Group Blog
 
All blogs
 
อภัสดา ปรมาลาภา



(ภาพประกอบ เอื้อเฟื้อโดย SevenDaffodils ครับ)

ผมเพิ่งจะเขียนบล็อกเรื่องศ๊ลข้อสาม กาเมสุมิจฉา ไปหมาดๆ
ก็มาเห็นคำบ่นรำพันเรื่องสามีของอีกท่าน ตอบไปตอบมาเริ่มยาวแฮะ

เลยยกมาไว้ในบล็อกรวม เผื่อเป็นประโยชน์กับท่านอื่นนะครับ

คุณastonค่ะ

สามีดิฉันยอมรับว่าได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดไปโดยที่ตัวเค้าไม่ตั้งใจและพยายามจะแก้ไขให้ดีขึ้น

จริงๆว่าดิฉันเองก็สังเกตุเห็นเคยถามเค้าแต่ตอนนั้นเค้าก็ไม่ยอมรับความจริง ดิฉันก็ได้แต่คาดเดาเรื่องไปต่างๆนาๆ จากพฤติกรรมและคำพูดที่เค้าหลุด หรือข้อความในโทรศัพท์ที่เห็นโดยบังเอิญ ทำให้ดิฉันคิดมากและเสียใจตลอดมาเป็นเวลานานหลายเดือน จนรู้สึกเก็บกดเพราะไม่สามารถที่จะบอกหรือพูดกับใครได้ เพราะไม่อยากทำให้กลายเป็นเรื่องราวให้ผู้ใหญ่ได้รับรู้

จนวันนี้เค้าได้ยอมรับและได้เล่าให้ฟังทั้งหมดแล้วและขอให้ดิฉันอย่าโกรธและจากเค้าไป หลังจากได้ฟังความจริงทั้งหมดความรู้สึกทึบๆๆหนักๆก็หายไป เหมือนดิฉันได้รู้สึกว่า ที่เราได้รู้และเห็นมานั้น เราคิดถูกมาตลอดไม่ได้เกิดจากการคิดไปเองอย่างที่เค้าว่า

แต่มีสิ่งหนึ่งที่เค้าไม่เคยรู้ ช่วงที่เรามีปัญหากันดิฉันเสียใจคิดมากและร้องไห้ทุกวันและทุกครั้งที่อยู่คนเดียว หลังจากร้องไห้ดิฉันจะรู้สึกดีขึ้นจนเหมือนดิฉันเสพติดการร้องไห้ไปแล้ว

ดิฉันไม่แน่ใจตัวเองว่าเป็นโรคทางจิตไปแล้วรึปล่าว ดิฉันอึดอัดกับปัญหาที่เกิดขึ้นและไม่แน่ใจตัวเองจริงๆว่าอยากจะอยู่กับเค้าต่อไปรึปล่าวหรืออยากอยู่คนเดียวโดยไม่มีเค้าอีกต่อไป

ขอบคุณนะคะที่ให้เขียนระบายความอึดอัดในใจ

โดย: MONIC


คุณ Monic ทำใจให้สบายไว้นะครับ แล้วอยู่กับปัจจุบันไว้

คำว่าอยู่กับปัจจุบัน คือคอยรู้สึกตัวไว้บ่อยๆ
หายใจเข้ารู้สึก หายใจออกรู้สึก

ไม่ต้องเพ่งจนรู้ชัด ขนาดว่าลมกระทบตรงไหนบ้างหรอกนะครับ
เอาแค่ หายใจเข้ายาว รู้ว่าหายใจเข้ายาว หายใจออกยาว รู้ว่าหายใจออกยาว
หายใจเข้าสั้น รู้ว่าหายใจเข้าสั้น หายใจออกสั้น ก็รู้ว่าหายใจออกสั้น

คนเราร้องไห้ได้ เพราะสมองสั่ง
สมองสั่งให้ร้องไห้ เพราะจิตมันไปขุดเรื่องแย่ๆขึ้นมาคิด

ฉะนั้น อย่าให้จิตมันว่าง หาอะไรให้มันทำไว้
มันจะได้ไม่ฟุ้งซ่านไปในเรื่องไม่เป็นเรื่อง

