Group Blog
 
All blogs
 
หอยทาก กับหมูกระดาษ



(ขอบคุณภาพประกอบสวยๆจากคุณ SevenDaffodils ครับ)

ผมถือว่าตัวเองโชคดีและมีบุญนักหนา ที่มีโอกาสพบครูบาอาจารย์อย่างพระอาจารย์ปราโมทย์

ผมรู้จักท่านตั้งแต่สมัยท่านยังไม่บวช แต่เป็นการรู้จักผ่านตัวหนังสือที่ท่านเขียนในเว็บบอร์ด
จนวันที่ท่านบวช ผมก็มีโอกาสตามเพื่อนๆไปกราบท่าน สมัยนั้นเรียกท่านว่า "หลวงอา"
จนภายหลังคนส่วนใหญ่เรียกหลวงพ่อ ผมก็เรียกหลวงพ่อตาม เพื่อไม่ให้คนรอบข้างรู้สึกสงสัยว่าเพราะอะไร

อันที่จริง ในใจผมรู้สึกว่าท่านเป็นพ่อผมจริงๆ คือเป็นพ่อที่ให้กำเนิดชีวิตใหม่ในทางธรรม

เวลานึกย้อนไปถึงตัวเอง ตอนที่ยังมะงุมมะงาหรา เริ่มหัดวิปัสสนาแบบลุ่มๆดอนๆ
ทำแบบผิดหลักผิดทาง ยิ่งทำก็ยิ่งหลงเพ่งเอาเพ่งเอา เพราะอยากได้อยากดีอยากมีอยากเป็น

แล้วย้อนมาดูตัวเองในปัจจุบัน ผมจะสำนึกในพระคุณของท่าน แบบบรรยายไม่ถูก
เพราะท่านนี่แหละขุดผมขึ้นมาจากใต้คอนกรีตที่ทับอยู่ในก้นบึง

นอกจากนั้น วิธีที่ท่านสอนธรรมะ ยังเป็นต้นแบบที่ดีของการสอนที่เห็นภาพชัดเจน เข้าใจง่าย
หลายๆเรื่อง หลายๆตัวอย่าง ก็เป็นวัตถุดิบชั้นเยี่ยม ให้ผมได้นำมาบอกเล่าต่อในบล็อกแห่งนี้

ครั้งหนึ่งท่านจะเตือนไม่ให้พวกลูกศิษย์ประมาท อย่าขี้เกียจ และอย่าดูแคลนกิเลส

ท่านใช้วิธีเปรียบว่า พวกเราเหมือนหอยทากตาบอด คลานดุ๊บดิ๊บๆอยู่ก้นเหว
พยายามจะหาทางไต่ขึ้นให้พ้นปากเหว โดยไม่รู้ว่าจะลื่นหล่นลงไปในเหวอีกเมื่อไหร่

ผมฟังแล้วสันหลังเย็นวาบ ขนลุกขึ้นมาทันใด เพราะเห็นจริงอย่างนั้น

อีกเรื่องที่ท่านใช้สอนลูกศิษย์ลูกหาบ่อยๆในช่วงปีที่ผ่านมา คือเรื่องหมูกระดาษครับ



เคยเห็นหมูกระดาษไหมครับ ไอ้หมูออมสินตัวแดงๆ ที่ทำจากเศษกระดาษมาแปะๆๆลงบนโครง
ให้มันเกิดรูปร่างขึ้นมา แล้วก็ทาสี วาดหน้าตา ให้มันยิ้มๆ
เป็นงานฝีมือจำพวกที่ ภาษาปะกิตเขาเรียก เปเปอร์มาเช่

ถามว่ามันคือหมูจริงๆไหม ไม่ใช่ครับ แต่ถ้ามันมีจิตใจเหมือนเรา ไปถามมันว่า "แกเป็นตัวอะไร"
ยังไงมันก็ต้องตอบว่า "ฉันเป็นหมูไง"

อย่างที่เคยเล่าถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า สิ่งที่เป็นตัวเรานั้นแท้จริงไม่มี
มีแต่ความสำคัญผิด มีแต่ตัวตนปลอมๆ ที่ถูกสร้างขึ้นจากความเข้าใจผิด แล้วยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเรา

มันคือผลจากการที่จิตสร้างเปลือกขึ้นทีละชั้นๆ จนเป็นรูปร่าง ตัวตนขึ้นมาเหมือนหมูกระดาษ
ว่าเราเป็นคนแบบไหน ต้องพูดแบบนั้น แต่งตัวแบบนี้ เดินแบบโน้น ถึงจะใช่เราที่สุดแล้ว

สมัยหนึ่ง เวลานักร้องจะออกอัลบั้ม มักจะมีคำพูดติดปากว่า "ชุดนี้เป็นตัวของตัวเอง"
แต่พอออกชุดใหม่ ดนตรีเปลี่ยนไป เนื้อหาเปลี่ยนไป ก็บอกว่า "เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น"

ฟังดูขำๆหน่อย แต่เขาไม่ได้ผิดนะครับ เพราะเวลาเปลี่ยน อะไรๆก็เปลี่ยน
หมูกระดาษของเขา ก็อาจจะเปลี่ยนสี แปรสภาพได้

