Group Blog
 
All blogs
 
ความผิดพลาด ความคิด ความรู้



(ภาพจาก FWD mail ไม่ทราบชื่อผู้วาดนะครับ)



(บล็อกที่แล้วลืมบอกชื่อเพลงเลยขอใช้ซ้ำ เพลงชื่อ bitter sweet ของ จิม บริกแมน ครับ)


มีท่านผู้อ่านบางท่านกรุณาเขียนอีเมล์มาถึงผม
บอกว่าอ่านบล็อกผมแล้วชอบมาก อยากคิดอะไรได้อย่างผม ต้องทำไง

ผมตอบไปซื่อๆว่า คนเราก่อนจะฉลาดมันก็โง่มาก่อนทั้งนั้นนะครับ
อันนี้ไม่ได้ถ่อมตัว ไม่ได้ดูถูกตัวเอง หรือดูถูกใคร
แม้แต่เจ้าชายสิตธัตถะ ก่อนจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ท่านก็ไปทำอะไรผิดๆถูกๆอยู่เป็นปีๆ จำที่เคยเรียนได้ไหมครับ

ท่านไปเอาดีทางการฝึกสมถะ เอาแต่นั่งสมาธิ จนได้ฌานขั้นบรมสูงก็แล้ว
บำเพ็ญทุกรกิริยา อดข้าวอดน้ำ บังคับตัวเองสารพัด ท่านก็ทำมาแล้ว

แต่ท่านมีสิ่งที่เรียกว่า โยนิโสมนสิการ จึงฉุกคิดได้ว่ามันไม่ใช่ทาง
เพราะมีปัญญาเห็นว่าไอ้ชีวิตเดิมๆ ที่เพลิดเพลินกับความสุขแบบโลกๆ
ตามประสาเจ้าชาย มันก็สุดโต่งไปทางหนึ่ง

ไอ้การใช้ชีวิตแบบนักพรตที่วันๆเอาแต่คอยบังคับกาย บังคับใจตัวเอง
มันก็สุดโต่งไปอีกทางหนึ่ง
เป็นความผิดพลาด สุดโต่งสองทาง ที่ท่านบอกว่าผู้ปฏิบัติไม่ควรเสพนะ

หลังจากทำผิดมาแล้วทั้งสองทาง ท่านจึงได้ค้นพบทางสายกลาง
ที่สามารถนำท่านไปสู่ทางพ้นทุกข์ ที่บางทีก็เรียกนิพพาน

ถ้าจะว่ากันซื่อๆ คนเราถ้าไม่ทำผิดมาก่อนก็ไม่มีทางรู้นะครับ ว่าไอ้ที่ถูกมันเป็นยังไง
คนโบราณถึงมีสำนวนว่า "ผิดเป็นครู" นั่นปะไร

ฉะนั้นใครอยากมีปัญญา ก็ต้องเริ่มจากหัดมีสติก่อน
สติตัวแรกที่ควรมี คือการรู้ทันจิตทันใจว่า "อยากมี" นี่แหละ

ครูบาอาจารย์ผม ท่านสอนคนที่จะเริ่มต้นว่า ให้ถือศีลก่อน
เพราะการเรียนวิปัสสนา เหมือนปล่อยเสือ สิงห์ กระทิงแดง แรงเย่อร์ ออกจากกรง
จึงต้องมีศีลเป็นรั้วกั้น ไม่ให้มันออกไปทำอันตรายชาวบ้าน

จากนั้นก็คอยหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงของใจตัวเอง ในแต่ละวัน
ขั้นนี้ เราเรียกว่าขั้น "หัดรู้สึกตัว" คือไม่ว่าจิตจะมีอารมณ์อะไร "รู้" ลูกเดียว

ขั้นหัดรู้สึกตัว คือการหัดรู้จักสภาวะต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในจิตใจในแต่ละวัน
เป็นการสะสมความรู้ โดยการทำความรู้จักสภาวะแบบจงใจนิดๆ เหมือนป้อนข้อมูลให้เด็กเล็กๆ

