Group Blog
 
All blogs
 

ส่งท้ายปี 2552 สวัสดีปี 2553



(ภาพประกอบที่สวยกว่า สคส.หลายใบรวมกัน ฝีมือคุณแป๋ว SevenDaffodils ครับ)

คำถามหนึ่งที่ผมเจอบ่อยๆ ช่วงใกล้วันสิ้นปีคือ จะไปฉลองที่ไหน

สำหรับผมวันอะไร ก็ครือๆกันแหละ จะปีเก่าปีใหม่ ก็มี 24 ชม. เท่ากัน
พระอาทิตย์ก็ขึ้นทางตะวันออก ตกทางตะวันตกเหมือนเดิม
ไม่มีอะไรน่าฉลอง แต่โดยเหตุที่ได้หยุดหลายวัน เลยตั้งใจจะอยู่บ้านภาวนา
ทำอะไรที่อยากทำ เช่นเขียนบล็อกเป็นต้น

ก่อนอื่นผมอยากอนุโมทนากับหลายๆท่าน ที่อ่านบล็อกนี้
แล้วเริ่มลงมือหัดภาวนา ตามรู้ ตามดูกายใจ ด้วยการรู้สึกตัว
บางท่านไม่เคยมีศีล ก็ตั้งใจรักษาศีล บางท่านไม่ค่อยได้ทำทาน ก็ทำทาน

ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามาอ่าน ช่วยบอกต่อว่ามีบล็อกแบบนี้อยู่
และรวมถึงคุณแป๋ว SevenDaffodils ที่เอื้อเฟื้อภาพประกอบสวยๆ
ให้บล็อกนี้น่าแวะเวียนมาอ่าน ชนิดไม่น่าเบื่อ

ผมเขียนบทความให้นิตยสาร Mix ฉบับแรกของปี 2553 ไว้
ถือโอกาสเอาบางส่วนมาฝากทุกท่าน เป็นของขวัญปีใหม่
ย้ำว่าฉบับนี้ตัดทอนมา ไม่ใช่ฉบับเต็มแบบในนิตยสารนะครับ

New Song: เพลงใหม่ ชีวิตใหม่เกิดได้ทุกวัน
I've been waiting for so long
To come here now and sing this song
Don't be fooled by what you see
Don't be fooled by what you hear

This is a song to all my friends
They take the challenge to their hearts
Challenging preconceived ideas
Saying goodbye to long standing fears

Don't crack up
Bend your brain
See both sides
Throw off your mental chains

I don't wanna be hip and cool
I don't wanna play by the rules
Not under the thumb of the cynical few
Or laden down by the doom crew



เฝ้ารอวัน นี้หนา มานานนัก
ด้วยใจรัก อยากบรรเลง เพลงขับขาน
ด้วยใจหมายให้ตื่นอยู่ รู้เบิกบาน
แม้นพบพาน สิ่งใดอยู่ ให้รู้ทัน

นี่คือเพลงบทหนึ่งถึงเพื่อนผอง
จิตไตร่ตรอง ลองตรวจตรา หาตัว “ฉัน”
ท้าทายอุปาทานหนาสารพัน
ความกลัวพลันอันตรธานพ้นผ่านไป

อย่ามัวปรุงความคิดวิปลาส
อย่าพลั้งพลาดขาดสติริเผลอไผล
มองโลกตามจริงห่างทุกอย่างไป
ตรวนล่ามใดใจมีอยู่รู้ทิ้งเอย

ชวนท่านเรียนเรื่องจิตไม่คิดเท่
เพราะเคยเป๋ ด้วยกฏบาตรมิอาจเฉย
กี่เสียงร่ำคำวิจารณ์ล้วนผ่านเลย
สัตว์โลกเอ๋ยเฉลยเป็นแต่เช่นกรรม


สากลมนุษย์เรานิยมถือเอาวันปีใหม่เป็นการเริ่มต้นศักราชใหม่
หลายคนคิดว่า นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ล้างชำระเรื่องเก่าของปีก่อน
เพื่อการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม

ถามว่าผิดไหม ไม่ผิดหรอกครับ ในทางพุทธเราถือว่า
จิตคนเราเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดใหม่อยู่ทุกลมหายใจอยู่แล้ว

พระพุทธเจ้าบอกว่า “จิต” ที่พวกเราคิดเอาว่าคือ “ตัวตนของเรา”
มันไม่มีถาวรหรอก มันมีแต่จิตชั่วคราว เกิดขึ้นทีละดวงแล้วก็ดับ
มีช่องว่างมาคั่น แล้วเกิดจิตดวงใหม่สืบเนื่องกันไป
แต่จิตของพวกเราไม่มีคุณภาพดีพอจะมองเห็นปรากฏการณ์ที่ว่านี้เอง

เหมือนที่เราไม่เคยเห็นว่า หลอดไฟฟ้าที่ให้แสงสว่างแก่เราอยู่
มันไม่ได้เปล่งแสงสว่างคงที่ หากแต่กระพริบๆๆๆๆ ด้วยความเร็วสูง
เกินกว่าที่ตาเนื้อของมนุษย์ธรรมดา
จะมองเห็น “ช่องว่าง” ระหว่างความสว่างแต่ละครั้ง
เราจึงเห็นเพียงว่าหลอดไฟนั้นมีแสงสว่างเดียวสืบเนื่องกันไม่ขาดสาย

เหมือนที่หลายท่านรู้ แต่ไม่เคยเห็นทันว่า
ภาพที่เคลื่อนไหวอยู่บนจอภาพยนตร์ ไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้จริง
หากแต่เกิดจากการฉายภาพจากแผ่นฟิลม์ ด้วยความเร็ว 24 ภาพต่อวินาที

ตาเนื้อของเรา เห็นไม่ได้ เห็นไม่ทันว่า
ภาพแต่ละเฟรมมันขาด มันแยกจากกันนะ
แต่เห็นได้เพียงความสืบเนื่องจนเป็นความเคลื่อนไหว
ราวกับมีชีวิตจริงอยู่บนจอนั้น ทั้งๆที่ มันเป็นเพียงแค่ “ภาพลวงตา”

