|
ดี ดีกว่า ดีที่สุด
(ภาพประกอบโดยความอนุเคราะห์ของคุณแป๋ว SevenDaffodils คนที่อยู่ลำดับสองในบรรดา VIP Link น่ะครับ)
เมื่อสัปดาห์ก่อน บริษัทผมเชิญคุณวิจิตร บุญชู กูรูด้านเครื่องไฟฟ้าหมวดภาพและเสียง มาพูดให้พนักงานฟังเรื่องเทคโนโลยีด้านระบบภาพและเสียง
มีข้อมูลหลายเรื่องที่น่าสนใจ ทั้งที่ผมทราบและไม่เคยทราบ อย่างเรื่องที่ผมเคยเขียนไว้นานแล้วว่า..
คนไทยจำนวนมากเข้าใจผิดว่า DVD 9 มีคุณภาพของภาพและเสียงดีกว่า DVD 5
อันนี้โดนคนขายแผ่นผีหลอกเอานะครับ เพราะเขาอยากได้เงินเพิ่ม ซึ่งคุณวิจิตร ก็ยืนยันสิ่งที่ผมรู้มาว่า มันต่างกันเฉพาะที่ความจุของแผ่น
เพราะ DVD 9 มีสองชั้นซ้อนกัน ภาษาปะกิตเขาเรียก Dual Layer ขณะที่ DVD 5 มีชั้นเดียว ภาษาปะกิตเรียก Single Layer เหมือนเอาลังใส่ของมาซ้อนกันสองลัง เลยใส่ของได้เยอะขึ้น แต่ไม่เกี่ยวกับภาพชัดขึ้น ดีขึ้น
ชัดไม่ชัด ดีไม่ดี มันอยู่ที่ตัวต้นฉบับ คือถ้ามันมาจาก Master เดียวกัน แล้วความจุมันใส่ single layer หรือ DVD 5ได้ เอาไปใส่ Dual Layer ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
แต่ที่บางเรื่องเห็นความแตกต่าง เพราะแผ่นผีส่วนมาก ไปเอาหนังที่ต้นฉบับเป็น Dual Layer มายัดลง Single Layer
ว่าโดยย่อ.. คุณภาพหนังจะดีไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่ "รูปแบบ" หรือ Format แต่อยู่ที่ Content หรือ "เนื้อหา" และจะว่าไป มันสะท้อนความจริงของนักปฏฺิบัติจำนวนมาก อยู่สองเรื่อง
เรื่องแรก เรามักจะมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับ "รูปแบบ" ของการปฏิบัติ สมัยผมเรียนวิปัสสนาใหม่ๆ เพื่อนๆ ที่ไปเรียนด้วยกันจำนวนมากเชื่อว่า วิปัสสนาคือการนั่งสมาธิ ดังนั้นคนที่ปฏิบัติดี คือคนที่นั่งสมาธิเก่ง
ตอบให้ตรงนี้ว่า วิปัสสนา คือการรู้ การเห็นความจริงแห่งธรรมชาติของกาย ของจิต ไม่ใช่แต่เฉพาะนั่งหลับตา จะลืมตา ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ปฏิบัติวิปัสสนาได้
เรื่องที่สอง คนหลายคนเสียเวลาไปนั่งเถียงกันว่า "รูปแบบ" ไหนดี ดีกว่า หรือดีที่สุด พองยุบ หรืออาณาปานสติ หรือพุทโธ หรือ รู้ลม อิริยาบถ 4 ขยับมือ ขยับเท้า อันไหนดีกว่า
อันนี้ครูบาอาจารย์ผมท่านสอนเสมอว่า กรรมฐานอันใดที่เกี่ยวเนื่องกับการรู้กายและรู้จิต โดยไม่อาศัยการเพ่ง ไม่บังคับแทรกแซง ไม่คิดเอา กรรมฐานอันนั้นใช้ได้หมด ถ้าทำแล้วถูก(หลักสติปัฏฐาน) ก็ถูกได้เหมือนกัน ผิด ก็ผิดได้เหมือนๆกัน