สอนให้เด็ก หรือจิตเรามันรู้จักว่า ไอ้โกรธ มันเป็นงี้นะ เกลียดเป็นอย่างงี้นะ
รัก เป็นแบบนี้นะ ปลื้ม (ไม่ใช่คนที่ขับนิสสันนะ) เป็นงี้นะ สภาวะเหงา มันเป็นงี้นะ
ไม่ชอบใจ มันเป็นงี้นะ ชอบใจเป็นงี้นะ เป็นต้น

จนถึงจุดนึง จิตมันสะสมข้อมูลไว้อิ่มแล้ว มันจะเริ่มทำงานของมันเอง
ครูบาอาจารย์ท่านบรรยายว่า การมีสติของแท้ มันคือการที่ "จิตจำสภาวะได้"
แล้วเกิดอาการ "ระลึกรู้" ขึ้นมาเวลาเห็นสภาวะตัวใดตัวหนึ่งโผล่หน้ามา

เหมือนถ้าคืนนี้ ถ้าอีตาแอสตั้นโผล่ไปสวัสดี คุณไม่เคยเห็นหน้าค่าตา คุณก็ไม่รู้จัก
อย่างมากก็ตกใจ นึกว่าสัปเหร่อวัดไหนมาเรี่ยไรค่าโลง

แต่ถ้าคุณนั่งๆอยู่ มีหน้าคุณปลื้ม คุณสอระยุดโผล่ไปจ๊ะเอ๋
ถ้าไม่หัวใจวายเสียก่อน คุณก็คงร้องอ๋อ ไอ้หน้านี้ฉันรู้จัก คือคนนี้นี่นา

การระลึกรู้ เรามีศัพท์เทคนิคไว้เรียกพอเก๋ไก๋ ว่า สัมมาสติ
พี่สัมมาสตินี่ แกต่างกับสติบ้านๆทั่วไปที่เรามีๆกัน ตรงที่เราไม่ได้จงใจ
ไม่ได้เจตนา มันรู้ มันระลึกขึ้นได้เอง

พอจิตจำสภาวะ เกิดระลึกรู้ มีสติตัวจริงเสียงจริงขึ้นมาแล้ว
หลายท่านคงจะถามว่า.. ทำอะไรต่อดีอ่ะ คุณแอสตั้น?

ตอบว่า ไม่ต้องทำอะไร นอกจากกลับไปเริ่มต้นรู้สภาวะใหม่ อย่างเดิมทุกๆวัน
ภาษากัลยาณมิตรผมท่านเรียกว่า นับหนึ่งใหม่ทุกวัน กันเถิดจะเกิดผล

แค่รู้ แค่รู้ และไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่ารู้
รู้ลงปัจจุบัน รู้แล้วไม่ไหลไปกับอารมณ์ รู้แล้วไม่แทรกแซง ไม่ห้าม ไม่บังคับ

หรือถ้ามันไหลไป ก็รู้ทัน มันอดไม่ได้ ไปแทรกแซง ก็รู้ทัน
รู้แล้วมันให้ค่า คือปรุงความชอบ ไม่ชอบ ดีใจ เสียใจ ก็รู้ทัน

สมัยผมหัดทำใหม่ๆ ก็มะงุมมะงาหรา โง่ๆ เซ่อๆ นะครับ
รู้ตัวได้แล้ว ยังทะลึ่งไปนึกสงสัยอีก ว่าอันนี้มันรู้หรือคิดหว่า

ใครที่เป็นแบบนี้ บอกเคล็ดลับให้ว่า ไม่ต้องสงสัยหรอกครับ
ตอนที่คุณสงสัยว่าใช่หรือเปล่า ถูกมั้ยน๊า นั่นแหละ คิดอยู่ล้านเปอร์เซนต์

ในบล้อกก่อนๆ ผมถึงชอบบอกเสมอว่า อ่านแล้วไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร
แต่ งง ให้รู้ว่า งง ถ้าสงสัย ให้รู้ว่าสงสัย ใช้ได้แล้ว

เพราะเราไม่ได้บอกให้ฝึกวิปัสสนา ตามรู้ ตามดูจิต เพื่อให้เข้าใจอะไรหรอก
แต่เพื่อให้ "รู้" ว่า จิต มันเป็นของมันอย่างนั้นแหละ

เราดูความ งง เพื่อจะได้รู้ว่า งงมันเกิดขึ้นเอง เราไม่ได้สั่ง
แล้วมันก็ทนอยู่ในสภาพ "งง" ได้ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เดี๋ยวมันก็หาย
แต่เดี๋ยวพอคิดใหม่ มันก็สงสัยใหม่อีก