เพลง "New Song" ที่ผมหยิบมาแปลเป็นบทกลอนในฉบับนี้ เป็นผลงานของศิลปินยุคซินธีไซเซอร์รุ่งเรือง ในปี 1983 หรือ พ.ศ. 2526 เขามีนามว่า โฮเวิร์ด โจนส์ (Howard Jones)

โฮเวิร์ด เกิดที่เมืองเซาธ์แธมพ์ตัน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1955 (พ.ศ. 2498)

หลายคนที่โตมาในยุคร็อค แอนด์ โรล
มักจะไม่ค่อยชอบศิลปินในยุคนิวมิวสิคอย่างโฮเวิร์ด โจนส์คนนี้

แต่ก็อย่างที่เขาเขียนเนื้อเพลงนี้ว่า “don’t be fooled by what you see”
อย่าพึงรีบเชื่อในสิ่งที่ตาคุณเห็น เพราะมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น
ผู้หญิงสวยที่คุณเห็นในระยะสิบเมตร อาจจะไม่ใช่เพศหญิงอย่างที่คุณเข้าใจ

ผมแปลเพลงนี้ โดยการตีความออกมาเป็นบทกลอน
จากประสบการณ์จริงของตัวเอง ที่ค้นพบว่า
การค้นพบตัวเองเริ่มต้นและลงท้ายได้ด้วยการ “รู้ทันจิตใจของตัวเอง”

มันเป็นเรื่องง่ายๆที่หลายคนอาจจะตกใจและสงสัยว่า
เพียงแค่มีสติย้อนกลับมารู้ทันสภาวะอารมณ์ของตัวเองที่เปลี่ยนแปลง
และเป็นไปในแต่ละวันนี่ละหรือ คือการค้นพบตัวเอง
และมีสุขได้ท่ามกลางความแปรปรวน ไม่แน่นอน เป็นทุกข์
คงที่ถาวรอยู่ไม่ได้ และบังคับให้เป็นอย่างที่ใจต้องการไม่ได้

ผมไม่ทราบว่า โฮเวิร์ด จะรู้จักพระพุทธเจ้า และเข้าใจเรื่องนี้หรือเปล่า
แต่ที่แน่ๆ เขาพูดว่า They take the challenge to their hearts
คล้ายกับที่พระพุทธเจ้าสอนแล้วบอกว่า อย่าเพิ่งเชื่อนะ
ให้มาทดลองดูเองก่อน โอปะนะยิโก น้อมใจไปพิจารณาตัวเอง
แล้วสิ่งที่รู้นั่นจะเป็นปัตจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตัว

ผมก็อยากท้าทายท่านด้วยคำเดียวกัน
เพื่อที่ท่านจะได้พบชีวิตใหม่ในทุกวันได้
โดยไม่ต้องรอปีใหม่ในอีก 365 วันข้างหน้า

สวัสดีปีใหม่ในเดือนแรกของปีพุทธศักราช 2553 ครับ
ขอให้บุญกุศล และกรรมดีทั้งหลายที่ท่านทำไว้ คุ้มครองทุกท่าน
ให้ดำเนินชีวิตบนความดีงามและเจริญงอกงามนะครับ

ส่วนบุญกุศลใดๆที่ผมทำมาดีแล้ว ควรแล้ว จากอดีตกาลจนถึงวันนี้
จะมากจะน้อยประการใดก็ตาม ขอให้ทุกท่านอนุโมทนาในบุญนั้นกันนะครับ

สุขสันต์วันที่โลกยังหมุนอยู่นะครับ




 

Create Date : 30 ธันวาคม 2552    
Last Update : 31 ธันวาคม 2552 20:01:27 น.
Counter : 7849 Pageviews.  

บล็อกนี้สีอะไร



เคยมีคนถามผมว่า บล็อกของคุณแอสตันจะเขียนเป็นรายอะไร
เดาว่าเขาหมายถึง ความถี่ในการอัพบล็อกใหม่
ซึ่งผมตอบไปว่า "รายสะดวก" ครับ

แปลว่าช่วงไหนสมองลื่นเหมือนปลาไหล และเวลาเป็นใจ
ก็อาจจะเขียนทุกสองวัน
แต่ถ้าช่วงไหนสมองฝืด อืดเหมือน(ปลา)วาฬ หรือยุ่งมหากาฬ
ก็อาจจะนานหน่อย

ผมเคยนึกว่าจะสร้างความสม่ำเสมอให้บล็อกนี้
ด้วยการกำหนดว่าจะเขียนใหม่ทุกเจ็ดวัน

แต่ก็คล้ายๆกับที่หลายท่านเจอในชีวิตจริง ว่า...
โลกนี้ มันเป็นไปตามเหตุและปัจจัย
ไม่ได้เป็นไปตามที่เรา "คิด" หรือ "อยาก" นะครับ

คือเขียนใหม่น่ะ เขียนได้ แต่มีเวลาเขียนให้จบไหม .. ไม่แน่
หรือเขียนจบแล้ว แต่มันดีพอจะอัพไว้ให้ใครอ่านไหม .. ไม่แน่อีก

เลยสรุปได้ว่า บล็อกนี้จะเป็นรายอะไรก็ไม่สำคัญ
ขอให้คนเขาเข้ามาอ่านแล้วได้อะไรชูใจไปบ้างก็แล้วกัน

ก่อนหน้านี้ไม่นาน ผมไปอุดหนุนพี่ดี้
ด้วยการซื้อวีซีดี "เฉลียงสามฝ่าย" มาดู

ผมไม่แน่ใจว่าควรจะจัดกลุ่มของสื่อชิ้นนี้เป็นอะไร
จะว่าเป็นทอล์คโชว์ เขาก็มีร้องเพลงหลายเพลงอยู่
จะว่าเป็นคอนเสิร์ต พี่ๆเขาก็คุยกันเยอะมากเลยนะ