ที่ถูกคือรู้ลงปัจจุบัน อย่างที่มันเป็นจริง ไม่บังคับ ไม่กดข่ม ไม่คิดเอา ส่วนที่ผิด มีสองทางคือผิดเพราะหลงเผลอไหลไปตามกิเลส กับผิดเพราะกดข่มบังคับไว้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับว่า เป็นกรรมฐานอะไร รูปแบบไหน แปลว่าถูกหรือผิด
คุณวิจิตรยังเล่าให้ฟังอีกว่า คำถามที่ท่านเจอเป็น FAQ บ่อยๆคือ ช่วยแนะนำหน่อยว่า เครื่องเสียงชุดไหน ยี่ห้อไหน รุ่นไหน ดีที่สุด
คุณวิจิตรบอกว่า เป็นคำถามที่เจอบ่อย แต่ตอบยากมาก เพราะโดยทฤษฎีของระบบเสียงนั้น เครื่องเสียงที่ดีที่สุด คือเครื่องเสียงที่ถ่ายทอดเสียงออกมาสมจริง ตรงตามเสียงต้นกำเนิดมากที่สุด
แต่ไม่ได้รับประกันความชอบของคนฟัง เพราะคนส่วนมากเอาเข้าจริงๆไม่ได้ชอบเสียงแบบธรรมชาติหรอก แต่จะชอบเสียงที่ถูกหู เช่นเสียงนุ่มๆ เสียงหวานๆ เสียงใสๆ ชอบเบสหนักๆ ฯลฯ ต่างๆนาๆ
ฟังแล้วนึกถึงการภาวนานะครับ ครูบาอาจารย์ผมท่านจะบอกเสมอว่า การภาวนาที่ดีที่สุด คือการได้รู้ ได้เห็นความจริงของกาย ของจิต อย่างที่มันเป็น ตามธรรมชาติของมัน โดยไม่เสแสร้ง ไม่ปรุงแต่ง
อาจารย์ผมท่านบอกว่า ส่วนมากที่พลาดกันเพราะมักจะวาดภาพนักปฏิบัติไว้ผิดๆ เรามักจะคิดว่า เป็นนักปฏิบัติต้องขรึมๆ เก๊กๆ ให้ดูดีหน่อย ยิ่งผมเกรียนๆ เคร่งๆ เครียดๆ เดินช้าๆ ยิ่งดูเก่ง
หรือวาดภาพว่า ถ้าปฏิบัติดี จิตจะต้องเห็นแต่สภาวะละเอียดๆ มีแต่กุศล ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงเลยทั้งวัน ทั้งเดือน ทั้งปี
ในความเป็นจริงที่ฟังจากครูบาอาจารย์ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่า จิตต้องคิดดีมีกุศลตลอดเวลา แต่ท่านบอกว่า จิตคิดดี จิตเป็นกุศล ก็ให้รู้ว่าเป็นกุศล จิตไม่ดี เป็นอกุศล ให้รู้ว่าตอนนี้จิตเป็นอกุศล
คือไม่ต้องเสแสร้งแกล้งดี เพราะเราต้องการความจริง ไม่ใช่จะเอาดี เอาเก่ง เอาสงบ เหมือนเราอยากรู้ธาตุแท้ของใครสักคน เราก็ไม่ควรไปตีกรอบ ชี้นำ โน้มน้าว คนๆนั้น ถูกไหมครับ
ที่ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อเอาดี เอาเก่ง เอาสุขอะไร เพราะจุดหมายของวิปัสสนา คือการพ้นทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า คนเราจะพ้นทุกข์ได้ก็ด้วยการวางความยึดมั่นถือมั่นในกายและจิต
จะวางความยึดมั่นถือมั่นได้ ก็ต้องเห็นความจริงมากพอเสียก่อน ว่ากายนี้ ใจนี้ คือตัวทุกข์ ตรงกันข้าม ถ้าปฏิบัติไปแล้วบังคับตัวเองสำเร็จ จิตเห็นว่ากายนี้ใจนี้ดี มีแต่สุข แทนที่อัตตาตัวตนจะถูกทำลาย กลับจะยึดมั่นถือมั่นมากขึ้นกว่าเดิม
