Group Blog
 
All blogs
 

ความป่วยไข้ ความตาย ความพร้อม


( ภาพสวยๆจากคุณแป๋ว SevenDaffodils ครับ ขอบคุณนะครับ )

ช่วงนี้ผมไม่สบายครับ

ป่วยเป็นไข้หวัด แต่มั่นใจว่าไม่ทันสมัยขนาดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่แน่ๆ
หลังๆมานี่ ผมไม่ค่อยได้ป่วยไข้อะไรมากนัก พอล้มหมอนนอนเสื่อขึ้นมา
จิตก็พาลไปฝันถึงเรื่องความตายเสียนี่

เมื่อคืน ผมฝันว่า ผมไปอยู่ในดินแดนที่ไหนสักที่ ไม่คุ้นตาเท่าไหร่
แล้วไปอยู่ในสถานะผู้ทำผิดอะไรสักอย่าง ที่จะต้องโดนประหาร

ในฝันผมไม่ได้อยากตาย แต่ก็ไม่ได้กลัว อันนี้ตรงกับชีวิตจริง
ผมนึกเสมอว่า ถ้าผมมีชีวิตอยู่ได้ถึงแค่วันนี้ ผมจะกลัวและเสียใจไหม
ได้คำตอบว่า ไม่กลัว ไม่เสียใจ แต่เสียดาย เพราะยังไม่สำเร็จโสดาบัน

ถ้าพูดแบบสำบัดสำนวนนิดหน่อย ก็พูดได้ว่า ไม่ว่าใครหน้าไหน
ต่างก็มีชีวิตอยู่ได้ถึงแค่ "วันนี้" เท่านั้นแหละ ฉะนั้น จะกลัวไปทำไม

ที่ไม่กลัว เพราะผมรู้ว่าจิตที่ฝึกเจริญสติมา คงพอจะช่วยตัวเองได้ในวินาทีสุดท้าย
อีกอย่าง ผมรู้ดีว่า ชีวิตเป็นของไม่แน่นอน ความตายเป็นของแน่นอน

เพิ่งฟังพระเทศน์มาเร็วๆนี้ ท่านบอกว่า โลกนี้เป็นโลกของการพลัดพราก
ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วจะไม่เจอการพลัดพราก จากคนที่เรารัก ของที่เรารัก
แม้แต่ชีวิตและตัวเราเอง ที่เรารักและหวงแหนนักหนา เราก็ต้องพลัดพรากจากมันไปด้วย

พระท่านถึงบอกว่า โลกนี้มีแต่ของชั่วคราวนะ ไม่มีของจริงๆหรอก
ได้ยศ วันหนึ่ง ยศก็เสื่อม
ได้ลาภ วันหนึ่งก็เสื่อมลาภ
มีคนชื่นชมวันหนึ่ง ก็จะมีคนนินทา
ได้สุขมา วันหนึ่ง ก็จะมีทุกข์มาด้วยเช่นกัน

พูดแบบนี้ ไม่ได้ชวนให้หมดอาลัยตายอยากแต่อย่างใดนะครับ
ชีวิตก็ยังเป็นของมีค่า ในฐานะมนุษย์ที่มีจิตใจสูง และมีโอกาสสร้างประโยชน์ให้ตัวเอง และผู้อื่น

แต่พูดเพื่อชวนให้ทุกท่าน ดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท
เห็นฟิตปั๋งอยู่ดีๆ มันจะเจ็บจะป่วย เราห้ามมันได้ที่ไหน
เห็นกันอยู่หลัดๆ ลมฟ้าอากาศจะคาบเราไปรับประทานเมื่อไหร่ ใครจะไปรู้

เมื่อคืนเห็นข่าวครูสอนดำน้ำ โดนกระแสน้ำพัดหายไปพร้อมลูกศิษย์ไหมครับ
ไม่ได้แปลว่าดำน้ำมาเก้าร้อยเก้าสิบครั้ง ครั้งที่เก้าร้อยเก้าสิบเอ็ด จะต้องปลอดภัยฉันใด
ก็ไม่ได้แปลว่ามีชีวิตมาสี่สิบปี ปีที่สี่สิบเอ็ด จะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นฉันนั้น

มีชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท อยู่กับธรรมะ มีสติอยู่กับกายและจิตใจ
แล้วไม่ว่าอะไรจะเกิด ธรรมะจะไม่ทิ้งเรานะครับ

สุขสันต์วันที่ป่วยครับ




 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 12 พฤษภาคม 2552 10:46:31 น.
Counter : 1113 Pageviews.  

หน้าที่ของชาวนา



มีคำถามหนึ่งถูกโพสต์ไว้ในบล็อกคำถาม เป็นคำถามที่ดีและมีประโยชน์มาก
ขอถือโอกาสเอามาตอบไว้ในนี้แทนนะครับ

ทำไมทั้งๆที่เห็นอยู่ ว่าสภาวะต่างๆมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เดี่ยวเบื่อ เดี๋ยวเบิกบาน เดี๋ยวเซ็ง เดี๋ยวมีกำลัง แต่ก็ยังไม่เกิดปัญญาซักที แล้วก็หงุดหงิดอีก แล้วก็เหนื่อยหน่าย ซักพักก็ดีขึ้นมา วนเวียนอยู่แบบนี้ วันแล้ววันเล่า แต่ปัญญา ไม่ได้เกิดเลย ควรจะทำอย่างไรต่อดีคะ

โดย: เปลวเทียน วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:12:57:51 น.


หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านเคยเทศน์ไว้หลายครั้งใจความว่า
พวกเราเป็นผู้แสวงหาธรรม.. แต่พวกเรามักชอบปฏิเสธธรรม

พระพุทธเจ้าบอกว่า ทุกข์ให้รู้ สมุทัย(ความอยาก)ให้ละ
แต่พวกเรามักชอบหาทางละทุกข์ มากกว่าจะรู้ทุกข์

พระพุทธเจ้าบอกว่า ทางสายเอก ทางสายเดียวสู่การหลุดพ้น
คือสติปัฏฐาน 4 คือการเจริญสติ เพื่อเรียนรู้ความจริงของกายและจิต

พวกเราก็มักจะพยายามปฏิบัติธรรม เพื่อจะบังคับกาย บังคับจิต
นั่งสมาธิ ก็เพื่อจะได้เอาชนะเวทนา นั่งแล้วไม่ปวดไม่เมื่อย
จิตฟุ้งซ่าน จิตไม่ดี จิตแสดงความไม่เที่ยง ก็หาทางทำให้มันสงบ มันดี มันเที่ยง

เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อให้เห็นความจริง อย่างที่พระพุทธเจ้าสอน เห็นไหมครับ

ท่านบอกว่า เวลาเจริญสติ กายเป็นยังไง ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ให้รู้ไปอย่างนั้น
มันมีเวทนา ปวด เมื่อย ล้า ก็ให้รู้ว่าเป็นอย่างนั้น
มันมีความฟุ้งซ่าน เบื่อ เซ็ง เบิกบาน ดีใจ เสียใจ อิจฉา หงุดหงิด สงสัย ก็ให้รู้ทันว่าจิตเป็นอย่างนั้นเอง

ท่านไม่ได้บอกว่า ชาวพุทธทั้งหลาย เมื่อจะปฏิบัติให้ยืนตรง หรือให้นั่งขัดสมาธิเท่านั้น

ท่านไม่ได้บอกว่า ชาวพุทธทั้งหลาย เมื่อมีเวทนาเกิดในกายและจิต ให้หาทางเอาชนะมันเสีย

ท่านไม่ได้บอกว่า ชาวพุทธทั้งหลาย เมื่อจิตฟุ้งซ่าน ให้ข่มมันให้สงบซะ
หรือเมื่อมันเบื่อ มันเซ็ง จงเอาชนะมัน ทำให้มันเบิกบาน
ท่านไม่ได้บอกว่า เมื่อมันหงุดหงิด อิจฉา สงสัย แปลว่าภาวนาผิด ให้แก้ไขโดยด่วน

ท่านเพียงแต่ให้เรา "รู้" ทันทุกสิ่งที่ปรากฏขึ้นในกาย และจิต

ถามว่า เมื่อไหร่จะเกิดปัญญา ที่จริงทุกอย่างที่คุณรู้อยู่นี่แหละ คือตัวปัญญา
เพียงแต่คุณปฏิเสธมัน และไม่ยอมรับธรรมะ ที่จิตคุณแสดงให้ดู

จิตเขาบอกอยู่ทนโท่ว่า มันแปรปรวน มันเอาแน่เอานอนไม่ได้ นี่คืออนิจจัง
จิตเขาบอกว่า ฉันไม่ได้ดีอยู่ตลอดหรอกนะ บางทีฉันมีเหตุฉันก็แย่ นี่คือทุกขัง
จิตเขาบอกว่า ฉันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เพราะเธอสั่งฉันได้ นี่คืออนัตตา

แต่ปัญญาเหล่านี้ มันต้องใช้เวลาในการซึมซาบลงไปในจิต
ที่เราเห็น เรา"คิด" ว่าเราเข้าใจ มันยังเข้าใจด้วยสมอง

แต่ตัวตนที่เรายึดว่าคือ นี่คือตัวเรา มันคือ "จิต" นะครับ
ฉะนั้น ถามว่า เมื่อไหร่ จะได้ปัญญา ก็ต้องตอบว่า เมื่อจิตมันยอมเปิดรับธรรมะ

ครูบาอาจารย์ท่านเคยเล่าเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านเปรียบการภาวนาว่า
เหมือนชาวนาปลูกข้าว หน้าที่ของชาวนาคือถางหญ้า ไถนา หว่านดำข้าว
แล้วดูแลให้น้ำพอเหมาะ ปุ๋ยพอดี ที่เหลือข้าวเขาจะงอกเอง

ขอแค่ให้แน่ใจว่า เราเอาเมล็ดข้าวมาปลูกนะ ไม่ใช่เมล็ดถั่ว หรือแตงโม
ที่สำคัญ ชาวนาไม่มีหน้าที่คอยถามนาว่า เมื่อไหร่จะออกรวงให้เกี่ยวได้สักที
ข้าวเขามีเหตุปัจจัยพอเหมาะพอควรจะงอกเมื่อไหร่ ออกดอก ออกรวงเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น

ปฏิบัติธรรม ต้องใจเย็นๆนะครับ เพราะของดี ไม่มีฟลุ๊ก
เพราะแม้แต่คนชื่อฟลุ๊ก ก็ไม่ได้โตเป็นผู้ใหญ่ในเจ็ดวันเสียที่ไหน

ความรู้ทางโลก เราเรียนกันสิบกว่าปี กว่าจะได้ปริญญาตรี
นี่เพิ่งเรียนกันไม่เท่าไหร่ จะรีบไปไหนๆ รออิ๊กคิวซังก่อน