ผมเลยเรียกว่า เป็นงานคอนเสิร์ตสนทนาประสาลุงๆ ก็แล้วกัน
ที่จริงจะตั้งชื่อเรียกว่าอะไร มันก็เป็นอย่างที่เป็นนั่นแหละ
ที่สำคัญคือ จะเรียกว่าอะไร ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าดูแล้วได้อะไร

นอกจากเสียงฮาครืนๆ ผมยังได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ว่า
ไอ้ที่ผมเคยเห็นบรรดาสติ๊กเกอร์ท้ายรถว่า "รถคันนี้สี....." น่ะ
เขาไม่ได้เป็นมุขขำๆ แบบที่ผมเข้าใจมาหลายปีหรอกนะ

มันเป็นความเชื่อคล้ายๆเรื่องฮวงจุ้ย ว่าคนเกิดวันนี้ปีนั้น ต้องรถสีอะไร
ทีนี้บางคนชอบรถสีดำ แต่ซินแสทักมาว่าต้องแดงถึงจะดีจะเฮง
จะขายคันเก่า ซื้อใหม่เลยก็ใช่ที่ เพราะยังไงก็ชอบสีดำอ่ะ
เลยเป็นที่มาของสติ๊กเกอร์จำพวก "รถคันนี้สีแดง" สีเขียว สีทอง ฯลฯ

คนเราก็มีความเชื่อกันแปลกๆนะครับ อยากรวย อยากสวย อยากดี
แต่คิดว่าสามารถแปะสติ๊กเกอร์แล้วจะรวย จะสวย จะดีได้

กระทั่งเมล์ส่งต่อ ก็ยังเชื่อกันได้ว่าส่งต่อสิบห้าคนแล้วจะเฮง
นึกถึง ทีวี ไดเรคท์ ที่เขาบอกว่า โทรมาภายในสิบนาทีนี้แล้วจะมีแถม

ใครที่อ่านบล็อกผมประจำระวังนะครับ อีกหน่อยอาจจะมีคนส่งเมล์ไปหา
ว่าถ้าส่งต่อรูปคุณแอสตั้น ไปให้เพื่อนห้าสิบคนแล้วจะถูกหวย
แต่ถ้าส่งภายในสิบนาที จะได้ถูกรางวัลแจ็คพ็อตด้วย

อันนี้รับรองผลโดยสถาบันศรัทธาวิปลาสแห่งชาติว่า ได้ผลจริง
เพราะทดสอบมาพันราย ปรากฏว่า "ถูก.... กิน" ทุกคน

อย่าลืมว่า พระพุทธเจ้าสอนให้มี "ศรัทธา" ที่ประกอบด้วย "ปัญญา" นะครับ
และที่อยู่เหนือกว่าศรัทธา และปัญญา ก็คือ "สติ"

กระทั่งจะมี "วิริยะ" ความเพียร และ "สมาธิ" ก็ยังต้องอาศัยสติเสมอ

จะสิ้นปีแล้ว ตั้งใจว่าจะได้อัพอีกสักบล็อกส่งท้ายปีนี้
แต่เพื่อความไม่ประมาท เผื่อผมเท่งทึงไปก่อนโดยมิได้นัดหมาย

รถเราจะแปะสติ๊กเกอร์ว่าสีอะไร ก็ยังเป็นสีตามที่มันเป็นจริงนั่นแหละ
หรือผมอาจจะบอกทุกท่านว่า บล็อกนี้สีเขียว แต่มันก็จะเป็นสีที่มันเป็นนั่นแหละนะ



ที่แน่ๆ คงยังไม่ "สี...ซอให้แอสตั้นฟัง" หรอก

ตัวเราก็เหมือนกัน เราหรือคนอื่นจะแปะสติ๊กเกอร์ว่า "ฉันเป็นคนดี"
หรือ "ฉันมีความสุข" อย่างไร เราก็เป็นอย่างที่เราเป็นนั่นแหละ

มันไม่สำคัญว่า คนอื่นจะเห็นว่าเราเป็นอย่างไร
มันสำคัญว่า เรา "รู้" แล้วหรือยังว่า "ความจริงว่าด้วยตัวเรา" เป็นยังไง

สุขสันต์วันที่ลมยังพัดครับ




 

Create Date : 27 ธันวาคม 2552    
Last Update : 27 ธันวาคม 2552 11:07:44 น.
Counter : 7227 Pageviews.  

ถามมา ตอบไป 2



ผมได้รับคำถามน่าสนใจเข้ามาจากหลายช่องทาง
ขอถือโอกาสเอามารวมไว้เป็นบล็อก เผื่อตรงกับปัญหาในใจของอีกหลายท่านนะครับ


ถาม 1. พี่ฝึกมาปีกว่าแล้วค่ะ ฝึกมาจนบางครั้งรู้สึกเบื่อเหมือนกัน ทั้งเหงาและเบื่อ จะท่องพุทโธ เวลาดูความเบื่อ เพราะเบื่อแล้วต้องหลงกิเลสตัวนี้ทุกทีเลยค่ะ เบื่อแม้เเต่การนั่งสมาธิ ต้องออกไปเดินเล่นตามห้าง หรือ เช่านั่งมาดู

เป็นคนเจ้าอารมณ์ เวลาเบื่อจึงเบื่อเเรง และยังไม่มีเเฟน ก็เลยมีอารมณ์เหงาผสมเบื่อ กลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ ทำอย่างไรดีค่ะ อยากให้(รู้ว่ากิเลสอีกแล้ว) จิตมันข้ามไป คือพัฒนาไปได้เรื่อยๆ แต่ต้องมาสะดุดที่ความเบื่อกับความเหงา ทุกทีซิค่ะ ไปร้านกาแฟ ไปห้างเดินเล่น เช่าหนังมาดู มันก็ยังสะดุดตัวนี้อยู่ดีค่ะ ช่วยกรุณาเเนะนำด้วยค่ะ :- พี่เอ


ผมพอเข้าใจความรู้สึกของพี่นะครับ
เรียนตามตรงว่า ผมเองก็มีท้อบ้างเป็นครั้งคราวเหมือนๆกันนั่นแหละ

