Group Blog
 
All blogs
 

ปลากับเหยื่อ




สมัยยังเป็นเด็กประถม ญาติๆผมเคยพาไปเที่ยวบ่อเลี้ยงปลาแห่งหนึ่งแถวนครปฐม

พยายามนึกว่า เด็ก"ประถม" ได้ไป นคร"ปฐม" แล้วเด็กมัธยมจะได้ไปไหน
นึกไม่ออกแฮะ อย่าพยายามเลยดีกว่า เดี๋ยวมุกแป๊ก

ผมจำไม่ได้ว่าวันนั้นเด็กชายแอสตั้นตกปลาได้กี่ตัว จำได้แต่ว่าโดนมดอะไรสักอย่างกัดจนเป็นแผลบวมเบ่ง เป็นการยืนยันว่าผมเป็นคนทำบาปไม่ขึ้น เพราะกรรมจะตามมาเร็วแบบน่าอัศจรรย์ ชนิดต้มไวไวยังไม่ทันสุก

เลยเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่ตกปลา

หลังจากนั้นพอโตขึ้นอีกหน่อย ผมมักจะเผลอไป "กัด" ริมผีปากตัวเอง
หรือไม่ก็เป็นแผลร้อนในบริเวณเหงือก หรือกระพุ้งแก้มบ่อยๆ

ผมก็ไม่ทราบนะครับว่ามันเกี่ยวกันหรือไม่ ทราบแต่ว่าทุกครั้งที่เจ็บปวดแผลนั้น ผมจะนึกถึงภาพปลาที่ผมตกได้วันนั้นเสมอ

เล่าเรื่องนี้ เพราะไม่นานมานี้ ผมบังเอิญไปเจอนิตยสารที่เหล่านักตกปลาเขานิยมอ่านกัน เลยเปิดอ่านดูด้วยความอยากรู้

เลยได้รับรู้ว่า โลกของนักตกปลา เขาบรรยายสรรพคุณเครื่องมืออุปกรณ์ของเบ็ด และเหยื่อล่อปลาไว้อย่างวิจิตรพิสดารขนาดไหน

อันนั้นเรื่องของเขา เราไม่ไปวิจารณ์ก็แล้วกันนะครับ

แต่ที่ผมติดใจ คือโฆษณา "เหยื่อ" สำหรับล่อให้ปลามาฮุบเบ็ด อันนี้น่าสนใจ เพราะจากที่เขาบรรยาย ผมสรุปใจความได้ว่า

.. เหยื่อล่อที่ดีที่สุด คือเหยื่อที่เร้าใจปลา แต่กลมกลืนกับธรรมชาติ จนปลาแยกไม่ออก บอกไม่ถูกถึงอันตรายที่รออยู่

อีกอย่าง ก่อนที่จะฮุบเบ็ด ปลายังไม่ใช่เหยื่อ เหยื่อคือสิ่งที่เกี่ยวอยู่กับเบ็ด
แต่หลังจากฮุบเหยื่อแล้ว ปลานั่นแหละจะกลายสถานะเป็น "เหยื่อ" โดยอัตโนมัติ

ย้อนกลับมาดูตัวเอง ผมเองก็เป็นเหมือนปลาตัวหนึ่ง ที่คอยฮุบเหยื่อล่อต่างๆสารพัดที่กิเลสจะจัดมาล่อเราตลอดชีวิต

ก่อนจะฮุบ มันก็เหมือนน่าจะดี จะสวยหวานทานอร่อย แต่ฮุบแล้วก็เจ็บปวด
น้ำตาเล็ดบ้าง ทรมานบ้าง ก็ต้องออกแรงดิ้นรนต่อ เพื่อจะพ้นจากขอเบ็ดอันนั้น

พ้นจากขอเบ็ดอันนั้นได้ บางทีก็ไม่ได้เรียนรู้ เพราะลืมไป หรือเรียนรู้แล้ว แต่กิเลสที่มาหลอกล่อเรา มันก็ฉลาดขึ้น แนบเนียนขึ้น เลือดเย็นขึ้น จนเราอดฮุบเหยื่อล่ออันใหม่ และกลายเป็นเหยื่อซ้ำอีกไม่ได้

ตอนออกรายการธรรมในใจ ผมถึงเล่าเรื่อง "กิเลสของผู้ปฏิบัติ" เป็นการประจานตัวเอง เพราะผมไม่อยากให้ผู้ปฏิบัติมือใหม่ๆ เริ่มเดินแบบหลงทางแบบผม

มีคนมาบ่นให้ผมฟังบ่อยๆว่า ทำไมคนที่ทำงานบางคน ที่ชอบไปวัด ชอบทำบุญ ดูธัมมะ ธัมโม ถึงมีนิสัยขี้อิจฉา ขี้นินทา โมโหร้าย ฯลฯ

ผมอธิบายว่า การเป็นคนชอบไปวัดมันก็เรื่องหนึ่ง การเป็นผู้ปฏิบัติ หัดเรียนรู้จักตัวเอง มันก็อีกเรื่องหนึ่ง คนละเรื่องกันนะครับ

การเป็นคนชอบทำบุญแบบโลภในบุญ กับทำบุญเพื่อสละออกเพื่อทำลายอัตตาตัวตน ก็ต่างกันอีก

ผู้ปฏิบัติเอง ถ้ามุ่งเน้นที่การบังคับกดข่ม คอยเพ่งๆๆ เพราะอยากดี อยากบรรลุ อยากเก่ง อยากฉลาด ก็ยังแตกต่างห่างไกลกับการปฏิบัติที่ไม่เน้นอะไร นอกจากคอยรู้ความจริงของกายและจิต ความจริงของสิ่งที่เราคิด เข้าใจ เชื่อมั่น และยึดมั่นเสมอมาว่าคือ "ตัวเอง"