พูดแบบนี้ หลายท่านเลยพยายามไปโน้มน้าวจิตให้มันมองกายนี้ จิตนี้ว่าเป็นทุกข์ อันนี้ก็ไม่ใช่อีกนะ ถือว่าเจตนาเข้าไปแทรกแซง ไปสร้างอะไรขึ้นมา ไม่ใช่เห็นจริง
วิปัสสนา ถึงต้องการความจริง ตามที่มันเป็น มันจะสุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้ เพราะไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ดีหรือร้าย ถ้าเราไม่แทรกแซง มันจะแสดงธรรมะให้เราดูเสมอกัน และถึงต้องถือศีล 5 เป็นรั้วกั้นบาป เพื่อจะได้ไม่ชั่ว
มีคนแซวผมบ่อยๆว่า เขียนเรื่องอะไรก็ลากมาเข้าเรื่องธรรมะได้หมด ที่จริง ผมไม่ต้องลากอะไรเลยนะ
เพราะธรรมะ ก็คือธรรมชาติของสรรพสิ่งอยู่แล้ว อาจารย์ผมท่านเคยบอกว่า ธรรมชาติของตัวเรา แสดงธรรมะอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่เห็น หรือไม่ก็ไม่ใส่ใจจะมอง หรือที่ใส่ใจ ก็ต้องการมองสิ่งที่ต้องการเห็น ไม่ใช่ความจริง
จะเที่ยงคืนแล้ว ต้องรีบเข้านอนล่ะครับ พรุ่งนี้มีภารกิจแต่เช้า
ฝันดีมีสติกันทุกท่านนะครับ
Create Date : 19 กรกฎาคม 2551 | | |
Last Update : 29 กรกฎาคม 2551 8:43:42 น. |
Counter : 815 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ถ้วยน้ำ มือถือ ย้ายบ้าน ย้ายโรงเรียน
(ภาพจากเว็บนี้ ไม่ทราบชื่อผู้ถ่ายครับ //www.vcharkarn.com/vcafe/135263)
เมื่อวันอังคาร ผมไปงานเปิดตัวหนังสือ OOM โฉมใหม่ในแบบพ็อกเก็ตบุ๊ค คุณสิริยากรเธอมีของชำร่วยให้แขกที่ไปร่วมงานสองสามชิ้น
หนึ่งในจำนวนนั้น มีถ้วยน้ำอยู่ใบหนึ่ง เป็นเครื่องเคลือบศิลาดลสีอมเขียวอ่อนๆ อันนี้ ผมชอบมากเลย
ผมเอาถุงใส่ของชำร่วยวางไว้บนเบาะข้างคนขับ ระหว่างทางขับรถกลับบ้าน รถติดมากเลยหยิบเอาถุงมาดูของ เห็นแก้วใบนี้ แล้วก็นึกถึงเรื่องที่คุยกับน้องสาวคนนึงเมื่อหลายวันก่อน
เธอเล่าว่า มีแฟนมาตลอดสิบเอ็ด หรือสิบสองปี ผมจำไม่ค่อยแม่น พอวันหนึ่งมีเหตุอันทำให้ต้องมาอยู่คนเดียว เลยไม่รู้จะทำอะไรดี กับเวลาส่วนตัว ที่มีเหลือเฟือขึ้นมากระทันหัน
ถ้าใครบังเอิญมีปัญหาแบบนั้นอยู่ ผมบอกคุณได้ว่า มันเป็นเรื่องปกติ บางคนเรียกว่าภาวะ สุญญากาศ ผมอยากเรียกว่า การย้ายบ้าน ย้ายโรงเรียน
ผมอธิบายให้น้องสาวฟังว่า มันก็เหมือนเราเคยมีมือถือใช้มาสิบปี แล้ววันนึง มือถือหายไปนั่นแหละ ถามว่าตายไหม ไม่ตายหรอก แต่มันก็ต้องหงุดหงิด งุ่นง่าน หงิกหงอยเป็นธรรมดา
สมัยประถม ผมเรียนโรงเรียนสหศึกษามา 4 ปี ไม่รวมอนุบาล พอขึ้น ป. 5 ย้ายไปเรียนโรงเรียนชายล้วน ผมก็รู้สึกแปลกๆพักนึง
