Group Blog
 
All blogs
 
มีศีล แล้วภาวนากันเถิด จะเกิดผล


(เอื้อเฟื้อภาพประกอบโดยคุณแป๋ว SavenDaffodils ครับ)

ทีแรกตั้งชื่อบล็อกนี้ ว่า ได้-เสีย เพราะเมื่อวานนึกว่าจะหาเวลาอัพบล็อก แล้วก็มีเรื่องนี้แว้บเข้ามาในหัว

แต่ตอบไปตอบมา มันไปเกี่ยวกับศีลมากกว่า เลยเปลี่ยนหัวข้อเสียกลางคัน
เรื่องราวและคำถาม มีดังนี้ครับ

คุณแอสตันคะ

ด้วยความใกล้ชิดในที่ทำงาน ดิฉันก็ตกหลุมรักคนมีเจ้าของคนหนึ่ง ก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ ไม่ได้มีอะไรเกินเลย นอกจากเป็นทุกข์เพราะไปรักคนที่ไม่ควรรัก

ปัจจุบันบริษัทปิดฯ เราต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทาง ดิฉันก็ยังหางานทำไม่ได้ ผู้ชายเพื่อนร่วมงานคนนี้ก็ย้ายไปประจำต่างประเทศ เราก็ห่างกันไปโดยปริยาย ซึ่งก็ทำให้สภาพจิตใจดิฉันดีขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ทรมานใจด้วยความที่ต้องเห็นกันทุกวันต่อไป แค่ทุกข์ใจเรื่องหางานไม่ได้นี่ก็แย่พออยู่แล้ว

ปัญหาคือว่าเขาก็ยังติดต่อมาเป็นระยะ ถามไถ่ข่าวคราว บางหนเขาก็อยากจะนัดเจอเมื่อเขามาเมืองไทย ดิฉันก็ตัดใจบอกไม่ว่าง ไม่ไปซักที แต่ก็ยังตอบเมล์เพราะไม่รู้จะทำยังไง ลึกๆแล้วก็ยังเจ็บปวดอยู่ อยากจะเลิกติดต่อไปเลย แต่ก็ไม่กล้า รู้สึกไม่แฟร์กับเขา ก็เคยดีๆกันมา

ปัญหาตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่เขา เพราะเขาคงคิดกับเราแค่เพื่อน แต่เราสิ ลำบากใจไม่อยากติดต่อกันอีกต่อไป เพราะมันจะเป็นความเจ็บปวดแบบเรื้อรัง ไม่หายเสียที

คุณแอสตันช่วยแนะนำวิธีจัดการกับตัวเองให้หน่อยนะคะ เคยไปฝึกวิปัสสนา หวังให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน ดีขึ้นก็พักนึง พอเขาติดต่อมาอีก ก็ฟุ้งซ่านอีก คิดเรื่องเก่าๆอีก มีความหวังอีก ก็เปลี่ยนมาสวดมนต์ ก็ยังไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่นัก เพราะจิตไม่สงบ ขอบคุณมากค่ะ

โดย: nara


อ่านเรื่องของคุณนาราแล้ว ก็ดีใจกับคุณว่า คุณยังไม่พลาดท่าเสียทีให้กิเลส
เพราะมีคนมากมายที่หลุดไปติดกับดักเดียวกันกับคุณ แล้วเป็นเหยื่อในที่สุด

วิธีจัดการกับตัวเอง คือต้องตั้งสัจจะกับตัวเอง ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขาในทุกกรณี
ทุกคืนสวดมนต์ แล้วเตือนตัวเองไว้แบบนี้ ว่าจะมีชีวิตที่มั่นคงในศีล 5

คนเรารักษาศีล ไม่ใช่เพื่ออะไร แต่เพราะศีลจะรักษาเรา และเสริมชีวิตเรา
ที่ตอนนี้หางานยังไม่ได้ ถ้าตั้งใจภาวนารักษาศีล ชีวิตจะค่อยๆมีลู่ทางแสงสว่างให้เห็น