ถามว่า ถ้าไม่อยากเป็นปลา ไม่อยากฮุบเหยื่อแล้ว ต้องทำไง คุณแอสตั้น

ตอบว่า.. ทำอะไรไม่ได้หรอกครับ นอกจากเริ่มต้นหัดเจริญสติ คอยหัดดูหัดรู้ในความมีอยู่ เป็นอยู่ และความเปลี่ยนแปลง ของกายและจิตของเราเอง

ครูบาอาจารย์ท่านว่า ถ้าไม่แจ้งในอริยสัจ ก็อย่าหมายว่าจะพ้นจากห้วงน้ำที่ว่ายเวียนอยู่

ทุกวันนี้ผมตื่นเช้ามา จนหัวถึงหมอน ก็ไม่ได้ทำอะไรพิสดารมากไปกว่านี้
คือรู้สึกตัวอยู่กับปัจจุบันให้บ่อยที่สุด เท่าที่จะทำได้

เพราะผมไม่ได้นั่งสมาธิเก่ง ไม่ได้เห็นอะไรพิสดารเยอะแยะอย่างที่หลายท่านไปส่งการบ้าน
วันๆ ผมก็เห็นแต่จิตมันเปลี่ยนไป เปลี่ยนมา เกิดดับ เกิดดับ

ใครถามว่าคุณแอสตันรู้อะไรมั่ง ผมจะตอบว่าไม่รู้อะไรเลย นอกจาก "ปัจจุบัน"

หลายท่านอยากรู้ว่า ปลาแอสตั้นมีกิเลสไหม มีครับ มีเยอะ...... มีทั้งวัน มีทุกวัน เพราะผมยังไม่ใช่อริยบุคคล อันนี้ขอประกาศอย่างเป็นทางการ เพราะเริ่มมีคนลือมาเข้าหูว่าผมสำเร็จโสดาบันแล้ว โอ.. ขอบคุณที่อวยพร แต่ยังนะครับ

ชาตินี้ จะได้หรือเปล่า ผมไม่ทราบหรอกครับ แต่ถ้าชาตินี้ไม่ได้ จะต้องทำอีกเจ็ดชาติ หรือเจ็ดสิบชาติ ก็พร้อมจะทำ เพราะรู้ว่าวิปัสสนานี่ถ้าเรียนให้ถูกหลักถูกเกณฑ์อย่างที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่มากเกิน ไม่น้อยเกิน ยิ่งฝึกจะยิ่งดีกับชีวิต ยิ่งมีความสุข ทุกข์ถึงจะมีบ่อย แต่ก็น้อยลงสั้นลง

ว่าแล้ว ปลาแอสตั้น ขอว่ายไปภาวนาในชีวิตประจำวันต่อไปก่อนนะครับ

สุขสันต์วันที่ท่านได้อ่านครับ




 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2551 15:57:00 น.
Counter : 1123 Pageviews.  

รักขม



มีคุณผู้อ่านที่ใช้ชื่อว่า Guttzaa เขียนมาถามปัญหาว่าอย่างนี้ครับ

"...ผมเป็นเกย์นะครับคุณ aston ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าการที่ผมเป็นแบบนี้เลยเป็นสาเหตุที่ผมหาความรักมั่นคงๆ แบบชายจริงหญิงแท้ไม่ได้สักทีหรือเปล่า

ก่อนหน้านี้ผมมีแฟนมาคนนึงครับ เราคบกันมา 5 ปี ก่อนที่จะเลิกกันเพราะทิฐิและอีโก้ที่ไม่ยอมคนของผมเอง ผมจึงเสียเค้าไป สองปีต่อไปผมก็สนุกสนานกับชีวิตมีกิ๊กไปเรื่อย แต่สุดท้ายผมก็รู้สึกว่ายิ่งผมมีกิ๊กเยอะเท่าไหร่ ผมก็เหงามากขึ้นเท่านั้น จนผมถามตัวเองว่าตัวเองต้องการอะไร ผมตอบได้ในทันทีว่าผมต้องการความรักที่มั่นคง ผมอยากได้ความรักครั้งสุดท้าย เหมือนฟ้าได้ยินคำอธิฐานของผม ส่งผู้ชายคนนึงเข้ามาในชีวิต เขาเป็นคนเรียบๆ ง่ายๆ ชีวิตนิ่งๆ คาดเดาได้ตลอด ซึ่งเหมาะกับผมที่มีชีวิตเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาได้อย่างดี เพราะผมมีความกลัวอย่างหนึ่งครับว่าคนที่มีชีวิตคล้ายๆ กับผมจะไม่น่าไว้ใจเหมือนกับตัวผมเอง

ความรักของเราสองคน perfect มากจนผมรู้สึกว่านี่แหละความรักครั้งสุดท้ายจริงๆ จนกระทั่งวันหนึ่งวันที่ผมไม่ได้ตั้งตัวและเตรียมใจ ผมบังเอิญและจับเขาได้ว่าเขากำลังวางแผนที่จะกลับไปคบกับแฟนเก่าที่เค้ารักมาก

ความเจ็บปวดในครั้งนี้ได้ทำลายตัวตนของผมไปมหาศาลเลยครับ ผมกลายเป็นคนหวาดระแวง ไม่ไว้ใจคน ไม่ว่าใครเข้ามาในชีวิตผมจะตั้งแง่ไว้ก่อนเลยว่า คนคนนี้ไม่ได้ดีอย่างที่เห็นหรอก สักวันเขาก็ต้องทิ้งผม

ผมรู้สึกเหนื่อยและอึดอัดกับสิ่งที่ผมเป็นครับ ผมอยากหาทางแก้ ผมต้องการ restart หัวใจช้ำๆ ของผมใหม่ เพราะตอนนี้มันส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ครั้งล่าสุดของผมเหมือนกันครับ เราทะเลาะกันบ่อยๆ กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ส่วนใหญ่คือเรื่องที่ผมไม่ไว้ใจเขา กลัวว่าเขาจะไปมีคนอื่น หวาดระแวงตลอดเวลา วันๆ ได้แต่คอยโทรหาว่าไปไหน อยู่กับใคร จะมาเจอผมมั้ย ซึ่งผมไม่เคยเป็นคนแบบนี้เลย

