Group Blog
 
All blogs
 
นกกับฟ้า ปลากับน้ำ มนุษย์กับธรรมะ


(อนุเคราะห์ภาพประกอบโดย SevenDaffodils)

คุณ aston คะ แค่อยากให้คุณอ่าน
เพราะนึกถึงใครไม่ออก

คืออยากเลิกกับสามี เพราะเค้าเจ้าชู้ เราเหนื่อยใจและไม่อยากเลิก เพราะเรายังรักเค้า อยู่ด้วยกันมานาน (เราติดเค้าค่ะ) แต่เค้าก็บอกว่ารักเรานั่นแหละ แค่นิสัยผู้ชาย

หาเพื่อนปรึกษา เค้าบอกให้เลือกเอา ระหว่างทำใจเพราะมนุษย์ผู้ชายเป็นแบบนี้ หรือเลิกไปเลย ไปคบคนดี ๆ (ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีรึเปล่า)

รักเค้ามากค่ะ รักครั้งแรก ผู้ชายคนแรก และคิดว่าจะไม่รักใครอีกแล้ว เพราะรู้สึกว่ามันยากจังค่ะที่จะต้องเริ่มกับคนใหม่อีก ต้องแต่งงานใหม่อีก และก็อาจจะต้องเจอแบบนี้อีก ก็ขอเลือกคบกับคนเดิมดีกว่า เพราะยังไงก็จะต้องเจอแบบเดิมอยู่แล้ว สรุปแล้ว ทนดีกว่ามั๊ย เฮ้อ เฮ้อ เฮ้อ

เราเป็นผู้หญิง ไม่อยากคบผู้ชายหลายคน ไม่กล้ามีคนอื่นอีก เป็นคนหัวโบราณค่ะ คุณอาจเรียกว่าโง่ก็ได้ค่ะ

ขอบคุณนะคะที่สละเวลาอ่าน
อยากหายไปจากโลกนี้ค่ะ

โดย: คนโง่



บางทีรู้สึกสับสนตัวเอง คิดได้ว่าสิ่งที่ทำมันทำให้เราเกิดทุกข์ แต่ก็ไม่สามารถบังคับใจตัวเองให้ไม่ทำได้ ใช้ความนิ่งที่หยุดทุกอย่าง แต่ในใจกลับร้อน เราควรจะทำอย่างไรดี

โดย: Latte of love


ที่ยกมาสองท่านนี่ เป็นแค่ส่วนเดียวของคำถามที่ส่งมาเยอะแยะตาแป๊ะไก่
(ใครรู้ที่มาของสำนวนนี้ วานบอกทีเถอะ อยากรู้จริงๆ พับผ่า)
ทั้งจากคนที่รู้จักกันไม่รู้จักกัน ทั้งทางบล็อกนี้หรืออีเมล์ ทั้งถามดังๆหรือหลังไมค์
ไม่ว่ายังไง ผมยังโล่งใจที่ไม่มีใครถามมาทางหลังมือ

ใน Twitter วันนี้ มีคนตั้งประเด็นว่า
"นกอยู่บนฟ้าแต่ไม่เคยเจอฟ้า คุณๆคิดอย่างไร"

คุณแอสตั้นมันตอบไปว่า
1. ธรรมะอยู่กับตัว แต่ไม่เคยรู้ว่ามี นิพพานอยู่ต่อหน้า แต่ไม่มีปัญญาเห็น
2. คิดให้รู้ว่าคิด ฟุ้งซ่านก็รู้ว่าฟุ้งซ่านนะครับ 55555

คนเราพยายามดิ้นรนมีแฟนหาคู่ ปั่นหู ดูทีวี ขี่จักรยาน ไปงานปาร์ตี้ยาอียาอุทัยอะไรก็แล้วแต่
จุดมุ่งหมายทั้งหลายแหล่ มันก็เพียงแต่ต้องการ "ความสุข" ตัวเดียวนะครับ

ถามว่าผิดไหม ไม่ผิดจ้า แต่จุดที่ผิดคือการเข้าใจว่า ความสุขขึ้นกับคนสัตว์สิ่งของนอกตัว
คนที่มีปัญญากว่านั้นขึ้นมาหน่อย เริ่มรู้ว่าไม่ใช่นะ สุข มันอยู่ที่ใจเรานี่แหละ
แต่ก็พลาดไปคิดว่า ฉะนั้น ถ้าฉันบังคับใจฉันให้มันนิ่งได้ ฉันจะมีความสุข

