Group Blog
 
All blogs
 

Music video





เคยนึกอยากเล่นมิวสิควิดีโอบ้างไหมครับ?

มิวสิควีดีโอเป็นของจำเป็นในการโปรโมทเพลงมาราวๆยี่สิบกว่าปีแล้วครับ
จุดเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ทำให้มิวสิควีดีโอกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ของอุตสาหกรรมดนตรี
ก็คือการถือกำเนิดของ MTV ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ยุคเติบโตของมิวสิควีดีโออย่างพรวดพราด

จากเดิมที่มิวสิควีดีโอยุคแรกๆ จะมีแค่ศิลปิน นักร้อง ออกมายืนร้องๆเต้นๆ
ก็เริ่มมีเรื่องราว มีพระเอก นางเอก พระรอง นางร้าย ชิงรักหักสวาทขาดดิ้น

จนมีคำพูดล้อว่าถ้าเพลงไทยอกหักทำ MV จะต้องมีฝนตกกระจกแตก
ประมาณว่าอุตสาหกรรมผลิตกระจกหรือแก้ว ควรจะมอบโล่ให้ค่ายเทป
ในฐานะผู้มีอุปการะคุณต่อการขายกระจก

ที่ถามคุณไปว่า อยากเล่นมิวสิควีดีโอไหม

ครูบาอาจารย์ผม ท่านเคยเตือนลูกศิษย์ โดยเฉพาะบรรดาสาวๆทั้งหลาย
ว่าหลายคนชอบทำจิตหมองๆ เศร้าๆ ซึมๆ เยิ้มๆ เหมือนนางเอก MV เวลาอกหัก

เลยนึกย้อนไปถึงตัวเอง สมัยวัยรุ่นแล้วอกหัก
ก็เคยไปเดินตากฝนเล่น เพราะกระแดะจะเลียนแบบพระเอกมิวสิควิดีโอกะเขาเหมือนกัน

เคยเล่าไว้ในหลายบล็อกก่อนโน้นบอกว่า
คนเราเคยชินจะน้อมจิตไปทางไหน ก็มักจะทำแบบนั้นซ้ำๆ บ่อยๆ
จนกลายเป็นอัตลักษณ์ หรือลักษณะเฉพาะตัวขึ้นมา
และเราก็เชื่อว่านี่แหละคือ "ตัวเรา" ที่เราเป็น

แต่เรื่องการน้อมจิตตัวเองให้หมองๆ หงอยๆ สาวๆจะเป็นเยอะกว่า
โดยเฉพาะคนที่เคยอกหักมา บางทีเรื่องผ่านไปเป็นเดือนๆ ปีๆ
ว่างทีไรก็ยังล้วงความทรงจำเน่าๆออกมากล่อมจิตตัวเองเล่นซะงั้น

ผมเพิ่งบอกน้องคนที่มาถามคำถามเรื่องอกหักไปว่า..
คนอกหัก แล้วเรื้อรังไม่ยอมหาย ก็คล้ายๆคนเข้าห้องน้ำปล่อยอึ
แต่ไม่ยอมกดชักโครก แล้วก็นั่งมองมัน บ่นว่าเหม็นจัง เหม้น เหม็น

แล้วก็ร้องไห้ ไม่กินข้าวกินปลา บอกว่า กินไม่ลง
อันนี้พ่อแม่ที่มีลูกอกหัก เข้าใจลูกได้แล้วนะครับว่าเป็นปกติ
ก็คนนั่งเฝ้าอึ ใครจะกินข้าวลง

ทั้งๆที่เรื่องร้ายๆในชีวิต มันผ่านมาชั่วคราว แล้วก็ผ่านไปทั้งนั้นแหละ
เว้นเสียแต่เราจะไปฝืนธรรมชาติ ไปนั่งเฝ้าอึ ไม่ยอมกดชักโครกทิ้งไป
แล้วก็เอาแต่คร่ำครวญว่า ทำไมอึไม่หอมเสียที ทำไมไม่กลายเป็นทองเสียที

ฉะนั้นใครที่อกหักรักเน่า เลิกซึมเซาเป็นเหาเดือนหกเถอะ แม่คุณ
อะไรทีแล้วไปแล้ว ก็ไม่ต้องไปหวงแหนเอาแขนกอดไว้หรอก

อย่าไปเสียเวลาโทษเท้าที่สอง มือที่สาม ม้ามที่สี่
ไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งถามหาองค์ประกอบ ที่มาสาเหตุของความเหม็นหรอก
แค่รู้ว่า มันเป็นอึ เป็นของเน่าแล้ว เสียแล้ว ไม่มีคุณค่าจะรักษาไว้

ก็กดชักโครกมันทิ้งไปเถอะครับ

โลกนี้ผมเคยรู้จักคนอยู่คนเดียว ที่เจออึแล้วมีความสุข
อาราเร่ไงคุณ

ปล. มีคนขอให้ช่วยบอกชื่อเพลง นักร้อง เพลงวันนี้ชื่อ Blue Bayou เพลงเก่าของลินดา รอนสตัดท์ แต่อันนี้เป็นฉบับร้องใหม่ของ texa_s light_ning ครับ




 

Create Date : 03 มีนาคม 2551    
Last Update : 9 มีนาคม 2551 13:40:45 น.
Counter : 1170 Pageviews.  

