูคุณภาพดี ออกแบบดี สภาพแวดล้อมดี การจัดการดี ปลอดภัย ก็ตั้งราคาจนน่าสงสัยว่าจะเอาไปขายใคร
ไอ้ในระดับที่เราพอจะซื้อหาได้ สบายใจจะจ่าย เราดูแล้วยังไงก็ไม่สบายใจจะอยู่
หรือไม่ก็อยู่ไกลจนกลัวว่าค่าน้ำมันรถจะซดเงินเดือนไปหมด
เมื่อก่อนผมชอบมองพวกป้ายโฆษณาบ้านนะครับ เดี๋ยวนี้ถ้าหลบได้จะหลบ เพราะอ่านแล้วต้องสงสัยตัวเองทุกที ว่าเราเป็นคนจนมากเลยหรือไง
ป้ายประเภท "สังคมคุณภาพ เริ่มต้นเพียง 8.5 ล้าน" "เฟสดีที่สุด เริ่มต้นเพียง 14 ล้าน"
คือจะโฆษณา ก็โฆษณาไปเถอะครับ แต่ไม่ต้องใช้คำว่า "เพียง" ให้ผู้บริโภคสงสารตัวเองไม่ได้หรือไง 
ขนาดเขาบอกว่า "เพียง" ผมยังไม่มีปัญญาซื้อ แล้วถ้าเขาเปลี่ยนไปใช้คำว่า "ตั้ง" มันไม่กลายเป็นหลังละ 40 ล้านเหรอนั่น
นึกแล้วก็เป็นห่วงคนรุ่นลูกรุ่นหลานเรานะครับ
เล่าได้แค่นี้.. เพราะมนุษย์เงินเดือนต้องไปทำงานแล้ว ขอไปหาเงินผ่อนรถก่อนนะครับ 
Create Date : 31 พฤษภาคม 2549 | | |
Last Update : 31 พฤษภาคม 2549 9:03:07 น. |
Counter : 3711 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
จุดเปลี่ยนของชีวิต ตอนที่ 3
สิ่งหนึ่งที่คนจำนวนมากเข้าใจคลาดเคลื่อนคือ
การวิปัสสนา แปลว่า นั่งสมาธิ แปลว่าเดินจงกรม
แต่ที่จริงแล้ว การวิปัสสนา แปลว่า "การรู้เห็น ความจริงอันวิเศษ"
ซึ่งครูบาอาจารย์ท่านแปลไว้ว่า คือการได้รู้เห็นความจริงแห่งธรรมชาติของกาย และจิต
คุณคงนึกสงสัยเหมือนผมตอนใหม่ๆว่า..แล้วมันวิเศษตรงไหน..
ตอบว่า.. ตรงที่มันเป็นสิ่งที่น้อยคนจะเคยสังเกตเห็น ตรงที่ เมื่อเห็นแล้ว จะเกิดปัญญาที่ช่วยให้เราทุกข์น้อยลงๆได้ เพราะจะเห็นว่า กาย ก็ไม่ใช่ของเรา จิตก็ไม่ใช่ของเรา ทุกข์ ก็ไม่ใช่ของเรา สุขก็ไม่ใช่ของเรา (อันหลังนี่ยากจริงๆครับ 555)
การรู้การดูการเห็นที่ว่า ไม่ได้ขึ้นกับท่าทางนะครับ
จะเดินจงกรม นั่งสมาธิ ขูดกะทิ กินกะปิ ดูทีวี เปิดพัดลม ชมสวน เป็นแค่ท่าทาง อากัปกิริยาของร่างกายเท่านั้น
และในทุกอากัปกิริยา เราก็สามารถ เข้าไปดู เข้าไปรู้ ความเป็นไป ความเปลี่ยนแปลงของกายกับจิตได้ทั้งนั้น
แปลไทย เป็นไทยอีกทีว่า.. ถ้าคุณเดินจงกรม แต่เพ่งแค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง แล้วลืมกาย ลืมใจ มีสติรู้แค่เท้า รู้แค่มือ ไม่รู้ว่า ตอนนั้นใจมันหลงไป ไม่เห็นว่า ตอนนั้นใจมันรู้สึกหนักๆ แน่นๆ แข็งๆ หรือสบาย เบา ไม่รู้ว่ามันสุข หรือทุกข์
ไม่เห็นว่า การ "รู้ตัวทั่วพร้อม" เป็นยังไง
อันนั้น ก็ยังไม่ถือว่าเป็นการ วิปัสสนา เพราะการ "รู้สึกตัว" ยังไม่เกิด มีแต่การเพ่ง มีแต่การหลง
ผมถูกสอนมาว่า .. คนส่วนมาก เวลาจะปฏิบัติ จะเริ่มคิดหา "ท่า" ประมาณว่าตัวเองเป็น ไซมึ้งชวยเสาะ ลี้คิมฮวง เล็กเซี่ยวหง หรือฮุ้นปวยเอี้ยง ก๊วยเจ๋ง
ต้องเกร็งลมปราณ ต้องมีท่าบังคับ ต้องทำให้ถูกท่าด้วยนะ ไม่งั้นพลังฝ่ามือ มันไม่พุ่ง
ต้องทำท่าทาง ร่างกายให้สวยๆ เกร็งๆนิดๆคล้ายนายแบบ นางแบบโพสต์ท่าก็ต้องแขม่วพุงหน่อย
อันนั้นมันไปตกหลุมพรางของการบังคับ ตั้งท่า ลืมไปว่า หัวใจของการปฏิบัติ มีแค่ "รู้" กับ "หลง หรือ ไม่รู้" เท่านั้นแหละครับ
ไม่มีท่าทางถูก ท่าทางผิด ไม่มี 18 กระบวนท่า อรหันต์ ปราบมารอะไรทั้งนั้น
เพราะเราต้องการเห็นสิ่งที่มันเกิดขึ้น ตามธรรมชาติ เราต้องการเห็นความจริง ว่า กาย นี้เป็นทุกข์ ใจนี้เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง บังคับไม่ได้
ไม่ได้ต้องการบังคับให้เกิด หรือไม่เกิดอะไรทั้งสิ้น
เห็นกายเป็นทุกข์นี่ เห็นไม่ยากเลยครับ คุณนั่งๆอยู่นี่.. ลองหยุดเคลื่อนไหวสิครับ เอาให้นิ่งเด๊ะเลยนะ