เพราะถ้าเราไม่เคยรู้ทัน จิตมันก็จะสร้างตัวตนขึ้นมาเพิ่มเรื่อยๆ แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ
ถามว่าใครที่เป็นผู้สร้างหมูกระดาษของตัวเองขึ้นมา ก็จิตเราเองนี่แหละ

พอพูดเรื่องว่า ตัวเราไม่มี มักจะมีคนสงสัยว่า ถ้าตัวเราไม่มี
แล้วใครเป็นคนไปเกิดใหม่ ใครเป็นคนรับผลบุญ ผลกรรม ก็ตอบว่าจิตนี่แหละ

แต่จิตนี่ไม่ใช่ "ตัวเรา" นะครับ เพราะจิตเป็นสิ่งที่มีลักษณะอย่างหนึ่งคือเป็น "อนัตตา"
แปลว่า ไม่ได้อยู่ในอำนาจการควบคุมบังคับของเราได้จริงๆ

พูดง่ายๆ เกิดมาทีนึง จิตมันสร้างหมูกระดาษขึ้นมาครอบตัวเองไว้
แล้วก็ยึดมั่นถือมั่น หลงรักหวงแหน ไอ้หมูเปลือกๆนี่เป็นนักหนา

การพยายามเข้าใจ "หมูกระดาษ" ด้วยการคิดเอา อาจจะงงหน่อยนะครับ
แต่หลวงพ่อท่านสอนว่า ถ้าคอยมีสติ รู้ทันการปรุงแต่ง ความรู้สึก การคิด นึก ของจิตตัวเองไปเรื่อยๆ

ก็จะเหมือนการได้ลอกเปลือกของหมูกระดาษออกทีละชั้นๆ เปลือกของหมูก็จะบางลงๆ
ลอกไปลอกมาระยะหนึ่ง จะเห็นแจ้งได้ว่า ความจริง "หมูกระดาษ" ไม่ใช่หมูหรอก

ลอกต่อไปอีกเรื่อยๆ จนถึงที่สุด ชิ้นสุดท้าย จะค้นพบว่า
ข้างในมันก็เป็นแค่โครงเปล่าๆ ไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่าเป็น "หมู"

เหมือนที่บอกว่า สิ่งที่เรียกว่า "ตัวเรา" ไม่มี มีแต่ กายที่เกิดจากธาตุ 4 มารวมกัน
มีจิตใจ ที่เกิดจาก ความคิด นึก ปรุงแต่ง ความรู้สึก และตัวที่รับรู้สิ่งทั้งหลาย

ถ้าเห็นได้อย่างนั้นเมื่อไหร่ จิตถึงจะเป็นอิสระ เพราะไม่มีอะไรควรค่าให้ยึดมั่นถือมั่น
ไม่ยึดมั่นในตัวตน ก็จะไม่แบก ไม่แบก ก็ไม่หนัก ไม่หนัก ก็ไม่ทุกข์

เรียนวิปัสสนา เรียนรู้ "ตัวเอง" ด้วยเพียงการ "รู้สึกตัว" จึงพาคนพ้นทุกข์ได้ในที่สุด ด้วยเหตุนี้เองครับ

ง่ายจริงๆนะ ผมไม่ได้โฆษณาชวนเชื่อ

เพียงแต่กว่ามันจะคลำทางเจอ ว่าจะเริ่มลอกเปลือกไอ้หมูกระดาษของเรา ตรงไหน
อันนี้อาจจะยากสักหน่อย แต่รับรองได้ว่าไม่เกินความพยายาม

ถ้าไม่คิดมาก ถ้าไม่พยายามทำอะไรสักอย่าง ด้วยการ "พยายามคิด"
แต่รู้ทันว่าจิตมันกำลัง "คิด" มันหลงไปคิดมันก็ทำของมันเอง เราไม่ได้สั่ง

แค่นั้น ครูบาอาจารย์ท่านว่า คุณได้ต้นทางของการปฏิบัติแล้วครับ

ไม่ต้องรอให้ลางาน โดดงานไปวัด ไม่ต้องรอให้ถึงวันพระ วันโกน วันตรุษ
ไม่ต้องรอจนได้ไปนั่งหน้าหิ้งพระห้องพระที่ไหน

แค่เริ่มภาวนา รู้ลงใน กายเรา ใจเราเอง ไอ้ก้อนที่กว้างคืบยาววาหนาศอกนี่
ก็จะเป็นเขตศักดิ์สิทธิไม่ต่างจากวัดเลย

สุขสันต์วันงานยุ่งครับ เพราะแปลว่าเรายังมีงานทำอยู่

ปล. อยากเรียนเรื่องการลอกหมูกระดาษ เชิญได้//www.wimutti.net/pramote/

ปล. 2 ขอบคุณทุกท่านที่ไปงานวันเปิดตัวที่ Esplanade และวันนั่งคุย ที่ร้าน after you นะครับ
ขอบคุณห้องสมุดมารวยฯ ขอบคุณร้าน After you เจ อเวนิว ทองหล่อ สำหรับสถานที่ครับ


Create Date : 16 กันยายน 2551
Last Update : 20 กันยายน 2551 18:36:36 น. 44 comments
Counter : 3266 Pageviews.