บทเรียนจากรีโมทคอนโทรล







เคยไหมครับ ที่เจอปัญหาอะไรสักเรื่อง
แล้วพยายามมองหาวิธีแก้ที่ใหญ่โตโอฬารพิสดารจนหัวโป่ง
ก่อนจะพบว่า ทางออกจริงๆมันง่ายนิดเดียว อยู่แถวขนตาเส้นที่สี่นี่เอง

เรื่องของเรื่อง โทรทัศน์ที่บ้านผมมันเสียมาราวๆสองอาทิตย์แล้วครับ
อาการคือ ผมไม่สามารถใช้รีโมทกดสั่งงานมันได้เหมือนเคย

เปิดทีวีครั้งหนึ่ง อาจจะกดสั่งงานได้ เปิดอีกครั้ง มันไม่ยอมทำงาน
จนอีกหลายวัน มันถึงจะยอมทำงานตามที่กดรีโมทอีกครั้ง

ผมก็อดทนกับมันมานาน อดดู DVD ไปอาทิตย์นึง ก็ไม่บ่น
แต่จะยกไปซ่อมก็เกรงใจ เพราะมันหนัก จะเรียกช่างมาดูก็หาเบอร์ไม่เจอ

พยายามค้นใน google หลายวัน ก็ไม่เจอเบอร์ศูนย์ซ่อม
นามบัตรช่างที่เคยมาซ่อมตอนภาพมีปัญหาเมื่อปีก่อน ก็เก็บไว้ดีจนหาไม่เจอ
สงสัยว่าไอ้ช่องรับสัญญานรีโมทจะมีปัญหา เลยไปทุบๆๆๆๆ ก็ไม่สำเร็จ

จนเมื่อวันก่อน ไปทำงาน เจอน้าคนขับรถของประธานบริษัท
แกถามถึงเครื่องเสียงที่บ้าน เพราะแกเป็นคนพาผมไปซื้อ
ผมเลยเล่าเรื่องปัญหาทีวีให้ฟัง แกถามคำแรกเลย

"คุณลองเปลี่ยนถ่านรีโมทหรือยัง?"

คือ.......

เอ่อ......

ถามว่าเคยสงสัยมั้ยว่าถ่านหมด เคยครับ
แต่เพราะเห็นว่ากดแล้วรีโมทมันยังมีไฟออก
เลยมองข้ามตัวเลือกนี้ไปด้วยความประมาท

วันนี้เอารีโมทไปที่เซ็นทรัลใกล้บ้าน ตรงไปที่แผนกนาฬิกา
เปลี่ยนถ่านเรียบร้อย กลับบ้านกดปั๊บ.. เป๊ะเลย..

ในชีวิตจริง เรื่องแบบนี้มันมีให้เห็นได้บ่อยๆนะครับ
เวลาเราเจอปัญหา เรามักจะพยายามแก้ปัญหาด้วยวิธีต่างๆที่ไกลตัว ยุ่งยาก
พยายามเปลี่ยนคนอื่นบ้าง พยายามเปลี่ยนโลก เปลี่ยนธรรมชาติ

ทั้งๆที่บางที มันแก้ได้ง่ายๆจากภายในใจเรานี่เองแหละ

ผมไพล่ไปนึกถึงเรื่องที่เขาเล่าต่อๆกันมาว่า
นักบินอวกาศของอเมริกามีปัญหากับสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง ตอนอยู่ในอวกาศ
ทำให้ปากกาเขียนไม่ออก เพราะหมึกมันไม่มีแรงโน้มถ่วงดูดลง

แล้วนาซ่าต้องตั้งโครงการคิดค้นปากกาแบบพิเศษที่เขียนได้ในทุกสภาพแรงโน้มถ่วง
หมดเงินไปเป็นร้อยล้านบาทไทย

ในขณะที่นักบินอวกาศรัสเซียแก้ปัญหาเดียวกันด้วยงบประมาณสองรูเบิ้ล
ด้วยการใช้ดินสอแทนปากกาซะ

สำหรับนักเรียนวิปัสสนาแบบผม ก็อีหรอบเดียวกัน
ครูบาอาจารย์จะบอกว่า รู้กาย รู้ใจตัวเอง ไปเรื่อยๆ อย่าคิดมาก
มันไม่มีอะไรมากกว่ารู้ตามที่มันเป็น รู้ธรรมชาติ รู้อย่างที่มันเป็น รู้ลงปัจจุบัน