การคอยรู้ลม ก็เป็นเครื่องช่วยให้จิตมีที่อยู่อย่างหนึ่งครับ
เครื่องช่วยให้จิตมีที่อยู่ ที่พัก เรียกว่าวิหารธรรม

ว่ากันซื่อๆ การมีวิหารธรรม ก็คือการทำความสงบอย่างหนึ่ง ให้จิตเกิดสมาธิ
แต่ทำความสงบ ไม่ใช่เพื่อบังคับให้จิตอยู่แต่ในความสงบ ในสมาธิ
หากเพื่อให้จิตได้พักผ่อน มีกำลัง ออกมาเจริญสติรู้เนื้อรู้ตัวได้ดี

บางคนรู้ลมแล้วเคยชินกับการเพ่งลม พวกนี้จะมีอาการอึดอัด
แน่นๆที่หน้าอก ให้รู้ทันว่ากำลังเพ่งลม แล้วหยุดไปก่อน

เปลี่ยนไปดูจิตที่อึดอัด กลัว ไม่ชอบ กังวล สงสัย แทนนะครับ
ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่เราจะใช้เครื่องอยู่อะไรหรอกครับ

มันอยู่ที่ เราจะอยู่กับปัจจุบันยังไง ให้เผลอสั้นๆ แต่(รู้)เผลอบ่อยๆ
ฉะนั้น ต้องลองดูหลายๆวิธี แล้วดูว่า อันนั้นทำแล้วจิตมันชอบ มันสบาย
แต่ชอบแล้ว สบายแล้ว ก็ต้องรู้เนื้อรู้ตัวนะ

ที่ต้องให้จิตชอบ เพราะหลักของการทำสมาธิ คือต้องมีความสุข
ในอภิธรรมบอกว่า ความสุขเป็นเหตุให้เกิดสมาธิ

ฉะนั้น จะรู้ลม รู้กาย รู้มือ รู้ท้อง รู้เท้าเคลื่อนไหว หรือรู้จิตเคลื่อนไหว หรือสวดมนต์ ไม่สำคัญ
สำคัญว่าต้องรู้อย่างสบาย ไม่บังคับข่มว่าจิตต้องตึงเปรี๊ยะ ไม่ว่อกแว่กเลย

แต่ถ้ารู้ลม รู้กาย รู้มือ รู้เท้า รู้ท้อง รู้จิตเคลื่อนไหว หรือสวดมนต์ แล้วจิตว่อแว่ก
ให้รู้ทันว่าว่อกแว่ก รู้ไว้ ก็ไม่ใช่เพื่อบังคับ หรือห้ามไม่ให้มันว่อกแว่ก
แต่เพื่อให้เห็นความจริงว่า จิตเป็นอนัตตา มันไม่ใช่ตัวเราหรอก เพราะมันทำงานได้เอง

ถ้ารู้หลักแล้วทำได้อย่างนี้ วิหารธรรมอะไรก็ใช้ได้ เหมือนยอดฝีมือในนิยายกำลังภายใน
จะใช้มีด กระบี่ ทวน หอก ดาบ ตะเกียบ หรือนิ้วเปล่าๆ ก็ชนะคู่ต่อสู้ได้พอกัน

วันนี้ ไม่ขอตอบเรื่องปัญหาครอบครัวดีกว่านะครับ ตอบไปเยอะแล้ว
แล้วปัญหาของคุณ Monic ก็เหมือนกับปัญหาของผู้หญิง ผู้ชาย เกย์ ทอม ดี้
อีกหลายล้านคนทั่วไทย และไกลทั่วโลก อย่างที่เคยเป็นมานับร้อยพันปี

ถ้าเรายังเอาความสุขในชีวิต ไปผูกติดกับการกระทำของคนอื่น
เราก็จะมีความเสี่ยงอีหรอบนี้ เหมือนๆกัน

ถ้าเรายังต้องเวียนว่ายตายเกิด เราก็จะเป็นผู้กระทำบ้าง ผู้ถูกกระทำบ้าง
ตามคิวของกรรมที่จัดสรรให้เรา จนกว่าเราจะพ้นทุกข์ได้จริงๆ