ต่อให้เลือกท่าที่สบายที่สุด ที่คุณชอบที่สุด คุณก็บังคับให้มันอยู่เฉยๆได้ไม่นานหรอก
ในแต่ละวัน เราขยับตัวหนีความเมื่อย ความล้า กันกี่ครั้ง เคยสังเกตไหมครับ เป็นพันๆเลยนะ
อันนี้เว้นท่านที่เป็นอัมพาต ขยับไม่ได้นะครับ
จิตก็เหมือนกัน มันจะวิ่งหาความสุขไปทั้งวัน พอทุกข์เกิดขึ้น ก็ไม่ชอบ สุขเกิดขึ้น ก็อยากได้ไม่เคยพอ พระท่านถึงว่า กายนี้ จิตนี้ มันทุกข์ ตลอดเวลาแหละ
สุขที่ถาวร ไม่มี นอกจากเราจะนิพพานนะครับ เพราะนิพพานเป็นสภาวะที่สงบ ไม่ปรุงแต่ง ไม่อยาก หมดความอยาก ก็ไม่ทุกข์
เพราะคนธรรมดาอย่างเรามีอารมณ์เกิดขึ้นทุกขณะจิต และอารมณ์มันไวกว่าจิตเรา เกิดดับ เกิดดับ ไวมาก เราจึงไม่เห็นว่ามันเปลี่ยนไปเร็วขนาดไหน
เหมือนการที่เราเห็นภาพเคลื่อนไหวบนจอภาพยนตร์ 1 วินาที คุณรู้ไหมว่า มันเกิดจากภาพนิ่งถึง 24 เฟรมวิ่งผ่านเครื่องฉาย ทีละเฟรม ทีละเฟรม
ก็เหมือนการเกิด ดับ หนึ่งขณะจิต ที่มาเรียงร้อยต่อกัน ไอ้ที่เรารู้สึกอยู่ เราไม่เห็นว่าจริงๆ มันเกิดดับๆๆๆๆๆ แต่เราเห็นว่ามันเป็นจิตดวงเดียว จิตดวงเดิม ดำเนินต่อกันมาเรื่อยๆ .. ใช่ไหมครับ
สัมมาสติ จะช่วยให้เราเห็นได้ ครับ ว่าจิตแต่ละขณะ แต่ละดวง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป แต่มันเกิดแบบต่อเนื่องถี่ยิบ จนเราเห็นมันเป็นเส้นเดียว
เหมือนเอาปากกามาจุดๆๆๆๆๆๆๆ ต่อๆกันถี่ยิบ เราก็อาจเห็นภาพลวงตาได้ว่า มันเป็นเหมือนเส้นที่ถูกลากขึ้นเส้นหนึ่ง
ไม่ได้บอกว่า เดินจงกรม นั่งสมาธิไม่มีประโยชน์ หรือผิดนะครับ อย่าตีความอย่างนั้นเป็นอันขาด..
เพราะผมจะบอกว่า.. จะเดินจงกรม หรือเดินเล่น จะนั่งสมาธิ หรือนั่งเล่นเนท นั่งดูวิว ก็เจริญสติ รู้สึกตัวรู้กาย รู้ใจได้เหมือนกัน และหลงไปเผลอไปได้้เท่ากัน
เพียงแต่ เดินจงกรม นั่งสมาธิ จะช่วยในเรื่องการเพิ่มกำลังสมาธิ เป็นการฝึก ในรูปแบบ .. อย่างน้อยๆ ก็จะได้สมถะ คือความสงบ
แต่ถ้าจะเอาปัญญา ต้องไปเล่นเกมทศกัณฑ์ เอ๊ย.. ชิงร้อย ชิงล้าน เอ๊ย.. กล่องดำ เอ๊ย.. ต้องเจริญสติ หรือวิปัสสนานั่นแหละครับ
ชักเริ่มไม่ได้เรื่อง ไปดีกว่า.. 55 สุขสันต์วันอังคารนะครับ 
Create Date : 30 พฤษภาคม 2549 | | |
Last Update : 30 พฤษภาคม 2549 19:31:56 น. |
Counter : 1447 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
จุดเปลี่ยนของชีวิต ตอนที่ 2
เมื่อวานทิ้งท้ายไว้บอกว่า.. จะมาแนะนำว่า ถ้าจะมีสัมมาสติ จะได้มาอย่างไร
เขียนเสร็จเมื่อวานก็นั่งคิดอยู่ว่า จะเขียนยังไงดี เพราะเรื่องสัมมาสตินี่มันอธิบายได้ แต่เข้าใจยาก
ที่เข้าใจยาก เพราะมันง่ายมาก ง่ายจนเรานึกไม่ถึง เหมือนเป็นเส้นผมบังภูเขาอะไรอย่างนั้น
ผมเองตอนเรียนเรื่องนี้ใหม่ๆ ก็ฟังอยู่เป็นปีๆ ฟังแรกๆ ก็ไม่เข้าใจ เหมือนเวลาคุณเรียนพิมพ์ดีดแล้วครูบอกว่าให้เอานิ้ววาง ฟ ห ก ด อิ อา ส ว หรือเวลาครูสอนขับรถ เขาบอกว่า ให้เอามือวาง ที่ 9 นาฬิกา 3 นาฬิกา เหยียบคลัช เข้าเกียร์หนึ่ง ค่อยๆปล่อยคลัช เหยียบคันเร่ง
คุณๆ เข้าใจไหมครับ .. ก็เข้าใจ แต่เข้าใจแบบได้ความจำใช่ไหมครับ
แต่พอทำเป็นขับเป็นแล้ว มันแทบจะหลับตาพิมพ์ หรือขับได้แบบไม่ต้องคิดมากเลย
การเจริญสติ ให้เกิดสัมมาสติก็เหมือนกัน เริ่มต้นก็จะเข้าใจตามที่มีคนบอก ตามที่อ่านมา แต่ทำแล้วผลจะเป็นไง ยังนึกภาพไม่ออก
จะบอกว่า ไม่ต้องนึกครับ .. เพราะการปฏิบัติเราใช้การ "รู้สึก" เอา ไม่คิด ไม่นึก .. ถ้าคิดก็คือการ "หลง"ไปทางจิต ก็ต้องตามรู้ว่าจิตมัน หลงไปทำงาน คือหลงคิดไปแล้วล่ะ