ก่อนหน้านี้ผมเคยเป็นคนอยู่และมีความสุขได้ด้วยตัวเองมาตลอด ทำไมผมถึงเป็นแบบนี้ครับ คุณ aston ช่วยแนะแนวทางให้ผมได้ตาสว่างขึ้นทีนะครับ เพราะผมไม่อยากจะสูญเสียคนดีๆ ไปเพราะความกลัวและความงี่เง่าของตัวเอง ง่ายๆ ผมไม่อยากแพ้ภัยตัวเองนะครับ"


คุณคงรู้จักเพลง Last Christmas ของเกย์ที่ชื่อ จอร์จ ไมเคิล ใช่ไหมครับ

ในเพลงนั้นมีเนื้อท่อนนึงร้องว่า Once bitten, twice shy...
เขาพูดถึงคนที่อดีตเคยลิ้มรสขมของอะไรสักอย่างแค่ครั้งเดียว แต่ขยาดไปนาน

ผมเคยพูดบ่อยๆในหลายโอกาสว่า ปัญหาทางโลกของพวกเราทั้งหลาย
ถ้าเอามาเขย่ารวมกันแล้วกรองออกมาจะเหลือแค่สามเรื่องคือ

ถูกอดีตหลอกหลอน ไม่พอใจปัจจุบัน และกังวลเรื่องอนาคต

ไอ้เรื่องเป็นเกย์ไม่เกย์ จะเกี่ยวไม่เกี่ยวผมว่ายกมันไว้ก่อน
เพราะผมเชื่อว่าคนเราสำส่อน เพราะไม่มีศีล ไม่มีความสำรวมในกาม
ไม่ใช่เพราะเป็นชาย เป็นหญิง หรือเป็นทั้งสองอย่างรวมกัน

คำว่ามนุษย์ แปลว่าผู้มีใจสูง แต่ถ้าจิตอ่อน โดนกิเลสครอบได้ง่ายเท่าไหร่ มันไหลลงต่ำได้ไวเท่านั้น

ดังนั้นที่แนะนำได้อย่างแรกคือ คุณควรจะหัดอยู่กับปัจจุบันขณะด้วยสติ
คอยรู้สึกตัว รู้ความเคลื่อนไหว ความเป็นไปของกาย ของใจตัวเองไว้

สิ่งที่จะช่วยให้การฝึกสติของคุณเป็นไปด้วยดี คือคุณต้องถือศีล 5
ส่วนหนึ่งอยากบอกว่า ที่คุณเจอปัญหาอยู่ก็เพราะ วิบากจากที่คุณเคยผิดศีลมา

สำหรับใครที่เคยผิดศีลมาจนเคยชิน วันแรกๆ จะเผลอผิดศีลตามความเคยชินบ้าง
ก็ไม่เป็นไร อย่ารู้สึกผิดนาน ให้รู้สึกตัว คอยรู้ทัน แล้วตั้งใจเอาใหม่
แต่ถ้ามีสติ อย่ายอมมันนะครับ ต้องใจเด็ดๆ

อีกข้อคือ ทุกเช้าหลังตื่นนอน และก่อนนอน ขอให้คุณสวดมนต์ บทอะไรก็ได้

ถ้าไม่รู้จักบทสวดอะไรเลย นั่งหลับตาพนมมือแล้ว พุทโธ พุทโธ ไปก็ได้
ทำไปสักระยะแล้วคอยสังเกตจิตใจตัวเองขณะสวด ทำสัก 5 นาที

จิตมันรู้สึกอย่างไร มันอึดอัด กังวล งง กลัว อาย สงบ มีสุขอย่างไร ก็รู้ไปอย่างที่เขาเป็น
จิตมันเคลื่อนออกจากคำพุทโธ ไปคิดเรื่องอื่นก็รู้ นะครับ คิดแล้วชอบใจก็รู้ ไม่ชอบใจก็รู้

รู้แล้วไม่ห้าม เราจะรู้ เพื่อให้จิตเรามันเห็นความจริงของตัวเอง
พอเห็นมากๆ จิตก็จะฉลาด มีปัญญาขึ้นนี่แหละ

ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะทุกข์ของคุณตอนนี้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าจิตมันยังเซ่ออยู่
มันไปแบกอะไรไว้ ยึดอะไรไว้หลายๆอย่าง แล้วเราก็ไปหนักกับมัน
เพราะเราเชื่อว่า จิตทีทุกข์อยู่นี้ คือ "ตัวเรา"

ทำอย่างนี้ไปสักเดือนหนึ่ง คุณจะเริ่มเห็นว่า สภาวะต่างๆที่โผล่เข้ามาในใจ
ล้วนแต่เป็นของชั่วคราว ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นแล้วไม่เปลี่ยนแปลง นี่คือตัวปัญญา

คุณจะเห็นได้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปเพราะเราอยากหรือไม่อยาก
ทุกอย่างมันเป็นตามเหตุและปัจจัยของมัน ดังนั้นทุกอย่างสมควรแก่เหตุดีแล้ว

นี่ก็ปัญญาอีก

คุณจะเข้าใจได้ว่า แม้แต่ใจเราเอง เราจะสั่งให้มันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ยังไม่ได้เลย
แล้วจะไปเรียกร้องอะไรจากคนอื่น ว่าจะต้องเป็นอย่างที่เราชอบ ที่เราอยาก

ถ้าฝึกไปสักเดือนสองเดือนให้ต่อเนื่อง คุณจะเคยชินกับการมีสติในชีวิตปัจจุบันมากขึ้น
คุณจะเข้าใจคำที่ว่า อดีตเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้
อนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ไม่พึงจะกังวล และคนเรามีชีวิตอยู่ได้ในเวลาเดียวคือ "ปัจจุบัน"

ใครจะอยู่จะไปมันเป็นเรื่องของเขานะครับ เพราะความรักมันบังคับกันไม่ได้
เคยได้ยินกลอนที่ว่า อันความกรุณาปราณี จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนชโลมใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน ไหมครับ