สวดมนต์แล้วจิตไม่สงบ ก็ไม่เป็นไรครับ เปลี่ยนวิธีไปเดินจงกรม หรือทำงานบ้านก็ได้
จิตใจมันฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าฟุ้งซ่าน ฟุ้งแล้วไม่ชอบ รู้ว่าไม่ชอบ ไม่ได้รู้เพื่อจะดับความฟุ้งนะ
แต่รู้เพื่อจะได้รู้สึกตัว อยู่กับความจริง อยู่กับปัจจุบัน แล้วก็คอยรู้กายที่เคลื่อนไหวไว้

อย่างกวาดบ้าน ก็รู้สึกตัว เห็นกายเคลื่อนไหว ใจเป็นคนดู
ดูให้เห็นว่าไม่ใช่เราเคลื่อนไหวนะ กายเคลื่อนไหว เหมือนหุ่นยนต์เคลื่อน

และเพื่อให้คุณมั่นคงในศีล ผมเลยเอาคำถามของอีกท่านนึง มาตอบต่อจากคุณ
จะได้เห็นว่า การที่มนุษย์เราไม่มีศีลข้อ 3 มันทำให้คนอื่นบาดเจ็บ วุ่นวายขนาดไหน

เรียน คุณแอสตันค่ะ

มีคำถามคือ จะปล่อยวาง เลิก หรือให้อภัยดีคะ

สิบกว่าปีก่อนสามีไปมีคนอื่นแล้วพลาดท่า ตอนนี้เด็กอายุ 13 ครอบครัวเราอภัยให้แล้วรับมาอยู่ร่วมกันในครอบครัว เรื่องความเจ็บปวดไม่ต้องพูดถึง ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว รอยแผลยังไม่จางหาย

เมื่อวานก็เพิ่งได้รับรู้อีกว่า มีเด็กโผล่มาอีกคน อายุ 2 ขวบแทบล้มทั้งยืน
คงเป็นกรรมเก่าที่ทำร่วมกันไว้ ไม่รู้ว่าจะอภัยให้อีกดีมั้ย เค้าก็บอกว่าพลาดอีก

เราคิดอะไรไม่ออกเลยค่ะ มึนไปหมด เมื่อคืนสวดมนต์ไปก็ร้องไห้ไป ยิ่งสวดบทอภัยทานรู้สึกว่าตัวเองน้ำตายิ่งไหลอาบแก้ม รู้สึกว่าธรรมะเป็นที่พึ่งได้อย่างเดียว

ตอนนี้จิตใจก็ยังไม่สงบ ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะดำรงชีวิตต่ออย่างไร จะปล่อยวาง แล้วอยู่กันไปเพื่อลูกแต่ไม่ต้องพูดกัน หรือให้อภัยแล้วทำทุกอย่างเหมือนเดิมดีคะ มืดมนเหลือเกิน แต่เราก็ปลอบตัวเองว่า คงไม่มีอะไรที่เลวร้ายและแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว

ญาติเราไม่ได้แนะให้เลิกกัน แต่แนะนำว่าให้ทำหมางเมินไปวางเฉย ไม่สนใจว่าเค้าจะมาหรือไป แยกห้องนอน 1 เดือน เพื่อให้เค้ารู้สำนึกว่าที่เค้าทำมันผิด (ซึ่งเค้าก็รู้อยู่เต็มอกว่าเค้าผิด) ซึ่งมันคือ ผิดแล้วผิดอีก

เรารู้ว่า ถ้าทำอย่างนั้น บ้านก็ไม่มีความสุข ลูกจะสัมผัสได้ไหม ว่าความอบอุ่นในบ้านมันสูญหายไปแล้ว เราก็ไม่ได้อยากให้บ้านเป็นเช่นนั้นเลย

เราเป็นคนจิตใจโน้มเอียงในทางอภัยค่ะ รู้สึกว่าอภัยแล้วจิตใจเป็นสุขขึ้น แต่ญาติบอกว่า การให้อภัยจะทำให้เค้ารู้สึกว่าจะทำอะไรก็ได้