ผมเพิ่งไปตอบกระทู้ใครบางคนมา .. บังเอิญเห็นว่าเนื้อหาบางส่วนเข้ากันได้ เลยหยิบมาใช้ประกอบครับ
ถ้าคุณสังเกตดูตัวเอง คุณจะเห็นว่าอารมณ์ทุกอย่างในชีวิตเรา มันเป็นเหมือนลม เหมือนฝน เหมือนแดดร่ม แดดออก เหมือนอากาศร้อน อากาศหนาว อากาศเย็นสบาย ที่เราเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน.. เจอมาเป็นสิบๆปีแล้ว
เราเคยเจออากาศเปลี่ยนไปขนาดไหน ชีวิตเราก็เจออารมณ์ต่างๆมากพอๆกัน หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
ทุกๆวันที่ผ่านไป เราจะมีสุข มีทุกข์ ผ่านเข้ามาเยอะแยะ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสังเกตเห็นมันไหม
ไม่ทราบว่าคุณนับถือศาสนาอะไร แต่ถ้าเชื่อในพระพุทธเจ้า.. ก็ต้องเชื่อว่า แม้แต่คนที่สมบูรณ์พูนสุขที่สุดในโลกนี้ เขาก็มีทุกข์ของเขาแน่นอน
เพราะทุกคนก็คือส่วนนึงของธรรมชาติ เราไม่ได้อยู่เหนือธรรมชาติ ทุกอารมณ์ ทุกอุณหภูมิ ทุกดินฟ้าอากาศ ก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ไม่มีอะไรคงที่ ยั่งยืน ถาวร ไม่มีอะไรผ่านมาแล้วไม่ผ่านไป เพราะมันคือธรรมชาติ
อะไรที่มีธรรมชาติกำกับอยู่ มันย่อมมีอายุของมัน มีเวลาของมัน
ความสุขเกิดขึ้น แล้วก็คงอยู่ เปลี่ยนแปลงขึ้นๆลงๆ แล้วก็ดับไป ฉันใด ความทุกข์ก็เกิดขึ้น คงอยู่ เปลี่ยนแปลง ขึ้นๆลงๆ แล้วก็ดับไป เช่นกันฉันนั้น
ไม่ใช่เพราะเป็นทุกข์แล้วจะอยู่นาน เป็นสุขแล้วจะอยู่แป๊บเดียว แต่เพราะเรามักจะรักในความสุข เกลียดในความทุกข์
เวลาทุกข์เกิดขึ้นนิดเดียวก็รู้สึกว่ามันมากมาย ร้อนรนทนไม่ได้ เวลาสุขเกิดขึ้นมากมาย ก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ อยากได้อีกๆๆอยู่นั่นเอง
ถ้าเราหมั่นสังเกต วิจัยดู.. ความสุขจากความรัก ก็ไม่คงที่ ความทุกข์จากความรัก ก็ไม่คงที่ บางวันสุขมากกว่าทุกข์ บางวันก็ทุกข์มากกว่าสุข
สมัยก่อนที่ความรักเบ่งบาน ตอนเห็นหน้ากันก็สุข ยิ่งได้จับมือโอบกอด ได้สัมผัส ก็ยิ่งสุข แต่พอต้องกลับเข้าบ้านปิดประตูไม่ได้เห็นหน้าแค่สองวินาที ก็ทุกข์เพราะคิดถึง ยิ่งเจอพ่อยืนหน้าถมึงทึง ยิ่งทุกข์ใหญ่
สุขก็ไม่คงที่เห็นไหมครับ
ถึงตอนนี้ที่มันทุกข์เสีย 99% เหลือสุขจากความทรงจำที่เคยมีอยู่นิดหน่อย มันก็ไม่ได้ทุกข์เต็มร้อยตลอด 24 ชั่วโมง ใช่ไหมครับ ลองแอบสังเกต แอบวิจัยตัวเองเวลาทุกข์ ดูสิครับ
คุณจะเห็นว่าทุกข์มันมาพร้อมกับความจำ และต่อยอดขึ้นตามความคิด
แปลว่า เพราะคุณยังจำได้ว่า เขาเป็นคนที่คุณรัก ยังจำได้ว่าเขาทำให้คุณเสียใจยังไง แล้วความคิดก็ต่อยอดว่า .. ทำไมเขาถึงทำกับเราได้
ไอ้ส่วนท้ายที่มาพร้อมกับคำว่า "ทำไม" นี่แหละครับ ตัวทำให้เจ็บที่สุด
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว เขาก็ทำให้คุณเสียใจแค่ครั้งเดียว ..ตอนที่เขามาบอกเลิก ไม่ว่าเขาจะโกหกหรือพูดจริง
แต่ไอ้ความคิดนี่แหละครับ ที่ทำให้ตัวเราเองเสียใจได้ไม่รู้จบแบบอนันตกาล
พระรูปหนึ่งท่านเคยสอนศิษย์ว่า .. คนเราทุกวันนี้ เป็นทุกข์เพราะความคิด ถ้าไม่มีความคิด ความทุกข์(ใจ)ก็ไม่เกิด
แต่ถามว่าความคิดห้ามได้ไหม ทุกข์ ห้ามได้ไหม ห้ามไม่ได้ครับ แต่เราสามารถเรียนรู้วิธีรับมือกับทุกข์ได้ โดยไม่เจ็บไม่ร้อน
เหมือนเอาหม้อใส่น้ำ ตั้งไฟ ถามว่าจะไม่ให้น้ำเดือดได้ไหม ไม่ให้หม้อมันร้อนได้ไหม ไม่ได้ใช่ไหมครับ
แต่ไม่ได้แปลว่า เราจะต้องเจ็บร้อน จากหม้อที่มีน้ำเดือดพล่านนั้น ถ้าเพียงแต่เราจะรู้วิธี จับมัน ใช้อุปกรณ์ช่วย และมี "สติ"
แถมยังเอาน้ำเดือดมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างด้วยซ้ำไป