ฉะนั้น อยากชวนให้คุณเปลี่ยนจากคำถามว่า เราควรจะอยู่กับเขาต่อไปดีไหม
มาเป็นคำถามว่า วันนี้ เรารู้สึกตัว รู้กายรู้ใจ เพื่อจะมีชีวิตด้วยสติกันดีไหม

คนเราเกิดมาชั่วคราว พบกันก็ชั่วคราว ไม่กี่สิบปีก็ตายจากกันหมดแล้ว
จะตามใจกิเลส ทำร้ายกัน โกรธกัน แค้นเคือง ทะเลาะกันไปทำไมนักหนา

อะไรที่ดีก็เก็บไว้ อะไรไม่ดี ก็ทิ้งๆ ลืมๆไปบ้างนะครับ
ถ้าเขายังดีกับเรา เขากลับตัวใหม่ ก็เอื้ออาทรกันไว้
ถ้าเขาไม่น่ารัก เขาไม่ดีกับเรา เราอภัยได้ เราก็เบาสบาย
เราอภัยไม่ได้ เราก็หนัก แย่ที่สุดก็ต้องเลิกกัน แยกกันไปคนละทาง

แต่อย่าไปพิร่ำพิไรอะไรกับปัญหาชีวิตมากเลยนะ พูดจริงๆนะ
อย่าหายใจทิ้งๆขว้างๆ ไปกับความทุกข์ เหมือนนางเอกมิวสิควีดีโอเลยคุณ

ตื่นมาก็ร้องไห้ สายก็ร้องไห้ เที่ยงก็ร้องไห้ บ่ายก็ร้องอีก เย็นแถมอีกรอบ
เห็นรูปถ่ายก็ร้อง เห็นเสื้อผ้า ถุงเท้ากางเกงใน เห็นแมวอะไรก็ร้องได้หมด ไม่เอานะ

ที่ผ่านมา ร้องไปแล้วก็แล้วไป ช่างมัน ไม่ต้องเสียดายที่ลืมเอาถังมารอง
แต่อยู่กับปัจจุบันไว้ เช้าสวดมนต์ เย็นสวดมนต์ แล้วมีชีวิตปกติ แต่คอยรู้สึกตัวไว้

แล้วไม่ช้าไม่นาน ทุกอย่างจะผ่านไปง่ายและไวกว่าที่คุณนึก

เขียนบล็อกนี้ แล้วนึกถึงสำนวนลุงๆที่เขาว่า "อภรรยา ปรมาลาภา"
ความไม่มีภรรยา เป็นลาภอันประเสริฐ

ยุคนี้ เป็นยุคเสมอภาค ก็ต้องมีภาษิตว่า "อภัสดา ปรมาลาภา" ด้วย

ของแบบนี้ ก็ตัวใครตัวมันนะครับ


Create Date : 22 กันยายน 2552
Last Update : 22 กันยายน 2552 18:43:10 น. 18 comments
Counter : 8359 Pageviews.

 
:D สำนวนป้าๆ แบบนี้ชอบจริงๆ

"ตื่นมาก็ร้องไห้ สายก็ร้องไห้ เที่ยงก็ร้องไห้ บ่ายก็ร้องอีก เย็นแถมอีกรอบ
เห็นรูปถ่ายก็ร้อง เห็นเสื้อผ้า ถุงเท้ากางเกงใน เห็นแมวอะไรก็ร้องได้หมด ไม่เอานะ

ที่ผ่านมา ร้องไปแล้วก็แล้วไป ช่างมัน ไม่ต้องเสียดายที่ลืมเอาถังมารอง"

อ่านอันนี้แล้วขำก้าก


โดย: วันดี IP: 125.24.148.230 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:19:06:29 น.  

 
ขณะอ่าน ฝนกำลังจะหยุดตกแล้ว
สำนวนคุณวันนี้ อ่านแล้วอารมณ์ดีมากเลย
ขอบคุณมากนะครับ


โดย: ธนัช IP: 124.120.218.108 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:19:12:25 น.  

 
..สวัสดีค่ะ พี่แอสตั้น กะจะเข้ามาทักทาย ก็เลยได้อ่านบล็อกใหม่ ดีจัง..