แต่เราก็มักจะดิ้นรนทำอะไร เพื่อการรู้ที่คิดว่าถูกต้อง ดีงาม
ลงท้ายก็มักจะบังคับลม เพ่งจิต ประคองจิต ไม่ให้หลง
ยิ่งทำ ก็ยิ่งไม่เห็นธรรม เพราะผิดทาง

ลองทำโน่นทำนี่มากมาย จนที่สุดแล้ว ก็พบว่า
วิปัสสนา ไม่มีอะไรมากกว่าแค่ รู้กาย รู้ใจธรรมดาๆ นี่แหละ

หรือถ้าในบ้างเวลา เราเบลอๆ ดูจิตดูใจไม่ค่อยออก
ผมอยากบอกว่า มันไม่มีอะไรเป็นปัญหามากมายหรอก
ขอแนะนำให้หาเวลาทำสมถะดูบ้าง

ก็แค่รีโมทถ่านหมดน่ะครับ




 

Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 4 มีนาคม 2551 0:11:27 น.
Counter : 931 Pageviews.  

สงครามนางฟ้า สงครามคนธรรมดา







(บล็อกนี้ขอพักเรื่องธรรมะไว้นิดนึงนะครับ)

ผมไม่รู้ว่าคุณบอย จะนึกไว้ก่อนหรือเปล่าว่าละครเรื่องนี้จะได้ขึ้นหน้าหนึ่งไทยรัฐ
แต่ผมแอบรู้สึกว่าแกคงดีใจที่มันได้เป็นข่าว เพราะผมเดินผ่านบ้านไหนใครๆก็ดู

สมัยนี้แปลกจนกลายเป็นปกติไปแล้วว่า ยิ่งเป็นข่าวฉาว ก็ยิ่งดัง ยิ่งมีคนสนใจ
ผมล่ะอยากบอกทุกคนที่ไม่ชอบหนังละครเรื่องไหนก็ตามแต่ว่า
ถ้าไม่ชอบนะ วิธีดีที่สุดคืออย่าไปสนใจเขา อย่าด่า อย่าดู

เพราะมีคนออกมาด่าหนัง ด่าละครทีไร คนโดนด่าได้ดีทุกที

ขนาดผมไม่ค่อยชอบดูละคร ยังผ่านหูผ่านตามาแล้วสองตอน
เป็นละครอีกเรื่องที่เหมาะจะเอาไว้ดูจิต ผู้สันทัดกรณีชี้ไว้อย่างนั้น
นางร้ายนั้นก็ร้ายตามมาตรฐาน แต่นางเอกออกแนวใสซื่อบื้อ (อีกแล้ว)

บทของตัวละครชายสองคนหลักก็ทื่อเหมือนไม้ตีพริกจากปากช่อง
ที่แยกแยะไม่ออกว่าอันไหนน้ำพริก อันไหนโคลน
จับใส่ครกได้พี่ตะบันลูกเดียว ตามหน้าที่ไม้ตีพริกที่ดี

ดูแล้วต้องแอบรู้ทันจิตตัวเองบ่อยๆนะครับ
นางเอกดีเกินไปจนน่าหงุดหงิด ก็รู้ว่าหงุดหงิด
หมั่นไส้สามีนางเอก ที่โดนเชอร์รี่หลอก ก็รู้ว่าหมั่นไส้
อยากปาหมอน ก็รู้ว่าอยากปา แต่ยังอยากดูต่อ ก็รู้ว่าอยาก

ผมชอบน้องป้าด ปานเว่ย ตอนเธอแอ๊บแบ๊วจิ๊จ๊ะต๊ะติ๊งโหน่ง มายืนรอผู้ชาย
เธอเล่นดีจนผมขำว่า เออนะ..สมัยนี้มันยังจะมีผู้หญิงมาลงทุนแอ๊บขนาดนี้เหรอ

ขำ.. ผมก็ต้องรู้ทันว่าขำ

มีคนถามผมว่า รู้สึกยังไงที่มีเสียงประท้วงจากคนทำอาชีพนางฟ้า
ผมบอกว่าก็เป็นปกติของสังคมไทย เราเป็นสังคมที่รักพวกพ้องนี่นา

สังเกตไหมว่า ถ้ามีหนังมีละครไทยที่ตัวร้ายในเรื่องทำอาชีพอะไรสักอย่าง
จะต้องมีคนในอาชีพนั้นออกมาต่อต้าน เป็นประเพณี

ตอนโฆษณาผู้ใหญ่ลี ก็มีชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านมาประท้วง
ตอนสงครามนางฟ้า ก็มีอาชีพนางฟ้ามาประท้วง