 


ผมไม่มีเพลง Paper Mache Pig มีแต่เพลง It's Only a paper moon ของลุงเจมส์ เทย์เลอร์


โดย: aston27 วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:8:22:03 น.  

 
ยินดีที่ได้รู้จัก


โดย: พลังชีวิต วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:8:44:35 น.  

 
ยินดีด้วยกับทุกสิ่งที่พี่ทำนะคะ


โดย: jah IP: 203.146.104.31 วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:8:47:35 น.  

 
เพิ่งเริ่มลอกกระดาษออกค่ะ
ก็ไม่รู้ว่า เมื่อไหร่มันจะหมด
เพราะตัวตนมันพอกหนามานานเหลือเกิน

แต่ก็เชื่อว่า เมื่อได้เริ่มแล้ว สักวันมันก็จะหมด ... ใช่มั้ยคะ

ฝนตกบ่อย รักษาสุขภาพนะคะ

ปล. อ่าน "ธนาคารความสุข" จบแล้วค่ะ
แต่ก็ต้องตามมาฟังเพลงที่นี่อยู่ดี


โดย: aggressive red rabbit วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:8:51:06 น.  

 
สวัสดีคะ แวะไปซื้อหนังสือ ธนาคารความสุข ที่ร้านนายอินทร์ เดอะมอลล์บางกะปิ ตอนแรกพนักงานหาไม่เจอ หากันนาน จนคิดว่าคงไม่ได้แล้ว สุดท้าย มาเจอที่หน้าร้าน แต่โดนหนังสือเล่มอื่นทับไว้ แหม! ในที่สุดธนาคารฯ ก็เป็นของเรา

ขอแอดบลอกคุณ aston นะคะ


โดย: nanida วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:9:03:06 น.  

 
ตามมาอ่าน blog ครับพี่ เห็นสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการเมื่อวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา เมื่อวานผ่านร้านนายอินทร์ที่ homepro ก็หาดูหนังสือธนาคารความสุข แต่ไม่เจอแฮะ แล้วก็ไม่ได้ถามพนักงานด้วย เดี๋ยวจะแวะไปใหม่

ปล. ผมอยู่ tu band น่ะคร้าบ รหัส 39 เจอพี่ตามงานสังสรรค์ของ tu band เป็นครั้งคราว คงจำกันไม่ได้หรอกครับ แหะ แหะ


โดย: โจ้ IP: 58.137.81.212 วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:10:25:05 น.  

 
อ่านจบรอบที่ 2 แล้วครับ

หนังสือ "ธนาคารความสุข" เป็นหนังสือที่ทำให้วันนี้ต่างจากเมื่อวานครับ

ปล.ตอนนี้กำลังค่อยๆปอกเปลือกหมูกระดาษอยู่ล่ะพี่


โดย: Tony Koon (tk_station ) วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:11:04:54 น.  

 


หนังสือพี่ตอนนี้คุณป้าเค้าอ่านอยู่
ไม่เป็นไรไม่รีบไม่ร้อน
เพราะอ่านเวอร์ชั่นเต็มจากที่บล็อคไปแล้วคะ ;)

เรื่องหมูกระดาษหลวงพ่อเปรียบเทียบ
ได้เห็นภาพชัดเจนจริง ๆ


โดย: myover วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:11:19:21 น.  

 
ขอบคุณค่ะสำหรับสิ่งดีๆ ที่พี่เอ็ดดี้นำมาบอก


โดย: ณ มน วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:11:21:55 น.  

 
กว่าจะได้หนังสือของคุณ Aston นี่เลือดตาแทบกระเด็นเหมือนกันนะคะ พนักงานซีเอ็ด มาบุญครองบอกว่ามีแต่หาไม่เจอ อะจึ๋ย แต่ในที่สุดก็ได้มาครอบครองก่อนกลับมานี่ และซื้อมาฝากเพื่อนพ้องน้องพี่ด้วยค่ะ แอบคิดนิดนึงว่า เล่มเล็กจัง ฮะ ฮะ

ส่วนตัวลอกกระดาษออกจาตัวหมูมาระยะนึงแล้ว จะลอกไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก แต่ไม่หยุดค่ะ

ดีใจ ปลื้มใจ ดีใจอีกทีที่ได้ศึกษาธรรมะ และที่มีบล๊อกดีๆ ช่วยเตือนสติเวลาที่เป๋ไปกับโลก ขอบคุณจริงๆ ค่ะ


โดย: daisyntulip IP: 75.43.214.230 วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:12:01:21 น.  