โดย: helloeve IP: 203.209.97.222 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:19:15:06 น.  

 
พี่เอ็ดอัพบล็อค ดีใจรู้ว่าดีใจ :)
อ่านบล็อควันนี้แล้วนึกถึงที่พี่คนนึงเคยพูดกับหนูค่ะ เรื่อง "เสพติดความเศร้า" เหมือนจะมีงานวิจัยเกี่ยวกับสมองคนที่ชอบความเศร้าว่า
สมองมันหลั่งสารตัวนึงออกมาเวลาที่เราร้องไห้
ซึ่งสารตัวเดียวกันนี้จะหลั่งออกมาเช่นเดียวกันในสมองของคนที่เสพยาเสพติด

ฟังแล้วตอนแรกก็ตกใจ เพราะรู้สึกว่าเราก็เป็นพวกเสพติดความเศร้าเหมือนกัน (เวลาอกหัก)
ร้องมันเข้าไปทั้งวัน แถมรู้สึกสะใจที่ได้ร้องไห้อีกตะหาก - -" (จิตนางเอกมิวสิควีดีโออย่างที่พี่เอ็ดบอกจริงๆ) ...น่ากลัวนะคะ
ขอบคุณสำหรับบล็อควันนี้ค่ะ -/|\\-
แล้วก็เป็นกำลังใจให้คุณ Monic ด้วยนะคะ

ปล. ชอบอันนี้มาก "เห็นแมวอะไรก็ร้องได้หมด"
ฮา....


โดย: aritsumemoon IP: 124.120.210.113 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:20:00:29 น.  

 
ที่ว่า...

"...ถ้าเรายังเอาความสุขในชีวิต ไปผูกติดกับการกระทำของคนอื่น
เราก็จะมีความเสี่ยงอีหรอบนี้ เหมือนๆกัน ..."

รู้สึกว่าคอนเสปต์นี้จะถูกหยิบยกขึ้นมาอีกแล้ว...สาธุครับ
ผมว่ามันจริงพันเปอร์เซนต์
แม้แต่การกระทำของเราเองนี่ก็เถอะเนอะ?
ซึ่งคุณก็เคยกล่าวไว้ในบล็อกก่อนๆ
เรื่องเสาธงที่แข็งแกร่งก็แปลงร่างเป็นไม้เสียบลูกชิ้นอันเปราะบางหักเป๊าะได้ง่ายๆ
ลงถ้าเอาใจไปยึดไว้แล้วละก้อ
ซี้แหงๆ...

คนมีแฟนก็ทุกข์เรื่องการมีแฟน
คนไม่มีแฟน (ภัสดา ภรรยา และคู่ชีวิตแบบอื่น) ก็เถอะ...
มันก็หาเรื่องทุกข์จนได้
ผมพูดในฐานะคนตัวเปล่านะครับ

คนโสดก็ทุกข์นะครับ
บางทีจู่ๆ ก็รู้สึกว่าชีวิตโหวงเหวงเคว้งคว้างกระทันหัน
เรื่องมันจึงเป็นอารมณ์ประมาณว่า "อย่าไปยึดติด"
คำที่พูดง่ายแต่ทำยากเหลือหลาย

...แล้วก็ขอบคุณคุณAstonเช่นเคยครับ

:)


โดย: สุริยา IP: 124.122.251.241 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:21:36:36 น.  

 
ปัญหาเรื่องความรัก ไม่ว่าในรูปแบบแอบรัก สมัครใจเป็นแฟน ควงแขนเป็นกิ๊ก สมัครใจเป็นสามีภรรยา หรือรอเวลาเป็นชู้ นี่เป็นปัญหาคลาสสิกจริงๆ นะคะ อ่านแล้วเศร้า สงสารคนที่มีปัญหาทุกคน เอาใจช่วยให้วันนี้ ทุกคนที่มีปัญหา อยู่ด้วยความรู้สึกตัว รู้กายรู้ใจ เพื่อจะมีชีวิตด้วยสติแบบที่ คุณ Aston แนะแนวทางไว้นะคะ

แต่อ่านบล๊อกวันนี้ออกแนวเศร้าๆ แล้วเปลี่ยนเป็นปล่อยวาง แล้วอารมณ์ก็เปลี่ยนเป็นฮาก๊าก ตอนเจอสำนวนและสุภาษิตไม่เหมือนใครของคุณ Aston นี่แหละค่ะ


โดย: daisyntulip วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:0:50:57 น.  