ของพี่ยังปีกว่า ผมภาวนามา ถ้านับเวลาหลงทางด้วยก็สิบสองปีแล้วนะ
ก็ยังต้วมเตี้ยมๆๆ อยู่แถวๆนี้แหละ ไม่ไกลจากพี่มากหรอก

แต่อย่างที่หลวงพ่อท่านบอกเสมอว่า ท้อได้ แต่ไม่ถอยนะ
ถ้ายอมถอย เราจะถอยไปทีละหลายชาติ

บางทีเรารู้สึกว่าเราภาวนามา"ตั้ง"ปีกว่าแล้ว อันนั้นก็จริงอยู่
แต่ต้องไม่ลืมว่า เราสะสมความไม่รู้ ความหลง มาแล้วนับภพชาติไม่ถ้วน

เอาแค่ชาตินี้ก็หลายสิบปีอยู่ จู่ๆ มารู้สึกตัวแค่ปีสองปี
จะให้มันพัฒนาทันใจ ก็เห็นจะใจร้อนไปหน่อยล่ะครับ

แต่ใจร้อน ก็ธรรมดาอีกนะครับ เรามันคนรักดีนี่นาเลยต้องหามจั่ว
อยากดี อยากพ้นทุกข์พ้นร้อน ก็ต้องร้อนใจเป็นธรรมดา

อันนี้เป็นกิเลสปกติของนักภาวนา บาลีเรียกว่า อุททัจจะ กุกกุจจะ
ความหมายคือฟุ้งซ่าน รำคาญใจ กลัดกลุ้ม ร้อนใจในกิเลสที่ยังมี
ด้วยเหตุที่ อยากดีอยากได้ในธรรมที่เรายังไม่ถึง

เอาเป็นว่า ผมมองในแง่ดีว่า พี่เห็นกิเลสตัวเองได้เยอะขึ้น
และเป็นกิเลสในขั้นละเอียดขึ้นมาแล้ว

กิเลสของคนอยากปฏิบัติดี เป็นกิเลสขั้นละเอียดขึ้นกว่าคนอยากชั่ว
ฉะนั้น สิ่งที่ยังขาดอยู่ คือการรู้ทันความไม่เป็นกลางของจิตนั้นอีกที

แปลง่ายๆ ซื่อๆว่า เวลาอยากก็รู้ว่าจิตมันเกิดความอยาก
เหงา ก็รู้ว่าจิตมันรู้สึกเหงา เวลาเบื่อ ก็รู้ว่าจิตมันกำลังเบื่อ
สำนวนอาจารย์ท่านบอกว่า จิตมันเป็นยังไง รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น

สังเกตว่า ผมใช้คำว่า จิตมันเป็นอย่างนี้ จิตมันเป็นอย่างนั้น
เพราะเราภาวนาเพื่อให้เห็นความจริงว่า จิตมันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ของมันเอง
ความเบื่อ ความอยาก ความเหงา เป็นแค่สิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา

ส่วนการรู้ทันความเป็นกลาง ไม่เป็นกลาง เป็นขั้นต่อมา
คือรู้แล้วไม่ชอบ ก็รู้ว่าจิตมันไม่ชอบ รู้แล้วยินดีภูมิใจ ก็รู้ทันว่าจิตมันยินดี ภูมิใจ
รู้แล้วเฉยๆ นิ่งๆ ก็รู้ทันว่าจิตเป็นอย่างนั้น ความเฉยๆก็เป็นสภาวะอย่างหนึ่งนะครับ

อีกอย่าง คนที่ภาวนาดี กับคนที่จิตมีสภาวะดีๆ เป็นคนละเรื่องกันครับ
บางคนจิตไม่มีความเป็นกลางเลย ฟุ้งซ่านตลอด แต่ภาวนาดี

ที่บอกว่าภาวนาดี ไม่ใช่เพราะไม่เป็นกลาง ไม่ใช่เพราะฟุ้งซ่านแล้วดี
แต่เพราะรู้สึกตัวเห็นสภาวะที่ไม่ดี ไม่เป็นกลางเหล่านั้นบ่อยๆ รู้อยู่ถี่ๆทั้งวัน
รู้แล้วไม่เป็นกลาง ก็รู้อีก แล้วปล่อยให้จิตทำงานเอง
เราเป็นแค่คนดูโดยไม่แทรกแซง อันนี้มีโอกาสเดินปัญญาต่อได้

ในทางกลับกัน ถ้าจิตโล่ง โปร่ง สบาย ว่าง สงบ
แต่เคลิ้มไปหลงไปในสุขนั้น แล้วไม่รู้สึกตัวเลย
แบบหลังนี่ไปส่งการบ้านหลวงพ่อ ท่านจะบอกว่าสู้แบบแรกไม่ได้ครับ

หลวงพ่อเคยสอนว่า นักปฏิบัติจะเจอกิเลสคู่ปรับตัวฉกาจสองตัว คือเบื่อ กับสงสัย

ดูเหมือนพี่จะมีทั้งสองตัว ตัวแรกเยอะหน่อย :)

ดีแล้วที่เห็นนะครับ ผมอนุโมทนาด้วย

สู้ๆนะครับ

ถาม 2 พี่คะ เมื่อวานมีพระมาดูดวงให้ เค้าบอกว่าอะไรๆก็ดีหมด แต่ไม่มีดวงเรื่องความรักอ่ะ ซึ่งหนูว่าก็น่าจะจริงนะคะ รักใครก็ทุกข์ทุกทีเลย หาแฟนก็หาไม่ได้ซะที จะให้เลือกๆมาสักคนก็ทำใจไม่ได้ ถ้าจะมีแฟนก็อยากจะเลือกให้ดีที่สุด ( ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบอะไรเลย - -")

อย่างงี้เราควรจะทำใจยังไงดีคะ เข้าใจว่าให้มีความสุขอยู่กับปัจจุบัน แต่หนูควรจะคิดไปเลยมั๊ยคะ ว่าชาตินี้สงสัยต้องอยู่เป็นโสดไปตลอด ใครผ่านเข้ามาก็ไม่ต้องสนใจ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเสียใจด้วยกันทุกฝ่าย

ยิ่งไปกว่านั้น พระบอกว่าหนูมีดวงเหมือนพวกนักบวชมากกว่าน่ะค่ะ - - แต่หนูรู้สึกว่า ด้านการปฎิบัติธรรม ก็ไม่ได้เรื่อง วันๆก็ไม่ค่อยจะมีสติเลย ถ้าตายไปตอนนี้ไปอบายแหงมๆ - -" ...แต่ก็ไม่เลิกที่จะปฎิบัติหรอกค่ะ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น..