พระพุทธเจ้าสอนพวกเราว่า.. ทุกข์น่ะ มีให้รู้ หมายถึงให้มีสติรู้เท่าทันทุกข์ ที่เกิด ที่เป็นไป โดยไม่ต้องไป "อยาก" ให้มันไม่เกิด ไม่ต้องไปเกลียดมัน
เพราะถ้ามีความอยากเกิดขึ้น มันคือสมุทัย หรือเหตุแห่งทุกข์ ก็เท่ากับเอาทุกข์ตัวนึงออกแล้วเอาตัวใหม่ไปใส่แทน เท่านั้นเอง
แต่ถ้าเรารู้เข้าไปที่ตัวทุกข์ ว่ามันเกิดอยู่ ด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่มีความรังเกียจ "อยาก"ให้มันหาย "อยาก"เป็นคนดี "อยาก"ได้อารมณ์ดีๆ จิตดีๆ สะอาดๆ ทุกข์มันก็จะเกิดขึ้นมาเป็นลูกโซ่
จะดับทุกข์ได้ จึงไม่ต้องการอะไรมากกว่า รู้สึกตัวขึ้นมา รู้สึกที่ทุกข์ ความแน่นๆ หนักๆในใจ หรือถ้าเห็นว่ามันมีตัวอยากหมดทุกข์ อยากกำจัด อยากดับทุกข์ ก็ต้องรู้ตรงนั้น
เพราะความอยากนั่นแหละคือจุดเริ่มของทุกข์
ทุกข์.. มันทำงานที่จิตเรา ที่ใจ จะทำความรู้จัก เข้าใจมันก็ต้องไปรู้ทันใจบ่อยๆ
คุณอาจสงสัยว่า..รู้ทันจิตใจบ่อยๆ .. แล้วดียังไง ตอบว่า ..รู้ได้บ่อยๆแล้ว คุณก็จะเกิดปัญญา เกิดดวงตาเห็นธรรม ..เห็นว่า..
มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นแหละ เราบังคับอะไรมันไม่ได้หรอก เพราะมันไม่ใช่ของเรา เพราะมันเป็นของมันอย่างนั้น
เพราะมันเป็น.. ธรรมชาติ ิ เหมือนฝนจะตกแดดจะออกน้ำจะท่วม เราบังคับไม่ได้หรอก แต่ถ้าคนเข้าใจ ก็จะยอมรับได้ว่า..
มันก็เป็นไปตามฤดูกาล เป็นไปตามธรรมชาติ
ไม่ใช่ว่าอากาศดี มันจะดีทุกวัน ทั้งปีทั้งชาติ ไม่ใช่ว่าน้ำไม่เคยท่วม แล้วจะท่วมไม่ได้ ไม่ใช่ว่าฝนไม่ตกมาเจ็ดเดือน แล้วจะตกไม่ได้
เมื่อยอมรับได้ ก็จะไม่ทุกข์ไม่ร้อนที่มันเกิด มันมีเหตุขึ้น เช่นฝนตก ก็หลบฝน หาร่มมากาง แก้ปัญหาไปจนถึงบ้าน ไม่โกรธ ไม่เกรี้ยวกราดที่ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น
แดดออกร้อนมาก ก็หาที่หลบ ไปอาบน้ำ ทาแป้งตรางู นอนผึ่งลม เข้าห้าง เปิดแอร์อะไรไปตามประสา ทุกข์เฉพาะกายที่มันร้อน แต่ไม่จำเป็นต้องทุกข์ใจ ใช่ไหมครับ
แต่ถ้าไม่เคยมีสติ ไม่เคยเข้าใจความจริงของธรรมชาติ
แดดออกดีๆ ฟ้ากำลังสวยๆ พอฝนตก ก็โกรธ หงุดหงิด ขาดสติกันไป
ความรักที่เคยดีๆ ความสัมพันธ์กำลังสวยๆ กลายเป็นหม่นหมอง ก็หลงไปในความขุ่นใจ เสียใจ
ไหนๆน้ำ มันก็เดือดแล้ว เราห้ามอะไรไม่ได้ ก็ไปหาสปาเก็ตตี้มาลวกทานเล่น ผัดน้ำมันมะกอก ใส่ใบโหระพา เบคอนกรอบๆ ผัดกระเทียมพริกขี้หนู ใช้ประโยชน์จากน้ำเดือดเสียเลย
ไม่ต้องไปนั่งเศร้าที่เขามาจุดไฟ ไม่ต้องไปนั่งพยายามทำให้มันเย็น
แค่เข้าใจทุกข์.. เข้าใจตัวเอง เข้าใจธรรมชาติ เข้าใจด้วยความเป็นกลาง ไม่ต้องอยากบังคับ ไม่ต้องอยากเปลี่ยนแปลงอะไร
แล้วเมื่อสติคุณเกิด คุณจะตื่นขึ้น เห็นโลกใบเดิม ผ่านแว่นอันใหม่ ฟิลเตอร์มัวๆ ที่ฉาบด้วยความหลง ความไม่รู้จักธรรมชาติจะหายไป
เวลาคนอกหัก แล้วมีสติ ระดับสัมมาสติ จะรู้ว่า อกหัก ก็ไม่เลวนักหรอก ถ้าเทียบกับปัญญา ที่เพิ่มพูนขึ้นจากความอกหักนั้น
เบื้องต้น เอาเท่านี้แหละนะครับ.. แค่ให้ทุกท่าน ตามรู้ ตามดูความรู้สึก ด้วยใจที่เป็นกลาง
ไม่ต้องไปอยากได้สุข เกลียดทุกข์ แม้แต่ตัวสติก็ไม่ต้องไปอยากได้ อยากมี .. เพราะสติสร้างขึ้นไม่ได้ บังคับให้มาก็ไม่ได้ แต่ฝึกให้เกิดได้
ตั้งใจแค่ว่า จะรู้ จะเห็น ธรรมชาติ ของกาย เรา กับใจเราให้บ่อยที่สุด "เท่าที่เราทำได้"
ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เราคงจะตามรู้ได้สักสองสามความรู้สึกแหละน่า
แค่อ่านแล้ว งง.. ก็รู้ว่า งง.. สงสัย รู้ว่าสงสัย.. เบื่อ ก็รู้ว่าเบื่อ..