เราเป็นคนใจอ่อนและอภัยคนง่ายเกินไปใช่มั้ยคะ ถึงถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอบพระคุณมากค่ะ

ดาวเหนือ


การที่คุณดาวเหนือมีจิตใจโน้มเอียงในอภัยทานนั้น ผมอนุโมทนาด้วยครับ
เพราะถ้าไม่มีธรรมะ ไม่มีอภัยทานเลย คุณคงอกแตกตายไปนานแล้ว

การเป็นคนใจอ่อนให้อภัยง่าย ไม่ใช่เหตุที่ถูกทำร้ายซ้ำๆหรอกครับ
ที่คุณดาวเหนือ หรือคนอีกหลายคนต้องมาประสบเคราะห์กรรมอย่างนี้
ก็เพราะเคยผิดศีลข้อสาม กาเมสุมิจฉา จนคนอื่นเดือดร้อนมาก่อน อันนี้แน่นอน

อันนี้อาจจะเป็นผลจากชาติก่อนๆนะ ส่วนกรรมในชาติปัจจุบัน คือเราเลือกสามีผิด
อันนี้ผมดูจากผลของกรรมนะ ไม่ใช่นั่งทางใน เพราะผมไม่ได้เป็นหมอดู

แต่อย่างที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มันสมควรแก่เหตุแล้ว
และพระพุทธเจ้าก็บอกว่า เรื่องราวในโลกไม่มีเรื่องบังเอิญนะครับ

ฉะนั้น การที่ยอมรับกรรมด้วยความอ่อนน้อมไม่ตีโพยตีพาย จะเป็นผลดีในระยะสั้น
ส่วนระยะยาว เป็นเรื่องของความสบายใจของคุณดาวเหนือเองนะครับ ว่าจะทำอย่างไร

ถ้าตัวคุณเอง ศีลยังกระพร่องกระแพร่ง การรักษาศีลจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้
ส่วนอภัยทาน ถ้าสามารถให้อภัยได้จริง ผลดีก็จะตกอยู่กับคุณดาวเหนือและลูกๆเอง
เพราะครอบครัวก็ยังมีสมดุล มีความสงบร่มเย็นอยู่ดีมีกินกันอยู่

ถ้าเขายังไม่ชั่วช้าหน้ามืดตามัว ขนาดใช้กำลัง งานการไม่ทำ ไม่ดูแลลูกเมีย
ผมว่ายังพอให้อภัยกันได้นะ แต่จะมีบทลงโทษยังไง อันนี้ก็แล้วแต่เทคนิคของแต่ละบ้านนะครับ

จะริบเงินเดือน เตือนเป็นหนังสือ แบมือมาตี หรือให้อ่านหนังสือธรรมะดังๆให้ลูกฟังก่อนนอน ก็ลองดู

ถ้าจะเลือกวิธีหลัง..
ผมแนะนำหนังสือของหลวงพ่อปราโมทย์ ชื่อ "วิถีแห่งความรู้แจ้ง" นะครับ

อีกอย่างที่อยากบอกก็คือ โลกนี้ ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งได้ดีเท่าธรรมะหรอกครับ
อย่าไปยึดอะไรหรือใครเป็นที่พึ่ง อย่าไปหวังว่าใครจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเราถึงจะมีความสุข

คนเรามีกรรมเป็นของตัวเอง อดีตเราสร้างบ้านมาอย่างไร ปัจจุบันก็ต้องอยู่บ้านอย่างนั้น
ถ้าบ้านหลังปัจจุบันมันมีคนกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา ก็ต้องอยู่ด้วยธรรมะ
บ้านมันอาจจะเหม็น เป็นทุกข์บ้าง แต่ถ้าใจมันยอมรับได้ ว่ามันเป็นกรรมของเรา
แล้วก็อยู่กับปัจจุบันด้วยสติ สร้างกรรมใหม่สร้างเรือนใหม่ให้ดีกว่าเดิม
ก็นับว่าเราทุกข์แล้วไม่เสียเปล่า