เราทำได้ดีที่สุดคือฝึกตัวเองให้มีสติ มีความสุขได้ในทุกสภาวะ
ไม่ใช่หวังแต่จะสุขเพราะได้ทุกอย่าง อย่างที่ใจปรารถนา
แต่คนมีสติ เราสุขเพราะเข้าใจ และยอมรับความจริงของโลก ของชีวิตได้

ว่าความสุข ความทุกข์ หรือทุกอย่างในชีวิต
มันก็เหมือนสิ่งที่คุณเรียนรู้จากการเจริญสตินี่แหละครับ

คือมันมีช่วงเวลา มีอายุของมันเหมือนนมโฟร์โมสต์ พาสเจอร์ไรส์ ในตู้เย็นที่บ้าน
เหมือนนกที่บินมาเกาะหน้าบ้าน บางทีก็ร้องเพลงให้ฟัง บางครั้งก็ขี้ไว้ ก่อนบินจากไป

ครั้งหนึ่งผมไปนั่งทานข้าวกับเพื่อน จำร้านไม่ได้หรอกครับ จำได้แต่ว่าก่อนทานเราหิวกันมาก
พออาหารมา จะเพราะหิวเลยอร่อยมากหรือเปล่าไม่แน่ใจ เลยทานมากเป็นพิเศษ

ตอนก่อนทานเราหิว ไม่ชอบใจ ไม่ยินดี ก็มีทุกข์
ตอนได้ทานแล้วอร่อย ชอบใจ ยินดี ก็มีสุข
ตอนอิ่มแล้ว อาหารอร่อยขนาดไหน ถ้าทานไปเรื่อยๆ ก็แน่นท้อง
จากสุขๆอยู่ดีๆ กลับมาทุกข์อีกแล้ว

สุขกับทุกข์ มันเกิดสลับกันง่ายๆแบบนี้เองนะครับ

เพลง Last Christmas ผมไม่มีในเครื่อง เลือกเพลงชื่อ Send In The Clown มาให้แทน
บาร์บรา สตรัยแซนด์ เป็นคนร้อง ถึงเธอจะไม่ใช่เกย์ แต่ก็เป็นขวัญใจชาวเกย์คนหนึ่งเชียวแหละ




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2551 18:10:56 น.
Counter : 1137 Pageviews.  

The Bucket List สิ่งสุดท้ายที่พึงทำ





ถ้าผมจะบอกว่า ผมสามารถบอกวันตายล่วงหน้าให้ทุกคนได้ คุณจะอยากรู้ไหมครับ?

เคยมีการทำวิจัยเรื่องนี้ในอเมริกา ปรากฏว่า 96% บอกว่าขอไม่รู้ดีกว่า มีแค่ 4% ที่บอกว่าอยากรู้

เพิ่งมี DVD หนังออกใหม่เรื่องหนึ่ง เป็นหนังดีที่น่าดู ชื่อว่า The Bucket List
ชื่อหนัง อาจจะฟังดูไม่คุ้นหู เพราะไม่ได้เข้าฉายในโรงบ้านเรา

เป็นเรื่องของชายวัยดึกสองคน ที่ต่างสีผิว ต่างนิสัย ต่างฐานะ ต่างความคิด
แต่ที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ หมอบอกว่าทั้งคู่อยู่ได้อีกไม่กี่เดือน นานสุดก็หนึ่งปี

แทนที่จะหมดอาลัยตายอยาก ทั้งคู่ช่วยกันเขียน "รายการที่ควรทำก่อนตาย" บนกระดาษยับยู่ยี่แผ่นหนึ่ง
แล้วใช้เวลาที่เหลือทำรายการเหล่านั้น ให้เป็นจริงตั้งแต่ความสุขทางโลกอย่างโดดร่มดิ่งพสุธา ผจญภัยซาฟารี ปีนขึ้นยอดปีระมิด ขับรถมัสแตงในสนามแข่ง
ไปจนถึงสิ่งที่ดูเป็นนามธรรม อย่างทำความดีให้คนแปลกหน้า หรือหัวร่อร่าจนน้ำตาไหล

มอร์แกน ฟรีแมน รับบทเป็นคาร์เตอร์ ช่างซ่อมรถผู้รอบรู้ ที่ฝันอยากเป็นนักประวัติศาสตร์
แต่ความฝันต้องพับฐาน เพราะแฟนดันท้องป่องขึ้นมาตั้งแต่เรียนไม่จบ
จึงต้องเลิกเรียนเพื่อทำมาหาเลี้ยงลูก

แจ็ค นิโคลสัน รับบทเอ็ดเวิร์ด โคล เศรษฐีเพลย์บอยเจ้าของโรงพยาบาลซึ่งมีคำขวัญว่า
"โรงพยาบาล ไม่ใช่สปา ทุกห้องต้องมีสองเตียง ไม่มีข้อยกเว้น"

ตัวเองก็เลยต้องนอนร่วมห้องกับคาร์เตอร์ โดยไม่เต็มใจ เพราะปากตัวเองพาจน

เฉลยตอนจบให้ว่าตอนท้าย ทั้งคู่ก็ตายแหละครับ เพราะนี่มันหนังชีวิต
ไม่ใช่หนังแฟนตาซี หรือเทพนิยายกรีก จะได้มีหักมุมพิสดารตายแล้วฟื้นได้

แต่อย่างที่เคยเขียนในบล็อกหนึ่งว่า สำหรับการเดินทางแล้ว
บางทีจุดหมาย ก็ไม่ได้สำคัญเท่าสิ่งที่ได้จากการเดินทาง

ถ้าคนเราเกิดมาแล้วต้องตายเสมอกัน จะช้าบ้างเร็วบ้าง
ตายสบายบ้างลำบากบ้าง ด้วยเหตุปกติบ้าง พิสดารบ้าง
ก็ยังถือว่า เราต่างมีปลายทางเดียวกัน