แต่รับรองว่า วันหน้าถ้าใครสร้างหนัง สงครามเทวดา ผมจะไม่ประท้วง
เพราะผมยังไม่ใช่เทวดา ผมคงเป็นคนธรรมดาไปแบบนี้แหละ

ตัวร้ายในละคร หรือหนังไทย จึงมักไม่ค่อยมีอาชีพชัดเจน
ถ้าไม่เป็นพวกโจราอาชีพ ก็พวกไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง
ไม่ก็ลูกคนรวยที่ไม่ค่อยต้องทำงาน หรือเป็นผู้มีอิทธิพลจะจะไปเลย
ปลอดภัยๆหน่อย ก็โยนมาแถวคนทำงานออฟฟิศนี่แหละ ไม่ค่อยมีปากมีเสียงดี

ผมว่าคนเดียวในประเทศนี้ที่ทำหนังให้ใครเป็นตัวร้ายก็ได้ แม้แต่ตำรวจ
โดยไม่มีใครกล้าบ่น รับรองว่ามีคนเดียว คือท่านมุ้ย นี่แหละ

เรื่องอาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องนี่เขียนมากไม่ได้ จะเข้าตัว
เพราะน้องสาวทั้งแท้และไม่แท้ ทั้งคนใกล้ตัวและเพื่อนฝูงก็ทำงานนี้กันหลายคน

เท่าที่สัมผัสมา ผมว่าอาชีพนี้น่าเหนื่อยแทนนะ
เพราะชื่อก็บอกแล้ว ว่ามันก็คือพนักงานต้อนรับ

จะเหนื่อยจะเครียด เบื่อ เซ็ง ก็ต้องยิ้ม ห้ามเถียง ห้ามบ่น
เป็นอาชีพที่สาวๆที่ต้องยิ้มให้ผู้ชายแปลกหน้า ทุกครั้งที่สบตา

ผู้ชายจำนวนมาก มักจะเข้าใจว่าแอร์ มีใจให้ เพราะยิ้มนี่แหละ
ใครมีลูกมีหลาน อย่าสนับสนุนให้มาทำงานนี้เลย

บ้านช่องก็ไม่ค่อยได้อยู่ ร่างกายก็โทรมง่าย
ไหนจะต้องโดนบังคับให้โบ๊ะหน้าเข้มๆ บังคับให้นอนไม่เป็นเวลา
ต้องทำงานในที่ความกดอากาศต่ำๆ

ถือเหยือกน้ำ เหยือกกาแฟนานๆ ก็ปวดแขน ปวดข้อ
หลายคนมีปัญหาเรื่องกระดูกกระเดี้ยว ตั้งแต่อายุยังไม่มาก

วันร้ายคืนร้าย ก็เจอผู้โดยสารชายหื่นๆ ลวนลาม
บางทีก็กัปตันเองมั่ง สจ๊วตมั่ง อย่างในละครนั่นไง

ผมเคยสงสัยว่า ใครนะเป็นคนเรียกอาชีพแอร์โอสเตสว่าเป็นนางฟ้า
อนุมานเอาว่า เพราะมันเป็นงานที่ต้องบินไปบินมา ทำงานบนฟ้า ประการหนึ่ง
สอง.. เพราะคนสมัยก่อนจะทำอาชีพนี้ได้ อึดอย่างเดียวไม่ได้ ต้องสวยด้วย
สาม.. เพราะสมัยก่อน เวลาคนชมใครว่าสวย เป็นต้องบอกว่า สวย..เหมือนนางฟ้า

ขนาดครูเอื้อ สุนทรสนาน ยังแต่งเพลงที่เขาใช้ประกวดนางสาวไทยชื่อ "นางฟ้าจำแลง" เลย

จำได้ว่าผมขึ้นเครื่องบินครั้งแรกไปฮ่องกง ตอนอายุสิบสาม กำลังแตกเนื้อหนุ่ม
ไอ้ความตื่นเต้นที่จะได้นั่งเรือบินไปเมืองนอก กับได้เห็น "นางฟ้า" มันสูสีกันน่าดู

แต่จำได้ว่าไฟลท์นั้น ไม่เห็นนางฟ้าเลยสักองค์นึง เห็นแต่เมฆ ฮา...
นั่งเครื่องอีกหลายไฟลท์หลังจากนั้น ก็ยังไม่เจอ

จนเรียนจบใหม่ๆ ผมทำงานบริษัทใหญ่แห่งนึง เขาส่งไปประจำสาขาเชียงใหม่
มีงบให้เดินทางกลับบ้านปีละหกเจ็ดพัน ผมจำไม่ได้ คุณจะนั่งเครื่องบิน รถทัวร์ รถไฟ เขาก็ไม่ว่า

ผมเองไม่ค่อยได้กลับหรอก เพราะชอบอยู่เชียงใหม่มากกว่ากรุงเทพฯ
พอจะได้กลับครั้งหนึ่ง เลยลงทุนนั่งเฟิสต์คลาส การบินไทย มันซะเลย

กะว่า แอร์เฟิสต์คลาสนี่เขาต้องคัดมาอย่างดี นางฟ้าหน้าแฉล้มชัวร์ป้าดปานเว่ย

ผลคือแฉล้มสมใจคนรุ่นลุงเฉลิมน่ะ

เอ้า... ขำกันเข้าไป ... สมน้ำหน้าอีตาแอสตั้นมัน ฮา....