เรียนไปหลายๆปี จนจบ ม. 6 ก็เริ่มชิน พอเข้ามหาวิทยาลัยเจอสาวๆเข้าก็แปลกๆอีก จะไม่ให้แปลกยังไงไหว เพราะรุ่นเดียวกัน 120 คน เป็นผู้หญิงเข้าไปเกือบๆร้อย ผู้ชายมีไม่ถึง 30 แถมอยากเป็นผู้หญิงซะอีกหลายคน
คณะอื่นเขาจะหานักกีฬา เชียร์ลีดเดอร์ผู้ชาย เขาต้องคัดตัวแล้วคัดตัวอีก คณะผมนี่สมัครอะไรก็ได้หมดนะ เพราะหาผู้ชายทำยายากเต็มทน
รู้สึกแปลกอยู่เกือบปีได้มั้ง แล้วก็เริ่มชิน
เรื่องย้ายบ้านก็เหมือนกัน ชีวิตนี้ผมย้ายบ้านมาแล้วสิบครั้ง ไม่เชื่อก็ไม่แปลกนะ เพราะผมก็เพิ่งเคยมานั่งนับวันนี้เอง แล้วก็ประหลาดใจเหมือนกัน ว่าเราย้ายบ้านเยอะอย่างนี้เลยเหรอเนี่ย
ทุกครั้งที่ย้าย มันก็จะรู้สึกแปลกๆในช่วงแรก ที่เขาเรียกแปลกที่แปลกทาง แต่พอสักพัก ชีวิตมันก็จะเริ่มลงตัว เข้าที่เข้าทาง
ย้อนกลับไปเรื่องน้องสาวคนนั้น ผมบอกเธอไปว่า จิตใจคนเราเหมือนถ้วยน้ำว่างๆ ที่เรามักจะรู้สึกดีที่มีคนมาเติมเต็มให้เรา
เพียงแต่ถ้วยของมนุษย์ มักเป็นคล้ายถ้วยที่มีรู รินอะไรใส่มันก็เต็มได้แป๊บๆ แล้วจะค่อยๆพร่องลงๆ จนต้องหาอะไรมาเติม เป็นระยะๆ
บางคนตลอดชีวิต นั่งเฝ้ารอว่า เมื่อไหร่จะมีคนเดินมาเติมถ้วยน้ำของเราให้เต็ม พอมีคนมาเติมให้ เราก็อยากให้เป็นสิ่งที่เราชอบ เพราะเราคิดว่าถ้าได้สิ่งนั้นมาเติม เราจะมีความสุข แล้วก็พบว่า มันสุขได้แป๊บๆนะ ชั่วครั้งชั่วคราว
บางทีไม่มีคนมาเติมให้ ก็ต้องดิ้นรนไปหาของเติมจากภายนอก ไปดูหนัง ฟังเพลง ไปเต้นระบำ กินเหล้า ปาร์ตี้ ช้อปปิ้ง ฯลฯ
สุขภายนอก มันหาง่ายแต่ก็ฉาบฉวย เหมือนกล้วยฉาบ ต่างจากสุขภายใน ที่ไม่ต้องรอให้ใครมาเติม แต่มันเพิ่มขึ้นเอง ตามระดับสติและปัญญา
ทุกศาสนาเห็นแบบนี้เหมือนกัน และทุกศาสนาก็บอกวิธีเติมเต็มถ้วยน้ำที่ดีที่สุดไว้ จะมีก็พุทธ ที่ต่างจากชาวบ้านอยู่เรื่องหนึ่ง คือพระพุทธเจ้าสอนให้คนเห็นความจริงว่า
แม้แต่ถ้วยน้ำ ก็ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเที่ยงแท้ แน่นอน และบังคับไม่ได้ ระหว่างทางของพุทธ คือการมีน้ำเย็นชื่นใจเต็มถ้วยเสมอ โดยไม่ต้องพึ่งพาใครที่ไหน นอกจากตัวเอง
ปลายทางของพุทธ คือการได้เห็นว่า ถ้วยน้ำ "ของเรา" นั้นไม่มี มีแต่ความเข้าใจผิด คิดว่ามีถ้วยน้ำ "ของเรา"
เมื่อไหร่ที่จิตเรามันมีปัญญาเห็นและยอมรับได้อย่างนั้นว่า "ถ้วยน้ำไม่ใช่ของเรา" การจะมีใครมาเติมน้ำให้ หรือไม่มี ก็ไม่ใช่ปัญหา น้ำจะเต็มถ้วย ค่อนถ้วย ครึ่งถ้วย หรือเหือดแห้ง ก็ไม่ใช่ปัญหา