ลิมไป หรือไม่ก็ไม่รู้เลยว่า ตราบใดที่ยังมี "ฉัน" มีตัวตนของเรา อย่าหวังเลยว่าจะสิ้นทุกข์

บางคนคิดง่ายๆว่า แบบนี้ฆ่าตัวตายให้ "ฉัน" หายไปจากโลกนี้ จะได้พ้นๆไป
พ้นจากชาตินี้น่ะใช่ แต่เมื่อยังไม่พ้นจากบ่วงกรรม จากทุกข์ จากความไม่รู้
มันก็แค่ย้ายที่ทุกข์จากภพของมนุษย์ ไปทุกข์ต่อในภพที่แย่กว่าเดิม

ฆ่าตัวตาย ยิ่งทุกข์นานกว่าเดิมนะครับ เตือนไว้ก่อน มันน่ากลัวกว่าที่คุณนึก
เกิดมาแล้วจิตจะยังมีแนวโน้มอยากทำซ้ำอีกไปอีกหลายๆชาติเลยนะ

พวกเราบางทีก็เป็นเหมือน นกที่อยู่บนฟ้า แต่ไม่เห็นว่ามีท้องฟ้า
บางทีก็เป็นเหมือนปลา ที่มองไม่เห็นน้ำ

เพราะเราเป็นมนุษย์ที่อยู่กับสิ่งที่แสดงธรรมะอย่างอุดมสมบูรณ์ที่สุดตลอดเวลา
เรียกว่า "กาย" และ "จิต"

หลวงพ่อปราโมทย์ฯ เคยสอนลูกศิษย์ว่า นิพพาน อยู่ต่อหน้าต่อตาเราทุกคนนี่แหละ
ขึ้นกับว่าคุณภาพของจิตใครจะดีพอจะเห็นได้เมื่อไหร่
ฉะนั้น อย่าแสวงหานิพพานนอกเหนือจากกายและจิตของตัวเอง

ท่านยังเคยบอกว่า พระพุทธเจ้าสรรเสริญจิตมนุษย์ว่าประเสริฐ
เพราะจิตมนุษย์นี่แหละ พอเหมาะพอดีกับการปฏิบัติธรรมยิ่งแล้ว

จิตของพรหม ก็นิ่งเกินไป ไม่มีไตรลักษณ์ให้เห็น
จิตของเทวดานางฟ้า ก็สุขเกินไป ไม่ค่อยทุกข์
จิตของเปรต ก็โลภมากเกินไป โลภตลอดเวลา
จิตของอสุรกาย ก็มีโทสะ มีมิจฉาทิฐิมากเกินไป
จิตของเดรัจฉาน ก็มีโมหะมากไป วันๆเอาแต่หลงๆเหม่อๆ
จิตของสัตว์นรก ก็มีทุกขเวทนามากเกินไป

ส่วนจิตมนุษย์ มันพอดีเพราะมีความแปรปรวน รวนเร เฉไฉ
ไถลไปหาเรื่องคิดนึกปรุงแต่งได้ทั้งวัน ทั้งคืน
เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวก็อกุศล

สำนวนครูบาอาจารย์ ท่านเรียกว่า มันแสดงไตรลักษณ์ ตัวนี้สำคัญมาก
เพราะไตรลักษณ์คือความจริงของกายของจิต เรียกสั้นๆว่าธรรมะนั่นแหละ

คนที่เข้าใจธรรมะ จากการเรียนรู้จักตัวเอง จากการสังเกตเห็นความไม่เที่ยง
ความทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และบังคับสั่งการก็ไม่ได้ นี่แหละเรียกว่ารู้ทุกข์

ในทางพุทธ ทุกข์ในอริยสัจจ์ พระท่านหมายถึงกายกับจิตนะครับ
ไม่ใช่ทุกขเวทนาแบบที่ผมผ่าฟันคุดแล้วปวด ฉะนั้นที่ว่ารู้ทุกข์ๆ คือรู้กายรู้ใจนี่เอง