สิ่งที่แตกต่างกัน จึงไม่ได้อยู่ที่ใครตายหรือไม่ตาย อันนี้ยกเว้นคุณยายวรนาถในทายาทอสูรไว้คนหนึ่ง
แต่คนเราต่างกันเพราะกรรมที่เราทำในระหว่างมีชีวิตนี่แหละ

เคยมีคนส่งการบ้านหลวงพ่อ บอกว่าใจนึงอยากภาวนา แต่อีกใจก็ขี้เกียจ
หลวงพ่อแนะนำว่าให้คอยรู้ทันตัวขี้เกียจ แล้วให้หมั่นระลึกถึงความตาย จะได้ไม่ประมาท

คนเราประมาท ก็เพราะนึกว่าตัวเองยังแข็งแรง ยังอายุน้อย ยังไม่ถึงวัยอันควร
บางคนคิดเข้าข้างตัวเองว่า เป็นคนดี มัจจุราชคงเมตตา ให้อยู่นานหน่อย

แต่ฝรั่งมีคำกล่าวว่า.. Only the good die young คนดีมักจะอายุสั้น

อันที่จริงไม่เกี่ยวหรอกครับ เพราะอายุขัยคนมันขึ้นกับกรรมเก่าส่วนหนึ่ง กรรมใหม่ส่วนหนึ่ง
กรรมเก่า เช่นเคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไว้มาก กรรมใหม่ก็เช่นวิถีการใช้ชีวิตในแต่ละวัน

ที่เป็นคนดีแล้วตายเร็ว ก็เพราะกรรมเก่ามันแรง เลยตามมาตัดรอนไว
บางคนกรรมเก่าแรงชนิดที่กรรมใหม่ก็ยังช่วยไม่ไหว ไม่เกี่ยวกับปัจจุบันดีหรือไม่ดี

การไม่รู้วันตายล่วงหน้า มีทั้งข้อดี มีทั้งข้อเสีย
ข้อดีคือ เราก็จะไม่กังวล ไม่ทุกข์ตกอกร้อน ตีโพยตีพาย หรือซึมเศร้า
ข้อเสียคือ เรามักจะประมาทในการทำชั่ว ผัดวันประกันพรุ่งในการทำความดี

ถึงจะยังไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะตายเมื่อไหร่ แต่ถ้าคุณจะมี Bucket List ของคุณไว้ก็ไม่เสียหาย
เผื่อบางทีจะได้ทราบว่า ลำดับความสำคัญของชีวิตคุณคืออะไร
และหวังว่าหนึ่งในนั้นจะเป็น "การรู้แจ้งในความจริงของสิ่งที่เรียกว่าตัวเรา" นะครับ

สำหรับใครที่สงสัยใคร่รู้ ว่าตัวเองจะตายเมื่อไหร่ ไม่ต้อง SMS มาถาม
เพราะจะบอกให้แม่นๆว่า

คุณจะตายแน่ๆในวันที่คุณหยุดหายใจ

ดังนั้น สุขสันต์วันที่ยังหายใจอยู่นะครับ

ปล. วันนี้ใส่เพลงที่คุ้นหูกันจากสมุดเยี่ยม เพราะเพลงนี้ แจ็ค นิโคลสันร้องไว้เองครับ




 

Create Date : 28 ตุลาคม 2551    
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2551 8:58:46 น.
Counter : 2545 Pageviews.  

Titanic เลห์แมน บราเธอร์ส ชีวิตและการลงทุน



(ภาพประกอบฝีมือของคุณ SevenDaffodils นะครับ)




ยังจำหนังชื่อ "ไททานิค" ได้ใช่ไหมครับ

หนังที่ทำรายได้มากที่สุดในโลกจนถึงปัจจุบัน สร้างจากเค้าโครงเหตุการณ์จริงในปี 1912
ที่เรือลำใหญ่ยักษ์ที่สุดของค.ศ.นั้น ชนภูเขาน้ำแข็ง
และจมลงกลางมหาสมุทร ตั้งแต่เที่ยวแรกของการออกเรือ

หนังที่มีฉากจำ เป็นนางเอก เคท วินสเลต ยืนกางจั๊กกะแร๊โต้ลมอยู่ตรงหัวเรือ
ส่วนพระเอกลีโอนาโด ยืนโอบนางเอกไป กลั้นหายใจไปอยู่ข้างหลัง

สาวๆบางคนถึงกับไปนั่งน้ำตาไหลน้ำลายย้อยกันคนละสองสามรอบ
ที่น้ำตาไหล เพราะสงสารพระเอก แต่น้ำลายย้อยเพราะเพชรบนคอนางเอก

ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้ปลื้มอะไรมากนัก แต่สิ่งที่ผมติดใจจากหนังเรื่องนี้
คือประโยคที่ว่า "ไททานิค ไม่มีวันจม" ฝรั่งเขาใช้ศัพท์ว่า "Unsinkable"

ผมเชื่อที่พระพุทธเจ้าบอกว่า โลกนี้ไม่มีอะไรที่ "ถาวร"
เพราะคนชื่อถาวร ก็นอนให้พระสวดบังสุกุลมาเยอะแล้ว

คนเราส่วนมาก มักจะประเมินความ "ถาวร" ของหลายๆอย่างจากขนาด
เรามีแนวโน้มจะเชื่อง่ายๆว่า อะไรที่ยิ่งใหญ่มากๆ มักจะคงทนถาวร
ไม่ว่าจะไททานิค เอลวิส เพรสลีย์ ไมค์ ไทสัน ตึกเวิล์ดเทรด เซนเตอร์

ไปจนถึงล่าสุดกับยักษ์ใหญ่ในโลกการเงินอย่าง "เลห์แมน บราเธอร์ส"

เลห์แมน บราเธอร์ส เป็นวาณิชธณกิจ รายใหญ่ที่สุดเบอร์ต้นๆของอเมริกา
ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1850 มีอายุยาวนานถึง 158 ปีนับถึงวันที่ประกาศล้มละลาย