ปฏิบัติได้สามหนแล้วครับ เก่งมากๆ 
สุขสันต์วันอาทิตย์ นะครับ
Create Date : 28 พฤษภาคม 2549 | | |
Last Update : 30 พฤษภาคม 2549 18:32:36 น. |
Counter : 1121 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
จุดเปลี่ยนของชีวิต
ผมเชื่อเอาว่า คนส่วนมากจะมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิต ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตคุณไปในเส้นทางใหม่ ไม่ว่าจะดีขึ้น หรือแย่ลง
เหมือนที่ผมเคยพูดถึง เจ เค โรวลิ่ง เหมือนเรื่องของผู้หญิงหลายคนอย่าง โอปราห์ วินฟรีย์ เหมือนน้องๆหลายคนที่ผมเคยรู้จัก
ผมมีจุดเปลี่ยนของชีวิตอยู่หลายครั้ง หลายหน ครั้งแรก คือคราวที่ผมต้องเลือกว่า ผมจะไปอยู่เมืองนอก หรืออยู่เมืองไทยต่อไป
ครั้งที่สอง คือคราวที่ผมเลือกกลับไปทำงานที่เชียงใหม่
ครั้งที่สาม คือคราวที่ผมออกจากงานครั้งแรก
ครั้งที่สี่ คือคราวที่ผมตัดสินใจแต่งงาน อันนี้รวมถึงการยอมที่จะเปลี่ยนใจมีลูกตามคำขอของอดีตภรรยา และจบลงด้วยการเดินหันหลังจากกัน
แต่ไม่มีครั้งไหนเลย จะเทียบได้กับการที่ผมได้รู้จักโลกของธรรม
การได้สัมผัสโลกใบนี้ ในตอนเริ่มต้น มันมักจะกระอักกระอ่วน ไม่รัญจวนใจเหมือนการบำเรอตัวเองด้วยกิเลสที่เราคุ้นเคย
ตอนนั้นมันออกจะเหนียมๆ อายๆ เวลาจะบอกใครว่า.. ผมไปเรียนวิปัสสนามา แต่ถ้าบอกว่า ไปลอนดอน ปารีส นิวยอร์ค มันพูดเต็มปากไม่ลำบากใจ
จะบอกเขาว่า เราไปเดินจงกรม มันฟังดูไม่เท่ เก๋ กู้ด เหมือนเวลาเราบอกใครว่า เราไปเดินพาราก้อนนะ
จะบอกชวนเพื่อนไปนั่งสมาธิ ไปเรียนวิปัสสนา มันฟังดูไม่อินเทรน ไม่เดิ๊น เหมือนชวนไปนั่งเหล่สาวที่สลิม แถวอาร์ซีเอ หรือร้านนั่งเล่น แถวเอกมัย
จะบอกใครว่าเราไปฝึกเจริญสติ มันก็ฟังไม่น่าจำเป็นเท่ากับการไปเจริญวุฒิทางโลกแบบ MBA
แต่กระนั้น.. โลกของธรรมที่ผมรู้จัก มันสงบ อบอุ่น งดงาม สว่าง ต่างจากความสว่างของโลกเดิมที่ผมเคยรู้จัก
พูดแบบนี้ คุณอาจเข้าใจว่า โลกสองใบนี้ มันอยู่ห่างกันคนละจักรวาล ที่จริง โลกสองใบนี้ ก็คือโลกใบเดียวกัน ที่คุณกับผมยืนอยู่ด้วยกันนี่แหละ
มันคือโลกในใจของเราทุกคน ที่เราอยู่กับมันในทุกเมื่อเชื่อวัน แต่เราไม่เคยสนใจที่จะเข้าใจรู้จักโลกในอีกด้านหนึ่ง เท่านั้นเอง
อาจจะเป็นเพราะเราไม่มีความสนใจ ไม่มีแรงกระตุ้น เพราะมีความสุขอย่างลึกล้ำกับชีวิตที่เป็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่มีใครมาบอกทาง ฯลฯ อีกล้านคำอธิบาย
อีกส่วนหนึ่ง เข้าใจว่า โลกของธรรมะมีไว้สำหรับคนมีปัญหา คนอกหักรักคุดเท่านั้น ฉันรวย ฉันสวย ฉันเก่ง ฉันสุข ฉันไม่ต้องอาศัยธรรมะอะไรมาช่วย
อีกส่วนหนึ่ง กลัวว่า ถ้าไปสัมผัสโลกใบนั้นแล้วจะต้องโกนหัว นุ่งขาว กินเจ จะดูหนัง ฟังเพลง แต่งหน้าทาปาก ยุ่งกับคนต่างเพศ ไม่ได้ ซื้อปราด้า กุชชี่ ชาแนล ไม่ได้
แท้ที่จริงแล้ว.. อย่างที่ผมบอก โลกของธรรมะ กับโลกปัจจุบัน คือใบเดียวกัน
เรายังใช้ชีวิตได้เป็นปกติ แบบที่คนธรรมดา เขาทำกัน มีคนรักได้ แต่งงานได้ ทำธุรกิจ ค้าขาย ทำมาหากินโดยสุจริตได้ แต่งตัว แต่งหน้าได้ เฮฮา เที่ยวเล่นดูหนังฟังเพลงร้องคาราโอเกะได้
แต่สิ่งที่มันจะต่างกันก็คือ.. คุณจะอยู่ในโลกใบเดิม ได้อย่างมีสติ ไม่เบียดเบียนคนอื่น และไม่เบียดเบียนตัวเอง
คุณจะค่อยๆรู้ว่า ความพอดี ความเกินพอดี ความขาด มันอยู่ตรงไหน คุณจะทุกข์ ก็ทุกข์อย่างมีสติ เวลาจะสุข ก็สุขอย่างมีสติเช่นกัน
สติ ที่เป็นสัมมาสติจริงๆ ไม่ใช่สติแค่รู้ว่า ฉันเป็นใคร ทำอะไรอยู่ อันนั้นหมาแมว ก็มี ครับ