คนมีสติคอยรู้ทุกข์ ก็จะรู้ธรรม มีธรรมะ แล้วจิตใจจะมีความสุขร่มเย็นโดยไม่ต้องพึ่งอะไร
มีทุกข์มา ก็เห็นเป็นของธรรมดามาแล้วก็ไป มีสุขมาก็เห็นว่ามาแล้วก็ไปเหมือนกัน

คนมีคู่ ก็ทุกข์แบบคนมีคู่ คนโสดก็ทุกข์แบบคนโสด คนหย่าร้าง ก็ทุกข์แบบคนหย่าร้าง
ความสุขมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องโสดหรือสมรส อยู่หรือหย่า
ท้ายที่สุด มันอยู่ที่ความสบายใจของเราเองนี่แหละ

ช่วงนี้ใครถามปัญหาทางโลก ผมก็จะดึงมาลงเรื่องปฏิบัติธรรมหมดนะ
เพราะธรรมะตอบโจทย์ชีวิตได้ดีกว่าคำปลอบใจไม่กี่บรรทัดอยู่แล้ว

ผมเขียนให้คุณสบายใจ ก็ได้สี่ซ๊าห้าวัน พอคุณไปเจอเหตุปัจจัยเดิมๆ
คุณก็จิตตกเหมือนเดิมอยู่ดีนั่นแหละ
แต่ถ้าภาวนาเป็น เห็นไตรลักษณ์ของกายใจไปเรื่อยๆ

วันหนึ่ง มีปัญหาก็ไม่ทุกข์มาก เพราะใจมีสติ มีปัญญาเป็นพี่เลี้ยง
แล้วใจจะเบาขึ้น ยึดมั่นถือมั่นน้อยลง โดยไม่ต้องบังคับ แต่มันวางเองเพราะมีปัญญา

นกจะเห็นฟ้า ปลาจะเห็นน้ำก็งานนี้แหละครับ


Create Date : 05 กันยายน 2552
Last Update : 5 เมษายน 2553 14:17:50 น. 28 comments
Counter : 8575 Pageviews.

 
ขอบคุณค่ะ ขออนุญาตส่งไปให้เพื่อนอ่านนะคะ


โดย: ชมพู่มะเหมี่ยว วันที่: 5 กันยายน 2552 เวลา:14:54:53 น.  

 
ขอบคุณค่ะพี่เอ็ด ^^


โดย: aritsumemoon IP: 124.120.204.252 วันที่: 5 กันยายน 2552 เวลา:15:36:24 น.  

 
อ่านแล้วสบายใจจัง (รู้ว่าสบายใจค่ะ)^_^



โดย: aor IP: 58.9.172.201 วันที่: 5 กันยายน 2552 เวลา:17:15:09 น.  

 
เหมือนจะง่าย แต่ทำยากชะมัด โดยเฉพาะใจ...


โดย: พี่แหม๋ว (ฟ้าคงสั่งมา ) วันที่: 5 กันยายน 2552 เวลา:17:21:43 น.  

 
ถ้ามีคนถามมาทางหลังมือ..
น่ากลัวว่าอาการปวดจากผ่าตัดฟันคุด จะหายเป็นปลิดทิ้งนะคะพี่ ฮ่าๆๆ :p


"นกกับฟ้า ปลากับน้ำ มนุษย์กับธรรมะ" หัวข้อวันนี้น่าสนใจดีจังค่ะ
และคำอธิบายในบล็อกก็อ่านง่าย เข้าใจง่ายเหมือนเดิม ^^

แต่ตอนนี้อ้อชักรู้สึกว่า..
ตัวเองเป็นนกที่ไม่รู้จักฟ้า ปลาไม่รู้จักน้ำมากขึ้นไงก็ไม่รู้ค่ะ ^^"


..ขอให้เจ้าของคำถามค้นพบทางออกของโจทย์ชีวิตได้นะคะ :)

สาธุ และ ขอบคุณสำหรับบล็อกดีๆ ในวันนี้ค่ะพี่เอ๊ด -/\\-


โดย: ต้นอ้อ -^_^- IP: 58.8.39.40 วันที่: 5 กันยายน 2552 เวลา:18:48:14 น.  

 




ชอบบล็อกของพี่วันนี้จัง >_<


โดย: myover วันที่: 5 กันยายน 2552 เวลา:18:48:27 น.  