จะบอกเคล็ดลับให้ว่า เมื่อไหร่ที่สงสัย ให้รู้ทันไว้นะครับ เพราะสงสัยก็เป็นกิเลสตัวหนึ่ง
ความอยากได้ปัญญา ก็เป็นกิเลสอีกตัว เป็นกิเลสฝ่ายดี แต่ก็คือกิเลส

ถ้าเราปฏิบัติธรรมแบบเอากิเลสนำหน้า ก็เหมือนไถนาแล้วเอาพลาสติกคลุมหน้าดิน
แล้วหลังจากนั้นจะหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวลงไป ข้าวก็ไม่งอกหรอกนะครับ

สุขสันต์วันที่ยังมีที่นาให้ปลูกต้นข้าวแห่งธรรมกันทุกท่านครับ




 

Create Date : 03 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2552 22:23:15 น.
Counter : 2641 Pageviews.  

ตอบคำถาม: เห็นทุกข์ เห็นธรรม



มีน้องสาวท่านหนึ่ง เขียนมาปรับทุกข์และสอบถามเรื่องทุกข์ เลยเอามาลงไว้ เพราะน่าจะเป็นประโยชน์กับหลายท่าน

บางท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมผมชอบพูดเรื่องทุกข์จัง ตอบว่า เพราะพระพุทธเจ้าท่านเริ่มสอนอริยสัจ โดยให้เราเรียนรู้ "ทุกข์" ก่อน

ท่านบอกว่า เห็นทุกข์แล้วจะเห็นธรรม แจ้งในทุกข์ แล้วจะแจ้งในธรรม
ที่สำคัญ ถ้าแจ้งในทุกข์จริงๆ จิตมีปัญญา จะพบความสุขเยอะแยะเลยนะ

ผมเป็นลูกศิษย์ท่าน จะเก่งกว่าท่านได้ไง

ไปดูคำถาม คำตอบกันนะครับ

สวัสดีค่ะพี่แอสตัน วันนี้มีคำถามล่ะ

พี่ว่า เราจะทนอยู่กับความทุกข์ เรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ นานสุดๆๆๆ เท่าไหร่ คือถ้า เป็นเรื่องซีเรียสนะแบบหนักหนากว่าอกหักรักคุดอ่ะ

คือว่าปุ๊กก็พยายามจะรู้ว่าทุกข์แหละนะ แต่ก็ไม่เห็นมันหาย แถมบางครั้งตัวเองยังชอบเอาตัวลงไปจมจ่อม แช่ค้างในทุกข์ด้วย (ลึกๆ รู้สึกว่าสะใจดี, คิดว่าทุกข์ที่สุดเมื่อไหร่มันคงหายไปเอง) แถมเวลาใจดีๆก็ชอบไปแหย่อีก เหมือนคนบ้าอ่ะ

พยายามทำใจมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังดักดานกับเรื่องเดิมๆอยู่ เวลาคิดจนเหนื่อยเหมือนเห็นทางตัน ก็เอ้าไปทำบุญดีกว่า แล้วเดี๋ยวเราก็หาเรื่ิองให้ ตัวเองอีก เป็นอยู่เป็นปีปีปีปีปีปีี (เหนื่อย๐๐๐๐) แล้ววันนี้ก็รู้สึกทุกข์มากๆ อีก ว่าจะไปบริจาคเลือดดีกว่า เผื่่อใจจะได้อยากสละทุกข์บ้าง อิอิ

ถามแค่นี้ละค่ะ เดี๋ยว ความทุกข์ท่วมจอ
ขอบคุณค่ะ
ปุ๊ก (นามสมมติ)


ถามว่า เราจะทนทุกข์อยู่ได้นานที่สุดเท่าไหร่
ตอบว่า นานจนเรานึกไม่ถึงเลยล่ะ

ถามว่า แล้วจะต้องทุกข์ไปอีกนานไหม
ตอบว่า ก็นานตราบเท่าที่จิตเรายังโง่อยู่ พูดสุภาพหน่อยก็ต้องบอกว่า
จนกว่าจิตเราจะฉลาดพอจะเห็นความจริง

คนฉลาดในทางพุทธ ไม่เหมือนคนฉลาดในทางโลกนะ
ทางโลกเขาวัดกันที่ปริญญา หรือความสามารถในการหาเงิน ในการคิด

แต่ทางธรรม เราวัดกันที่ความเข้าใจในทุกข์ ด้วยสติด้วยปัญญา
ที่เราพูดกันว่า มีดวงตาเห็นธรรมน่ะ ปุ๊กเคยได้ยินใช่มั้ย

เห็นธรรม คืออะไร.. ก็คือการเห็นความจริงนี่แหละ
เพราะธรรมะ คือธรรรมชาติ คือความเป็นจริงของทุกสิ่งที่เป็นไป

ความจริงอะไร.. ก็ความจริงที่ว่า กายนี้ใจนี้ มันไม่เที่ยง มันแปรปรวน มันมีทุกข์บีบคั้น
และเราสั่งมันไม่ได้หรอก เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เราบังคับได้จริง

เรียกว่าเห็นกายใจแสดงธรรมให้เราดูว่าเขามีอนิจจัง มีทุกขัง และเป็นอนัตตา
อันนี้ ถ้าเราคอยตามรู้ตามดู เราจะค่อยๆมีสติ และปัญญาตามมา