แต่ความอัศจรรย์ของธรรมะ ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะที่ฟังครูบาอาจารย์มา ท่านบอกว่า.. เมื่อเราไม่ดิ้นรนจะเติมน้ำ เพราะเห็นแจ้งว่าถ้วยน้ำไม่ใช่ของเรา นั่นแหละ.. น้ำจะไม่เคยพร่องหายไปจากถ้วยอีกเลย
ไม่รู้เขียนเข้าใจยากไปไหม.. ไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร อ่านไว้เล่นๆ ก่อน ไว้หัดเจริญสติ รู้สึกตัว รู้จิตตัวเองไว้ วันนึงจะเข้าใจเอง
จะว่ายากก็ยาก เพราะเราไม่เคยชินกับการ "ปฏิบัติ" โดยไม่ลงมือทำ แต่จะว่าง่ายก็ง่าย เพราะถ้าเดินถูกหลัก มันก็แทบจะไม่ต้องทำอะไร นอกจากคอย "รู้สึกตัว"
อาจจะรู้สึกแปลกๆ ในช่วงแรก เหมือนเรื่องมือถือ ย้ายบ้าน ย้ายโรงเรียนนี่แหละ
สักพักนึงก็จะชินกับมีชีวิตที่เป็นสุขกับการรู้สึกตัวนะ ..เชื่อสิ
เพลงวันนี้ชื่อ Dust in the wind เถ้าธุลีในสายลม งานของ คณะแคนซัส ครับ
Create Date : 18 กรกฎาคม 2551 | | |
Last Update : 19 กรกฎาคม 2551 23:49:28 น. |
Counter : 975 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
แอสตั้นพบประชาชน 3: เรื่องของความโกรธ
(ภาพจาก FWD mail ไม่ทราบชื่อผู้ถ่ายครับ)
เมื่อวานนี้มีคำถามส่งมาทางหลังไมค์ ผมเห็นว่าเป็นปัญหาสากลของคนที่ยังมีความรู้สึก เลยขอเอามาตอบทางนี้นะครับ
คำถามมีดังนี้ครับ
"ขอคำแนะนำสำหรับคนที่โทสะแรงด้วยค่ะ เวลาที่โกรธใครแม้จะเป็นเรื่องนิดเดียวเช่น พูดไม่ถูกใจจะรู้สึกถึงแรงดันที่หน้าอก อย่างเวลาเรารู้ตัวว่าเราโกรธใคร ถ้ามันไม่ดับทันทีแสดงว่า สติตัวแท้เรายังไม่เกิดใช่มั้ยคะ
พอมันเกิดปุ๊ป หนูลองหายใจเข้ายาวๆๆลึกๆๆ มันรู้สึกดีขึ้นแต่ไม่หายค่ะ และก็รู้สึกว่าได้เอาความโกรธนั้นไปสะสมเอาไว้ข้างในไม่ใช่สักแค่รู้แล้วหายไปน่ะค่ะ
ที่รู้สึกมันไม่หายเพราะเวลาที่มันนึกได้ขึ้นมามันก็ยังรู้สึกโกรธและอยากไปทำร้ายคนๆๆนั้น ไม่ได้อยากไปทำให้ถึงตายอะไรขนาดนั้นนะคะ แค่อยากจะไปทำร้ายเค้าด้วยคำพูดน่ะค่ะ ไม่ถึงขนาดสาว kbank นะคะ
ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ทำความสงบน่ะค่ะ ตามดูจิตเฉยๆๆ แต่ตามดูแล้วไม่หายแสดงว่าเราต้องทำอะไรผิดไปใช่มั้ยคะพี่
รบกวนอธิบายด้วยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ เวลาจะหาที่พึ่งก็เข้ามาอ่านบล็อคพี่นี่แหละ"
สำหรับนักเรียนวิปัสสนา ที่บอกกันว่าให้คอยรู้สึกตัวนั้น เราไม่ได้ต้องการอะไร นอกจากคอยมีสติรู้ทุกสิ่งอย่างที่มันเป็น
ไม่ได้ต้องการให้เป็นคนดี 24 ชม. นะครับ ร้ายก็ได้ แต่แน่นอนว่าต้องไม่ชั่ว ไม่ได้ต้องการเห็นแต่ความสุขนะครับ ทุกข์ก็ได้ แค่อย่าไปช่วยมันคลุกเคล้าอยู่ในทุกข์ ไม่ได้ต้องการให้มันสงบ มันจะฟุ้งซ่านก็ได้ แต่ไม่ไปช่วยมันคิดปรุงความฟุ้งต่อ