 
ขอให้พิมพ์รอบ 2 3 4 5 6 O___o เร็วๆค่ะ คุณเอ็ด


วันอาทิตย์ที่ผ่านมาร้านพี่อุดมไปด้วยเสียงหัวเราะ


ได้อภินันทนาการจากน้องคูณ หนูทิ หนูแอม น้องวรรณ ^^


โดยมีหนังสือของคุณเอ็ดเป็นสื่อนำพา


ตัวพี่เองคงไม่มีอะไรจะให้ปอกแล้วหล่ะค่ะ


โดย: พี่แหม๋ว (ฟ้าคงสั่งมา ) วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:14:29:27 น.  

 
ผมก็พิ่งรู้จักหลวงพ่อปราโมทย์ได้แค่ปีกว่าๆ

แแต่ต่ช่วงปีสั้นๆนี้ จิตใจข้างในมันเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายเลยครับ


โดย: zmen วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:14:52:14 น.  

 
สวัสดีครับ

หลวงพ่อท่านเลือกหมูกระดาษมายกตัวอย่างเปรียบเทียบได้เห็นภาพชัดเจนจริงๆ เวลาได้เห็นภาพจากการเปรียบเทียบดีๆแบบนี้ช่วยให้เกิดความเข้าใจในการเรียนไม่ว่าอะไรก็ตามได้มากเลยครับ

มีอีกเรื่องนะครับ พอดีวันนี้เพิ่งจะไปอ่านเจอเรื่องของตำนานรองเท้าเกี๊ยะน่ะครับ พอดีผมจำได้ว่าเคยเกริ่นๆเรื่องนี้ในบล็อกที่พี่พูดถึงตำนานบ๊ะจ่าง วันนี้หาเรื่องนี้เจอเลยเอามาฝากเผื่อพี่จะอยากอ่านนะครับ โพสต์ตรงนี้ไม่รู้จะเกะกะบล็อกรึเปล่า





เทศกาลวันงดใช้ไฟ และเทศกาลเช็งเม้ง


เทศกาลวันเช็งเม้งเป็นวันก่อนหรือหลังจันทรคติวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 4
เนื่องจากพอถึงวันสำคัญนี้ ท้องฟ้าจะปลอดโปร่ง
อากาศก็เริ่มอบอุ่นขึ้น ฉะนั้นจึงเรียกวันนี้ว่า เช็งเม้ง
คำว่า “เช็งเม้ง” เป็นภาษาแต้จิ๋ว หมายถึง ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
(ในภาษาจีนกลางอ่านว่า ชิง-หมิง)
ก่อนวันเช็งเม้งสักวันสองวัน ก็มีเทศกาลวันงดใช้ไฟ


ตามตำนานเล่าขานกันมาว่า.....
ในสมัยชุนซิวจั้นกั๊วะนั้น ภายในวังของเมืองจิ้นเกิดความวุ่นวาย
เจ้าฟ้าฉงเอ่อได้หนีภัยออกจากวังพร้อมด้วยอำมาตย์ผู้ซื่อสัตย์
มีนามว่า... “เจี้ย-จื่อ-ทุย”
ทั้ง 2 นั้นได้ระหกระเหิรพเนจรเร่ร่อนอยู่ข้างนอกนานนับปี
มีความลำบากยากแค้นจนสุดที่จะพรรณาได้
หนึ่งในช่วงเวลานั้นของการเดินทางที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง
ระหว่างทางเกิดขัดสนอดอยากเรื่องอาหารการกิน
เมื่อไม่มีปัญญาและหมดหนทางที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
และแล้ว...
ในที่สุด...เจี้ย-จื่อ-ทุย ก็ได้ตัดชิ้นเนื้อที่สะโพกของตนเอง
สละให้เจ้าฟ้าฉงเอ่อเสวยเพื่อประทังความหิวโหย
และได้ช่วยให้เจ้าฟ้าฉงเอ่อรอดชีวิตอยู่ต่อไป.....


เมื่อเจ้าฟ้าฉงเอ่อได้มีโอกาสกลับเข้าวังอีกครั้ง
ก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็นเจ้าเมืองชื่อว่า " จิ้น-หวุน-กง "
และได้ปูนบำเหน็จพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ให้แก่ขุนนางข้าราชการที่ทำความดีความชอบ
แต่ก็ลืม เจี้ย-จื่อ-ทุย อำมาตย์ผู้ซื่อสัตย์เสียสนิท................


เจี้ย-จื่อ-ทุย ได้เห็นความอกตัญญูไม่รู้บุญคุณคนของจิ้น-หวุน-กง
ก็มีความรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
จึงได้พามารดาและเนรเทศตนเองออกจากเมือง
ไปอาศัยอยู่บนเขาเหมียนซาน (ปัจจุบันคือ มณฑลซานซี)
ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างยากจนข้นแค้นตามยถากรรม


ระยะหลังมีอำมาตย์ซื่อสัตย์บางคนพยายามกระตุ้นเตือน
จิ้น-หวุน-กง ให้นึกถึงความดีความชอบของเจี้ย-จื่อ-ทุย
จิ้น-หวุน-กงเมื่อหวลนึกถึงความหลังก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
จึงได้สั่งให้บริวารไปสืบตามหาเจี้ย-จื่อ-ทุย
แต่ครั้นเมื่อตามพบตัวเจี้ย-จื่อ-ทุยแล้ว
เจี้ย-จื่อ-ทุยก็ไม่ยอมลงจากเขากลับมารับใช้ราชการอีก
จิ้น-หวุน-กงจึงคิดหาหนทางที่จะให้เจี้ย-จื่อ-ทุยแม่ลูกลงจากเขา
หลายต่อหลายหนทางไม่ประสบความสำเร็จ
จึงใช้วิธีจุดไฟเผาภูเขาเหมียนซาน เพื่อบีบบังคับให้ลงมา
แต่ปรากฏว่า เจี้ย-จื่อ-ทุยกับมารดาของเขาตัดสินใจ
ยอมตายอยู่ในกองไฟใต้ต้นหลิวต้นหนึ่งบนภูเขาเหมียนซาน.....