อ่ะ ก่อนไปมีเว็บใหม่มาแนะนำ สำหรับใครที่มีปัญหาชีวิต คิดไม่ตก อกตรม ขมขื่น สุดฝืนทน วนในกองทุกข์

ขอแนะนำเว็บชื่อ แสงดาวส่องทาง star for life มีมือดีคอยช่วยคุณไขปัญหาชีวิต ตามแนวทางธรรม แถมเช็คดวงชะตาให้ฟรี โดยหมอเอม

เข้าไปสมัครสมาชิก แล้วอ่านระเบียบการก่อนนะครับ จะได้ไม่วืด




 

Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2551 23:33:18 น.
Counter : 940 Pageviews.  

ของชั่วคราว



(ภาพ น้องคิมแตฮี )



(เพลงบ้านรักเรือนเรา ของ อ.ดนู จากอัลบั้มชุดเดิมกับบล้อคก่อน "เมื่อดอกซากุระบาน" ครับ)

หายไปหลายวัน ทั้งๆที่พยายามจะอัพบล็อคตั้งแต่เมื่อวันมาฆบูชา
ไม่ใช่ไม่มีเรื่องจะเขียนหรอกนะครับ
แต่เรื่องที่คิดว่าจะเขียนๆ พอมานั่งหน้าจอ กลับหลบหายไปเฉยๆ

เหมือนความคิดมันจะแสดงธรรมให้ผมเห็น ว่ามันก็ของชั่วคราวหรอกนะ

สองสามสัปดาห์ที่แล้ว ผมไปธุระที่ห้างไหนสักที่ จำไม่ได้ (ตามฟอร์ม)
จำได้แต่ว่าไปเข้าห้องน้ำแล้ว เห็นเครื่องชั่งน้ำหนักตั้งหน้าห้องน้ำ
คลำดูในกระเป๋า มีเหรียญบาทอยู่ เลยลองขึ้นไปชั่งดูเล่นๆ เพราะไม่ได้ชั่งนานแล้ว

ผลคือตกใจตาแทบถลน เมื่อเห็นว่าตัวเลขมันโชว์ว่า ผมหนัก "69" กก.

สำหรับคนสูงประมาณ 175 ซม. อย่างผม น้ำหนักเท่านี้ หลายคนบอกธรรมดา
แต่ที่ตกใจเพราะชีวิตนี้ ผมไม่เคยหนักเกิน 64 กก.
แปลว่า หลายเดือนที่ผ่านมา ผมค่อยๆทำน้ำหนักขึ้นไปโดยไม่รู้ตัว

มองแบบนักเรียนวิปัสสนา ร่างกายเขาแสดงธรรมให้ผมดูว่า
ความผอม ก็ของชั่วคราวอีกนะ นายแอสตั้น

ผมเคยเล่าว่า ไปเดินห้างก็ปฏิบัติธรรมได้ จำได้ไหมครับ
เห็นอะไรชอบ รู้ว่าชอบ อยากได้ รู้ว่าอยาก
ถ้ามีสติแล้ว รู้ว่าสมควรซื้อ ก็ซื้อ ถ้าไม่สมควร ไม่จำเป็น ก็ไม่ซื้อ

หลังๆนี่ ผมไปห้างแล้วสังเกตเห็นอะไรอีกอย่าง
คือสาวๆสวยๆน่ารักๆ หลายคนที่ผมเห็นสมัยนี้ มักจะเป็นพวกคุณหนูที่เดินกับแม่

แต่คุณหนูประเภทนี้เขย่าใจผมลำบากครับ
เพราะผมจะถือคติว่า ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่

ถ้าอยากรู้ว่าสาวสวยคนนั้นเจริญวัยไปถึงอายุนึงแล้วจะมีสภาพอย่างไร
ก็เหลือบดูที่คุณแม่ที่เดินข้างๆ ก็รู้แล้วว่า ความสวย ความงาม ก็ของชั่วคราวนะ

อันนี้ไม่เว้นน้องคิมแตฮี นางแบบประจำบล็อคนี้ของผมหรอก
หรือตัวคุณผู้อ่าน ตัวผมเองก็เหมือนกัน