ที่บอกว่าไม่ได้รู้สึกตัวเพื่อ ให้สุข ให้สงบ ให้ดี เพราะปลายทางของวิปัสสนา เราต้องการทำลายความยึดมั่นในกาย ในจิต ต้องการทำลายความเห็นผิดว่า กายนี้ ใจนี้ เป็นของเรา เป็นของดี ของวิเศษ
ที่เรายังมีทุกข์กันอยู่ก็เพราะเห็นผิดว่า กายนี้ ใจนี้ เป็นของเที่ยงแท้ เป็นสุขและบังคับได้ พอมันไม่เที่ยงแท้ไม่คงทน มันเปลี่ยนแปลง เพราะมีทุกข์มาบีบเค้น แล้วเราบังคับไม่ได้ เราก็ไม่ชอบใจ แล้วก็ดิ้นรน แล้วก็ทุกข์
หลักการของวิปัสสนา เราจึงต้องการเห็นความจริงตามที่พระพุทธเจ้าท่านว่า กายนี้ ใจนี้ มันเป็นของไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันบังคับไม่ได้หรอกนะ มันจะโกรธมันก็โกรธเอง เพราะมีเหตุ ไม่ใช่เพราะเราไปสั่งให้มันโกรธ เวลามันจะดับ มันก็ดับเอง เพราะเหตุแห่งความโกรธมันดับ ไม่ใช่เพราะเราสั่งมันได้
ครูบาอาจารย์ ท่านสอนว่าเวลาคนเราโกรธ มันมีขั้นที่เป็นเหตุ กับที่เป็นผล ส่วนที่เป็นผลแล้ว ศัพท์เทคนิคเขาเรียก "วิบาก" อันนี้ทำอะไรไม่ได้ครับนอกจากรับสภาพไป
ถ้าความโกรธเปรียบเหมือนไฟที่ไหม้ วัสดุที่ไฟไหม้คือเหตุที่ทำให้โกรธ ส่วนที่เสียหายเพราะไฟไหม้ คือความทุกข์จากความโกรธนั้น อันนี้เป็นวิบาก คือ..ถึงจะดับไฟได้ มันก็ไหม้เสียหายไปแล้วอยู่ดี
ที่คุณเห็นแรงดันขึ้นมาที่กลางอก อันนั้นถูกแล้ว ดีแล้วครับ ดีมากด้วย แต่ส่วนมากที่ไปรู้ทันความโกรธ มักจะพลาดตรงที่ ไม่ได้รู้ต่อไปอีก เช่นโกรธแล้วไม่ชอบความโกรธ รังเกียจ อยากหาย อยากเป็นคนดีอันนี้มักจะไม่เห็น
ฉะนั้น คนที่ทุกข์เพราะโกรธไปเรียบร้อยแล้ว โอกาสจะรู้สึกตัวแล้วความโกรธดับจึงน้อยครับ เพราะจะมีโทสะ ความไม่ชอบจิตที่โกรธไปแล้ว หรือความอยาก เกิดตามมาซ้อนกันเป็นชั้นๆ
แต่ที่บอกว่า เวลาสติตัวจริงเกิดแล้วความโกรธดับ เพราะสติตัวจริงมันทำงานอัตโนมัติ ว่องไวมาก พอกระบวนการของความโกรธเริ่มจะก่อตัว สติมันทำงานปุ๊บ เชื้อของโทสะไม่มี ความโกรธที่ทำท่าจะลุกฮือ จึงดับ เพราะไม่มีเชื้อของโทสะ คือความหลง(คิด)มาให้มันจุดติด
อันนี้ไม่นับคนที่เอาสมถะมาช่วยกดข่ม ประคอง ที่เขาเรียกเอาน้ำเย็นเข้าลูบ เช่นเอาความคิดดีๆ มาปลอบตัวเอง หรือเอาเจตนาจะรักษาศีล มาเป็นตัวช่วย ไม่ให้มันเกินเลย
ถามว่าผิดไหม ไม่ผิดครับ ดีไหมดี แต่ถูกและดีในแบบของสมถะนะ ส่วนวิธีของวิปัสสนา เมื่อใช้การคิดเข้าแทรกแซงถือว่าหลุดจากวิปัสสนาไปแล้ว