แล้วถ้าไปรู้อาการงง แล้วมันหายงงได้ ก็ไม่ใช่เพราะเราบังคับมันได้หรอกนะ
แต่เพราะเหตุของความงงมันหมดไป

คือ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเลิกคิด ก็เพราะมันได้คำตอบ มีสองอย่าง

ผมถึงแนะนำเสมอว่า ไม่ต้องทำอะไรนอกจากรู้ทัน
เพราะการรู้ทัน ว่ามันมีกระบวนการคิด จิตจึงหยุดคิดด้วยสติ ไม่ใช่เพราะไปใส่เบรกมันนะ
และเห็นว่า ความงง ก็เป็นแค่ของแปลกปลอม เป็นผลจากการคิด ไม่ใช่ตัวจิต ไม่ใช่ตัวเรา

ตั้งแต่เรียนมาหลายปี หลวงพ่อที่เป็นครูบาอาจารย์ผมท่านไม่เคยสอนว่า
"เอ้า.. บอกแล้วไปคิดต่อซะ จะได้เข้าใจ" ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ตรงกันข้าม ท่านสอนสุดยอดเคล็ดวิชาว่า
ในมหาสติปัฏฐานสูตร ไม่มีกิริยา หรือ verb อะไรมากไปกว่า "รู้" ตัวเดียวเลยครับ

ท่านเตือนเสมอว่า.. ยิ่งคิดจะยิ่งไม่รู้ ให้รู้ลูกเดียวนะ
ผมถึงเตือนตัวเอง และแนะนำท่านได้ว่า
คนคิดน่ะไม่รู้ ไอ้คนที่เขารู้ เพราะเขาไม่คิด

หลวงพ่อเทียน ท่านถึงกับเคยพูดบอกลูกศิษย์ว่า..
"ถ้าเมื่อไหร่รู้ว่าจิตคิด เมื่อนั้น จะได้ต้นทางของการปฏิบัติ"

ในทางวิปัสสนา เราถือว่า "คิด" กับ "รู้" เป็นศัตรูกันครับ

ถึงตรงนี้ มักจะมีคนร้องค้านเสียงสูงว่า..
คุณแอสตั้นฮ้า.. ความคิดมันก็เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวเรา บังคับไม่ได้นี่ฮ้า

ตอบว่า.. ถูกแล้วครับ ท่านก็ไม่ได้สอนให้ไปบังคับไม่ให้จิตมันคิดนะ
ครูบาอาจารย์ผมท่านพูดบ๊อยบ่อย ว่าท่านไม่ได้สอนให้ศิษย์เป็นต้นไม้ หรือก้อนหิน
จะได้ฝึกห้ามไม่มีความคิด ไม่มีความรู้สึก

ตรงกันข้าม ท่านเตือนเสมอว่า อย่าลืมนะ จิตมันมีหน้าที่คิด มีธรรมชาติปรุงแต่ง
เรามีหน้าที่คอยตามรู้มัน ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง ก็รู้ไป ไม่ได้มีหน้าที่ไปบังคับมัน

รู้เพื่อรู้ รู้แล้วจะได้สติ มีสติบ่อยๆ จะได้ปัญญา
มีปัญญาแล้วจะรู้ทันอวิชชา ความไม่รู้ ความสำคัญผิด ว่ามีตัวเรา
รู้อวิชชาแจ้งแล้ว จะปล่อยวาง หลุดพ้นได้

พุทธศาสนาภาคปฏิบัติเรียนแบบนี้นะครับ
อย่าไปเข้าใจว่า นั่งสมาธิอย่างเดียว คือวิปัสสนานะ

นั่งสมาธิ คือการพักผ่อนจิตเฉยๆ ทุกวันนี้ผมก็นั่ง
แต่นั่งนิดๆหน่อยๆ เพราะงานหลัก คือรู้กายรู้ใจตัวเอง

เรียนรู้จากความผิดพลาดของผม ของตัวเอง แล้วเริ่มทำใหม่ให้ถูกนะครับ
อย่าเสียเวลา อย่ารอให้ตัวเองแก่ อย่ารอให้หมดกิเลส

เพราะตราบที่คุณยังไม่พ้นห้วงกิเลส กิเลสก็ไม่เคยหมดครับ

สุขสันต์วันหยุดครับ


Create Date : 14 มีนาคม 2551
Last Update : 9 เมษายน 2551 18:06:39 น. 21 comments
Counter : 843 Pageviews.