หลังจากที่ได้สั่งการลงไปแล้ว และมาทราบภายหลัง.....
ไม่คิดว่า เหตุการณ์จะกลับกลายเป็นเช่นนี้
จิ้น-หวุน-กงจึงรู้สึกเศร้าโศกเสียใจรันทดเป็นที่สุด
ดังนั้น เพื่อเป็นการระลึกถึงเจี้ย-จื่อ-ทุย ผู้ล่วงลับไปแล้ว
จึงได้เปลี่ยนชื่อภูเขา จากเหมียนซาน มาเป็น "เจี้ย-ซาน"
ตามชื่อสกุลของ...เจี้ย-จื่อ-ทุย
(คำว่า ซาน เป็นภาษาจีนกลางแปลว่า ภูเขา)
อีกทั้งประกาศห้ามใช้ไฟในวันนี้ของทุก ๆ ปีต่อไป
จึงเรียกวันนี้ว่า " วันงดใช้ไฟ "
พร้อมทั้งนำเนื้อไม้ของต้นหลิวมาทำเป็นเกี๊ยะ (รองเท้า)
ซึ่งเมื่อไหร่ที่จิ้น-หวุน-กงคิดถึงเจี้ย-จื่อ-ทุย
จิ้น-หวุน-กงก็จะสวมใส่เกี๊ยะและจะพูดว่า..."ใต้เท้า"
ฉะนั้น คำว่า " ใต้เท้า " ก็มีความหมายกลายเป็นคำยกย่อง
ซึ่งย่อมหมายถึงจิ้น-หวุน-กงยกย่องเคารพนับถือเจี้ย-จื่อ-ทุย


นับจากนั้นเป็นต้นมา เมื่อถึงวันงดใช้ไฟ
ทุกบ้านช่องจะแขวนกิ่งไม้หลิวเป็นสัญญลักษณ์
และก็เตรียมอาหารการกินไปเซ่นไหว้ที่สุสานเจี้ย-จื่อ-ทุย
เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของเจี้ย-จื่อ-ทุย
และเผอิญในวันนี้ก็ใกล้กับ "เทศกาลวันเช็งเม้ง"พอดี


ในสมัยโบราณเทศกาลวันเช็งเม้งก็มีการห้ามใช้ไฟเช่นกัน
และในวันเช็งเม้งก็จะไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษกันที่สุสาน
บ้างก็ท่องเที่ยวตามป่าเขาลำเนาไพร ปลูกต้นหลิว เป็นต้น
นาน ๆ เข้า "เทศกาลวันงดใช้ไฟ" กับ "เทศกาลวันเช็งเม้ง"
ก็ไม่มีอะไรที่จะแตกต่างกันเลย ดังนั้น ชาวบ้านก็เลยถือเอา
วันงดใช้ไฟกับวันเช็งเม้งเป็นเทศกาลเดียวกันเรียกว่า
"เทศกาลวันเช็งเม้ง" หรือ "เทศกาลวันปลูกต้นไม้"


...............................................................................



โดย: อะไรคือสิ่งหายาก แต่ไม่มีค่า วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:15:11:59 น.  

 
เพิ่งได้มาเจอหนังสือหลังวันเปิดตัวค่ะ....อ่านจบแล้วชอบมาก เลยต้องขอมาติดตามบล๊อกด้วยนะคะ ....ไม่ทราบว่างานมหกรรมหนังสือเดือนตุลาคมนี้ คุณaston จะมีไปเปิดตัวบ้างมั้ยค่ะ จะได้คอยติดตามค่ะ


โดย: ดอกปีบ IP: 125.27.204.219 วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:16:45:54 น.  

 
สวัสดีค่ะ

หายเมื่อยมือรึยังคะ

หายไวๆนะ เพราะ..สำนักพิมพ์เตรียมทยอยส่งมาให้เซ็นอีกแล้ว :)


เรื่องหมูกระดาษ _/\\_

เราเองก็พยายามลอกกระดาษออกจากหมูตัวนี้อยู่เหมือนกัน ไม่รู้ชาตินี้จะลอกได้ถึงครึ่งมั้ย แต่ถ้าไม่ได้ก็จะทำต่อเรื่อยๆ พยายามไม่ขึ้เกียจ ไม่ดีก็ได้ แต่ต้องไม่ชั่ว ใช่มั้ยคะ

สุขสันต์วันฝนตกค่ะ



โดย: wankawaew IP: 117.47.132.187 วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:18:39:04 น.  