เก่งขนาดไหน ใหญ่ขนาดนั้น ยังมีวันพลาด เพราะประมาทครับ
เลห์แมน บราเธอร์สดันไปลงทุนในหนี้จำพวก Subprime ไว้เยอะ
หนี้จำพวกนี้ คือเงินกู้ซื้อบ้านที่มีความเสี่ยงสูงๆ

ปรากฏว่าเศรษฐกิจอเมริกา มีปัญหา คนรากหญ้าว่างงานเยอะ เลยไม่มีเงินส่งค่างวด
บ้านถูกยึด กลายเป็นหนี้เน่า ฟองสบู่ของกองทุนพวก Subprime เลยแตกโพละ

อะไรที่อยู่มาห้าสิบปี ร้อยปี สองร้อยปี ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีวันล่มสลาย
เหมือนที่ผมเคยบอกหลายคนที่อกหัก ช้ำรัก จะเป็นจะตายว่า

อย่าเอาเวลาที่คบกันมาตัดสิน ว่าเมื่อมันจบแล้วจะต้องมีชีวิตแบบระบมจมทุกข์
เพียงเพราะเขาเคยเป็นแฟนเรา สามีเรา มาสิบปี ยี่สิบปี

คิดง่ายๆ ว่ากันว่า ชีวิตคนเรายืนยาวโดยเฉลี่ย 70 ปี
แปลว่าอยู่มา 69 ปี ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ตาย เสียเมื่อไหร่

ฉันใดฉันนั้น อะไรๆในชีวิตก็เป็นเหมือนกัน
อย่าคิดว่า เพราะมันเป็นอย่างนั้นมาสิบปี แล้วมันจะต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไป

การล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์ส สอนผมอย่างหนึ่งว่า
แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญการเงินการลงทุนระดับหัวกะทิของโลก ก็ยังพลาดได้ ถ้าประมาท
และการลงทุนทางโลก มันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โชคดีก็กำไร โชคร้ายก็หมดตัว

การลงทุนในชีวิตนี้ ที่ดีที่สุด ไม่ได้ใช้เงินหรอกครับ
เราใช้สตินี่แหละ ลงทุน โดยมี "เวลา" เป็นต้นทุนสำคัญ

อาศัยสภาวะอารมณ์ต่างๆ ในจิตใจ เป็นเหมือนหุ้นของแต่ละบริษัท
มีบริษัทรัก บริษัทโลภ บริษัทโกรธ บริษัทหลง บริษัทสุข บริษัททุกข์ ฯลฯ

นักลงทุนทางโลกที่ดี มักจะต้องทำการบ้าน ศึกษาข้อเท็จจริง ทำความรู้จักหุ้นแต่ละตัวให้ถ้วนถี่
นักเรียนวิปัสสนา ก็ต้องทำการบ้านอย่างเดียวกัน
คือคอยศึกษาทำความรู้จักสภาวะอารมณ์แต่ละตัว ให้เห็นจริงเห็นแจ้ง

แต่ไม่ต้องถึงกับไปนั่งเฝ้ากระดานหุ้นหน้าจอ อย่างที่นักเล่นหุ้นเขาทำหรอกนะครับ
เรามีหน้าที่แค่คอยสังเกต คอยตามรู้ ตามดู หุ้นแต่ละตัว ระหว่างที่เรามีชีวิตปกติอยู่ในแต่ละวัน
ว่ามันขึ้นบ้าง ลงบ้าง นิ่งๆบ้าง เงียบหายไปบ้าง เดี๋ยวก็มีบางตัวโผล่มาใหม่บ้าง

เพียงแต่การลงทุนในทางโลก เรามุ่งหวังกำไร จะให้มันขึ้นอย่างเดียว
ในขณะที่การลงทุนแบบวิปัสสนา เรามีสติ คอยรู้สึกตัว เพื่อให้รู้จักธรรมชาติของหุ้นแต่ละตัว

มันจะขึ้นก็ได้ ลงก็ได้ มันจะดีก็ได้ จะร้ายก็ไม่เป็นไร ขอให้เรารู้ก็พอ
ผลตอบแทน ก็คล้ายๆกับธนาคารความสุขนะครับ เราฝากด้วยความรู้สึกตัว

ผลที่ได้คือสติ และปัญญาชนิดข้ามภพข้ามชาติ และจะเห็นผลมากในวันที่ทุกข์มาเยือน
เช่นหุ้นตกจาก 600 มาเหลือ 480 เงินหาย แมวตาย แม่ยายไม่รัก

วันที่ฝนไม่ตก แดดยังออก ก็ไม่กระไรหรอกครับ ยังรู้สึกได้ว่าชีวิตมันดี วิเศษ มันมั่นคงถาวร
เหมือนที่คนยุคโน้นเชื่อว่า "Titanic is unsinkable" นั่นแหละ

คนที่รอดตายจากเหตุเรือล่มได้ ไม่ใช่เพราะเขาเก่งห้ามเรือไม่ให้จมได้
แต่เพราะเขามีเรือชูชีพ มีแพยาง ว่ายน้ำเก่ง ว่ายทน ฯลฯ

หวังว่าก่อนจะถึงเวลานั้น ทุกท่านที่อ่านบล็อกนี้ จะมี "ชูชีพ" กันพร้อมทุกคนนะครับ

ปิดท้ายหมายเหตุ เรื่องงานมหกรรมหนังสือ ที่ศูนย์สิริกิตติ์
มีคนถามมาเยอะมาก ว่าผมจะไปหรือเปล่า ไปนะครับ ผมมีกำหนดไปสองวัน

คือวันเสาร์นี้ (18 ต.ค.) ตอน ห้าโมงครึ่ง ถึงทุ่มครึ่ง โดยประมาณ
และวันพฤหัสบดี วันปิยมหาราช วันที่ 23 ต.ค. นี้ ตอนบ่ายสามถึงห้าโมงครึ่ง ตอนเย็น

ถ้าใครว่าง ก็เรียนเชิญได้ที่บูธของ Prima Publishing โซน C บูธเลขที่ 48 ครับ

สุขสันต์วันหยุด แต่อย่าหยุดหายใจนะครับ ^^




 

Create Date : 17 ตุลาคม 2551    
Last Update : 28 ตุลาคม 2551 17:56:02 น.
Counter : 1920 Pageviews.  