 
ขึ้นบล็อกใหม่เร็วดีจัง งงไปเลยค่ะ

งงก็ให้รู้ว่างง

คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
สาธุค่ะ

สุขสันต์วันหยุดเช่นกันนะคะพี่เอ๊ด


โดย: ต้นอ้อ -^_^- IP: 202.57.169.24 วันที่: 14 มีนาคม 2551 เวลา:22:59:32 น.  

 
ทักทาย
สบายดี
ให้มีความสุขทุกวัน


โดย: ดุสิตา (ดุสิตา ) วันที่: 14 มีนาคม 2551 เวลา:23:29:33 น.  

 


กำลังเริ่มเข้าโหมดคิดโน่นคิดนี่อยู่พอดี
โชคดีที่ได้เข้ามาอ่าน
ก่อนจะคิดไปเรื่อย



โดย: HoneyLemonSoda วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:0:30:21 น.  

 
ข้างๆ บ้านไม่รู้ทุบ ตอก ทึ้งอะไร จะตี 2 แล้ว
คนอื่นเขาจะหลับจะนอน ไม่ใช่ว่าทุกคนจะหยุด
งานเสาร์-อาทิตย์กันทุกคนนี่ โมโห โมโห
พอมาอ่านเรื่องนี้ของคุณแอสตัน เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่คาดว่าถ้าทำได้จะหายโกรธ
โกรธให้รู้ว่าโกรธ รำคาญรู้ว่ารำคาญ รู้บ่อยๆ จะ
ไม่โกรธ ไม่รำคาญ หรือเปล่าคะ
แอบสงสัยทำไมคนอ่านบล็อกของคุณผู้หญิงเยอะกว่าผู้ชาย หรือคุณผู้ชายไม่ค่อยแสดงตัว
สุขสันต์วันพระคะ(อุ๋ย!เลยมาแล้ว)


โดย: โปรดปราน IP: 125.25.135.126 วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:1:44:40 น.  

 
วาว..
ไม่ได้เข้ามาเยี่ยม 3-4 วัน
ไปซะ 2 blog เลย
กายเดียว แต่ ไม่ใช่กายเดิม
ใจเดียว แต่ ไม่ใช่ใจเดิม เหมือนกัน นะคะ


โดย: มิน (มินทิวา ) วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:8:37:44 น.  

 
สงสัยให้รู้ว่าสงสัยน้าemo
เจอกันพรุ่งนี้ค่ะพี่


โดย: natalie IP: 58.8.187.39 วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:8:55:13 น.  

 
โอ้ว ห่างหาย Blog พี่ไปแป๊ปเดียว Up ขึ้นหลาย Blog เลยนะครับ แบบนี้ต้องตามไปอ่านย้อนหลัง

ผมว่ากว่าจะถึงจุดที่พี่เขียนได้ตรงนั้น ต้องอาศัยการฝึกมากโขทีเดียวนะครับ ทุกวันนี้ผมก็พยายามฝึกอยู่ แต่พอเผลอที่ไร มันก็เข้าอีหรอบเดิมทุกที


โดย: Tony Koon (tk_station ) วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:10:26:02 น.  

 
เห็นแผนที่แล้วนะพี่
ให้ได้แค่คำขอบคุณอีกแล้ว

ฟังคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์แล้วค่ะ
ยังไม่ค่อยจะเข้าใจหรอกนะพี่ ไอ้การตามรู้จิต
รู้กายน่ะ มันก้อรู้อยู่ตลอดนี่
เวลาเศร้า ก้อรู้ว่าเศร้า
เวลาคิดถึง ก้อรู้ว่าคิดถึง
เวลาโกรธ ก้อรู้ว่าโกรธ
แล้วไงต่อล่ะพี่ มันแค่นั้นเหรอ
หนูไม่เข้าใจ หรือเพราะเป็นมือใหม่ซิงๆ
เลยยัง โง่ๆ งมๆ อยู่
แต่จะทำต่อไป ตามที่พี่และหลวงพ่อท่านแนะนำ


โดย: b-ing IP: 203.121.140.250 วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:11:45:09 น.  