 
พี่เอ๊ดคะ ดีใจมั่กๆๆๆ เลยค่ะ ได้เป็นเจ้าของพี่เอ๊ดแล้ว เอ๊ย! ไม่ใช่..เป็นเจ้าของธนาคารความสุขของพี่เอ๊ดแล้ว..แหะ แหะ..

รอเล่ม 2, 3, 4 ...อยู่นะคะ (รีบๆ หน่อย..อย่าอู้)
อยากร่วมทำบุญกับพี่เอ๊ดอีก..


โดย: จิ๊บ IP: 124.157.243.7 วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:19:39:19 น.  

 
คิดเหมือนกันเลยค่ะ
เวลานักร้องพูดว่า
"เป็นตัวของตัวเอง"
"โตมากขึ้นกว่าชุดที่แล้ว"

เออ... ขำดี อิอิ


โดย: โสดในซอย วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:20:06:50 น.  

 
นึกถึงตอนเด็กๆครับ แม่เคยซื้อหมูกระดาษตัวใหญ่มาให้เล่น ไม่ใช่ออมสินนะครับ แต่เป็นหมูตัวใหญ่ไว้ขี่เล่นนะครับ คงต้องลอกนานหน่อยเพราะตัวใหญ่มาก


โดย: walkerahead (Walkerahead ) วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:20:35:58 น.  

 


ขอบคุณเช่นกันค่ะพี่


โดย: azamiya วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:21:09:24 น.  

 
ได้ยินเรื่องหมูกระดาษในซีดี
เพิ่งเข้าใจก็วันนี้แหละค่ะ
(เพราะเพิ่งเคยเห็นหมูกระดาษ)

พี่มีวิธีเขียนเพื่อชวนคนมาภาวนา ได้อย่างแยบคายจริงๆค่ะ
อนุโมทนาค่ะ


โดย: DA IP: 202.91.19.192 วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:21:40:07 น.  

 
หมูกระดาษ ตัวอย่างเปรียบเทียบที่ชัดเจนมากเลยนะคะ ทั้งที่ไม่มีอะไร แต่ก็อุตส่าห์สร้างเปลือกหุ้มจนมีข้างใน ข้างนอก มีเรา มีภาพลักษณ์ของเรา...

ตอนนี้เหมือนค่อยๆพยายามลอกเปลือกออก แต่ก็มีเปลือกมาหุ้มใหม่อยู่เรื่อยๆ เลยยังเห็นเปลือกหนาอยู่เหมือนเดิมค่ะ (- -")

ก็..รู้สึกอยู่บ่อยค่ะ ว่าจิตไม่อิสระ เหมือนถูกขังอยู่ รู้สึกได้ว่ามีตัวตนอยู่ข้างใน แต่อยู่ไหนก็ไม่รู้ บางทีก็ชัด บางทีก็บาง เมื่อก่อนเคยพยายามมองเข้าไปข้างใน เข้าไปค้นหา มันก็หนีเข้าไปๆ ลึกเข้าไปเรื่อยๆ ยิ่งหา ความรู้สึกอึดอัดก็ยิ่งมากขึ้น จนไม่ไหว เหนื่อย กลัว ต้องหยุดตาม นั่งร้องไห้ ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าจะร้องไห้ทำไม ต๊องจัง


โดย: ต้นอ้อ -^_^- IP: 58.8.37.164 วันที่: 17 กันยายน 2551 เวลา:1:35:38 น.  

 
ตามมาอ่านเรื่องราวดีๆ ค่ะ ^.^


โดย: Ja~ IP: 118.173.240.157 วันที่: 17 กันยายน 2551 เวลา:1:36:19 น.  

 
ขออนุญาตคัดลอกเรื่องหมูกระดาษไปไว้ใน web รุ่นนะคะ



โดย: wankawaew IP: 117.47.132.208 วันที่: 17 กันยายน 2551 เวลา:6:54:02 น.  

 
เรื่องหมูกระดาษนี่ เห็นภาพชัดแจ้งเลยค่ะ
หนูเพิ่งเริ่มลอกชั้นแรกเองค่ะ หนทางคงอีกยาวไกล ^^"
ปล* อ่านหนังสือจบแล้วค่ะพี่เอ๊ด เมื่อวานเพิ่งเผยแพร่ (ยัดเยียด) ให้เพื่อนสนิทคนนึงอ่าน เค้าอ่านจบแล้วชอบมาก ^__^ ดีใจค่ะ
(ดีใจก็รู้ว่าดีใจ)
ปล2* เรื่องปอกเปลือกทีละชั้นๆ หนูนึกถึงหัวหอมขึ้นมาอีกอันค่ะ


โดย: a r i t s u m e m o o n IP: 203.131.208.115 วันที่: 17 กันยายน 2551 เวลา:9:27:48 น.  

 
มาอ่านเรื่องวิปัสสนาค่ะ


โดย: Hobbit วันที่: 18 กันยายน 2551 เวลา:16:09:44 น.  