ดีกว่านั้นอีก คือการเรียนรู้จักตัวเอง จากความทุกข์ที่เผชิญ
ให้เห็นว่า การเป็นคนดี ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะหนีกรรมเก่าได้ตลอด

ตราบใดที่ยังต้องเกิด ก็ยังต้องแก่ ยังต้องเจ็บ ยังต้องตาย
เป้าหมายของเรา จึงไม่ควรอยู่ที่สามี ภรรยา จะทำตัวอย่างไร
แต่เป็นการภาวนา อยู่ในชีวิตประจำวัน อยู่กับทุกข์บ้าง สุขบ้าง เฉยๆบ้าง ด้วยสติ

คอยรู้สึกตัว รู้กายเคลื่อนไหว ใจเคลื่อนไหว จนจิตมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิเกิดปัญญา
แล้วจะได้ไม่ต้องมีชาติหน้า ไม่ต้องลุ้นว่าจะเจอภรรยาสามีประเภทไหน
หรือจะมีเด็กโผล่มาตอนไหนให้ตกกะใจหรือเปล่า

แบบนี้ เรียกว่าแก้ปัญหาได้ผลเบ็ดเสร็จเด็ดขาดครับ

ปล. 1. เพลงในบล็อกนี้ อาจจะงดไปเป็นการถาวร เพราะผมมีเวลาน้อยลง ในการจัดการบล็อก ต้องขออภัยนะครับ

ปล. 2. วันที่ 18-20 ก.ย. นี้ ผมรับเชิญไปเป็นดีเจเพลงย้อนยุค ในงานชื่อสีสันสวรรค์ภาคกลางย้อนยุค ของ ททท. จัดที่ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพ ระหว่างประเทศ บางไทร ใครไปเที่ยวก็ไปทักทายได้นะครับ





Create Date : 17 กันยายน 2552
Last Update : 17 กันยายน 2552 18:24:17 น. 22 comments
Counter : 6944 Pageviews.

 
"คนเรามีกรรมเป็นของตัวเอง อดีตเราสร้างบ้านมาอย่างไร ปัจจุบันก็ต้องอยู่บ้านอย่างนั้น"
อ่านประโยคนี้แล้วนึกถึงตัวเองยังไงไม่ทราบค่ะพี่เอ็ด ^^" วันนี้เดินๆอยู่ก็ (หลง) คิดถึงเรื่องของตัวเองที่่ไม่ได้คิดมานานมากแล้ว
...รู้สึกเหนื่อยนะคะ แต่ทุกวันนี้จะว่าไปแล้วก็ต้องขอบคุณเรื่องแย่ๆที่เกิดขึ้น เพราะไม่งั้นหนูก็คงเหมือนเดิมต่อไป ที่สำคัญมันทำให้หนูถึกขึ้นด้วย ฮ่าๆ :D


โดย: aritsumemoon IP: 124.120.203.83 วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:19:53:59 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณแอสตัน เพื่อนส่ง blog ของคุณแอสตันมาให้อ่านเมื่อประมาณสามอาทิตย์ก่อน หลังจากอ่านแล้ว ก็ติดตามอ่านข้อความของคุณแอสตันมาตลอดค่ะ อะไรที่เคยสงสัย อะไรที่เคยข้องใจ ก็รู้สึกว่า ตัวเองรู้แล้วว่าจะไปทางไหน จะเดินต่อไปอย่างไร ขอบคุณคุณแอสตันมากนะคะ ที่เขียน blog นี้ และคอยเตือนให้มีสติเสมอ ๆ คุณแอสตันคงงานเยอะมาก แต่อย่างไร อยากบอกว่า ขอเป็นกำลังใจในการเขียน blog แบบนี้ต่อไปนะคะ ขออนุโมทนาในสิ่งนี้ที่คุณทำด้วยค่ะ


โดย: L J IP: 72.19.155.185 วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:19:54:29 น.  

