Group Blog
 
All blogs
 

ชาติโน้น ชาตินี้ ชาติหน้า



ถ้าจะมีรางวัลอีกสาขาที่ผมอาจจะเหมาะควรจะได้
ก็คงเป็นสาขาการใช้ภาพประกอบจาก FWD mail ยอดเยี่ยม เอิก..

รูปนี้เช่นกัน ผมชอบ มันสวยดี แต่ไม่ทราบว่าต้นทางที่มาเป็นฝีมือใคร
ที่แน่ๆ ไม่ใช่ผมถ่าย และก็ต้องคารวะเจ้าของไว้ ณ ที่นี้

มีผู้อ่านท่านนึงหลังไมค์ไปถามว่า..
''สนใจเรื่องการกลับชาติมาเกิด'' เคยอ่านที่พระหลายรูปกล่าวถึงการเวียนว่ายตายเกิด โดยส่วนตัวยังไม่เชื่อร้อยเต็มแต่ก็คิดว่าอาจจะมีจริงเท่านั้น แล้วคุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดคะ?ขอบคุณค่ะ

เรื่องคนเราเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดใหม่อีกจริงหรือไม่
เป็นหนึ่งในหัวข้อที่คนสนใจมากที่สุด เวลาคุยกันเรื่องศาสนา

ถ้าตอบคุณตรงๆ ผมเชื่อครับ เชื่อโดยการไตร่ตรองมาแล้วด้วย
ตอบแบบกำปั้นทุบดิน..เพราะผมเชื่อในพระพุทธเจ้า
ผมเชื่อว่าท่านไม่เคยพูดในสิ่งที่เกินจากความจริง

สองพันห้าร้อยกว่าปีก่อน ท่านบอกไว้ว่า ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์

สองพันห้าร้อยกว่าปีที่ผ่านมา
มีปีไหนที่ความรัก ไม่ทำให้คนทุกข์เลย มีไหมครับ

ท่านบอกว่า สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้น ย่อมดับไปเป็นธรรมดา
ท่านบอกว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุและปัจจัย เมื่อเหตุและปัจจัยดับ สิ่งนั้นย่อมดับไปด้วย

คุณอาจจะแย้งในใจว่า อันนั้นฟังดูปรัชญา ไม่น่าเกี่ยวนะคุณแอสตัน

งั้นผมพูดใหม่.. คุณเชื่อไหม ว่า..
พระพุทธเจ้าพูดเรื่องเซลส์ตั้งแต่สองพันห้าร้อยปีก่อน
ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีใครรู้จักกล้องจุลทรรศน์

ไปถามผู้รู้เรื่องพระไตรปิฎกดูนะครับ

พระพุทธเจ้าแจกแจงเรื่องโลก จักรวาล ได้ถูกต้อง ตั้งแต่ครั้งกระโน้น
ตั้งแต่ยังไม่มีใครเคยออกไปนอกอวกาศ ตั้งแต่สมัยที่ฝรั่งยังเชื่อว่าโลกแบน

พระพุทธเจ้า เคยพูดถึงกำเนิดของชีวิต ว่าจะเริ่มมาจากเซลส์เล็กๆในครรภ์มารดา
แล้วมีวิญญานมาจุติลงในเซลส์นั้น

สมัยนั้นก็เหมือนสมัยนี้แหละ.. ใครที่ไม่เชื่อในพระพุทธเจ้า ก็คงคิดว่าท่านโม้
เหมือนที่หลายคนในวันนี้ไม่เชื่อว่า
ท่านมีญานทัศนะ เห็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต

เคยมีน้องๆ แย้งผมว่า.. อ้าว.. ก็ท่านเป็นผู้สอนกาลามะสูตร
ไม่ให้เชื่อเพียงเพราะเขาเป็นอาจารย์ แต่ให้ไตร่ตรองไคร่ครวญดูก่อนไง

งั้นมาไคร่ครวญกันอีกสักหน่อย.. อย่าเพิ่งเบื่อละกัน

ใครเคยอ่านงานของพี่ดังตฤณบ้างครับ
ท่านผู้นี้เป็นผู้มีความสามารถในการอธิบายเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดได้ ชนิดหาใครเทียบยาก

ในหลายๆครั้ง หลายๆคราว ท่านอธิบายว่า ..
ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ตั้งบนความเชื่อ เรื่องของเหตุและผล

เราเชื่อว่า.. ทุกอย่างในโลกนี้เกิดขึ้นเพราะเหตุ ไม่เหตุใดก็เหตุหนึ่ง
ถ้าไม่มีเหตุ จะไม่มีผลที่เราเห็น ไม่มีควันอะไรเกิดขึ้นเฉยๆ โดยไม่มีไฟ หรือที่มา

พุทธแท้ๆ เราไม่เชื่อเรื่องความบังเอิญนะครับ
ต้องเชื่อแบบนี้เป็นหลักให้ตรงกันก่อน ..