สติ ที่เป็นสัมมาสติ คือสติที่ประกอบด้วยความเห็นถูกตามความเป็นจริงของธรรมชาติ เห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "เรา" ประกอบด้วย รูปกับนาม คือกายกับจิต ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ไม่มีอะไรน้อยกว่านั้น
ถ้าสติของคุณเจริญไปถึงขั้นนึง คุณจะเห็นของแปลกอีกอย่างที่คุณอาจจะไม่เชื่อ ถ้าผมจะบอกว่า แม้แต่สิ่งที่คุณเรียกและเข้าใจเสมอมาว่า คือ "ตัวเรา" มันก็ไม่ใช่ "ของเรา"จริงๆ
สติ ที่เป็นสัมมาสติ จะทำให้เราเห็น และ "รู้" ว่า อารมณ์ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา ล้วนแต่มีธรรมชาติอย่างเดียวกัน คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
จะอารมณ์ดี อารมณ์ร้าย อารมณ์รัก อารมณ์เกลียด อารมณ์ชอบ อารมณ์ชัง หรือแม้แต่อารมณ์ที่เฉยๆ ต่างก็ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
ไม่มีอะไรที่เรายึดถือได้ว่ามันมีตัวตน บังคับได้ หรือคงที่ตลอดเวลา สังเกตไหมครับว่า เวลาเราโกรธใคร เราก็ไม่ได้โกรธที่ 200 องศาเท่ากันตลอด แต่มันจะขึ้นๆ ลงๆ ตามเหตุและปัจจัย
เช่นเกิดนึกถึงเรื่องที่เขาทำให้เราโกรธ ความโกรธก็พุ่งขึ้น นึกถึงเรื่องที่เขาเคยดีกับเรา ความโกรธก็ทุเลาลง
เวลารักใคร ก็ไม่ได้ร๊ากกกก รัก เท่ากันทุกวัน วันไหนเขาถือดอกไม้มาให้ ก็รักมันจังเลย วันไหนแฟนเก่ามันโทรมา ก็รักน้อยลงทันตาเห็น
สติ ที่เป็นสัมมาสติ จะทำให้เรารู้ทันอารมณ์ต่างๆเหล่านี้ ว่ามันเป็นแค่สิ่งที่ผ่านเข้ามาในใจแล้วก็ผ่านไป ไม่มีอะไรให้ยึด ไม่มีอะไรให้แบก
สิ่งที่เหลือไว้ มันแค่ตะกอน ที่เราไปกักมันไว้
คนที่อยู่ในโลกของผู้ปฏิบัติ จึงมีโอกาสจะใช้ชีวิตในโลกธรรมดา ด้วยความเข้าใจ ด้วยความเป็นสุข เบา สบาย ด้วยเหตุที่เขาจะไม่แบกทุกข์
แต่ขณะเดียวกัน เราก็ไม่ใช่คนวิ่งหนีทุกข์นะครับ
หากแต่จะรู้ทัน เข้าใจ และยอมรับว่าทุกข์ เป็นของธรรมดาที่เกิดขึ้น มีขึ้นได้ ตามเหตุและปัจจัย
แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเรารู้ว่า ทุกข์มันร้อน มันหนัก มันเจ็บปวด เราก็จะไม่เข้าไปแบกมัน แต่ไม่ได้ปฏิเสธ ว่ามันไม่มีอยู่
พูดง่ายๆแต่เข้าใจยากว่า.. มีทุกข์ แต่ไม่เจ็บแสบร้อน เพราะทุกข์นั้น
อันนี้อาจจะเข้าใจยากสักหน่อย สำหรับคนที่ไม่เคยมองทุกข์อย่างมีสัมมาสติ ไม่เคยเห็นเวลา ทุกข์มันก่อตัว เกิดขึ้น แล้วดับวับด้วยแรงแห่งสติ
เรามักจะเกลียดทุกข์ รักสุข วิ่งหนีทุกข์ วิ่งหาสุข แล้วก็ต้องทุกข์เพิ่มขึ้น ซ้อนๆขึ้นไป เพราะการทำอย่างนั้น
สุดท้าย คนที่เห็นโลกของผู้ปฏิบัติ จะเข้าใจหลักการเรื่องเหตุและผล พระพุทธเจ้าบอกว่า โลกนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยไม่มีสาเหตุ
เพราะมีสิ่งนั้น สิ่งนี้จึงเกิด เพราะเหตุเป็นเช่นนี้ ผลจึงเป็นอย่างนั้น และเมื่อมีการเกิด จึงมีการดับ
ฝนตก แดดออก นกกระจอกเข้ารัง แม่ม่ายใส่เสื้อถ่อเรือไปดูหนัง ทุกอย่างมีที่มา มีสาเหตุ
สาเหตุบางอย่าง มองเห็น รู้ได้ อธิบายได้ สาเหตุบางอย่าง ก็อาจจะนอกเหนือประสบการณ์ของคนธรรมดา
สาเหตุบางอย่างที่ต้องอาศัยดวงตาพิเศษจึงจะมองเห็น คนธรรมดา ก็มองเห็นได้นะครับ เพราะทุกคนส่วนมากที่อ่านบล็อคของผมอยู่ ผมเชื่อว่ามีดวงตาที่ว่าอยู่ทุกคน แต่อาจจะหลบอยู่ หลับอยู่ ไม่เคยรู้วิธีปลุกมันให้ตื่น ให้เปิดมันออกมาใช้
ดวงตาที่ว่า จะเปิดออก ก็ด้วยสัมมาสติครับ แล้วคุณจะได้เห็นโลกที่ไม่ฉาบด้วยฟิลเตอร์ของความหลง เป็นโลกใบเดิม ที่คุณมองเห็น ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ถามว่า สัมมาสติ จะเกิดได้ จะได้มา ค้นหาจากไหน เดินจงกรม นั่งสมาธิเหรอ