 
ขอบคุณมากนะคะ ที่เขียนเรื่องราวดีดี มีคำแนะนำมาคอยเตือนเสมอๆ ขอบคุณค่า:)
อนุโมทนาด้วยคะ


โดย: รวิ IP: 124.121.60.24 วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:20:35:44 น.  

 
ขอเอาใจช่วยทั้งสองท่านนะครับ
เรื่องราวของท่านเป็นบทเรียนให้ผู้อื่นศึกษา
ขออนุโมทนาสาธุนะครับ

แล้วก็เรื่องเพลงสำหรับบล็อกนี้
"อาจจะงด" ไม่แปลว่า "งด" ใช่ไหมครับ
เอาเป็นว่า...คงจะมีเพลงฟังอยู่
มีความหวังก็รู้ว่ามีความหวังครับ

แหะๆ

^.^!


โดย: สุริยา IP: 124.122.251.120 วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:22:04:04 น.  

 
ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีดีค่ะ อ่านแล้วก็นึกถึงตัวเอง แต่ก่อนเคยผิดศีลข้อ3 ทำตามกิเลสจนเคยตัว เคยตามหาความรักไปผิดทาง เดี๋ยวนี้มีความสุขกับตัวเอง หัดดูกายดูใจตัวเองนี่แหล่ะ เลยเลิกโหยหาอะไรอะไรที่เคยคิดว่ามันทำให้เรามีความสุข เพราะจริงจริงสุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราวอ่ะเนอะ เดี๋ยวนี้พยายามรักษาศีล5 ให้ได้ด้วยล่ะค่ะ


โดย: Natalie IP: 124.122.51.121 วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:22:10:26 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

ขอบคุณที่นำสิ่งดีดีมาฝากค่ะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:22:20:04 น.  

 
คุณแอสตั้นไปเป็นดีเจตอนช่วงกี่โมงคะ
เห็นข่าวบอกมีดีเจร๊อคกี้ ดีเจแคนดี้ ฯลฯ ด้วย
ใช่เวทีเดียวกันมั้ยคะ เผื่อจะได้แวะไปดู


โดย: ร. IP: 58.8.180.73 วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:0:39:12 น.  

 
น่ากลัวจริงๆ ถ้ารู้ไม่เท่าทันทั้งกิเลสทั้งกรรม..แย่แน่ๆ กรรมใครกรรมมัน ต่างกรรมต่างวาระ
เอาใจช่วยทั้ง2 ท่านให้ผ่านพ้นไปด้วยดีนะคะ


โดย: noi IP: 61.91.248.100 วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:8:20:05 น.  

 
อ่านแล้วเศร้าใจจัง รู้ว่าเศร้าใจค่ะ


โดย: milk IP: 61.7.129.59 วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:9:44:35 น.  

 
สาธุจ้า

โดน...

เวรกรรมในอดีตที่ทำให้ต้องเสี่ยงต่อการผิดศีลข้อ 3 แต่ปัจจุบันตั้งใจทำเหตุใหม่ให้ดี ตั้งใจรักษาศีล เพื่อจะได้ผ่อนหนักเป็นเบา


โดย: เป่าจิน วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:10:07:34 น.  

 
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆที่เตือนสติได้ดีขอบคุณขอบคุณมากๆ


โดย: Toy_fire IP: 124.121.240.198 วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:10:57:37 น.  