ป.ล. ถ้ามีคนซื้อแผ่นจริงพวกดีวีดี หรือเพลงมา แล้วเราขอก๊อปไว้ในเครื่องด้วย อย่างงี้ผิดมั๊ยคะ :P


เรื่องดวง สมมติว่าท่านดูแม่นจริงๆ ท่านก็ดูตามแผนที่กรรมเก่าที่เราทำมาน่ะครับ
ไม่ได้แปลว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย
เพียงแต่มันต้องอาศัยกรรมดีด้านบวกเยอะๆมาพลิกชีวิตตัวเอง

การปฏิบัติเจริญสติจนถึงวิปัสสนา ก็เป็นกรรมดีอย่างยิ่งครับ

เรื่องคิดเป็นโสดตลอดชีวิต ก็คิดได้ แต่เรื่องจริงทำได้ไม่ได้ ก็อีกเรื่องนะ
ถ้าเรายังมีวิบากจะต้องรับ มันก็จะมีคนเข้ามาแบบที่เราปฏิเสธลำบากอยู่เรื่อยๆ
จะตัดใจไม่ยุ่งได้ไหมล่ะ ถ้าได้ก็ดีครับ แต่ยากหน่อยนะ

แล้วทำไมต้องคิดว่าปฏิบัติธรรมไม่ได้เรื่องล่ะ
ที่ว่าวันๆไม่ค่อยมีสติน่ะ เอาอะไรมาวัด ถ้าไม่มีสติ
แล้วรู้ได้ยังไงว่า "ไม่มีสติ"

คนไม่มีสติ จะไม่ค่อยรู้ตัวหรอกว่าไม่มีสติอยู่
เหมือนคนบ้าจริงๆ มักจะคิดว่าตัวเองปกติ
ฉะนั้น ถ้ารู้ว่าเรากำลังไม่มีสติ นั่นแหละกำลังมีสติแล้ว

ถ้าเป็นคนปฏิบัติดี ไม่ได้แปลว่าเขา "มีสติตลอดเวลา" นะ
แต่แปลว่าเวลาขาดสติ หลงไป เผลอไป ก็รู้สึกตัวได้ไว
ไม่ใช่เผลอเช้า รู้สึกตัวได้ตอนบ่าย เผลอบ่าย ไปรู้สึกได้ตอนค่ำ
แบบนี้ช้าไป แต่ก็ยังดีกว่าไม่รู้สึกตัวเลย

คนที่ชอบฟุ้งซ่าน เวลาภาวนา ให้ดูที่ความคิดบ่อยๆ
รู้ทันว่าจิตเผลอคิดโน่นคิดนี่ไว้นั่นแหละ ไม่ต้องทำอะไรมาก
รู้ทันตรงที่ไม่มีสติ โดยที่ไม่ต้องพยายามจะมีสติตลอดเวลา
ปล่อยให้มันเผลอไปแล้วรู้ เผลอแล้วรู้
แล้วจะค่อยๆมีสติรู้ทันความรู้สึกอื่นๆได้มากขึ้นเอง

ปล. ถ้าก้อปไว้เพราะเจตนาคือ ยังไม่มีเวลาไปซื้อแต่ตั้งใจจะซื้อ ก็ไม่ผิด
แต่ถ้าก้อปด้วยเจตนาว่า มีแล้ว เลยไม่ยอมซื้อของจริง ก็ผิดนะครับ


ถาม 3 ตัวเองเป็นคนมีโทสะมากเหมือนกัน และเคยพยายามตามความรู้สึกตัวเอง ซึ่งก็รู้ตัวนะคะว่ากำลังมีอารมณ์อย่างไร แต่โทสะกลับไม่ดับลงไป แถมยังอยากจมอยู่กับอารมณ์นั้นต่อไปอีก เช่น อยากโกรธ อยากเศร้าต่อไป เพราะรู้สึกว่ามันได้ปล่อยอารมณ์ให้สุดๆ ไปเต็มที่ แบบนี้ควรทำอย่างไรดีคะ

โดย: แสงดาว


ยินดีต้อนรับสู่ชมรมคนขี้หงุดหงิดครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านเคยให้กำลังใจว่า คนโทสะแรงนี่ภาวนาง่าย
เพราะความโกรธ เป็นกิเลสที่หยาบ เห็นของจริงได้ชัดได้ง่าย
ผมขอเสริมจากประสบการณ์ของตัวเองว่า .... และมาบ่อย

ผมพื้นฐานก็เป็นคนโทสะแรงครับ ยืนยันได้ว่าตรงตามนั้นทุกประการ

ที่ว่ารู้โทสะแล้วไม่ดับ ต้องถือโอกาสปรับความเข้าใจใหม่นะครับ
ว่า.. เราไม่ได้ภาวนาเพื่อกดข่มโทสะ เป้าหมายหลักไม่ใช่ฝึกจิตไม่ให้โกรธ

เมื่อวานอ่านนิตยสาร Image เขาสัมภาษณ์คุณอะไรจำไม่ได้ เขาพูดดีมากเลย
เขาบอกว่า เราไม่ได้ภาวนาเป็นยาชา (แปลว่า.. ไม่ใช่เพื่อจะได้ไม่มีความรู้สึกอะไร)

ธรรมะ คือธรรมชาตินะครับ อย่าทำอะไรที่ฝืนธรรมชาติ
แต่ให้เรียนรู้จักธรรมชาติของกายและจิตนั่นแหละ
ว่าเมื่อมันมีเหตุก็โกรธ หมดเหตุก็ดับไป เป็นธรรมชาติ เป็นความจริง