วัคซีนความทุกข์



สองเดือนก่อน ผมเขียนบล็อกไว้อันหนึ่งชื่อว่า "ภูมิต้านทานความทุกข์"
ทางทีมงานวารสารบ้านอารีย์ขอเอาไปตีพิมพ์ เลยส่งมาให้ผมดูว่ามีอะไรจะแก้ไหม

ปรากฏว่าผมแก้ไปแก้มา มันเหลือเค้าเดิมอยู่สัก 30% ที่เหลือผมเขียนใหม่หมด
ก็เลยเห็นว่าน่าจะเอามาแบ่งให้ทุกท่านอ่านกันก่อน ประกอบกับผมยังไม่มีเวลาเขียนบล็อกใหม่.. แฮ่..

ตั้งชื่อใหม่ว่า "วัคซีนความทุกข์"

ก่อนอื่นแอบเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนจิตผมปรุงความทุกข์ขึ้นมาก้อนโต
ผมก็ปฏิบัติต่อทุกข์แบบที่ผมฝึกมา และแนะนำให้ทุกท่านฝึกนี่แหละ

คือรู้สึก รู้ทันว่าจิตมันเป็นอย่างนั้น แต่ไม่ห้าม ไม่ฝืน
อ่ะ มันอยากทุกข์ ให้มันทุกข์ไป เราจะคอยดูว่าทุกข์มันเที่ยง หรือไม่เที่ยง

พอวางใจได้ว่าจะไม่ยุ่งกะมัน แค่ขอตามรู้ ทุกข์มันก็แอบถอยหนีไปซะอย่างนั้น

ฉะนั้น.. พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้หลอกเรานะครับ ผมเป็นพยานให้ท่านได้
วิปัสสนานี่ หัดไปแล้วอยู่กับทุกข์ได้ สบายดี เพราะมีภูมิต้านทาน

ต่อไปนี้คือส่วนที่ว่าผมเขียนใหม่ครับ

วัคซีนความทุกข์

ใครจำได้บ้างครับว่า ตั้งแต่เราเกิดมา เรารับวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆมาแล้วกี่ขนาน?

คนรุ่นก่อนผมจนถึงรุ่นผม มักจะมีแผลเป็นอยู่ตรงต้นแขน เนื่องมาจากการปลูกฝีเพื่อป้องกันโรคฝีดาษ
ถามว่าเจ็บไหม คงไม่ค่อยมีใครจำได้ แต่เชื่อได้ว่า "เจ็บ"

ตอนเป็นนักเรียน จะมีวันที่พวกเราโดนจับฉีดวัคซีนกันปีละครั้งสองครั้ง
เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆนานา ที่ผมจำชื่อไม่ค่อยได้นอกจาก ไทฟอยด์กับอหิวาตกโรค

จำได้แต่ว่าเพื่อนผมบางคนถึงกับลงทุนยอมโดดไม่มาเรียนในวันนั้น
เด็กบางคนถึงกับร้องไห้น้ำตาเล็ด เพราะกลัวเข็ม ฮือๆ

แต่ช่วงเรียนมัธยม วันฉีดยาอาจเป็นวันมหาสนุก แบบห่ามๆ
เพราะจะมีเพื่อนซาดิสม์ มาไล่ทุบแขนเพื่อนที่บวมๆให้ร้องโอดโอย แล้ววิ่งไล่เตะก้นกันอุตลุต

อนุมานได้ว่า คนเราต้องผ่านประสบการณ์เจ็บๆปวดๆทุกครั้งที่จะได้รับวัคซีน
รับวัคซีนแล้ว ถึงจะมีสิ่งที่เรียกว่า “ภูมิต้านทาน”

ที่น่าเสียดายคือ ในบรรดาวัคซีนที่มีฉีดให้
ไม่ยักกะมีวัคซีนต้านทานความทุกข์มาให้ด้วย

ผมแอบสังเกตว่า คนรุ่นเราอ่อนแอกับปัญหามากขึ้น อยากโยนชีวิตทิ้งง่ายไปหน่อย
สอบตกหรือสอบได้เกรดไม่ดีก็ฆ่าตัวตาย แฟนทิ้งอกหักงานไม่ดีสามีไม่รักก็ฆ่าตัวตาย
เอะอะอะไร พอมีทุกข์มากหน่อย ก็จะฆ่าตัวตาย
ปัจจุบันโลกเราจึงมีอัตราการตัดรอนชีวิตตัวเองเพิ่มสูงขึ้นมากอย่างน่าใจหาย

ตอนนายแอสตั้นอายุน้อยๆ สัก ห้าหกขวบ เคยร้องอยากได้ตุ๊กตาเป่าลมรูปหน้ากากเสือในปั้มเอสโซ่
ร้องไห้จนขี้มูกโป่งแล้วโป่งอีก แม่ก็ไม่ได้ซื้อให้ เพราะแม่ไม่ได้ร่ำรวย

สมัยยังเล็กอีกเช่นกัน ตอนนั้นน่าจะราวๆ 8-9 ขวบ
ผมแอบหนีที่บ้านไปเที่ยวงานกาชาดเชียงใหม่ ที่มีอีกชื่อว่า งานฤดูหนาว

ตอนนั้นเกิดอยากเล่นม้าหมุนที่เป็นตัวอุลตร้าแมน แต่ไม่มีเงินเลยซักบาท
ไปอ้อนวอนขอเขาเล่นฟรีก็ไม่ได้ เลยยืนน้ำตาคลอเบ้าอยู่นาน ก่อนจะคอตกอกหักเดินจากไป