 
ขอบคุณคุณแอสตัน27 และผู้ที่ให้กำลังใจนะคะ โชคดีที่ว่ายังมีโอกาสศึกษาธรรมะ สวดมนต์และฝึกเจริญสติบ้างเมื่อมีโอกาส ดังนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ แม้ทุกข์หนักก็จริงแต่สังเกตุดูว่าช่วงแห่งความทุกข์มันสั้นขึ้นนะคะ
ตามดูได้ดังนี้
วันแรก ร้องไห้อย่างหนัก อาละวาด ต่อว่าและภาคฑัณฑ์สามี
วันที่สอง ซึมเซา เศร้าหมอง หดหู่ มืดมน
(ไปวัดไหว้พระบรมสารีริกธาตุและคุยกับแม่ชี
แม่ชีเตือนให้หมั่นกำหนดลมหายใจเข้าไว้ ได้รับฟังปัญหาคนที่หนักกว่าเรา) กลางคืน คุยกับสามีด้วยเหตุผลถึงวิธีแก้ปัญหา
วันที่สาม อาการดีขึ้น ทำงานได้ปกติ เริ่มยอมรับเรื่องเลวร้ายที่ผ่านเข้ามา แต่ต้องเจริญสติตลอดเวลาค่ะ มีบางแวบที่เผลอไปคิดว่า ทำไมต้องเป็นเราอีกแล้ว กลางคืน คุยกับสามีอีกครั้งเรื่องวิธีแก้ปัญหา จิตใจสงบขึ้น มีบางเวลาที่ลืมกำหนดลมหายใจก็จะแวบไปทุกข์อีก

จริงๆ ปัญหาก็ยังอยู่ แต่ทุกข์น้อยลงบ้างตามลำดับ เริ่มรู้สึกว่า ถ้าเรากลับมาใช้ชีวิตปกติของเราตามเดิม พระอาทิตย์ก็ยังขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกเหมือนเดิม ไม่ว่าใครจะสร้างปัญหาขึ้นมา ถ้าสามารถแยกได้ว่าเราก็ส่วนเรา เค้าก็ส่วนเค้า ปัญหานั้นเค้าสร้างขึ้นมา เค้าก็ต้องแก้เอง ถ้าเราไปทุกข์ก็หมายถึงเราไปแบกปัญหานั้นมาเป็นของเรา

นอกจากเจริญสติแล้ว ก็ต้องหมั่นคิดแยกแยะให้ได้ด้วยว่า ชีวิตนั้นเป็นของคนแต่ละคน ถ้าเราไม่เอาปัญหานั้นมาแบกไว้เสียเอง ชีวิตเราก็เหมือนเดิมอยู่ไม่ใช่หรือ เค้าก็ยังรักเรา ดูแลครอบครัวดีเหมือนเดิม ยิ่งอภัย เค้าก็ยิ่งรักเรามากขึ้นเสียอีกค่ะ จริงๆ นะคะ การอภัยนี่ทำให้จิตใจเบาสบายจริงๆ

ตอนนี้ลงโทษด้วยการขอขึ้นเงินค่าใช้จ่ายในบ้านเป็นสองเท่าตัวค่ะ

ขอบคุณธรรมะ และขอขอบคุณแอสตันมากๆ ค่ะ


โดย: ดาวเหนือ IP: 58.137.171.78 วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:16:50:45 น.  

 
คุณ ร.

เวทีเดียวกับร็อกกี้และแคนดี้ครับ แต่งานเขามีหลายเวทีนะครับ ของผมอยู่ชั้น 2 ต้องขึ้นบันไดเลื่อนมา โซนตลาดเก่า 5 ภาคครับ

คุณดาวเหนือ

หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านสอนบ่อยๆว่า คนเราเวลาโกรธแล้วพยายามรู้สึกตัว แต่ไม่หาย เพราะ

หนึ่ง เราไม่เป็นกลางในการรู้ความโกรธ โกรธแล้วไม่ชอบ ก็ไม่รู้ อยากให้หายโกรธ ก็ไม่รู้

สอง เพราะเรามัวแต่ไปคิดเรื่องคนอื่น เรื่องที่เขาพูด ไม่ได้สนใจดูจิตตัวเองจริงๆ หรือรู้แว้บนึง แล้วพอเขาพูดอะไรมา เราก็หลุดเข้าไปอยู่ในเรื่องที่เขาพูดอีก

วิธีขึ้นเงินค่าใช้จ่ายนี่ โหดดีครับ


โดย: aston27 วันที่: 19 กันยายน 2552 เวลา:7:25:45 น.  