แล้วเราลองมาสังเกตว่า .. ทำไมคนเราเกิดมามีชีวิตพิสดารต่างกันได้หลายหลาก

ทำไมบางคนเกิดมาโชคดีตั้งแต่เกิดจนตาย
ขณะที่บางคนโชคร้ายตั้งแต่ลืมตา จนตายก็ยังไม่มีที่เผา
ทำไมบางคน เกิดมาโคตรจน แต่ยิ่งแก่ยิ่งรวย
บางคนเกิดมาโคตรรวย แต่ยิ่งแก่ ยิ่งจน

ทำไมบางคนผิวพรรณผุดผ่อง หรือหมองคล้ำ ต่างจากพี่น้อง
บางคนพ่อแม่สูง ลูกเตี้ย บางคนพ่อแม่เตี้ย ลูกสูง

ทำไมบางคนโชคดีทุกอย่าง แต่โชคร้ายเรื่องสุขภาพ หรือคนรัก
อย่างเพื่อนผมท่านนึง เกิดในตระกูลที่ดี มีสัมมาทิษฐิ ร่ำรวย บ้านใหญ่ยังกะวัง
ไม่ต้องทำงานก็มีกินสุขสบายไปตลอดชาติ ตัวเองก็เป็นคนดี มีศีล มีธรรม มีน้ำใจ

แต่อยู่มาวันนึง ก็ป่วยเป็นโรคประหลาด
มีอาการอ่อนเพลียโดยไม่รู้สาเหตุ ต้องนอนซม รักษายังไงก็ไม่หาย
ไปหาหมอที่เก่งที่สุดในประเทศมาครบทุกโรงพยาบาลแล้ว ก็ไม่มีคำอธิบายถึงสาเหตุ

อะไรจำแนกชีวิตคนเราให้พิสดารได้ขนาดนั้น

จะบอกว่ามันเป็นเรื่องของ "ความบังเอิญ" ก็พูดได้
แต่ลองนึกดูดีๆเถอะ คนเรามันจะบังเอิญกันได้บ่อยขนาดไหน

คำตอบง่ายๆ แต่มีน้ำหนักชัดเจนกว่า ในทางพุทธ คือมันเป็น "กรรม"

ส่วนมากพูดว่า "กรรม" เราจะรู้สึกถึงความหมายในทางไม่ดี
เวลาบอกว่าคนนั้น คนนี้โชคดี เราเรียกว่า "มีบุญ"
เวลาบอกว่าคนนั้น คนนี้โชคร้าย เราเรียกว่า "มีกรรม"

ที่จริงแล้ว กรรม แปลว่า การกระทำ เฉยๆเลยครับ
ทำเรื่องดี ก็เรียกว่าทำกรรมดี ทำเรื่องไม่ดี ก็เรียกว่าทำกรรมชั่ว

ถ้าเราเชื่อว่า ทุกอย่างเป็นผลมาจากเหตุ ก็ต้องเชื่อว่า
การเกิดในตระกูลดี ก็เพราะมีกรรมดี เป็นเหตุที่ส่งเสริมเขาให้ได้ผลนั้น
การเกิดในตระกูลไม่ดี ก็เพราะมีกรรมไม่ดี เป็นเหตุที่ส่งเสริมเขาให้ได้ผลนั้น

การเกิดมามีรูปร่างสมบูรณ์งดงาม ก็เพราะมีกรรมดีเป็นเหตุที่ส่งเสริมเขาให้ได้ผลนั้น

การเกิดมาไม่สมบูรณ์ ไม่งดงาม ก็เพราะมีกรรมไม่ดีเป็นเหตุที่ส่งเสริมเขาให้ได้ผลนั้น

ฉะนั้น ถ้าไม่มีชาติก่อน จะเอาเหตุที่ไหน มากำหนดชาติกำเนิดคนตั้งแต่ต้น

มาถึงตรงนี้..จะบอกว่า.. กรรม มี 2 ส่วนนะครับ ส่วนที่เป็นกรรมเก่า
ทั้งจากชาติก่อนๆ และอดีตของชาตินี้ กับกรรมปัจจุบัน

อยากบอกว่า.. คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อเรื่องชาติที่แล้ว ชาติหน้าก็ได้
ถ้าคุณเชื่อเรื่องกรรม เชื่อว่าทำกรรมดี ให้ผลดี ทำกรรมชั่ว ให้ผลชั่ว
แล้วคุณฝักไฝ่ในการทำความดี ละเว้นความชั่ว ก็เท่ากับคุณเดินบนทางที่ถูกต้องแล้ว

ธรรมชาติเขาทำให้เราลืมเรื่องเก่าจากอดีตชาติ ก็ดีแล้ว
เพราะพระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราอยู่กับปัจจุบัน เป็นสำคัญ