 
คำแนะนำดีมากเลย มีสติคอยรู้ทุกข์ ก็จะรู้ธรรม มีธรรมะ แล้วจิตใจจะมีความสุขร่มเย็นโดยไม่ต้องพึ่งอะไร มีทุกข์มา ก็เห็นเป็นของธรรมดามาแล้วก็ไป มีสุขมาก็เห็นว่ามาแล้วก็ไปเหมือนกัน


โดย: เอื้อ IP: 125.27.188.159 วันที่: 5 กันยายน 2552 เวลา:20:30:43 น.  

 
ดีใจค่ะ
ที่เอาเรื่องนี้มาขึ้นบล็อกค่ะ ปลื้มจัง
คิดว่าคุณจะเบื่อและรำคาญซะอีก
ขอบคุณใครดีคะ ที่ทำให้โลกนี้มีคนอย่างคุณ

"อยากกลับไปวันที่ไม่รู้จักความรักจังค่ะ"
^-^
ขอบคุณนะคะ
คุณ aston


โดย: คนโง่ IP: 117.47.216.215 วันที่: 5 กันยายน 2552 เวลา:20:34:22 น.  

 
ขอบคุณที่ อัพบล็อกนะคะ




โดย: Kainarit IP: 222.123.163.8 วันที่: 5 กันยายน 2552 เวลา:23:05:14 น.  

 
มีคู่มือให้เลือกมากมาย
แต่บางครั้งกลับรู้สึกว่า
ใช่ไม่ได้เลยสักอย่าง

เหมือนซ้อมมาเป็นอย่างดี
พอขึ้นเวทีจริงกลับแป้ก
..


จะเริ่มตรงไหนก่อนดีคะพี่เอ็ด?


โดย: azamiya วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:2:24:23 น.  

 
อมิตตาพุทธครับ..คุณ Aston 27...
ขอบคุณ..คุณแป๋ว..สำหรับรูปประกอบดีๆที่มีอยู่ให้อยู่เสมอ


โดย: tirk1967 IP: 110.164.24.191 วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:8:58:29 น.  

 
คุณคนโง่

ปัญหาในชีวิตคุณและอีกหลายคน ไม่ได้อยู่ตรงที่ "โง่" หรอกนะครับ เพราะบางเวลา ผมก็โง่เหมือนกัน

แต่ปัญหามันอยู่ที่เรายังรู้สึกว่ามี "คน" อยู่
คุณมีทุกข์ก็ดีแล้ว เพราะมันเป็นการเตือนตัวเองได้ว่า

..มนุษย์กับทุกข์เป็นของคู่กัน ตราบใดถ้ายังมีความยึดมั่นในกายในใจ ว่ากายนี้ใจนี้คือ "ตัวเรา" ก็จะยังมีคน สัตว์ สิ่งของ ของเรา ของเขา ของมัน ของฉัน ของเธอ

ตราบนั้นความทุกข์ก็จะเป็น "ทุกข์ของเรา" ไปเรื่อยๆ
ไม่ทุกข์เพราะภรรยาสามี ก็ทุกข์เพราะคนอื่น เรื่องอื่นได้อีก

แต่ที่เราอาจจะรู้สึกว่าดีกรีความทุกข์มันไม่เท่ากัน ก็เพราะความยึดมั่นถือมั่นในคนอื่น เรื่องอื่น มันไม่หนักแน่น ไม่แน่นแฟ้นเท่าสามีภรรยาไงครับ

azamiya ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ก็เริ่มตรงปัจจุบันที่ "อยากรู้" และ "สงสัย" ก่อนสิครับ

ใช้ไม่ได้ รู้ว่าใช้ไม่ได้ ฟุ้งซ่านรู้ว่าฟุ้งซ่าน

จำบล็อกเรื่อง "หน้าที่ของชาวนา" ได้ไหม
ชาวนามีหน้าที่สร้างเหตุและปัจจัย ที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว

ไม่ได้มีหน้าที่ไปสั่งไปบังคับต้นข้าวให้โต
ฉันใดฉันนั้น เราไม่จำเป็น และไม่ควรเชื่อว่า จะเริ่มปฏิบัติธรรมด้วยการบังคับตัวเอง บังคับจิตให้นิ่ง ให้ดี ให้สงบก่อนเท่านั้น