 
เห็นด้วยกับคุณ daisyntulip ค่ะ

"คนเราเกิดมาชั่วคราว พบกันก็ชั่วคราว ไม่กี่สิบปีก็ตายจากกันหมดแล้ว "

..ไม่กี่สิบปีนี่มันก็นานนะพี่นะ..สำหรับช่วงเวลาที่ยังไม่รู้สึกตัวน่ะ

"อะไรที่ดีก็เก็บไว้ อะไรไม่ดี ก็ทิ้งๆ ลืมๆไปบ้างนะครับ
ถ้าเขายังดีกับเรา เขากลับตัวใหม่ ก็เอื้ออาทรกันไว้
ถ้าเขาไม่น่ารัก เขาไม่ดีกับเรา เราอภัยได้ เราก็เบาสบาย
เราอภัยไม่ได้ เราก็หนัก แย่ที่สุดก็ต้องเลิกกัน แยกกันไปคนละทาง"

มีปัญหาอีกอย่างคือเราอยากแยก แต่เค้าไม่ยอมแยกนี่สิคะ

รู้ค่ะว่าสุดท้ายก็มาลงที่ต้องดูใจเรานี่เอง




โดย: noi IP: 61.91.248.100 วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:9:05:47 น.  

 
อกิ๊กสดา ปรมาลาภา


ไม่ทันแล้วพี่ ตอนนี้


อ่านที่คุณเอ็ดเขียนไป อ่านซ้ำไปซ้ำมา


จำไว้ รับทราบ ต้องปฎิบัติ


โดย: พี่แหม๋ว (ฟ้าคงสั่งมา ) วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:12:41:39 น.  

 
ขอบคุณค่ะ พี่แอสตัน สำหรับธรรมะดี ๆ และการมองโลกดี ๆ :)


โดย: L J IP: 72.19.155.185 วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:12:42:07 น.  

 
สาธุค่ะ

"อภัสดา ปรมาลาภา"

ชอบหัวข้อบล๊อคนี้

ช่างเป็นปัญหาชั่วนาตาปีจริงๆ



โดย: เป่าจิน วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:12:47:37 น.  

 
วันนี้พี่เขียนอะไรก็โดนไปหมด

ทั้งขำ...แล้วก็เออ...จริงอะ

แต่ก็ยังเผลอไปเป็นนางเอกมิวสิคบ่อยๆ

ขอบคุณมากคะ


โดย: มุทิตา IP: 58.10.192.103 วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:14:07:50 น.  

 


เพิ่งเจอมาเย็นนี้เลยค่ะ
กำลังชำเลืองมองความขุ่นใจอยู่ว่า
ทำไมมันอยู่นานจัง.........

แต่พออ่านเจอ
" ถ้าเรายังเอาความสุขในชีวิต ไปผูก ติดกับการกระทำของคนอื่น "

โล่ง หลุดออกมาเลยค่ะ
หากคนพูดว่าเราอย่างไร...
ถ้าใช่....ควรขอบคุณ
ถ้าไม่ใช่ ก็ไม่เห็นต้องสน ก็มันไม่ใช่

พอหลุดแล้วก็รู้ว่าเมื่อกี๊มันนานเพราะเราอยากให้ความหงุดหงิดหายแต่มองไม่เห็น

เป็นไงคะลูกศิษย์คนนี้ อ้าว...อัตตานี่นา


โดย: Vera IP: 10.123.101.115, 202.129.10.218 วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:17:40:21 น.  

 
ตื่นมาก็ร้องไห้ สายก็ร้องไห้ เที่ยงก็ร้องไห้ บ่ายก็ร้องอีก เย็นแถมอีกรอบ
เห็นรูปถ่ายก็ร้อง เห็นเสื้อผ้า ถุงเท้ากางเกงใน เห็นแมวอะไรก็ร้องได้หมด ไม่เอานะ

^___^ หูยคิดมาด๊ายยย มีกกน.ด้วย
ติดเรทนะเนี่ย พี่เอ๊ดดดด


โดย: ying IP: 125.24.103.209 วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:19:02:27 น.  