เพราะ.. ขึ้นชื่อว่า "อดีต" ไม่ว่าจะของชาติก่อนโน้น หรือชาตินี้
มันก็คืออดีต เราทำอะไรกับมันไม่ได้หรอก

เหมือนเมื่อวาน คุณเอารถไปเฉี่ยวเสาไฟฟ้าหน้าบ้าน
อันนั้นเป็นความซุ่มซ่ามในอดีต ที่เราย้อนไปทำอะไรไม่ได้

หน้าที่เราปัจจุบัน คือดูแลแจ้งประกัน แล้วก็วางแผนเอารถไปทำสี
ไม่ต้องโกรธตัวเอง ที่ซุ่มซ่าม เอาแค่มีสติรู้ว่าควรรีบทำอะไรต่อไป

ไม่ต้องฟูมฟาย รู้สึกหงอย เพราะทำรถสีถลอกมาแล้วห้าสิบรอย
ไม่ต้องแม้กระทั่งไปกังวลว่า พรุ่งนี้ ฉันจะเฉี่ยวเสาไฟฟ้าต้นเดิมไหม
แต่เอาเป็นว่า คราวหลังตั้งสติให้ดีทุกครั้ง เวลาอยู่หลังพวงมาลัย

ฉันใดฉันนั้น.. ชาติก่อนก็ช่างมัน ชาติหน้า ก็ช่างมัน อยู่กับชาตินี้ให้ดีที่สุด..พอแล้ว
พระพุทธเจ้าใช้คำว่า จงอยู่ด้วยความไม่ประมาท คือให้เรามีสติ

ที่เราเห็นคนพูดว่าไป "ปฏิบัติธรรม" ไป "วิปัสสนา" ไป "ภาวนา" ฯลฯ
ทั้งหมด ว่ากันโดยแก่นแท้แล้ว พูดเรื่องเดียวกัน
คือการฝึกมีชีวิตอยู่ด้วยความมีสติ

พูดถึงตรงนี้ รับรองมีอีกหลายคนงง เพราะส่วนมากคิดว่า
การปฏิบัติธรรม วิปัสสนา แปลว่านั่งสมาธิ

ส่วนมากเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมเป็นกิจกรรมที่ทำเฉพาะในวัด

ไว้บล็อคหน้า จะเล่าว่า.. ที่จริงแล้วมันเป็นยังไง

ขอไปเตรียมรายการบ่ายนี้ก่อนนะครับ




 

Create Date : 06 มกราคม 2550    
Last Update : 8 มีนาคม 2554 0:07:54 น.
Counter : 1304 Pageviews.  

การเดินทางของคนป่วย



เหมือนเช่นเคย.. รูปนี้ได้จาก FWD mail ที่จำไม่ได้กระทั่งว่าใครส่งมาให้
ฉะนั้น ป่วยการจะถามถึงว่า.. ใครเป็นคนถ่าย

แต่ขอได้รับการคารวะจากผมมา ณ ที่นี้

ผมเป็นคนชอบไปอยู่ในที่สงบๆ สวยๆ เย็นๆ แบบในรูป
ผมชอบรูปทะเลหมอก มากเป็นพิเศษ เพราะผมยังไม่เคยเห็นมันเลยกับตาจริงๆ
เห็นแต่ในรูป และคำร่ำลือ ว่าเมืองไทย มีทะเลหมอกที่สวยที่สุดแห่งนึงของโลก

ช่วงนี้ มีเพื่อนๆกลุ่มนึงของผม เขาไปเที่ยวภูชี้ฟ้ากันมา น่าอิจฉาเป็นยิ่งนัก

เอาวะ .. ไม่ได้ไปดูทะเลหมอก ก็ไปดูวิวทะเลหัวหินแทน
ผมชอบนั่งมองน้ำครับ จะเป็นแม่น้ำ ลำคลอง ทะเลสาบ หรือทะเล ก็ได้
ผมสามารถนั่งในมุมดีๆได้เป็นวันๆ เพียงเพื่อจะดูฟ้า ดูน้ำ
โดยไม่ต้องทำอะไรเลย

ปัญหาของผมมีสามอย่างครับ
คือผมไม่ค่อยมีเวลา หยุดติดกันหลายๆวัน หรือถ้ามี ก็เอาไปฝึกภาวนาที่วัดซะ

สอง.. ผมเป็นมนุษย์พันธุ์ที่ไม่วางแผนไปเที่ยวล่วงหน้านานๆ
วันไหนนึกได้ว่า ว่าง อยากไปไหนก็กระโดดขึ้นรถไปเลย

สามคือ.. ผมพบว่าการไปไหนคนเดียวมันไม่สนุกนัก
แต่ผมก็ไม่รักจะไปไหนกับคนกลุ่มใหญ่ๆ ถ้าไม่ใช่คอเดียวกันจริงๆ