ในการตามรู้ พี่ใช้คำว่า เห็น.. คือเห็นความจริง ไม่ได้ใช้คำว่า "คิด" เอานะ
การจะเห็นได้ ก็ต้องมีสติ คอยรู้ทุกข์ คือรู้กายใจนี้แหละ รู้ไปเรื่อยๆ
แต่จู่ๆ จะรู้ปั๊บ หายปุ๊บ มันก็ไม่ใช่นะ มันมีเคล็ดลับของมันเหมือนกัน

ปัญหาของคนส่วนมาก ที่มีทุกข์ แล้วคิดว่าตัวเองรู้ทุกข์ คือ.. เรามักจะไม่เป็นกลางในการรู้นั้น
เรามักจะรู้แบบมีส่วนได้ส่วนเสีย ในฐานะเจ้าทุกข์ ที่อยากกำจัดทุกข์ให้หมดไปไวไว

การรู้แบบนี้ เรียกว่า รู้แบบไม่เป็นกลาง เพราะเจือโทสะ คือความไม่ชอบทุกข์ตัวเดิม
แต่ไม่รู้ตัวว่า กำลังเติมทุกข์ตัวใหม่เข้ามาในใจ

พอ(อุตส่าห์ลงทุน)รู้ทุกข์ แล้วไม่หาย ก็หงุดหงิด เพราะไม่ได้อย่างใจ
เลยพยายามทำอะไรสักอย่าง เพื่อจะแก้ไข ด้วยคิดว่า เราคงทำอะไรผิดสักอย่าง

ที่จริงที่ทำผิด ก็มีแค่.. ทำอะไรที่เกินกว่าการ "รู้ซื่อๆ" นั่นแหละ
รู้ซื่อๆ คือรู้แบบยอมรับ ไม่ปฏิเสธ ไม่ผลักไส ไม่ดิ้นรนค้นหา
ปล่อยให้ทุกข์มันไหลผ่านเราไป ด้วยสติ ด้วยความเข้าใจ ว่ามันเป็นของมันอย่างนั้นเอง

พูดแบบนี้ หลายท่านอาจมีคำถามเหมือนที่ผมเคยถามว่า แล้วจะรู้ยังไงให้เป็นกลาง
ตอบว่า อย่าพยายามสร้างความเป็นกลางในการรู้ แต่ให้รู้ทันความไม่เป็นกลางนั้น

ไม่ชอบ รู้ว่าไม่ชอบ อยากให้มันหาย รู้ทันว่าอยาก อึดอัดรู้ว่าอึดอัด
ถ้าจิตมีสติแท้ๆ จิตจะมีสมาธิตั้งมั่นขึ้นมาชั่วคราว ตอนนั้นแหละจิตจะเป็นกลางเอง

เราไม่ได้ภาวนาเพื่อเอาชนะความทุกข์ ด้วยการไปต่อยกับมันนะครับ
คนที่มีปัญญามากพอ อย่างพระอรหันต์ เรายังใช้คำว่า "พ้นทุกข์" เลย สังเกตมั้ย

คือทุกข์น่ะมี ไม่ได้ปฏิเสธ แต่สติปัญญา จะช่วยป้องกันเราออกจากกระแสแห่งทุกข์
เหมือนใบบัวที่อยู่ในน้ำ แต่ไม่เคยเปียกน้ำ

ครูบาอาจารย์ท่านใช้ศัพท์ว่า โลกนี้มีความทุกข์ แต่ไม่มีคนทุกข์

วิปัสสนา เราปฏิบัติภาวนาเพื่อเรียนรู้ความจริง ให้ได้ดวงตาเห็นธรรมก็เพื่อการนี้
คือเพื่อให้เห็นว่า สิ่งทั้งหลายเป็นของชั่วคราว เกิดเพราะมีเหตุ ดับก็เพราะมีเหตุ

ไม่ได้เกิดเพราะเราชอบ เราอยาก เรายินดีพอใจที่มันเกิด
ไม่ได้ดับเพราะเราไม่ชอบ เราอยาก เรายินดีพอใจให้มันดับ

เพื่อให้เห็นว่า ตัวเราไม่มี มีแต่ความเข้าใจผิด ยึดมั่นถือมั่นว่ากายนี้ ใจนี้ เป็นตัวเรา
พอมีตัวเรา ก็มี "ของเรา" บ้านของเรา รถของเรา แฟนของเรา ลูกของเรา งานของเรา เงินของเรา

ท้ายที่สุด ก็มี "ทุกข์ของเรา" เห็นมั้ย

ปัญหา ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ได้มากมายหรอกนะปุ๊ก การปฏิเสธทุกข์ต่างหาก ที่ทำให้เราทุกข์
การไปจมแช่ในปัญหา คร่ำครวญ เพราะรักตัวเองมากเกินไปต่างหาก ที่ทำให้เราทุกข์

การไปยึดมั่น ถือมั่น ในตัวตน ในศักดิ์ศรี ในความดีที่เคยทำ ในสิ่งที่เคยให้ ฯลฯ ต่างหากที่ทำให้เราทุกข์
แม้แต่เราจะไปทำบุญ ไปบริจาคเลือด เราก็ยังหวังว่า "เผื่อใจจะอยากสละทุกข์บ้าง"

เห็นไหมยังรักในตัวตน ยังยึดว่า ใจนี้ คือตัวเรา ทั้งที่มันไม่ใช่
เพราะเข้าใจผิด คิดว่ามี "ตัวเรา" เลยรักมันมาก อยากให้มันสุขอยากให้ดี ไม่อยากให้มันทุกข์