ถ้าเราคอยสังเกต ตามรู้ตามดูบ่อยๆ จะเห็นว่าโลกนี้ มีแต่ของชั่วคราว
อย่าว่าแต่กาย ใจ เราเลยครับ

แค่คุณนั่งมองเมฆ มองฟ้า มองพระอาทิตย์ พระจันทร์ คุณก็เห็นได้
ว่ามันเปลี่ยนไปๆเรื่อยๆ ไม่เคยอยู่นิ่งคงที่

แล้วย้อนเข้ามามองตัวเอง ในแต่ละวันเรามีอารมณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง
ไม่มีใครมีสภาวะอารมณ์เดียว ตั้วแต่ตื่นจนหลับหรอก ใช่ไหมครับ

ไม่เชื่อผม ลองพกกระดาษโน๊ตไว้แผ่นนึงสิครับ
แล้วจดดูตั้งแต่ตื่นจนก่อนจะเข้านอน ว่าคุณมีความรู้สึกอะไรผ่านเข้ามาบ้าง
รู้ปุ๊บ จดไว้ รู้ปุ๊บ จดไว้ ลงเวลาไว้ด้วยก็ดี

อันนี้ยกเว้นพวกเข้าฌาน เพ่งจนจิตนิ่งสนิทนะ

ถ้าตั้งใจจดจริงๆ คุณจะพบว่าในแต่ละวัน อารมณ์ที่โผล่เข้ามาในจิตเรา
มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่เคยนิ่งคงที่

แม้แต่คนขี้โมโห ก็จะเห็นว่า ความโมโหมันไม่ได้คงที่เป็นเส้นระนาบเดียว
แต่มันขึ้นๆลงๆ ตามเหตุที่มากระทบ

อย่างสมมติ คุณขับรถไปทำงาน จอดอยู่ดีๆ มีรถมาชนท้าย
โดยธรรมชาติเลย คุณต้องโมโห หงุดหงิด โกรธ ใช่ไหมครับ

ถ้าเปิดประตูลงไปโกรธๆอยู่ คนขับมาชนท้ายเปิดลงมาเหมือนกัน
เกิดเห็นหน้า.. อ๊ะ.. เป็นจั๊กจั่น คิมแตฮี หรือแพนเค้ก
ผมว่าความโกรธมันคงหายไปเกินครึ่งแหละ

หรือมันมีอีกตั้งหลายอารมณ์ที่เราเผลอ ไม่ทันได้จด อย่างไอ้ความคิดนั่นแหละ
แต่ถ้าคุณขยันจดไปเรื่อยๆ ครบอาทิตย์นึง คุณอาจประหลาดใจว่า
คุณเห็นอารมณ์ได้มากขึ้น บ่อยขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากอาทิตย์นึง ถึงคุณจะไม่จดแล้ว คุณอาจจะเห็นจิตมันทำงานได้บ่อยๆ
เห็นว่าทุกการทำงานของมัน เป็นของชั่วคราว เป็นเรื่องที่คุณไม่เคยจงใจบังคับให้เกิดเลย

ผมเชื่อว่า ไม่เคยมีคนขี้โมโหคนไหน ตั้งใจว่าจะโมโห
ตรงกันข้าม มีแต่คนพยายามจะไม่โมโห แต่บังคับไม่ได้

หรือบังคับได้ชั่วขณะ ชั่วครั้ง ชั่วคราว ด้วยกำลังสมถะ ด้วยความคิดดีๆ
ไม่ใช่บังคับได้ถาวร จริงๆ หรอกนะ

เรื่องการมองเห็นโลกนี้เป็นของชั่วคราว เป็นเรื่องสำคัญ และมีประโยชน์มากนะครับ
เพราะอาจารย์ผม ท่านบอกว่า พระโสดาบันไม่ได้เห็นอะไรพิสดารมากมาย
แค่เห็นตามความเป็นจริง ว่าทุกสิ่งเกิดขึ้น แล้วดับไปเป็นธรรมดา
เห็นว่าทุกอย่างเป็นของชั่วคราว

ท่านว่า เพราะเห็นความจริง จึงเบื่อหน่าย
เพราะเบื่อหน่าย จึงคลายกำหนัด (ความอยาก)
เพราะคลายกำหนัด จึงปล่อยวาง
และ..เพราะปล่อยวางจึงหลุดพ้น

การเห็นโลกนี้เป็นของชั่วคราว จึงเท่ากับเป็นจุดตั้งต้นของการหลุดพ้นดีๆนี่เองครับ

อ่านแล้วง่วง ก็รู้ว่าง่วงไว้นะครับ
จะได้รู้ด้วยว่า ความไม่ง่วงนั่นก็ของชั่วคราวครับ




 

Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2551 20:07:28 น.
Counter : 1282 Pageviews.  