 

อยู่ในสถานการณ์ใกล้เคียงกับคุณ Nara พอดี หญิงก็ respond อย่างที่พี่แนะนำอยู่ พอได้อ่านว่าคิดตรงกัน ก็รู้สึกมีกำลังใจว่าทำถูกแล้ว

By the way, ปกติก็อ่านบล็อคของพี่อยู่แล้ว แต่ก็ซื้อหนังสือของพี่ด้วย ไว้ให้ชาวบ้านเป็นของขวัญวันเกิด


โดย: หญิง IP: 158.108.47.168 วันที่: 19 กันยายน 2552 เวลา:13:56:21 น.  

 
"การอภัยนี่ทำให้จิตใจเบาสบายจริงๆ"
สาธุค่ะคุณดาวเหนือ

"มีศีล แล้วภาวนากันเถิด จะเกิดผล"
(-/\\-)

ขอบคุณสำหรับบล็อกนะคะพี่เอ๊ด :)


โดย: ต้นอ้อ -^_^- IP: 58.8.248.228 วันที่: 19 กันยายน 2552 เวลา:20:52:51 น.  

 
วิธีเอาคำถามของฝ่ายที่สูญเสียมาตอบนี่
เห็นภาพได้ชัดเจนจริงๆค่ะ


โดย: HoneyLemonSoda วันที่: 19 กันยายน 2552 เวลา:21:16:07 น.  

 
ที่จริงอยากตั้งคำถามนะพี่เอ็ด แต่.. พอหยิบหนังสือพี่มาอ่าน+กับเข้ามาดูที่บล็อก เลยคิดได้ว่า บางทีความว้าวุ่นใจของหนุ่มโสด(ที่ต้องการจะเลิกโสด)เช่นผม อาจจะต้องการการลงมือฝึกดูจิตตัวเองก่อน เพราะท้ายที่สุด สิ่งที่ผมต้องการในตอนนี้ อาจจะมาพร้อมกับการเรียนรู้ และเข้าใจชีวิตเพิ่มขึ้นทีละเล็กละน้อย ซึ่งจะได้จากการลองฝึกปฏิบัติดูครับ


โดย: bccboy(ตัวจริงๆ อิอิ) IP: 124.122.235.67 วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:14:38:10 น.  

 
ตอนนี้พยายามภาวนาและรักษาศีล5 อยู่เหมือนกันครับ...

แต่ก็ยังสงสัยในศีลเกี่ยวกับเรื่องเพลงนะครับ
1. ในกรณีที่เราซื้อ cd เพลงที่มีลิขสิทธิ์มาแล้วเราแปลงเป็นไฟล์ mp3 แบ่งให้เพื่อน /ญาติ
2. กับกรณีที่เรามียังมีไฟล์เพลง mp3 ที่ไม่ใช่ของลิขสิทธิ์ แล้วยังไม่ลบทิ้ง

ขอความเห็นคุณ aston นะครับว่า 2 กรณีนี้น่าจะผิดศีลข้อลักทรัพย์หรือเปล่านะครับ
(เห็นว่า คุณ aston เป็น dj อยู่น่าจะพอมีคำตอบที่พอเป็นแนวทางให้บ้างนะครับ)

ขอบคุณครับ...


โดย: nop IP: 124.121.226.146 วันที่: 21 กันยายน 2552 เวลา:9:44:29 น.  

 
ปัญหาของแต่ละคนต่างที่ต่างเวลา...แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นเหมือน ๆ กันได้...ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ...ยังไงขอเป็นกำลังใจให้ทั้ง2คนผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ไปได้ด้วยดีเช่นกันนะคะ

อย่าลืมที่จะรักตัวเองมาก ๆ นะคะ

ปล.ปัญหาของเราก็มีคล้าย ๆ กัน...สู้ต่อไปค่ะ


โดย: nearmoons IP: 58.8.28.174 วันที่: 21 กันยายน 2552 เวลา:15:53:01 น.  