ไว้ตอนหน้า ผมจะมาเล่าให้ฟังครับ
บอกใบ้ให้ว่า ถ้าอ่านแล้วชอบใจ ก็รู้สึกตัวว่ามีความชอบใจ ถ้าอ่านแล้วเบื่อ ให้รู้ที่ความเบื่อ หงุดหงิด รู้ว่า หงุดหงิด ถ้าเกลียดคนเขียน รู้ทันว่ามีความเกลียดเกิดขึ้นในใจ
หรืออ่านแล้ว สงสัย อยากรู้ ก็รู้ที่ความสงสัย อยากรู้นั้น
คุณทำแบบฝึกหัดเรื่องการปฏิบัติเสร็จไปหนึ่งข้อแล้วครับ
สุขสันต์วันเสาร์นะครับ 
Create Date : 27 พฤษภาคม 2549 | | |
Last Update : 31 มกราคม 2551 14:23:20 น. |
Counter : 2549 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ว่าด้วยดัชนี..ชีวิต บิ๊กแม็ค ไข่เจียว และความรัก
ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล.. คนทุกยุคทุกสมัยจะมีดัชนีไว้บ่งชี้อะไรสักอย่าง
เช่นสมัยก่อน ความมั่งคั่งของขุนนาง คหบดี เขาวัดกันที่ขนาดที่ดิน และจำนวนข้าทาสบริวาร รวมไปถึงบุตร ธิดา ภรรยา ยิ่งมาก ยิ่งเชื่อได้ว่าใหญ่จริง
การจะดูลักษณะของช้าง ม้า วัว ควาย ว่าดีไม่ดี เขาก็มีดัชนีมาตรฐานในการดู ช้างก็เรียกกันเป็นตำราคชลักษณ์ ม้าก็เป็นตำราอัศวลักษณ์ อะไรกันไป ตำราดูลักษณะวัว ควาย ไม่ทราบเรียกอะไร แต่ไม่ใช่ แอสตันลักษณ์ก็แล้วกัน 
ผมเคยได้ยินว่า สมัยก่อนอีกเหมือนกัน เวลาผู้ใหญ่เขาจะไปดูตัวลูกสาวบ้านไหน เพื่อขอมาเป็นสะไภ้ เขาจะไปดูเวลาสาวนางนั้นปอกมะม่วง ถ้าปอกแล้วกินเนื้อเข้าไปลึก ก็ว่า สาวนั้นมีแนวโน้มเป้นคนสุรุ่ยสุร่าย ถ้าปอกแล้วบางเกินไปเปลือกขาด ไม่สม่ำเสมอ ก็ว่าคนๆนั้นขี้เหนียว ตระหนี่เกินมัธยัสถ์ไปหน่อย
เคยอ่านมาว่า บางคนใช้ฟังเสียงครกตำน้ำพริก ถ้าเสียงหนักแน่นแปลว่าแรงดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
ผมแอบเดาเอาว่า.. คงมีคนไปประเมินว่า ลูกสาวบ้านไหนสวยจากความชื้นของหัวกระได เพราะสมัยก่อนบ้านเรือนไทยมันจะสูงครับ จะขึ้นเรือนก็มีธรรมเนียมว่า ต้องล้างเท้าก่อน เพื่ออนามัย ก็สมควรอยู่ เพราะสมัยก่อน เขาไม่ใช้รองเท้ากัน
ถ้าบ้านไหนมีคนมาเยี่ยม มาจีบลูกสาวบ้านนั้นมาก หัวกระไดก็จะเปียกตลอดเวลา เลยเป็นที่มาของสำนวน หัวกระไดไม่แห้ง
สมัยผมเด็กๆ ผมสังเกตเอาว่า คนแถวๆบ้านผม เขาวัดความเจริญทางเศรษฐกิจของแต่ละบ้านด้วยรถยนต์ บ้านไหนขับรถยุโรป ก็ดูทีว่าฐานะจะดีกว่าบ้านที่ขับรถญี่ปุ่นกระป๋องๆ
เพราะสมัยก่อน ยังไม่นิยมการดาวน์ต่ำ ผ่อนบ้าเลือด 72 เดือนอย่างวันนี้
สมัยนี้ใครซื้อรถยุโรปแล้วผ่อน ไม่ซื้อสด เผลอๆจะถูกมองด้วยสายตาเป็นห่วง ว่ามีหนี้มาก
ผมจะรู้สึกไปเองหรือเปล่าก็ไม่รู้.. ว่าเดี๋ยวนี้ค่านิยมการใช้รถเป็นเครื่องวัดความสำเร็จในชีวิตคน ยังมีอยู่ แต่น้อยลง
ในทางมหภาค.. มาม่า ยังเป็นดัชนีวัดฐานะเรื่องปากท้องคนไทยได้เสมอ คือช่วงไหนถ้าเศรษฐกิจเริ่มมีปัญหา จะมีคนไปเฝ้าดูตัวเลขยอดขายมาม่า ถ้าเมื่อไหร่ยอดขายมันพุ่งขึ้น นักวิชาการเขาจะบอกว่า.. นั่นแหละ คนเริ่มเหลือเงินในกระเป๋าน้อยลง เลยต้องพึ่งมาม่ามากขึ้น
แล้วคุณทราบกันไหม.. ว่าบิ๊กแหมก บิ๊กแม็ค อะไรนี่ฝรั่งนิยม เอามาใช้เป็นดัชนีด้วยนะ
ใครที่เรียน MBA คงพอทราบว่าฝรั่งจะมี Big Mac Indicator เอาไว้ประเมินว่าของที่ส่งมาขายในประเทศต่างๆ มันถูกหรือแพง โดยอาศัยราคาของ บิ๊กแม็คของอเมริกาตั้ง เทียบกับราคาของบิ๊กแม็คในประเทศอื่น แล้วถอดสมการออกมา ว่าถ้าบิ๊กแมคอเมริกาขายเท่านี้ บิ๊คแมคเมืองไทยขายเท่าไหร่ ดังนั้น เมื่อราคาของชิ้นเดียวกันขายในอเมริกา ราคาเท่านี้ ควรจะขายเท่าไหร่ในเมืองไทย