 
พี่เอ๊ดๆๆๆๆค๊า

แบบว่าได้อ่านหนังสือพี่แล้วนะคะ
ขอบคุณมากๆเลยที่เซ็นให้

ขอบคุณจิงๆค่ะ

ดีใจมากเลยที่พี่ยังจำกันได้

ขอบคุณๆๆๆๆๆๆ


ว่าแต่พี่เอ๊ดสบายดีนะค๊า
=))))))))))))*


โดย: LOLLIPOP IP: 202.44.135.243 วันที่: 18 กันยายน 2551 เวลา:21:17:37 น.  

 

เคลียร์งานไปถึงไหนแล้วคะพี่เอ๊ด
อากาศน่านอนแบบนี้
อย่าเผลอสัปหงก เน้ออ


โดย: myover วันที่: 19 กันยายน 2551 เวลา:11:15:07 น.  

 
เพิ่งได้อ่านข่าวของพี่...
และก็เพิ่งได้อ่าน Blog ของพี่...
คนเรามีหลายมุมจริงๆ นะคะ
แต่มุมนี้ของพี่ "สบาย" ดีค่ะ
แถมยังปนคารมคมคายได้ตลอด...
... จะหาเวลาคิดตาม และติดตามต่อไปนะคะ


โดย: หมีน้อย T.U. IP: 202.44.7.66 วันที่: 19 กันยายน 2551 เวลา:13:23:59 น.  

 
ลิมบอกไปว่า "ชอบเพลงนี้" จังค่ะ....


โดย: หมีน้อย T.U. IP: 202.44.7.66 วันที่: 19 กันยายน 2551 เวลา:13:25:50 น.  

 
เอ่อ..พี่คะ.. ยังหาซื้อหนังสือพี่ไม่ได้เลยค่ะ
ตามมา 2 อาทิตย์แล้ว ที่เซ็นทรัลพระราม 3 เช่นเคย
B2S ไม่มีขายอ่ะคะ
ถามซีเอ็ด week แรกบอกว่าหนังสือยังไม่มา
week ถัดไป ไปดูใหม่ก็ไม่มี ที่ร้านบอกว่าหนังสือหมดแล้ว
แต่จริงๆน่าจะยินดีมากกว่าเนอะ แสดงว่าขายดีมาก :)
ไม่ได้อ่านหนังสือก็ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงก็อ่าน blog มาทุกตอนตั้งแต่แรกอยู่แล้น


โดย: sunny IP: 58.8.36.98 วันที่: 20 กันยายน 2551 เวลา:1:05:56 น.  

 
สุขสันต์วันนี้ครับพี่เอ๊ด

ช่วงนี้ค่อนข้างตั้งใจปฏิบัติ เลยรู้สึกตัวว่ากิเลสเยอะมาก เอ่อ....


โดย: Tony Koon (tk_station ) วันที่: 20 กันยายน 2551 เวลา:10:19:17 น.  

 

ชอบหมูกระดาษจัง
ตกลงเราไม่ใช่หมูหรอกหรือเนี่ย


โดย: HoneyLemonSoda วันที่: 20 กันยายน 2551 เวลา:14:51:54 น.  

 
ก่อนจะเข้านอนพรุ่งนี้
แวะเข้ามาอ่านบทความดีๆของพี่

ตายังคงเป็นหอยทากตาบอด
เหมือนที่ลพ. ท่านเทศน์ไว้อยู่เลยค่ะ
ส่วนหมูกระดาษนั้นไม่ต้องพูดถึงเช่นเดียวกันค่ะ
เพราะว่ามันมีหลายชั้นหลายหน้า
จนไม่รู้จะลอกออกได้หมดไหมไงค่ะ
ทั้งหมูกระดาษที่ลอกออกจากด้านใน
และที่เคลือบๆ ไว้ด้านนอก...หลายชั้นเลยค่ะพี่

แต่ก็จะไม่ขอท้อถอยพากเพียร
ตามรู้ได้เท่าที่จะรู้ได้ค่ะ


โดย: ตา (taheart ) วันที่: 20 กันยายน 2551 เวลา:21:46:42 น.  

 
..

เพ่งเจ้าหมูกระดาษข้างบนแล้ว
พบว่าหน้าตามันไม่เหมือนกันเลย
บางตัวกระพริบตาให้ด้วยค่ะ

..
..

พระจันทร์กระดาษเพราะจังนะคะ


โดย: azamiya วันที่: 20 กันยายน 2551 เวลา:22:17:16 น.  

 
ป้าลักษ์ฝากมาให้เขียนว่าหนังสือเล่มนี้ของพี่ แอสตั้นทำออกมาดี เนื้อเรื่องอ่านแล้วเข้าใจง่ายตัวหนังสืออ่านแล้วเห็นชัดดีค่ะ สรุปว่าดีมั่กๆเลยค่ะ เฮ้อ ได้มา คอมเม้นท์ให้ป้าเค้าซะที ผลัดวันประกันพรุ่งมาหลายวันแล้ว เดี๋ยวโดนว่าทำไมไม่เขียนให้ซักทียะ ชั้นรอนานแล้วนะ อิอิ ป้าอยากพิมพ์เองแต่เล่นเน็ตมะเป็น ฝากพี่ แอสตั้นวานโทรไปบอกหม่อมป้าด้วยนะคะว่าเข้ามาเขียนแป่ะให้แล้วน้า อย่างอนใส่อีกล่ะ


โดย: แก๊งป้าลักษ์ IP: 58.9.42.184 วันที่: 21 กันยายน 2551 เวลา:0:16:14 น.  