จะเห็นความจริงได้ ก็ต้องให้มันทำงานตามความเป็นจริง
ถ้ามีคนขับรถปาดเราจนต้องเบรกหัวทิ่ม จิตมันขี้โกรธ มันก็ต้องโกรธสิครับ
แต่โกรธแล้วรู้ทันว่าจิตมันกำลังเดือดพล่าน พุ่งปรี๊ด รู้ลงไปซื่อๆตอนนั้นเลย

ถ้ารู้แล้ว มันจะดับหรือไม่ดับ ก็เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา
เราถือศีลไว้เป็นหลัก ตราบใดไม่ล้นออกจนต้องเปิดกระจกด่าเขา เอานิ้วกลางมาชู
ตราบนั้นก็ไม่ต้องทำตัวเกินไปกว่าเป็นคนดูนะครับ

ส่วนมากเราไปพลาด ตรงที่ตามรู้จิตที่โกรธ ด้วยความอยากให้หายโกรธ
แล้วก็รู้แต่ความโกรธ แต่ไม่รู้ทันความอยาก

ลืมไปว่า จิตมันเป็นไปเพราะเหตุปัจจัย ไม่ได้เป็นไปตามความชอบความอยากของเรา
พออยากแล้ว เท่ากับจิตไม่เป็นกลาง ก็ไม่รู้ทันอีก พอไม่สมอยากก็ไม่ชอบ

ความไม่ชอบ ก็คือโทสะอีกตัว กลายเป็นว่ามีโทสะตัวใหม่ซ้อนตัวเดิมลงไป
การรู้สึกตัว รู้ว่าโกรธ จึงไม่เป็นอย่างที่บางคนเขารู้แล้วความโกรธดับไป ด้วยประการฉะนี้

อย่าลืมจุดสำคัญ เรารู้จิต เพื่อจะเรียนความจริง ไม่ใช่เพื่อสนองกิเลสของคนอยากดี
ที่จริงยิ่งไปกว่านั้น เราจะเรียนได้ดี ก็เมื่อเห็นความจริงมากๆบ่อยๆว่า..
จิตที่เราเฝ้ารักเฝ้าหลง ว่าเป็นตัวตนอันแสนประเสริฐของเรานี่
มันก็ไม่ได้ดีเด่อะไรนักหนาหรอก มีแต่กิเลสเต้มมมมไปหมด

ส่วนที่มีสติแล้วกิเลสมันดับไปเป็นคราวๆ มีความสุขความสงบขึ้นมา
อันนั้นมันผลพลอยได้ครับ เป็นของแถมหรอกนะ ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลัก
เหมือนซื้อแฟ้บแถมช้อน ซื้อกระท้อนแถมละมุด ซื้อมังคุดแถมลำไย

ถึงจะชอบช้อน ละมุด ลำไยขนาดไหน ก็ต้องไม่ลืมว่า เราตั้งใจจะซื้ออะไร
จะได้ไม่หลงประเด็นน่อ

สุขสันต์วันที่เรายังโกรธเป็นแต่เห็นจริงนะครับ




 

Create Date : 15 ธันวาคม 2552    
Last Update : 15 ธันวาคม 2552 16:22:10 น.
Counter : 6773 Pageviews.  

The Mentalist เรื่องโกหก เรื่องจริง เรื่องมีประโยชน์



ผมเพิ่งดูซีรีส์อีกเรื่องจบซีซั่นแรกไป ชื่อว่า The Mentalist ครับ

เป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งชื่อนายแพทริค เจน ที่มีความสามารถพิเศษในการอ่านและวิเคราะห์ใจคน แต่ใช้ความสามารถนี้ ในการ "กุเรื่อง" และคุยโม้โอ้อวดเกินจริง จนเป็นเหตุให้ลูกและภรรยาถูกฆาตกรต่อเนื่องนาม "Red John" ฆ่าตาย

ตัวเขาเองเลยอาสามาเป็นที่ปรึกษาให้ตำรวจ เพื่อใช้ความสามารถของตัวเองในการคลี่คลายคดีฆาตกรรม และสืบหาตัว Red John ไปด้วย

เป็นซีรีส์ในแนวสืบสวน สอบสวน ที่ดูสนุกและได้แง่คิดในหลายตอน อย่างตอนที่เขาไปเจอคุณแม่คนหนึ่งที่ล้างแค้นให้ลูกสาว และเป็นกระจกให้ตัวเองได้ส่วนหนึ่งว่า ท้ายที่สุด การล้างแค้นก็ไม่ใช่การแก้ทุกข์ที่ดี

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในตัวละครนี้ก็คือ คนดูจะต้องเดาเองว่า ตกลงเขาเป็นแค่คนช่างสังเกตระดับอัจฉริยะ หรือมีเจโตปริยญาน ญานที่อ่านจิตใจผู้อื่นได้

เพราะแพทริค บอกเสมอว่า เขาไม่ได้มีพลังจิตพิเศษ แต่เขาสามารถจับโกหกผู้ต้องสงสัยได้บ่อยๆ

เรื่องของการโกหก เป็นหนึ่งในคำถามที่ผมเจอบ่อยๆครับ และนี่คือหนึ่งในคำถามล่าสุดที่ผมได้รับ

"มีน้องคนหนึ่งเค้าบอกว่า เค้าไม่เคยโกหกลูกค้า เราต้่องพูดความจริงกับลูกค้า ..เพียงแต่บางครั้งเค้าก็บอกไม่หมด

เค้าบอกว่า "บอกไม่หมดกับโกหก ไม่เหมือนกัน"

พอฟังแล้วก็รู้สึกแว๊บหนึ่งขึ้นมาว่าแล้วมันต่างกันตรงไหน ในเมื่อมันก็ทำให้ลูกค้าเข้าใจผิดเหมือนกัน หรือมันเป็นแค่การเลี่ยงบาลี คิดเข้าข้างตัวเองว่าก็เค้าเข้าใจผิดไปเอง

แล้วคุณแอสตั้นคิดว่า "บอกไม่หมด" กับ "โกหก" เหมือนกันหรือเปล่า?