 
หวัดดีค่ะ พี่แอสตั้น

"สมัยผมหัดทำใหม่ๆ ก็มะงุมมะงาหรา โง่ๆ เซ่อๆ นะครับ
รู้ตัวได้แล้ว ยังทะลึ่งไปนึกสงสัยอีก ว่าอันนี้มันรู้หรือคิดหว่า"

ช่วงนี้กำลังเป็นอย่างที่ว่านี้อยู่เลยค่ะ แต่ก็ทำตามที่พี่เคยแนะนะไว้ ว่า สงสัย ก็ให้รู้ว่าสงสัย
พยายามดูสบาย ๆ อย่าเกร็ง อย่าจ้องแรงเกินไป

ตอนนี้ก็เหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่ สู้ตายค่า


โดย: begin IP: 58.137.129.220 วันที่: 16 มีนาคม 2551 เวลา:10:09:23 น.  

 
อธิบายได้ละเอียดมากเลยค่ะคุณแอสตั้น

ที่ผ่านมายังนึกท้อๆว่า ทำไมน๊า เราต้องมาเริ่มใหม่ทู้กวันเลย เพราะเข้าใจว่าเมื่อฝึกการตามรู้จิตไปเรื่อยๆแล้ว แม้เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาในวันใหม่ จิตของเราก็ควรจะเสถียรอยู่ในภาวะที่รู้ตัวอยู่เกือบตลอดเวลา ถึงจะเรียกว่า ประสบความสำเร็จ ... ได้รู้ว่า นับหนึ่งใหม่ได้ทุกวันอย่างนี้ ก็โล่งไปเยอะเลยค่ะ

แต่สิ่งที่ยังยากอยู่สำหรับตัวเองก็ตรงที่ คิด กับ รู้ ตีกันนัวเนียอยู่เรื่อยเลยละค่ะ


โดย: chaamaa IP: 124.120.245.220 วันที่: 16 มีนาคม 2551 เวลา:11:58:04 น.  

 
นับ1 2 3 ...ใหม่ทุกวัน

เมื่อก่อนก๊อนก่อน พี่ก้อจะพูดกับตัวเองว่า

ดีใจจังเลยวันนี้ตื่นมาอีกวันหนึ่งแล้ว

เดี๋ยวนี้ชักแรงน้อยถอยหด

มันเมื๊อยเมื่อยทั้งกายและใจ

คงต้องกระตุ้นๆ


โดย: พี่แหม๋ว IP: 58.10.65.224 วันที่: 16 มีนาคม 2551 เวลา:12:08:24 น.  

 
ทำไมพี่เอ็ดดี้ไม่ไปตอบคำถามในเว็ปแสงดาวบ้างหล่ะคะ หรือว่าเบื่อเรื่อง รัก ๆ ใคร่ ซะแล้ว emo
อยากให้เข้าไปตอบจริง ๆ นะอ่ะ รู้สึกว่าอ่านสำนวนของพี่แล้ว มันได้ใจหน่ะค่ะ


โดย: ตั้งต้น IP: 68.123.153.82 วันที่: 17 มีนาคม 2551 เวลา:9:01:18 น.  

 
ยังคง..


..ทุกวัน


โดย: ... IP: 58.8.192.178 วันที่: 17 มีนาคม 2551 เวลา:23:27:15 น.  

 
Tuesday Morning ค่ะ
ปล.มีเวบ แสงดาว ด้วยเหรอคะ
ไม่ใช่ไรหรอกค่ะ มินจะได้ตามไปอ่านมั่งอ่ะค่ะ


โดย: มิน (มินทิวา ) วันที่: 18 มีนาคม 2551 เวลา:4:12:18 น.  

 
นี่ล่ะที่สงสัย ว่าตอนนี้คิดหรือตอนนี้รู้กันแน่..
มันงงๆนะคะ

ทำไปทำมาเลยช่างมันละกัน เลยไม่รู้ว่าหลงทางไปเลยหรือเปล่าค่ะ


โดย: SevenDaffodils วันที่: 18 มีนาคม 2551 เวลา:9:56:20 น.  