 
เหมือนอ่านเรื่องราวของคนนึงอยู่มุมน้ำเงิน คนนึงอยู่มุมแดง เห็นภาพชัดเจนมากค่ะ ว่าบางทีการเอาใจกิเลสนิดๆ ของตัวเอง ทำให้อีกฝ่ายที่เราไม่ได้ตระหนักถึงในตอนแรกเสียใจแค่ไหน แต่เอ คนกลางนี่ลอยนวลแทบทั้งนั้นเลยนะคะ เอ๊ะ ยังไง


โดย: daisyntulip วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:13:17:28 น.  

 
ตอบคำถามคุณ nopนะครับ

การมีไฟล์ MP3 ที่มาจากแผ่นลิขสิทธิ์ที่เราซื้อหามาในเครื่อง อันนี้ไม่ได้ผิดครับ ผมก็มี

แต่ถามว่าเอาไปแบ่งให้เพื่อนๆ ญาติๆ จะผิดศีลไหม อันนี้ตอบแบบนี้นะครับ ว่า ..

ถ้าคุณไปทำให้คนที่เขาตั้งใจจะซื้อ เขาเปลี่ยนใจไม่ซื้อ เพราะได้สำเนาเพลงนั้น จากคุณมาแล้ว อันนี้คุณผิดศีลข้อ 2 ครับ

แต่ถ้าเจตนาคุณคือ จะช่วยโปรโมทเพลง โดยทำเป็นตัวอย่างให้คนอื่น ที่เขาไม่มีโอกาสรู้จัก ไม่เคยได้ยิน เขาได้ลองฟัง แล้วกระตุ้นให้เขาไปซื้อแผ่นเต็ม ของจริง อันนี้คุณก็ไม่ผิดศีล

เรื่องศีล บางทีมันละเอียดอ่อนพอควร มันต้องอาศัยเจตนา การกระทำ และผลของการกระทำ มาวัดมาตัดสิน

ถ้าไม่มีเจตนา แต่ลงมือทำ เกิดผลสำเร็จ ถามว่าผิดไหม ก็ผิดแหละครับ แต่ผิดไม่เต็มร้อย

ถ้าสมบูรณ์ ทั้งเจตนา การกระทำ ทำสำเร็จ อันนี้ผิดเต็มๆ

ผมเองเคยจัดรายการวิทยุเพลงเก่า หลายๆเพลงหาซื้อไม่ได้ครับ ก็ต้องอาศัยนักสะสมบางรายเขาส่งมาให้ ถามว่าผมอยากได้เป็นสมบัติตัวเองไหม ไม่อยากได้ครับ แค่เอาไว้มีเปิดเวลามีคนขอ

ถ้าเพลงไหนอยากได้ พอใจเป็นการส่วนตัว เวลาไปที่ไหน เจอแผ่นลิขสิทธิ์ ผมก็จะควักเงินซื้อมา ซื้อทั้งๆที่มีเพลงนั้นอยู่แล้วนั่นแหละ ถือว่าเป็นการตอบแทน ที่เขาช่วยให้เรามีงานทำ และขณะเดียวกัน ก็ระมัดระวังเรื่องการทำสำเนาจ่ายแจกต่อไป

อันนี้ผมใช้เป็นหลัก ในการวางตัว เพื่อให้สามารถยุ่งกับ mp3 ได้ โดยผิดศีลน้อยที่สุดครับ


โดย: aston27 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:15:16:30 น.  

 
ขอบคุณคุณ aston ที่กรุณาอธิบายอย่างละเอียดนะครับ

จะนำไปเป็นแนวทางครับ

...ขั้นแรกคงต้องกลับไปลบ เพลง mp3 ที่ไม่ได้มากจากแผ่นลิขสิทธิ์ในคอมก่อนครับ
(เสียดายก็รู้ว่าเสียดาย)


โดย: nop IP: 125.24.193.144 วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:14:08:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.