โดย: noi "



มันมีทั้งส่วนที่เหมือนกันและต่างกันครับ
ถ้าจะเหมือน ก็เหมือนกันตรงที่ "เจตนา" ถ้าจะต่าง ก็ต่างกันตรงที่ "รูปแบบ"

การบอกความจริงไม่หมด อาจจะไม่ใช่โกหกตรงๆ แต่ถ้าเจตนาต้องการให้คนฟังเข้าใจเป็นอย่างอื่นที่เพี้ยนไปจากความจริง มันก็เป็นเจตนาเดียวกับโกหกนั่นแหละ

ส่วนสำคัญเลยไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ ว่าจะพูดความจริงไม่หมด หรือโกหก มันสำคัญที่เจตนา เราถึงมีคำพูดว่า กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา

ถ้าเราเจตนาดีจริงๆ ไม่ใช่คิดเข้าข้างเหตุผลหรืออัตตาตัวเอง เราก็ต้องทำกรรมดี ไม่ใช่กรรมชั่ว ตราบใดที่ยังทำชั่ว จะบอกว่าเจตนาดีเห็นจะลำบาก

ฝรั่งเขามีศัพท์เรียกว่า White Lie หมายถึงการโกหกที่มีเจตนาดี แต่ถ้าจะถามว่ามันคือการโกหกหรือเปล่า มันก็ใช่นั่นแหละ เจตนาคืออะไรมันก็อีกเรื่อง

แต่ไม่ได้แปลว่าถ้าเป็นความจริง จะพูดเมื่อไหร่ยังไงก็ได้ ไม่ต้องนึกถึงผลกระทบต่อคนอื่นนะครับ

พระพุทธเจ้าทรงเคยแสดงธรรมในพระสูตรเรื่องอภัยราชกุมารสูตร ถึงหลักในการพิจารณาเลือกสิ่งที่จะพูดของท่านเองว่า

คำที่ไม่จริง ไม่แท้ พูดแล้วไม่มีประโยชน์ คนอื่นไม่ชอบใจ ท่านไม่พูด
คำที่จริง แท้ แต่พูดแล้วไม่มีประโยชน์ คนอื่นไม่ชอบใจ ท่านก็ไม่พูด
คำที่จริง แท้ พูดแล้วมีประโยชน์ แต่คนอื่นไม่ชอบใจ ท่านก็จะพูดต่อเมื่อโอกาสเหมาะสม

คำที่ไม่จริง ไม่แท้ พูดแล้วไม่มีประโยชน์ ต่อให้พูดแล้วคนชอบใจ ท่านก็ไม่พูด
คำที่จริง แท้ แต่พูดแล้วไม่มีประโยชน์ ต่อให้พูดแล้วคนชอบใจ ท่านก็ไม่พูด

กระทั่งคำที่จริง แท้ พูดแล้วมีประโยชน์ พูดแล้วคนชอบใจ ท่านก็จะไม่พูดพร่าเพรื่อ
ท่านใช้คำว่า "ในข้อนั้น ตถาคตย่อมรู้กาลที่จะพยากรณ์วาจานั้น"

พวกเรามักจะติดกับดักอยู่เพียงแค่การสนใจว่า อะไรคือเรื่องโกหก อะไรคือเรื่องจริง แต่ลืมไปว่า บางทีเรื่องจริงหลายๆเรื่องก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรจะให้เรารู้ รู้แล้วก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร

อย่างเรื่องนอกตัวเรา จำพวกดาราคนนั้นขึ้นคอนโดคนนี้ ดาราคนนี้เกาเหลาคนนั้น หรือกระทั่งนักร้องคนโน้นพูดถึงนักร้องอีกคนว่ายังไง

สิ่งที่ผมชอบมากอย่างหนึ่งใน The Mentalist คือ แพทริค เจน มักจะทิ้งท้ายคำพูด หรือการกระทำเล็กๆน้อยๆ ที่ให้ครอบครัวผู้สูญเสีย รู้สึกดีขึ้นได้เสมอ

อย่างตอนหนึ่ง เขาบอกกับพ่อแม่ ที่เสียลูกชายจากฆาตกรรมปริศนาในโรงเรียนดัดสันดานแห่งหนึ่งก่อนจากกันว่า "คุณควรจะภูมิใจในตัวเขานะ เพราะเขาไม่ได้ตายแบบไร้ค่า เขาตายเพราะพยายามปกป้องเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งจากการถูกล่วงละเมิด"

เขาพูดเรื่องจริง มีประโยชน์ พูดแล้วคนฟังที่โศกเศร้าอาจจะไม่ได้ลูกคืนมา แต่ก็ได้ความภูมิใจมาทดแทน

ครบองค์ประกอบตามหลักของพระพุทธเจ้าเสียด้วย


สุขสันต์วันที่ยังมีโอกาสรักษาเรียนรู้จักสิ่งที่มีประโยชน์กับชีวิต อย่างความจริงว่าด้วยตัวเองนะครับ




 

Create Date : 13 ธันวาคม 2552    
Last Update : 13 ธันวาคม 2552 20:23:31 น.
Counter : 15028 Pageviews.  