Day After Valentine



(ภาพ: ไม่ทราบแหล่งที่มาและตากล้อง แต่อย่ามองมาที่ผมละกัน)



(เพลง: แสนสุขสม จากอัลบั้ม เมื่อดอกซากุระบาน โดย อ.ดนู ฮันตระกูล)


และแล้ว วันวาเลนไทน์ก็ผ่านไปอีกปี

ทีแรกผมก็นึกว่าจะนั่งเขียนบล็อคเรื่องความรักสักอัน
ปรากฏว่าโดนมรสุมรุมกระหน่ำจนจมอยู่ในโต๊ะทำงาน
กว่าจะได้กลับบ้านก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มกว่า

เขียนวันวาเลนไทน์ไม่ทัน ก็เขียนวันหลังวาเลนไทน์ก็ได้นิ

ผมเห็นคนฉลองวาเลนไทน์กันสมัยนี้แล้วนึกโชคดีที่แก่ทันเวลา
เพราะถ้ายังวัยรุ่นอยู่ เห็นทีจะต้องต้มก้านกุหลาบกินต่างข้าว

ดอกไม้ดอกละร้อยนึงเงี้ย ตอนยังเรียนหนังสือผมไม่มีปัญญาแน่ๆ

ผมจำไม่ได้ (ตามฟอร์ม) ว่าไอ้วาเลนทง วาเลนไทน์นี่
มันเริ่มมีอิทธิพลกะชีวิตผมตั้งแต่เมื่อไหร่

จำได้แต่ว่า สมัยก่อน ผมเป็นพวกองุ่นเปรี้ยว
เพราะวาเลนไทน์ทีไร คนอื่นเขามือซ้ายถือกุหลาบ ถือช็อกโกแลต มือขวาจูงแฟน

ส่วนผมเอง เดินคนเดียวมือซ้ายถือแห้ว มือขวาถือท้อ
เจอใครเราก็พูดไปสิ.. แหม มันช่างเป็นเทศกาลที่ไร้สาระจริงๆ .. น่านนนน

ถามว่าแล้วตอนนี้ล่ะ คุณแอสตันยังคิดว่าไร้สาระอีกไหม
ตอบว่า ไม่ แล้วผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นวันที่ดีเลยนะ
รู้สึกเหมือนไปไหนคนก็คิดแต่เรื่องความรัก ดีกว่าเกลียดกันน่ะ

เพียงแต่แทนที่จะไประดมทรัพยากรอะไรให้กันในวันเดียว
เรามาทำทุกวันที่ได้เจอ ได้อยู่ด้วยกัน ให้มันเป็นวาเลนไทน์ดีกว่าไหมครับ

เอาใจใส่ดูแล ให้เวลา ให้ความสำคัญ เอาใจเขามาใส่ใจเรา พูดกันดีๆ
แล้วก็ลดความสำคัญเรื่องวัตถุ ไปเป็นการให้ความรัก ความเข้าใจกัน

ที่สำคัญ อย่าให้มันกลายเป็นวันเสียตัวแห่งชาติ อย่างที่เขาลงข่าวกันทุกปีเลย

วันวาเลนไทน์ สำหรับใครหลายคน ก็เหมือนวันวินาศสันตะโรทางชีวิต
เพราะเป็นวันที่นักสับรางทั้งหลาย มักจะถึงคราวอับจน

บางคนแฟนบอกเลิก เพราะจับได้ว่ามีคนอื่น อันนี้ก็กรรมของคุณนะครับ
แต่ใครต้องเลิกกับแฟนเพราะแฟนเลือกจะไปเดทกับคนอื่น
หรือไม่มีแฟน หรือเพราะอะไรก็ตามแต่ ที่ทำให้โสด

ขอแนะนำว่า ให้ลองมองคู่อื่นด้วยความยินดี
แอบอิจฉาเล็กๆได้พองาม แต่อย่าลามปามมากเพราะเรานั่นแหละ จะทุกข์เอง

แล้วก็มีมุฑิตาจิต คือยินดีที่ผู้อื่นได้ดี มีสุข
ที่สำคัญ อย่ารู้สึกแย่กับตัวเองนะครับ

ราวๆสามปีก่อนมีหนังแนววินาศสันตะโรเรื่องนึง ชื่อ Day After Tomorrow ออกฉาย

เป็นเรื่องของโลกในอนาคตอันใกล้ ที่คนเขียนบทจินตนาการว่า
ไอ้ภาวะโลกร้อนมันออกฤทธิ์ จนปั่นป่วนและเกิดมหาวิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่
ขนาดนิวยอร์คโดนน้ำท่วมจมหายไปทั้งเกาะแล้วกลายเป็นเมืองน้ำแข็งน่ะ