 
"ถ้าเรายังเอาความสุขในชีวิต ไปผูกติดกับการกระทำของคนอื่นฯลฯ" ย่อหน้าทองของบล็อกนี้เลย ฮี่ๆ(โดนเข้าแสกหน้าผมดังโป้ง!) เหมาะเจาะกับเหตุการณ์ในชีวิตของผมที่เพิ่งเกิดจัง จะพยายามฝึกรู้ฝึกดูต่อไปเรื่อยๆ ไม่เผลอเหม่ออย่างไร้หางเสือแล้ว....ว


โดย: bccboy IP: 124.121.168.191 วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:0:15:38 น.  

 
เป็นกำลังใจคุณmonic ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนะคะ ดิฉันเองก็ดีขึ้นมากแล้ว หลังจากไปหาซีดีธรรมมะของพระอาจารย์ประโมชมาฟังดู ตามที่คุณเอ็ดแนะนำ
และก็ได้ฝึกหัดเจริญสติตามแนวทางของท่าน
ได้ผลเร็วเกินคาดค่ะ

ตอนนี้ปล่อยวางได้แล้ว โล่งสบาย เพราะได้อภัยไปจนหมดสิ้น เบาเลยค่ะ แต่ต้องคอยดูพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไป ดูจิตว่ามันจะไหลกลับไปเคืองแค้นขุ่นมัวอีกมั้ย ก็ตามดูแบบนี้ไปเรื่อย
ว่าจะมีโทสะ และโมหะ ผุดขึ้นอีกมั้ย

เป็นกำลังใจให้นะคะ คนอื่นที่มีปัญหามากกว่าเรายังมีอีกเยอะเลยนะคะ







โดย: ดาวเหนือ IP: 58.137.171.78 วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:9:21:52 น.  

 
"...ถ้าเรายังเอาความสุขในชีวิต ไปผูกติดกับการกระทำของคนอื่น
เราก็จะมีความเสี่ยงอีหรอบนี้ เหมือนๆกัน ..."

ชอบจังค่ะ


โดย: milk IP: 61.7.135.152 วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:13:33:05 น.  

 
แฟนใหม่ค่ะ ตามมาจากที่อ่านหนังสือ ธนาคารความสุขทั้ง ๒ เล่ม
ตอนนี้มีปัญหาคล้ายๆกับคุณmonic แต่ร้ายกว่าตรงที่เขาไม่หยุด ขอให้เราเข้าใจและยังอยู่กับเขา เราก็ตัดไม่ขาด อยู่กับอาการขมและขื่นมาพักใหญ่ แต่หลังๆเริ่มค่อยๆปล่อย ค่อยๆวาง แม้จะยังมีบ้างบางครั้งที่มีอารมณ์น้อยใจ เสียใจ โกรธ แต่ก็ไม่ให้อารมณ์เหล่านี้มันอยู่กับเรานาน เพราะคนที่ทุกข์ก้คือเราคนเดียว
จริงอย่างที่คุณแอสตั้นบอกว่า
ถ้าเรายังเอาความสุขในชีวิตไปผูกติดกับการกระทำของคนอื่น...เราก็มีความเสี่ยงอีหรอนี้เหมือนๆกัน
ทำให้คิดอะไรได้อีกเยอะเลย
ขอบคุณค่ะ


โดย: eenura IP: 110.164.145.195 วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:2:24:08 น.  

 
หนูติดตามอ่านมา blog นี้มา ตอนเรียนอยู่ ปี 3 จนตอนนี้ เรียนจบแล้วค่ะ(เพิ่งจบ)

เวลาไม่สบายใจเรื่องเรียน หรือเรื่องอื่นๆจะแวะเข้ามาอ่าน

ก็ได้สาระ ได้กำลังใจ ได้ข้อคิดกลับไปเสมอ แล้วแถมยังมีฮาด้วย

ขอบคุณค่ะ



โดย: zurvival IP: 58.147.0.186 วันที่: 12 ตุลาคม 2552 เวลา:13:32:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.