แต่ไม่รู้สิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกไว้สองพันกว่าปีแล้วว่า
แท้ที่จริงแล้ว กายนี้ ใจนี้ นี่แหละคือตัวทุกข์ โดยตัวของมันเอง
เพราะการถือ การแบกมันไว้นั่นเอง ที่ทำให้เราหนัก เป็นภาระ เป็นทุกข์

แต่ตอนนี้พวกเรา (รวมถึงผมด้วย) ยังไม่เห็นอย่างนั้น
เราเห็นแค่ กายนี้ใจนี้ เป็นทุกข์บ้าง เป็นสุขบ้าง และเป็นแค่ที่ตั้งของทุกข์

บางท่านเห็นว่าถ้ามีความอยากแล้วไม่สมอยาก จะเป็นทุกข์
บางท่านพัฒนาขึ้นอีกนิด ก็จะเห็นว่า แค่มีความอยาก ก็ทุกข์แล้ว
ถ้าเรียนจบหลักสูตรเมื่อไหร่ จะเห็นอีกแบบว่า

ไม่ต้องอยากอะไร กายใจก็เป็นทุกข์ตัวแม่อยู่แล้ว

ยังไม่เห็นไม่เป็นไร คอยดู คอยรู้สึกตัวไว้ วันหนึ่งจะเห็นแน่ๆครับ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น

ตอนนี้ ตั้งต้นใหม่นะครับ อยู่กับปัจจุบันไว้ลูกเดียว
อดีตน่ะ ช่างหัวมันเถอะ มันดีที่สุดที่มันจะเป็นได้แล้ว
เพราะเราไม่มีโดราเอมอน จะได้อาศัยไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปเปลี่ยนอะไรใหม่

คนเรามีชีวิตอยู่ได้แค่ปัจจุบันขณะ
หายใจเข้าสุดปอด พอหายใจออก ช่วงที่หายใจเข้าก่อนหน้านี้ ก็เป็นแค่อดีตแล้ว
แล้วจะเอาอะไรกับมันนักหนา

ทำไมจะต้องเรียกร้องให้มันสุขตลอดเวลา ในเมื่อมันไม่ใช่ตัวเรา และเราก็สั่งจิตไม่ได้
มันอยากทุกข์ ก็ปล่อยให้มันทุกข์เสียให้พอ แต่เราอย่าไปช่วยมันทุกข์สิ

ดูมัน เหมือนดูเด็กโง่ๆข้างบ้าน มันเล่นละครคร่ำครวญเป็นแม่นาคพระโขนง
อย่าโดดข้ามรั้วไปช่วยมันแสดง คอยรู้สึกตัวไว้

เมื่อไหร่ยอมรับทุกข์ได้ เห็นมันเป็นของธรรมดา
เมือนั้นแหละ เราจะสบายขึ้นเอง โดยไม่ต้องแก้หรือทำอะไรเลย

วันนี้มีเพลงให้ฟังด้วย แต่ผมทดลองดูเองแล้ว เห็นว่าใช้สอนดูจิตได้แฮะ
คือถ้าใครฟังแล้วชอบใจ รู้ว่าชอบใจ รำคาญ รู้ว่ารำคาญ

ฟังแล้วเห็นจิตมันวิ่งไปอยู่ที่เพลง จนอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็ตามรู้มันไปอย่างนั้นนะครับ

สุขสันต์วันที่ได้อยู่กับธรรมะครับ



ปล. วันนี้ (29 เม.ย.) หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช ท่านจะมาแสดงธรรมที่หอประชุม เอนกนิทัศน์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซ.เมืองทองธานี ตอนเที่ยงตรง ถึงบ่ายโมงครึ่ง นะครับ

ใครไปได้ ก็เรียนเชิญนะครับ




 

Create Date : 29 เมษายน 2552    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 9:31:56 น.
Counter : 1292 Pageviews.  

โอกาสดีของคนมีทุกข์



(ขอบคุณภาพประกอบแสนสวยจากคุณ SevenDaffodils ครับ)

ผมเพิ่งเขียนเรื่อง "งอมอย่างมีคุณค่า" ไปหมาดๆ ก็มีคำถามอีกสองสามอันมาคล้ายๆกัน

รายหนึ่งมีปัญหาเรื่องหมาข้างบ้านเห่าดัง เห่าน่ารำคาญ
แบบที่โบราณเรียกว่า "หมาเห่าใบตองแห้ง"

อีกรายมีปัญหาเรื่องสามีเคยนอกใจ แล้วอยากหย่า
แต่ผู้ใหญ่ห้ามไม่ให้หย่า เลยต้องทนอยู่

ที่จริงทั้งสองปัญหาฟังดูต่างกันไกล แต่สุดท้ายแล้วคำแนะนำของผมมันก็เหมือนกัน

คือถ้ายังจำเป็นต้องอยู่กับทุกข์ ก็ให้รู้ทันทุกข์ เรียนรู้ทุกข์ แล้วจะได้ประโยชน์จากทุกข์
ทุกข์เป็นครูที่ดีมากนะครับ มันสอนอะไรเราได้ดี ได้เก่งกว่าความสุขด้วยซ้ำไป

คุณที่มีปัญหาเรื่องหมาๆ ผมอยากบอกว่ามันก็ต้องทำใจแหละครับ ไม่อย่างนั้นก็ต้องย้ายบ้านหนี
หมามันสร้างปัญหา ก็ว่าแย่แล้ว แต่ถ้าคนจะไปทะเลาะมีเรื่องกันเพราะหมา ผมก็ว่าไม่คุ้มนะ