เพราะนั่นก็เป็นการแสดงการ "รักในตัวเรา" และปฏิเสธความจริงอย่างหนึ่ง

ปฏฺิเสธความจริง ก็คือปฏฺิเสธธรรมะ
เราจะเรียนธรรมะ แต่ปฏิเสธธรรมะ จะดีเหรอ

วันไหนจิตไม่ดี รู้ว่าไม่ดี อันนั้นภาวนาเสร็จแล้วครั้งนึงนะครับ อยากดี รู้ว่าอยาก ไม่พอใจที่จิตไม่ดี รู้ว่าไม่พอใจ

วิปัสสนาทำแบบนี้นะ แต่ถ้าจะทำสมถะให้จิตสงบ จิตดี จิตนิ่ง จิตมีกำลัง ก็ไม่ผิด แต่ให้รู้ตัวว่านี่ทำสมถะอยู่ อย่าไปเข้าใจว่ามันคือวิปัสสนา

เท่านี้เองครับ


โดย: aston27 วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:9:47:01 น.  

 
สวัสดีค่ะ..คุณaston
แวะเข้ามาทักทายจากการที่follow ผ่านทวิตเตอร์ เลยได้อ่านอะไรดีๆในวันที่อยากได้กำลังใจอยู่พอดี เพื่อให้สามารถตามดูอารมณ์ที่กำลังดิ่งลงเหวอีกครั้ง แต่ยังดีที่มีธรรมะเป็นที่พึ่ง
ยังรู้สึกว่าตัวเองยังโชคดีที่เจอหลวงพ่อ,บ้านอารีย์,คุณดังตฤนและคุณaston
ยังเป็นนกที่อยู่บนฟ้าแต่ไม่เคยเจอฟ้าอยู่ค่ะ แต่ก็ไม่ท้อนะคะ จะพยายามเป็นนกที่รู้ต้วว่าจริง ๆ แล้วฟ้าอยู่รอบตัวเราให้ได้...
มีความสุขที่ได้อ่านบล็อกก็ให้รู้ว่ามีความสุข(ใช่ไหมคะคุณaston ^_^'')


โดย: a_little_happiness IP: 124.120.60.193 วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:11:15:30 น.  

 
^^ อนุโมทนาคะพี่ aston


โดย: ป้าแก่ฯ IP: 125.24.103.227 วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:12:32:14 น.  

 
ช่วยเพิ่มสำนวน "เยอะแยะตาแป๊ะไม่ขายวันนี้ เซ็ง" ได้เปล่าค่ะ

อ่านบล๊อกวันนี้แล้วอมยิ้ม ขำๆ กับสำนวนคุณ Aston ค่ะ

ไม่ใช่ว่าตัวเองไม่มีทุกข์นะคะ มีค่า แต่อ่านแล้วอารมณ์มันเปลี่ยน เลยหัวเราะก๊ากเลยค่ะ

ขอบคุณสำหรับบล๊อกดีๆ เช่นเคยค่ะ


โดย: daisyntulip วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:12:35:58 น.  

 
เยอะแยะตาแป๊ะไก่

แต่ก่อนคนไทยกินแต่ผักกินแต่ปลา ตามสำนวนกับข้าวกับปลา กินข้าวกินปลา ส่วนสำนวนที่เกี่ยวกับไก่ไม่ค่อยเกี่ยวกะของกินเท่าไหร่ (เช่น หมูหมากาไก่ ไก่เขี่ย เจ้าชู้ไก่แจ้) เราเริ่มมากินกันตอนที่วัฒนธรรมของคนจีนเริ่มเข้ามาบ้านเรา คนจีนไหว้เป็ดไหว้ไก่ ใครมีเป็ดไก่ไหว้ถือว่ามีฐานะ มีอันจะกิน เป็ดไก่เลยมีบทบาทในวงสำรับกับข้าวไทยมากขึ้น<< อันนี้เคยอ่านนานมาแล้ว ตกหล่นต้องขออภัย

ที่มาของสำนวนเลยคาดเดาได้ว่าคนขายไก่ยุคแรกเริ่มก็น่าจะเป็นตาแป๊ะ ไม่ใช่ตาสีตาสาแหงมๆ แต่จะบอกว่าเยอะแยะเหมือนไก่ของตาแป๊ะขายไก่มันคงจะยาวไป เอวังก็เลยหดเหลือแค่นี้แล

วันก่อนเพื่อนมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกะเคสนี้พอดี น่าลองส่งไปให้อ่าน ไม่รู้จะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน แต่วันนึงหากเค้าหมดที่พึ่งแล้ว บทความที่พี่เขียนอาจจะช่วยเค้าได้ไม่มากก็น้อยค่ะ


โดย: Hobbit วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:15:45:44 น.  