หนังสนุกมากครับ เชื่อว่าหลายท่านเคยผ่านตากันไปแล้ว
แล้วถึงจะสร้างภาพมหันตภัยเสียใหญ่โต หนังก็ไม่ลืมจะให้ความหวังเราว่า

ธรรมชาติ มันมีวิธีรักษาสมดุลของมันเสมอ
หลังจากมหันตภัยผ่านไป โลกก็จะค่อยๆปรับตัว
คืนกลับมาเป็นโลกที่สวยงามยิ่งกว่าเดิม

ชีวิต ก็เป็นเช่นกัน เพราะเราต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ของโลกใบนี้

ก่อนหน้าจะมาเขียนบล็อคนี้ให้จบ
ผมบังเอิญแวะไปเจอบล็อคนึงมา
เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักติดอันดับบิลบอร์ด Hot 100 สบายๆ

เธอเขียนบล็อคเป็นคล้ายๆนิยาย เล่าเรื่องของเธอที่น้ำตาตกอกไหม้
เพราะแฟนหนุ่มปันใจไปให้หญิงที่เธอรู้สึกว่า เธอไม่มีอะไรเทียบได้ ในวันวาเลนไทน์เนี่ยแหละ

ผมไปตอบไว้แบบนี้ครับ

นี่เรื่องจริง หรือนิยายครับนี่ ^^"
เขียนดีจนชักไม่แน่ใจ

สมมติว่าเป็นเรื่องจริง .. อยากบอกคุณว่า

บางครั้ง และบ่อยครั้ง ที่การสูญเสียบางสิ่งไป
มันคือโอกาสให้เราได้พบสิ่งใหม่ที่ดีกว่า..นะ

อย่ามองแต่ด้านที่เราเสีย ให้มองในด้านดีไว้บ้าง

(พระพุทธเจ้าบอกว่า)
คนที่ร่าเริงอยู่กับความชั่วที่ตัวเองทำ ราวกับได้ลิ้มรสหวานของน้ำผึ้ง
ก็คือคนที่ยังไม่ได้รับผลกรรมของตัวเอง เท่านั้นแหละ

คุณเสียแค่ผู้ชายห่วยๆออกจากชีวิตไปคนนึง
อยากเสียดาย..ได้ ร้องไห้ก็ได้ มันเรื่องธรรมดาของคนอยู่ในสถานะนี้

แต่อย่าเสียใจ หรือเสียเวลาที่จะใช้ชีวิตให้ดีกว่าที่เคยเป็นมา
การไปนั่งจมกับความเศร้า เพราะคนที่ไม่ได้รักเรา
นานแค่ชั่วลมหายใจเดียว ก็มากเกินไปแล้ว

ในวันที่เขายังอยู่ เราหายใจเข้าออกทางจมูก
พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก ตกทางตะวันตก

ในวันที่เขาเลือกจะไปแล้ว
เราก็ยังหายใจเข้าออกทางจมูก เหมือนเดิม
พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก ตกทางตะวันตก เหมือนเดิม

โลกไม่ได้สะเทือน เพราะผู้ชายห่วยๆคนนึงจะเลือกเดินจากใครไป
ใจเราต่างหาก ที่สะเทือนเพราะการให้ค่าของเราเอง

มันไม่สำคัญว่า คุณดีหรือด้อยกว่าใครหรอก
มันสำคัญที่ว่า คุณเป็นแบบที่คุณเป็น ให้ดีที่สุด ให้เต็มศักยภาพหรือยัง

อย่าไปหวังให้ใครเห็นค่าของคุณ
ถ้าคุณยังไม่เห็นค่าของตัวเอง... นะครับ

หายไวไวล่ะ


ในวันที่ทุกข์ที่สุด ถ้าเคยฝึกเจริญสติมา จะเห็นคุณค่าของมันเป็นอย่างยิ่ง
แต่ถ้าวันนี้ ยังไม่ได้เริ่ม ไม่ได้หัด ก็ไม่เป็นไร รู้สึกตัวไว้

แล้วจะเห็นว่า ธรรมชาติมันมีกลไกของมันเองในการปรับสมดุล
มันทุกข์ได้ มันก็คลายจากทุกข์ได้เอง
มันสุขได้ มันก็หมดไปได้ เช่นกัน

สิ่งสำคัญคือ..
เราไม่ได้ฝึกมีสติ รู้สึกตัว ให้ทุกข์มันดับนะ
เราฝึกรู้สึกตัว เพื่อให้เห็นความจริงว่า

ทุกข์มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ ทนอยู๋สภาพเดิมไม่ได้ และบังคับมันไม่ได้หรอก

สุขสันต์วันหลังวาเลนไทน์ครับ




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2551 23:22:24 น.
Counter : 865 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.