บางบ้านยิงกันตาย ก็เพราะเรื่องหมาเห่า หมาขี้หน้าบ้าน แล้วถามว่าคุ้มไหม
ฉะนั้น ถ้าทำใจได้ ก็ทำใจ ทำใจไม่ได้ ก็ต้องย้ายบ้านครับ

สมัยผมเรียนมัธยม บ้านผมอยู่ย่านอาคารสงเคราะห์แถวทุ่งมหาเมฆ
ห้องนอนที่บ้านนั้น หน้าต่างอยู่ตรงกับคอกหมาโดเบอร์แมนของข้างบ้านพอดี

หมาตัวนั้นมันแก่มากแล้ว แล้วมันไม่ค่อยสบายครับ แล้วก็เป็นอย่างนั้นแหละ
คือเห่าทั้งวันทั้งคืน เห่าทุกสิบนาที เห่าเป็นระยะๆ ทั้งตอนเราตื่น และหลับ

ตอนแรกๆ ผมก็เซ็งครับ แต่พอตอนหลังๆ พอเริ่มยอมรับได้ว่า มันก็เป็นของมันอย่างนั้นแหละ
ผมก็เริ่มชิน และไม่ค่อยทุกข์อีก

อยู่อย่างนั้นมาเป็นปีๆ จนมันตาย วันแรกๆที่มันตาย ผมกลับนอนไม่ค่อยหลับ เพราะไม่มีเสียงมันเห่า

ส่วนคุณ Marked Rider Kabuto ที่จริงผมตอบให้ในบล็อกคำถามนั้นแล้ว
แต่เอามาลงไว้ในนี้อีกที เผื่อท่านอื่นจะได้ประโยชน์ด้วยนะครับ

>> ผมคงแนะนำได้เฉพาะเรื่อง อยู่อย่างไรให้ทุกข์น้อย หรืออยู่ในสถานการณ์ลำบากได้โดยไม่ลำบากเกินไป

อนุมานเอาว่า คุณเคยอ่านบล็อกผม และสนใจเรื่องปฏิบัติมาบ้างแล้ว

ผมก็อยากให้คุณใช้โอกาสนี้ ในการภาวนา

คนที่ภาวนาได้ดี เห็นธรรมส่วนมาก ล้วนแต่เป็นคนมีทุกข์มากนะครับ
พวกที่ชีวิตดี สุขสบาย เขาจะชิลๆ เพลินๆ ทำไปเรื่อยๆ
น้อยคนจะเห็นไตรลักษณ์เวลามีความสุขกับโลก

แต่พวกที่ชีวิตมีโจทย์ยากๆอุปสรรคเยอะๆ แต่มีสติคอยรู้ทันจิตใจตัวเองบ่อยๆ
พวกนี้ภาวนาดีมากครับ ยืนยันได้ ก็เพราะผมก็เป็นหนึ่งในกลุ่มนี้มาหลายหน

สำหรับมือใหม่ เบื้องต้นหาอะไรทำให้จิตใจสบายสักหน่อย
เช่นเดินเล่น ฟังเพลงเย็นๆ ชมนกชมไม้ ให้อาหารปลา ง่ายที่สุด ก็ไหว้พระทำบุญ

พอใจสบายขึ้น ไม่เครียด ก็เริ่มหัดฝึกรู้สึกตัว
ฝึกด้วยการคอยนึกถึง "พุทโธ" จะพร้อมลมหายใจเข้า พุท หายใจออก โธ
หรือนึกถึง พุทโธ อยู่ในใจเฉยๆก็ได้ทั้งนั้นครับ

ไม่ได้สำคัญว่าบริกรรมอะไร สำคัญที่เวลาจิตมันเคลื่อนไปคิดโน่นคิดนี่ ให้คอยรู้ทัน
ถ้าเผลอไปคิดจบแล้ว จิตปรุงทุกข์ขึ้นมา ก็ไม่ต้องแก้อะไร เพียงแค่คอยรู้ทันว่ามันเป็นอย่างนั้น

ให้คอยสวดมนต์ตอนเช้า และก่อนนอน วันละห้านาที สิบนาที
สวดมนต์ไป ก็คอยดูจิตไป ดูสบายๆนะครับ อย่าเพ่งจ้องเอาเป็นเอาตาย
ชนิดหมายจะบังคับไม่ให้มันเคลื่อนไปไหนเลย ไม่ทำอย่างนั้นนะ

สวดมนต์ไปสบายๆ จิตใจสบาย ผ่อนคลาย ก็รู้ สวดแล้วมีปีติ ขนลุกซู่ขึ้นมา ก็รู้
สวดแล้วจิตมันฟุ้งซ่าน น่ารำคาญ ก็รู้ว่าทันฟุ้งซ่าน รู้ว่ารำคาญ

สวดแล้วจิตมันนึกถึงหน้าใคร ก็รู้ว่าจิตมันคิดอยู่ คิดถึงเรื่องอะไร ก็แค่รู้
แค่รู้ว่ามันคิด แต่ไม่ต้องสนใจว่าคิดเรื่องอะไร คิดถึงใครนะ

จำหลักแม่นๆว่า เราดูเพื่อให้รู้ว่า จิตมันมีธรรมชาติคิดนึกปรุงแต่งของมันอย่างนั้นเอง
ให้เห็นว่ามันทำงานได้เอง มันบังคับไม่ได้จริง เพราะมันไม่ใช่ตัวเรานะ

ไม่ได้ดูเพื่อให้มันไม่คิด ไม่รู้สึก ไม่โกรธ ไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่ใช่นะครับ ต้องตั้งหลักดีๆ