 
ชอบ blog วันนี้เหมือนกันค่ะ (ชอบรู้ว่าชอบ)
อ่านแล้วสบายใจขึ้น (รู้ว่าสบายใจ)

ตอนนี้ก่อนนอน อ่านธนาคารความสุข สาขา2 อยู่ค่า มีหลายๆ blog ที่ได้อะไรๆที่ลืมไปกลับมาในปัจจุบันอีกครั้ง

อนุโมทนากับความตั้งใจของพี่นะคะ

ปล.จะไปแจกลายเซ็นต์ที่ไหน มะไหร่ อย่าลืมบอกข่าวด้วยนะค้า ^^


โดย: bow IP: 125.25.247.124 วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:19:03:16 น.  

 
เคยได้ยินแต่ ตาแป๊ะไก๋ แต่ก็ไม่รู้ที่มาที่ไปหรอกค่ะ คุณยายชอบพูด

ชอบตรงที่พูดถึงจิตของคน พรหม เทวดา สัตว์นรกฯลฯ จังค่ะ
ทำให้รู้สึกว่า ไม่นิ่งก็ดีแฮะ


โดย: HoneyLemonSoda วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:21:42:37 น.  

 
"เพราะเราเป็นมนุษย์ที่อยู่กับสิ่งที่แสดงธรรมะอย่างอุดมสมบูรณ์ที่สุดตลอดเวลา"
ถ้อยคำสวยงามมากค่ะ *0*

ได้อ่านเรื่องของคุณทั้งสองแล้ว.. ทำให้มองเรื่องของตัวเองค่ะ หลายครั้งหลายหนที่ชีวิตของเราขึ้นๆ ลงๆ พอเราเห็นมันผ่านไปเรื่อยๆ เรากลับรู้สึกมีึความสุขขึ้นได้เอง น่าจะเป็นเพราะทุกๆ เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไป ไม่มีเรื่องไหนที่ไม่ผ่านไปเลย จะยื้อให้ไม่ผ่าน ก็ยื้อไม่ได้ด้วยนะเออ

กับเรื่องบางเรื่องที่ตอนโน้น เราทุ๊กข์ทุกข์เศร๊าเศร้า พอมาถึงเวลานี้ โอ.. มันผ่านไปซะเฉยๆ เลยแฮะ ผ่านไปได้แบบที่เราไม่ต้องทำอะไรมากมายเลย แค่เราดูมันผ่านไปเท่านั้นเอง .. แล้วที่น่าแปลก(หรือเปล่า?) คือเมื่อเรื่องร้ายๆ ผ่านไปแล้ว ความแช่มชื่นก็กลับเข้ามาได้เอง หลายๆ ครั้งที่รู้สึกดีใจกับวันนี้ ดีใจที่ผ่านมาได้ แล้วก็ดีใจที่เราได้หายใจอยู่ทุกๆ วันนี้อย่างมีสติมากขึ้น

เป็นกำลังใจให้คุณทั้งคู่ด้วยนะคะ อ่านบล็อกวันนี้แล้วรู้สึกอุ่นใจดีค่ะ เหมือนเรากำลังอยู่ในชั้นเรียนเดียวกัน แล้วทุกๆ คนก็เรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน :)


โดย: วันดี IP: 125.24.138.19 วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:22:09:42 น.  

 
ชอบวิธีคิดของคุณ Aston และการนำมาเขียนให้คนอ่านเข้าใจได้ง่ายๆ อ่านแล้วสบายใจและมีกำลังใจดีขึ้น ..แต่ที่อยากจะถามคือตอนที่อ่าน blog ก็คิดว่าปล่อยวางได้ หายทุกข์ แต่พอเวลาผ่านไป มีเรื่องมากระทบใจ อารมณ์ก็พุ่งปรี๊ด ตามไปด้วย อย่างนี้ถือว่าสอบตก ใช่ไหมคะ แต่ยังไงก็จะเข้ามาอ่านบ่อยๆ และมีสติรู้ตัวให้เร็วขึ้นค่ะ


โดย: noi IP: 61.91.248.100 วันที่: 7 กันยายน 2552 เวลา:10:05:43 น.  