มาถึงไข่เจียว.. อันนี้ทฤษฎีของผมเอง
เคยไหมครับ ที่ต้องไปทานอาหารในร้านแปลกหน้า แปลกตา แล้วไม่แน่ใจว่ามันอร่อยหรือเปล่า มองหาป้ายเชลล์ชวนลิ้ม ชิมโดยแม่ช้อย เกี่ยวก้อยโดยหมึกแดง ก็ไม่เจอ
แต่เพราะย้ายที่ทำงานมาใหม่ ย้ายบ้านมาใหม่ ร้านนี้มันอยู่ใกล้บ้าน ใกล้ที่ทำงาน เอาล่ะวะ ถึงเชลล์ไม่ชวนก็ควรชิม
ในสถานการณ์แบบนี้ ผมจะสั่ง "ไข่เจียว" ครับ เพราะผมว่า ไข่เจียวเป็นอาหารที่คนไทยทั่วไปจะทำได้เป็นอย่างแรกๆ ถัดจากการปอกกล้วย
ถ้าร้านไหน พ่อครัว แม่ครัว ทอดไข่เจียวแล้วอมน้ำมัน ดำทมิฬ ก็แทบจะฟันธงได้ว่า ฝีมือไม่ถึง
แต่อันนี้ใช้เป็นมาตรฐานสากลไม่ได้ เพราะบางคนอาจจะไม่ชอบไข่เจียวเหลืองหอม นุ่มเหมือนผม บางคนก็ชอบไข่เจียวเกรียมๆ กรอบๆ ก็มี
เอาเป็นว่า ถ้าเขาทอดไข่เจียว ถูกปากคุณ ก็แววดีก็แล้วกันนะ
ส่วนดัชนีความรัก.. อันนี้วัดยากจัง ผมพยายามนึกว่า เราจะใช้อะไรมาเป็นตัววัด ระดับความรัก
จะบอกว่าการมีปากเสียง ก็ไม่แน่ใจ เพราะบางบ้านเห็นมีจานบินบ่อยๆ โพล้งเพล้งๆๆ แต่ก็ลูกดกเหลือเกิน
ผมว่าความรักเป็นเรื่องของเคมี ของคนสองคน ไม่ค่อยมีดัชนีสากล บางคู่ บางที เห็นแล้วมันก็อธิบายลำบาก
ความรักมันเป็นนามธรรม ถ้าพยายามเอาเหตุผลไปอธิบาย เอาทฤษฎีไปจับ มักจะพลาดหน้าแตกเอาง่ายๆ
ถ้ามองแค่ระดับความสัมพันธ์ก็เห็นมีตำราหลายเล่มว่าไว้ ดัชนีที่จะเห็นได้อาจจะมีตั้งแต่ท่าเดินด้วยกัน วิธีการจับการจูงมือ
ถ้าคู่ไหน ผู้ชายกำลังตามจีบอยู่ สังเกตดูว่าจะเดินตามหลังสาว ถ้าเดินดุ่ยๆนำหน้าสาวไป อาจแปลได้ว่า จีบติดแล้ว ขอเป็นผู้นำมั่งสิ ถ้าเดินเคียงข้างกันกุมมือด้วย แปลว่าความรักกำลังอยู่ในระยะแน่นแฟ้น
แต่ผมยังไม่ค่อยมั่นใจในทฤษฎีข้างบนเท่าไหร่นะ บอกตามตรง
ผมว่าดัชนีที่ดีที่สุด ในเรื่องความรัก มันต้องดูใจตัวเองนั่นแหละครับ ถ้ายังรู้สึกอุ่นใจที่อยู่ใกล้ วาบหวามที่ได้เห็นหน้า ถ้ายังเชื่อใจใครสักคนได้ โดยไม่ต้องมีคำถาม ไม่ต้องการคำอธิบาย ก็แปลได้ว่า ความรักคุณยังมีมาก มั่นคงดีอยู่
ถ้าเริ่มขี้หึง เริ่มแสดงอาการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ อันนั้นเป็นดัชนีบ่งชี้ว่าคุณรักเขาน้อยลง และรักตัวเองมากขึ้น
ไม่ได้บอกว่า อันไหนถูก อันไหนผิดนะครับ แค่เอาไว้เป็นดัชนี วัดใจตัวเองได้อย่างเดียว
อย่างผม.. ตอนนี้ มีอาการกลัวผู้หญิง เดินสวนใคร ก็หลบตา เข้าลิฟท์ก็ไม่กล้าแอบชำเลืองมองใคร ปล่าวๆๆ.. ไม่ใช่ดัชนีว่ากำลังหันเหสู่ไม้ป่าเดียวกัน
เพียงแต่ผมเริ่มเหนื่อย.. และเริ่มเห็นว่า ตัวเองเหมาะกับการอยู่คนเดียว ปลอดภัยที่สุด
ผมมักจะเป็นตัวนำโชค(ร้าย) ไปให้ผู้หญิงที่ผมรัก และรักผมน่ะครับ ไปคบกับใคร เขาก็มีปัญหากับที่บ้านไปเสียหมด
อันนี้ ถ้าคิดแบบเห็นแก่ตัว ก็ต้องบอกว่า ไม่เกี่ยวกับผม แต่ถ้านึกถึงว่า.. เราเป็นคนนอก.. เขาเป็นพ่อแม่พี่น้องกันมายี่สิบ สามสิบกว่าปี อยู่ๆเราโผล่เข้าไป แล้วก็มีแต่คนรังเกียจ .. อี๊ พ่อม่าย อี๊ มีลูกติด อี๊..
มันก็พอทำใจได้ในช่วงแรก.. แต่พอมีปัญหาจุกจิกอื่นเข้ามา ถึงรู้สึกว่า ความรู้สึกเรา มันเปราะบางมาก เกินกว่าจะอดทนได้ในภาวะแบบนี้
เลยพาลรู้สึกว่า.. เออ.. อยู่เฉยๆ ท่าทางจะดีกว่า..
อันนี้ไม่มีดัชนีอะไรบอกครับ.. 
สุขสันต์วันพุธนะครับ
Create Date : 24 พฤษภาคม 2549 | | |
Last Update : 24 พฤษภาคม 2549 9:26:33 น. |
Counter : 1422 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|