ฉะนั้น วิปัสสนาจึงไม่ใช่การฝึกห้าม ฝึกบังคับให้กายให้ใจเป็นอะไรทั้งนั้น
แต่คือการเรียนรู้ความจริง ตามที่มันเป็น ด้วยสติ ความรู้สึกตัว

เห็นไหม วิปัสสนานี่ง่ายนะครับ ยากตอนเริ่มใหม่ๆ เพราะยังไม่คุ้นเคยเท่านั้นเอง

พอรู้สึกตัวบ่อยๆ จะเกิดความระลึกได้เองของจิตที่จำสภาวะต่างๆได้ทีละตัวสองตัว เรียกว่า สติตัวจริง
บางทีเรียกสัมมาสติ แต่ครูบาอาจารย์บอกว่า มันก็ยังไม่ใช่สัมมาแท้ๆ ที่เกิดในมรรค 8 หรอก
แค่หยวนๆ อนุโลมเรียกเอาใจ ให้พวกเรามีกำลังใจไปก่อน

เมื่อมีสติตัวจริง จิตใจจะตั้งมั่น เกิดสมาธิช่วงสั้นๆชั่วขณะ
เห็นกายเห็นใจทำงานตามความเป็นจริง เรียกว่าเห็นกาย เห็นใจ มันแสดงไตรลักษณ์ให้ดู

ว่ามันไม่เที่ยง มันมีสิ่งบีบคั้นให้มันต้องเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหว เป็นระยะๆ
และมันไม่ใช่สิ่งที่เราเคยเข้าใจว่าคือ "ตัวเรา" หรอกนะ เพราะเราไม่เคยสั่งมันได้เลย

วันไหนจิตคิดดีต่อสามี ก็รู้ทันว่าคิด วันไหนคิดแย่ ก็รู้ทันไปอย่างนั้น
ไม่ต้องเสแสร้ง ไม่ดัดแปลง แต่รู้ทันตัวเองนะครับ ย้อนมาดูตัวเองไว้เป็นหลัก

ทำไปอย่างนี้ แล้วคุณจะมีความสุขขึ้น ไม่ว่าจะมีใครอยู่ในบ้าน หรือไม่มี
ไม่ว่าสามีจะทำตัวแย่ลง หรือพัฒนาขึ้นจากเดิม

แต่เรื่องจะตัดสินใจหย่าไม่หย่า อันนั้นคุณต้องไปว่ากันเองนะ ผมขอไม่แตะในส่วนนั้น
เพราะมันเป็นเรื่องสุขทุกข์ของชีวิตคุณเอง ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วย

แต่ถ้ายังจำเป็นต้องอยู่ ก็ควรอยู่ด้วยความปรารถนาดีต่อกัน มีสติ มีเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา
คนอยู่บ้านเดียวกัน ถึงจะไม่ใช่ในฐานะสามีภรรยา จี๋จ๋า แต่ก็เป็นกัลยาณมิตรกันได้

ผมเชื่อว่า ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ สำหรับอีกคนหนึ่ง
เราจึงต้องเรียนรู้จะเชื่อใจ ให้อภัยในเรื่องที่เป็นอดีต และอยู่กับปัจจุบัน

ถ้าคุณภาวนาไปของคุณ แล้วอยากแบ่งปันให้เขา
ลองเปิดซีดีหลวงพ่อปราโมทย์ฟังเวลาอยู่บ้าน เขาก็จะได้อานิสงส์ ได้ฟังไปด้วย

ซีดีไปขอได้ที่ห้องสมุดบ้านอารี หรือที่สวนสันติธรรม
ดูรายละเอียดทั้งสองที่ หรือโหลดมาฟังในคอมก็ได้ ที่ //www.wimutti.net นะครับ

อย่างน้อย วันนึงต่อให้ไม่รักกันมากพอจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันแล้ว ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ของลูก เหมือนเดิม

โชคดีนะครับ




 

Create Date : 26 เมษายน 2552    
Last Update : 26 เมษายน 2552 11:11:44 น.
Counter : 961 Pageviews.  

Slumdog Millionaire สติ กับการตัดสินใจ



ถ้าช่วงนี้ผมจะอัพบล็อกได้บ่อยขึ้น ก็อย่าแปลกใจนะครับ
บ้านผมมีอินเตอร์เนทใช้แล้ว เย้.. ดีใจรู้ว่าดีใจ

มีคนบอกผมมาสักพักหนึ่งแล้วว่า อยากให้ผมเขียนถึงหนังอีก
ผมนั่งนึกอยู่พักนึง ว่ามีเรื่องอะไรที่อยากเขียนถึงบ้าง แล้วก็มาลงเอยที่เรื่องนี้
จะว่าผมเชย ก็ว่าได้นะ แต่ผมไม่เดือดร้อน 555

เมื่อก่อนผมเป็นเหมือนหลายๆท่าน คือใครพูดอะไรก็ต้องเก็บมาคิดเป็นวรรคเป็นเวร
แต่พอไปอ่านบทความอันหนึ่งเข้า ก็นึกได้ว่า เออ.. ที่จริงเขาไม่ชอบเรานี่
มันปัญหาของเขานะ ไม่ใช่ของเรา แล้วทำไมเราจะต้องเดือดร้อนด้วย

เวลาจัดรายการวิทยุ ก็มีคนชมทุกที และมีคนบ่นว่า จิกกัดบ่อยๆเช่นกัน
แต่ผมก็ถือคตินี้ ว่าไม่มีใครทำให้ทุกคนพอใจชอบใจได้