 
หวัดดีค่าพี่ _/|\\_
หลายวันมานี้หมูกระดาษตัวนี้นอนน้อยไปหน่อย วันนี้เลยออกอาการง่วง อยากกลับบ้าน ไม่ได้ทักทายพี่ที่ศาลา มาหวัดดีพี่ที่นี่แทนละกันนะคะ


โดย: ต้นอ้อ -^_^- IP: 58.8.36.44 วันที่: 21 กันยายน 2551 เวลา:13:36:22 น.  

 
ขออนุญาตเป็นสมาชิกด้วยอีกคนนะคะ
ได้อ่านหนังสือ "ธนาคารความสุข" แล้ว ชอบมุมมองที่พี่พูดถึง "สติ" กับชีวิตประจำวันค่ะ
เรื่องหมูกระดาษนี่ โดนใจอีกเหมือนกัน จะพยายามหาทางไปฟังพระอาจารย์ด้วยตัวเองให้ได้สักครั้ง


โดย: My Life as a Doc IP: 202.28.52.254 วันที่: 21 กันยายน 2551 เวลา:16:14:34 น.  

 
"พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

๖. อากังเขยยสูตร
ว่าด้วยข้อที่พึงหวังได้ ๑๗ อย่าง

[๙๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า เราพึงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่เถิดดังนี้ ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน ไม่ทำฌาณให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร"

จริงอยู่ว่า ผู้บรรลุนิพพาน ย่อมรู้ความเป็นไปของโลก ว่า เป็นเช่นนั้นเอง
แต่ พระนิพพาน ไม่ใช่ธรรมที่เป็นไปเอง หรือเกิดขึ้นเอง หรือไม่มีเจตนา
แท้จริงแล้ว พระนิพพาน มีได้เพราะกำหนด มีได้เพราะเจตนา ในอนัตตา
ดังนี้ ผู้สำคัญว่า นิพพาน จะมีได้เพราะไม่กำหนด หรือเป็นไปเอง จะไม่รู้พระนิพพานธรรมได้เลย


โดย: kittykitten วันที่: 21 กันยายน 2551 เวลา:20:28:05 น.  

 
Kittykitten

เธอเป็นนักเรียนอภิธรรมตั้งแต่เมื่อไหร่

พี่อ่านแบบนี้ไม่ค่อยเข้าใจหรอก ฮ่าๆๆ..

เอามาแปะไว้แล้วต้องแปลด้วย



โดย: aston27 วันที่: 21 กันยายน 2551 เวลา:23:50:18 น.  

 


สวัสดีวันอากาศแจ่มใสค่าพี่เอ๊ดดด


โดย: myover วันที่: 23 กันยายน 2551 เวลา:10:10:18 น.  

 
ขอบคุณนะคะ คุณaston ที่นำธรรมะของหลวงพ่อฯ มาฝาก
ได้ฟังธรรมะเรื่องหมูกระดาษ แต่ไม่มีโอกาสได้ฟัง คำสอน ที่ท่านเปรียบเหมือนหอยทากตาบอด ตอนที่ฟังคำสอนที่หลวงพ่อเปรียบเทียบเรื่องหมูกระดาษ ครั้งแรก กระทบใจมากค่ะ จนต้องไปหาซื้อเจ้าหมูกระดาษมาไว้เตือนใจ ^^ แต่พออ่าน blog นี้ กระทบใจเช่นกัน แต่คงต้องจนใจ ที่จะจับน้องหอยทากมาไว้เตือนใจ ....


โดย: Geerorogunso วันที่: 23 กันยายน 2551 เวลา:14:18:13 น.  

 
ขอบคุณคุณ aston ที่แนะนำเรื่องดีๆให้ทราบ

พอดีได้ยินสักคนพูดในบ้านอารีย์ว่า หมูกระดาษ
ก็ยังสังสัยว่า อะไรหว่าหมูกระดาษ

่ึุจนคุณ aston เล่าให้ฟัง





โดย: สุดลึก วันที่: 23 กันยายน 2551 เวลา:17:55:13 น.  

 
ขออนุญาตคัดลอกเรื่องหมูกระดาษไปไว้ใน web ธรรมะครับ
ขอบคุณ


โดย: Plankton IP: 203.146.145.186 วันที่: 25 กันยายน 2551 เวลา:22:41:02 น.  

 
เราเป็นหมูสามชั้นถ้าจะลอกยากกว่าเพื่อน แต่เอาเถอะเราจะเริ่มลอกตั้งแต่วันนี้เลย ยากให้รู้ว่ายาก


โดย: no_one_no_me IP: 58.8.19.177 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2551 เวลา:23:08:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.