2012 ฝันร้ายฤาจะกลายเป็นจริง



ผมดูหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ออกฉายได้ไม่กี่วัน นึกๆอยู่เหมือนกันว่าน่าจะเขียนถึง เพียงแต่ที่ยังรออยู่ เพราะยังไม่รู้ว่าจะเขียนถึงในแง่มุมไหน

แต่เมื่อเช้าผมตื่นมาจากความฝัน ที่ดันเกี่ยวกับเรื่องนี้พอดี

ผมฝันว่าผมไปอยู่ในโรงละครแห่งหนึ่ง ในนั้นมีการแสดงอะไรสักอย่าง มีคนมากมายมาชม แล้วก็มีการทำสำรวจเรื่องสัญชาตญานของคนที่มาในงานนั้น ด้วยการให้เลือกภาพวาดแทนความหมาย ที่แต่ละคนรู้สึกจากตัวเลขชุดหนึ่ง ซึ่งผมบังเอิญเป็นหนึ่งในทีมงานนั้น

ผลที่ออกมาเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่ที่จำได้คือ มีคนอินเดียคนหนึ่งรูปร่างใหญ่ โพกผ้าสีทอง แต่งตัวแบบโบราณๆ อายุประมาณ 30 มาในงานด้วย และรู้จักคุ้นเคยเป็นเพื่อนกับทีมงานคนหนึ่ง

เขามาสรุปผลสำรวจให้ฟังจากภาพที่ถูกจัดลำดับออกมา แล้วก็บอกว่า พวกเรากำลังเดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายแล้วจริงๆ พร้อมกับอธิบายว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนี้ ซึ่งพอเขากลับไป ผมก็ไปอยู่ในสถานการณ์ตามลำดับที่เขาว่าจริงๆ

อ่านถึงตรงนี้แล้ว รู้สึกไหมครับ ว่ามันเริ่มจะน่าตื่นเต้นเคลิบเคลิ้ม ชวนให้เชื่อ

ตำนานต่างๆที่เขาอ้างถึง จะปฏิทินมายา นอสตราดรามุส เขาก็มักจะมีวิธีเล่าแบบนี้ คือต้องทำให้มันดูขลังๆไว้ก่อน นี่ถ้าผมเปลี่ยนคนอินเดียเป็นพระพิฆเนศร์ เรื่องฝันผมจะยิ่งดูขลังขึ้นอีก

ที่เล่าเรื่องฝันนี่ ผมฝันจริงๆนะ แต่ถามว่าจะเป็นความจริงไหม ตอบตามความรู้สึกว่าไม่จริงหรอก

เพราะสำหรับผม ความฝันก็คือความฝัน จะฝันดีหรือฝันร้าย มันก็เป็นแค่ความฝันอยู่วันยังค่ำ ต่อให้ฝันว่ามีเทวดา หรือโดราเอมอนมาบอก มันก็เป็นแค่ฝันนั่นแหละ

ถามว่า แล้วควรเชื่อไหมว่า 2012 โลกจะถึงกาลวิบัติ ตอบซื่อๆว่า ผมไม่รู้ครับ

ที่รู้แน่ๆก็แค่ เราควรจะอยู่กับปัจจุบัน และควรจะเชื่อว่าเราอาจจะตายก่อนปี 2012 จะมาถึงก็ได้ ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าพรุ่งนี้กับชาติหน้า อะไรจะมาถึงก่อน

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ท่านจัดคอร์ส "เตรียมตัวตาย" มีคุณโก้ที่จัดรายการ "ธรรมะคนเมือง" คู่กับผม ไปเข้าอบรมมาแล้ว

ผมยังไม่มีโอกาสได้ถามว่าเป็นอย่างไร แค่ไหน ได้อะไรบ้าง แต่เชื่อได้ว่าจะช่วยให้เรามองความตายด้วยสายตาธรรมดา และไม่ประมาท

มองในมุมดี การมีหนังแบบ 2012 ก็มีประโยชน์ในแง่หนึ่ง เพราะอาจช่วยให้หลายคนเริ่มคิดได้ว่า ความหนุ่มความสาว ชื่อเสียงเงินทอง เป็นของไม่แน่นอน ความตายเป็นของแน่นอน วันหนึ่งเราจะต้องตายแน่

ถ้าอีกแง่หนึ่ง บางคนอาจจะคิดว่าอีกไม่กี่ปีก็ตายแล้ว งั้นรีบทำอะไรชั่วๆที่อยากทำก็แล้วกัน อันนี้มันแล้วแต่สติ ปัญญาและกรรมของแต่ละคนแล้วล่ะ

ย้อนกลับมาเรื่องความฝัน ผมไพล่ไปนึกถึงหนังเรื่อง Matrix ที่ผมเคยเล่าว่า เขาเขียนบทโดยอาศัยวิธีคิดของพุทธมาหลายอย่าง

ก่อนหน้านีโอจะได้ยาเม็ดสีแดงจากมอร์เฟียร์ซ นีโอก็คือนายแอนเดอร์สัน เหมือนเราๆท่านๆ ที่คิดว่า ชีวิตที่เป็นอยู่มันคือของจริง แม้ว่าจะรู้สึกแปร่งๆทะแม่งๆกับอะไรหลายอย่าง จนกระทั่งกินยาเม็ดสีแดงเข้าไปนั่นแหละ ถึงได้ตื่นมาพบว่า โลกที่เขาเคยเห็นเคยสมัผัส มันเป็นเพียงภาพฝันที่ลวงตาอยู่

ในทางพุทธ เราเชื่อว่าชีวิตที่ดำเนินอยู่ ถ้าไม่มีจิตที่รู้ตื่น เห็นไตรลักษณ์ได้แล้วไซร้ ก็ไม่ต่างอะไรจากการหลับแล้วฝันไป เพราะฝันก็คือความคิดของจิตที่ทำงานตอนร่างกายหลับ

บางวันก็ฝันดี บางปีก็ฝันร้าย แต่ฝันอะไรก็เป็นแค่ความฝันอยู่นั่นแหละ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความจริง และตราบใดที่ไม่เห็นความจริง ชีวิตก็เป็นแค่แหล่งอาหารของกิเลส ตัณหา อุปาทานไป ไม่มีวันจบ

ต่อให้ 2012 เป็นเรื่องจริง มันก็จะเป็นแค่ฝันร้ายที่เป็นรอยต่อไปสู่จุดเริ่มของการฝันในภพชาติใหม่ แบบไม่มีวันจบ อย่าลืมว่าโลกนี้ไม่ได้มีสิ่งมีชีวิตอย่างเดียวคือมนุษย์นะครับ

สุขสันต์วันที่เรายังมีโอกาส "รู้สึกตัว" เพื่อการ "ตื่น" นะครับ ชาวพุทธทุกท่าน




 

Create Date : 30 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2552 10:17:31 น.
Counter : 7012 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.