ถ้าขนาดมหาบุรุษ ที่เป็นที่เคารพในสามโลกอย่างพระพุทธเจ้ายังมีคนชัง
แล้วนับประสาอะไร กับพวกขวดถ้วยถังกาละมังหม้อดินอย่างอีตาแอสตันล่ะ

พอเจริญสติแล้วมันดีตรงนี้นะครับ เราอยู่กับโลกได้ง่ายขึ้น
เราไม่ต้องพยายามดิ้นรนไปเปลี่ยนโลก หรือเปลี่ยนใคร
เพราะสุขหรือทุกข์ มันอยู่ที่การแปลความหมายแว้บเดียวของจิตนี่แหละ

เช้านี้ผมนั่งหาข้อมูลอะไรเล่นๆอยู่ ก็ไปเจอข่าวเก่าๆ ของสาวสวยรวยเก่ง
ที่โดดตึกตายเพราะคนรักเลิกราไป แล้วคงทำใจไม่ได้

ผมเชื่อว่าถ้าน้องเขายังอยู่ อดทนพาชีวิตผ่านมาถึงจุดนี้ได้ แล้วมองย้อนกลับไป
น้องเขาจะรู้ว่า เรื่องแย่ๆที่ผ่านไป ไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายเราดีๆนี่เอง
สะดุ้งตื่นมาแล้ว อาบน้ำล้างหน้า ไหว้พระ ก็หายแล้ว

แต่บางที ความสุข ความทุกข์ จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก
มันตัดสินกันด้วยสติชั่วเสี้ยววินาที อย่างที่บอก

ในหนังสลัมด็อก มิลเลี่ยนแนร์ จามาล ก็ตกอยู่ในสถานการณ์บีบคั้นให้ต้องเลือก เช่นกัน
จากเด็กวิ่งซื้อโอเลี้ยงในสำนักงานโทรศัพท์แห่งหนึ่ง จากเด็กสลัมกำพร้า
เขามีโอกาสจะกลายเป็นมหาเศรษฐีย่อมๆ จากเกมเศรษฐีอินเดีย

อาจจะไม่ถึงกับเลือกว่าจะอยู่ หรือตาย แต่ก็ไม่ง่ายเลย
ระหว่างการเลือกว่าจะโกง เพื่อจะได้ชนะกลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน
กับการเลือกในสิ่งที่ถูก แต่เสี่ยงที่จะกลับบ้านมือเปล่า เป็นคนจนเหมือนเดิม

ความเด่นของเรื่องนี้ส่วนหลักๆเลย คือบทครับ คนเขียนบทเก่งมากๆ
เขาผูกเรื่องชีวิตของพี่น้องสองคน เข้ากับการเลือกคำตอบให้โจทย์ชีวิตของแต่ละคน
คล้ายๆกับการเลือกตัวเลือกในเกมเศรษฐีนั่นแหละ

เช่นจะยอมโดนขัง หรือยอมโดดลงบ่ออึ เพื่อจะได้เจอดาราคนโปรด
จะหยุดร้องไห้ไปหาแม่ หรือวิ่ง เพื่อเอาชีวิตรอด
จะมีเมตตา กับเด็กผู้หญิงร่วมชะตากรรมเดียวกัน หรือเมินเฉย

จะมีชีวิตเป็นหัวขโมยเข้าแก็งค์มาเฟีย หรือเลือกทำงานสุจริต เงินน้อย แต่สบายใจ
จะเลิกตามหาคนรัก หรือพยายามต่อไป ฯลฯ

และสุดท้าย จะเลือกคำตอบที่มีคนในมาบอกให้ เพื่อจะชนะ
หรือเลือกคำตอบที่ต่างออกไป เพียงเพื่อให้มองหน้าตัวเองในกระจก
แล้วไม่ต้องบอกตัวเองว่า "แกชนะด้วยการโกง"

ในเกมเศรษฐี มีตัวช่วย ในชีวิตจริงก็มีได้เช่นกัน
บางทีเราก็ต้องอาศัยกัลยาณมิตรดีๆ อย่างครูบาอาจารย์
หรือตัวช่วยที่ดีมาก คือโยนิโสมนสิการ ความแยบคายของจิตในการฉุกคิด

ตัวหลังนี่ ผมว่ามันเป็นเรื่องการสะสมประสบการณ์ของจิต ด้วยสติจนเกิดปัญญา
แต่ไม่ใช่คิดเอาหรอกนะครับ จิตเขามีสติของเขาเองมากกว่า

หนังเรื่องนี้ดีสมราคา 8 รางวัลออสการ์ครับ ดูง่ายไม่ต้องพกบันไดเข้าไปดู
สนุกด้วย คมด้วย และดูแล้วอิ่มใจ

ทราบว่ายังมีฉายที่ลิโด้ สยามแสควร์ และน่าจะยืนโรงฉายถึงเดือนหน้า
ถ้าเดินทางลำบาก จะรอดีวีดี น่าจะออกขายเดือนมิถุนายน ราวๆนั้นครับ

จะเลือกแผ่นลิขสิทธิ์เพื่อความถูกต้อง หรือแผ่นผีเพื่อความถูกกระเป๋า
อันนี้คุณก็เลือกได้ครับ

สุขสันต์วันที่พระอาทิตย์ยังส่องแสง แม้จะแรงไปหน่อยก็ตามนะครับ




 

Create Date : 24 เมษายน 2552    
Last Update : 24 เมษายน 2552 9:24:46 น.
Counter : 950 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.