 
สาธุค่ะ

ปล. รูปสวยมากค่ะ


โดย: เป่าจิน วันที่: 7 กันยายน 2552 เวลา:13:42:48 น.  

 
เรียน คุณ NOI
ดิฉันก็สอบตกเหมือนกันค่ะ แต่หลวงพ่อท่านบอกว่าให้รู้เท่านั้น รู้ไปบ่อยๆ เมื่อรู้บ่อยขึ้น บ่อยขึ้นมันคงไม่มีปรี๊ดให้แตกแล้ว เอาใจช่วยคุณ ( และตัวเองด้วย )นะคะ


โดย: oui IP: 203.154.188.20 วันที่: 7 กันยายน 2552 เวลา:15:37:24 น.  

 


...แวะมาเก็บเกี่ยวความรู้ค่ะ รูปประกอบก้อสวย..เนื้อหาก้อดี ขออนุญาติแอดบล็อกไว้ด้วยนะคะ...


โดย: คนดีคนเก่ง วันที่: 7 กันยายน 2552 เวลา:19:11:00 น.  

 
ย้อนกลับไปอ่านมาแล้วล่ะค่ะพี่เอ็ด
ขอบคุณค่ะ




โดย: azamiya วันที่: 7 กันยายน 2552 เวลา:20:14:57 น.  

 
อนุโมทนาด้วยนะครับสำหรับบุญกุศลที่จะพึงบังเกิด
แวะมาเก็บอะไรดีๆ ไว้เป็นฐานข้อมูลในการใช้ชีวิตครับ
ขอบคุณคุณAstonสำหรับเรื่องราวดีๆ นะครับ


โดย: สุริยา IP: 124.120.154.74 วันที่: 7 กันยายน 2552 เวลา:20:16:16 น.  

 
พี่แอสตั้นคะ....

ขอโหวดเรื่องนี้ไว้ใน "ธนาคารความสุข สาขา 3" นะพี่นะ ช๊อบ...ชอบ ^^


โดย: begin IP: 113.53.208.67 วันที่: 7 กันยายน 2552 เวลา:20:23:55 น.  

 
บางครั้งเรื่องบางเรื่องสำหรับบางคนอาจเป็นแค่เรื่องเล็ก...แต่กับบางคนอาจจะเป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ เลยนะคะ ....ยังไงชีวิตเราคงต้องมีเจอทุกข์และสุขอยู่ร่ำไป...ขอให้ใจมีพลังสู้ต่อไปนะคะ ...

เราก็เจอเรื่องหนัก ๆ หลาย ๆ เรื่องยังผ่านมาได้เลย...แม้บางครั้งการผ่านเรื่องต่าง ๆ เหล่านั้นมาร่างกายและจิตใจเราจะบอบช้ำมากเหลือเกิน..แต่ทุกอย่างเวลา..และใจจะช่วยกันรักษาบาดแผลให้เลือนหาย...แม้จะมีแผลเป็นบ้างเราก็คงต้องยอมรับและเก็บมันไว้เป็นบทเรียน...

ก่อนที่จะรักคนอื่นรักตัวเองให้มาก ๆ นะคะ


โดย: nearmoons IP: 202.142.198.194 วันที่: 9 กันยายน 2552 เวลา:16:52:01 น.  

 
จิงค่ะ เรื่องเล็กสำหรับบางคนกลับเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเราเสมอ ตอนนี้กำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศ ต้องจากบ้านจากทุกคนไป รู้ว่ากำลังจะมีการเปลี่ยนแปลง ก้อเลยคิดว่าจะพกหนังสือ "ธนาคารแห่งความสุข" ไปทั้ง 2 เล่มเลย เผื่อเวลาไกลบ้าน ฟุ้งซ่านขึ้นมาจะได้คิดได้ ^^

ป.ล. คิดว่า มันน่าจะย่อมาจาก "ตาแป๊ะขายไก่" ป่ะคะ อิอิ


โดย: yuy55 IP: 124.122.171.52 วันที่: 10 กันยายน 2552 เวลา:0:20:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.