 
ตอนที่สงสัยนั่นคิดอยู่ครับ

แต่ถ้าไปรู้ว่าสงสัย นั่นก็ "รู้"

ส่วนมาก "รู้" กันได้ทุกคนแหละ แต่มักจะคิดมากกว่า

เลยหลงไปคิดเสียเพลินซะงั้น


โดย: aston27 วันที่: 18 มีนาคม 2551 เวลา:23:43:01 น.  

 
มากล่าวคำทักทายค่ะ เข้ามาอ่านอยู่เรื่อย ๆ นะคะ และดูกาย ดูใจไปด้วยค่ะ แต่ยังงง ว่า

ทุกข์ที่กาย เช่น ปวด เมื่อย อะไรแบบนี้ให้เราไปรู้ตรงนั้นด้วยหรือปล่าวคะ

บุญรักษาค่ะ


โดย: benyapa IP: 76.255.32.14 วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:3:26:38 น.  

 
ทุกอย่างที่เกิดภายในขอบเขตของกายและใจ
เราอาศัยมันทำกรรมฐาน ภาวนาได้หมดแหละครับ

ปวด เมื่อย เป็นเวทนา ที่ไปเกิดแทรกในกาย แล้วใจไปรู้เข้า

คนที่ดูเก่งๆ จะเห็นว่า ปวด เมื่อย เป็นแค่สิ่งแปลกปลอมเข้ามาในกาย มันไม่ใช่ส่วนนึงของร่างกาย

ปวดเมื่อย ก็เป็นส่วนหนึ่ง ร่างกายเป็นอีกส่วน ใจที่ไปรู้เข้า ก็เป็นอีกส่วน

ความปวดเมื่อย ไม่เที่ยง ไม่คงที่ และบังคับไม่ได้

แต่แค่ขยับตัว ความปวดเมื่อยก็เปลี่ยนแปลง เห็นไหมครับ นั่นแหละ ตัวอย่างที่อธิบายว่า ทุกอย่างเกิดเพราะเหตุ

เหตุมันเปลี่ยน ผลก็เปลี่ยน ไม่ใช่เพราะเราบังคับมันได้ แต่เราไปเปลี่ยนเหตุปัจจัยของมัน

ความทุกข์ก็คล้ายกัน เราบังคับไม่ได้ มันมีเหตุมันก็ทุกข์ แต่เราเปลี่ยนแปลงเหตุของทุกข์ได้

เหตุของทุกข์คือ ความเข้าใจผิด เข้าใจผิด เพราะไม่รู้ความจริงของทุกข์ ถึงต้องไปรู้ทุกข์บ่อยๆ

รู้แล้วจะเข้าใจ เข้าใจแล้วเวลาทุกข์มา เหตุแห่งทุกข์ก็จะไม่เหมือนเดิม ทุกข์จะน้อยลง เพราะเราเข้าใจมันแล้ว

วิปัสสนา เป็นเหตุเป็นผลกันแบบนี้แหละครับ


โดย: aston27 วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:12:18:19 น.  

 
..

เพิ่งค้นพบด้วยตัวเองค่ะ



ว่าบลอคของพี่
ห้ามอ่านเกินวันละสามตอน
สมาธิจะแตกซ่าน
ธาตุไฟอาจเข้าแทรก
..
..

ปล อาการของการบริโภคเกินขนาดน่ะค่ะ


โดย: azamiya วันที่: 1 เมษายน 2551 เวลา:20:45:15 น.  

 
พัก บ้างนะคะ เป็นห่วง...ออยเองก็จะพักบ้างคะพี่..ว่างๆ คุยกันค่ะ พอมีเวลาแวะเข้ามาอ่าน และทักทาย....


โดย: OIL.. IP: 203.195.102.49 วันที่: 2 เมษายน 2551 เวลา:12:49:06 น.  

 
ขอบพระคุณมากเลยนะคะคุณแอสตั้น จริง ๆ ไม่ได้คาดหวังเลยว่าคุณจะตอบเร็วขนาดนั้นอ่ะค่ะ คิดว่าคงยุ่ง ๆ อาจไม่ได้เข้ามาดูด้วยซ้ำไป

บุญรักษาค่ะ


โดย: benyapa IP: 76.255.32.14 วันที่: 3 เมษายน 2551 เวลา:8:45:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.