ตอนนี้นึกถึงแล้วก็ขำ แต่ตอนนั้นรู้สึกเหมือนโลกนี้ไม่ยุติธรรม
เหมือนเราโชคร้ายที่สุดในภูมิภาคเอเชียโอเชียนเนีย
ไล่จากเกาะสุมาตราถึงมาดาร์กัสการ์
เหมือนยืนอยู่ศูนย์กลางระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา ต่อด้วยนางาซากิ

ผมว่าคนที่เจอปัญหาแล้วคิดฆ่าตัวตาย ก็คงคล้ายกัน
เราจมอยู่ในปัญหาแบบขาดสติ แล้วคิดว่านี่คือกาลอวสานของโลก
แต่จริงๆแล้วถ้ามีสติ อดทนผ่านปัญหาไปให้ได้ แล้ววันหนึ่งมองย้อนกลับมา
จะรู้เลยว่ามันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เคยรู้สึกนะ

เมื่อคิดถึงที่พระพุทธเจ้าท่านอธิบายว่า
กว่าคนเราจะมีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ได้มันยากขนาดไหน
แต่เพราะไม่รู้แจ้งในสังสารวัฏ คนบางคนเลยคิดว่าตายแล้วจะพ้นทุกข์
อันนี้อันตรายมากนะครับ

เพราะมนุษย์เป็นภพภูมิที่เอื้อต่อการสร้างกุศลขั้นสูงสุดคือภาวนา
การตัดรอนชีวิต ก็เท่ากับตัดรอนโอกาสในการสัมผัสถึงพระนิพพานของตัวเอง
กรรมวิบากของการฆ่าตัวตายจึงน่ากลัวกว่าปัญหาก่อนตายมากมายหลายเท่านัก

ผมเพิ่งคุยกับแม่เมื่อวันก่อนว่า ถ้าย้อนไปมองชีวิตวัยเด็กของผม
ในแง่หนึ่งก็มองได้ว่าผมโชคไม่ดีนัก เพราะไม่ได้อยู่กับพ่อแม่แท้ๆ
ผมไม่ได้ร่ำรวย ไม่ได้มีหลายอย่างที่คนทั่วไปมี
เรียกให้ถูกกว่านั้น ก็ต้องว่า ผมขาดมากกว่าครบ

แต่มองอีกแง่หนึ่ง ผมโชคดีตรงที่ได้วัคซีนมีภูมิคุ้มกัน จากการเรียนรู้ว่า
มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะสมหวังในทุกอย่างที่อยากได้
และทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิต มันไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป
จะคน สัตว์ สิ่งของ ของเล่น เงินทอง ชื่อเสียง คำชม แม้กระทั่งคำติฉิน นินทา
จะสุข จะทุกข์แค่ไหน ทุกอย่างต่างผ่านมา แล้วผ่านไปในที่สุดเสมอกัน

ครูบาอาจารย์ท่านเคยสอนว่า คนเราเป็นทุกข์เพราะเคยชินกับการหนีทุกข์ วิ่งหาสุข
แทนที่จะเรียนรู้เพื่อจะดำรงชีวิตอยู่อย่างมีสติ ไม่ว่าจะในเวลาสุข หรือทุกข์

ที่เราคอยหนีทุกข์ เพราะเกลียดทุกข์ ที่ทุกข์ง่ายเพราะขาดปัญญา ไม่เข้าใจโลก ไม่เข้าใจชีวิต
ไม่เคยชินกับการผิดหวัง ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ หรือการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก

เพราะเราถูกปลูกฝังความคิดให้เชื่อว่า คนที่ประสบความสำเร็จ คือคนที่สมหวังเท่านั้น
คนส่วนมากจึงขาดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันทุกข์ ไม่ชินกับการอยู่กับทุกข์ด้วยสติ
และไม่เห็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ทุกข์หรือสุข เป็นธรรมที่เสมอกัน
เพราะต่างก็ผ่านมาในชีวิตชั่วครั้งคราวเท่าเทียมกัน

ไม่นานมานี้ ผมเขียนบทความให้นิตยสารเล่มหนึ่ง เรื่องการยืนหยัดสู้กับอุปสรรค
ผมเทียบระหว่างคนสองจำพวกที่ผมเห็น พวกหนึ่งคือคนทำงานปกติ
อย่างชาวกรุงทั่วๆไป เรียนสูง การงานดี นั่งห้องแอร์ มีอาหารสามมื้อ

กับอีกพวกคือพม่า กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ แถวบ้านผม ที่ทำงาน 7 วัน ไม่มีวันหยุด
บางคนควบสองกะ ตั้งแต่เช้ามืดยันเที่ยงคืน

พวกแรกอย่างเราๆ มักจะเป็นพวกขี้บ่น ว่าเงินน้อย ปัญหาเยอะ
งานยุ่ง สวัสดิการไม่ดี เพื่อนร่วมงานแย่ เจ้านายย้วย

แต่คนอีกกลุ่มที่จากบ้านมาไกลไม่มีอะไรเลย นอกจากค่าแรงวันละร้อยสองร้อยบาท
เขากลับมีความสุขที่ได้ทำงาน เพราะที่บ้านเขาไม่มีแม้แต่งานจะทำ

อย่างร้านเกาเหลาเลือดหมูแถวบ้านผม เพิ่งมีเด็กกะเหรี่ยงอายุ 11-12 มาขออยู่
พ่อแม่เอามาฝากโดยขอแค่ มีที่นอน มีข้าวกินอิ่มสามมื้อเท่านั้น ไม่เกี่ยงค่าแรง

ถ้าอย่างพวกเรา เรียกว่าลำบาก เรียกว่าเหนื่อย อย่างพวกเขาจะเรียกว่าอะไรล่ะครับ

หมั่นคอยมีสติรู้สึกตัว ฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันทุกข์ในใจเรา ตั้งแต่วันนี้ดีกว่าไหมครับ?





 

Create Date : 10 ตุลาคม 2551    
Last Update : 17 ตุลาคม 2551 17:55:40 น.
Counter : 885 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.