เพราะวิปัสสนาเอาของจริง ไม่ต้องห่วงว่าจะรู้สึกว่าตัวเองร้ายกาจขนาดไหน บอกแล้วว่าร้ายได้ แต่ห้ามชั่ว เก็บสมถะไว้วินาทีสุดท้ายที่กำลังจะด่าเขา หรือต่อยเขา
ถ้ายังแค่มีอารมณ์โกรธปกติ จะฟาดหัวฟาดหางในใจ ไม่เป็นไร ก็ใจถึงๆดูมันไปอย่างนั้นแหละ แล้วจะเห็นว่าจิตเรามันก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรนักหรอก วันๆมีแต่สร้างขยะขึ้นมาให้รกบ้านเสียอย่างนั้น
ครั้งหน้า ถ้าโกรธอีก ลองสังเกตลงไปอีกนะครับว่า ตอนที่จิตเห็นจิตมันโกรธ แล้วมันมีปฏิกิริยาอย่างไร มันชอบ หรือไม่ชอบ มันสบายหรืออึดอัด มันสุขหรือมันทุกข์ รู้ลงไปนะ
จะบอกเคล็ดลับให้ว่า เวลาเราโกรธ เราโกรธทีละแว๊บนะ ที่เราเห็นมันยืนยาวอยู่ เพราะเหตุของความโกรธมันยังมีอยู่ สังเกตก็ได้ว่าเวลาดูความโกรธ มันจะมาเป็นระลอกๆ เหมือนคลื่น
เหมือนเวลาไฟไหม้มันก็ไม่ได้ไหม้พรึ่บทีเดียวทั้งตึก มันค่อยๆลามไปไหม้ของทีละชิ้นสองชิ้น ทีละตารางนิ้วๆ ทีละห้อง ทีละชั้น
ฉะนั้น ไอ้ที่มันโกรธ มันไหม้ไปแล้วช่วยไม่ได้ อย่ามัวแต่ไปเสียดายอดีต อย่ารังเกียจมัน อย่าคิดมาก ให้อยู่กับปัจจุบัน รู้ทันความคิด รู้ทันความรู้สึก รู้ทันความอยาก
ยิ่งอยากหายโกรธ จะยิ่งไม่หาย ถ้าหมดอยากเพราะรู้ทันนั่นแหละจะหาย
ฟังดูแล้วอาจจะงงๆสักนิด แต่ก็อีกเหมือนกันนะ งง ก็แค่รู้ว่างง แล้ววันนึงจะเข้าใจเอง
อ่อ.. ครูบาอาจารย์ท่านสอนมาว่า ให้รู้ทันความโกรธ ด้วยใจที่เป็นกลาง เพราะความโกรธ ก็สอนธรรมะเราเท่าๆกับ กุศล ตัวอื่นๆ
สิ่งที่น่ากลัว ไม่ใช่ความโกรธ สิ่งที่น่ากลัวมีสองอย่าง คือการไหลไปกับความโกรธ คือขาดสติไป กับการไปกดข่มเพ่งบังคับไว้ เพราะกลัวจะไม่ดี แล้วก็ไม่เกิดสติ ไม่เดินปัญญา
พื้นฐานเดิม ผมก็เป็นคนโทสะแรงครับ โกรธง่าย ขี้หงุดหงิด ทุกวันนี้ ก็อย่างที่เคยเล่าว่า ยังโกรธเป็นบ่อยๆ แต่ขนาดมันน้อยลง
เพราะเราให้ค่ามันน้อยลง เราไปสนใจรู้ทันใจที่ไม่ชอบมัน โกรธ หงุดหงิดก็เลยยังมีบ่อย แต่สั้นลงครับ บางทีรู้ทันแล้วยังขำด้วยซ้ำไป
ไม่รู้ผมช่วยอะไรคุณได้ไหม แต่ขอบคุณที่ถามมานะครับ
เพลงวันนี้ เลือกเพลงที่เรียกร้องให้เรามีสติกัน อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบมันชวนให้เราทำในสิ่งที่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง
เพราะทุกคนก็มีทุกข์กันทั้งนั้น Everybody hurts เพลงเก่าของ REM ในฉบับcover ของ the Corrs ครับ
Create Date : 14 กรกฎาคม 2551 | | |
Last Update : 19 กรกฎาคม 2551 0:49:54 น. |
Counter : 1214 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|