สมัยมีแฟน ก็เลยชอบไปกับแฟนสองคน
หลังๆมา คนที่สนิทๆกัน ก็ไม่สะดวกจะไปไหนกับผมข้ามวัน ข้ามคืน

ผมพอมีเพื่อนอยู่บ้าง แต่ปัญหาคือ
เพื่อนผู้ชายที่สนิทพอจะทำอะไรเพี้ยนๆแบบนี้ ถ้าไม่มีครอบครัวไปแล้ว
มันก็มักจะมีรสนิยมการเที่ยวคนละแบบกับผม คือมันไม่สนุกที่ไปกันสองคน

ยิ่งสมัยที่วัฒนธรรมโบรกแบ้คเมาเท่นเฟื่องฟู
ผู้ชายไปกันสองคน เผลอๆจะถูกมองมากกว่า ชายไปกะหญิงซะอีก

หรือไม่ก็หาเวลาตรงกันลำบาก เพราะทุกคนก็มีธุระส่วนตัว
ส่วนมากถ้าชวนก็จะโดนด่าว่า จะไปไหน ทำไมไม่รู้จักบอกล่วงหน้า

เพื่อนกลุ่มที่ไปภูชี้ฟ้ามา เขาก็คงไม่ค่อยรักผมแล้ว
เพราะชวนไปไหน ก็ไม่ค่อยว่างตรงกับชาวบ้านเขาสักที

ชีวิตผมมันก็เรื่องมากแบบนี้แหละครับ

ที่จริงผมว่าผมเป็นคนง่ายๆ สบายๆนะ
แต่คนง่ายๆ สบายๆ เกินไป บางทีก็ง่ายจนคนอื่นเขาเอาใจยาก
เพราะมันไม่ค่อยเหมือนกับชาวบ้านเขา เอิก เอิก

อีกอย่างนึง "ง่าย" ของเรา มันอาจจะ "ยาก" ของคนอื่น
เหมือนบางคนบอกว่าหนังเรื่องนึง "ดี" แต่อีกคนบอกว่า "ห่วย"

ว่ากันว่า คนแต่ละคน "ไปเที่ยว" ที่เดียวกัน แต่อาจจะมีวัตถุประสงค์ ต่างกัน

บางคนไปเพื่อพักผ่อน ชาร์ตแบตชีวิต
บางคนไปเพื่อหาคำตอบบางอย่าง ที่การไปอยู่ที่แปลกหู แปลกตา จะช่วยได้
บางคนไปเพื่อใช้เวลา และมีกิจกรรมร่วมกับใครบางคน
บางคนไปเพื่อเติมประสบการณ์ บางอย่างให้ชีวิต

สถานที่เดียวกัน ภาพเดียวกันที่เราเห็น
จึงมีความหมายหลากหลาย ในจิตคนที่หลายหลาก

ถ้าเปรียบชีวิตเป็นการเดินทาง ก็อาจจะพบว่า
หลายคนที่มีจุดหมายปลายทางเดียวกัน
อาจมีจังหวะการดำเนินชีวิตเพื่อไปสู่จุดหมายนั้น ..ต่างกัน
และ ณ จุดหมายเดียวกันนั้น เราก็อาจมีวัตถุประสงค์ต่างกันได้หลายหลาก

สมมติ จุดหมายคือการมีครอบครัว
บางคนอยากมี เพราะจะได้ไม่เหงา
บางคนอยากมี เพราะเราอยากใช้ชีวิตกับคนที่เรารัก
บางคนอยากมี เพราะสังคมจะได้ไม่เพ่งเล็ง ว่าผิดปกติ
บางคนอยากมี เพราะอยากมีลูก อยากสร้างครอบครัว
บางคนอยากมี เพราะเชื่อว่าการมีครอบครัว ทำให้ชีวิตสมบูรณ์
บางคนอยากมี เพราะอยากสืบทอดวงศ์ตระกูล
บางคนไม่อยากมี แต่จำต้องมี เพราะไม่อยากขัดใจพ่อแม่

ไม่ว่าการเดินทางของชีวิตของคุณ จะมีจุดหมายที่ตรงไหน
ไม่ว่าวัตถุประสงค์ของการเดินทาง จะเพราะด้วยเหตุใด
ผมขอให้คุณโชคดี เดินทางอย่างปลอดภัย มีสติ และสมหวังในสิ่งที่ตั้งใจ

ช่วงนี้คนป่วยเยอะจัง

น้องๆที่ทำงานก็ป่วยเป็นหวัด ไอค่อกแค่กกันเป็นแถว

โทรไปสวัสดีเพื่อนๆน้องๆ ที่อุตส่าห์ส่ง sms มาอวยพรปีใหม่ ก็เจอคนป่วยซะสองคน

ตัวผมเองก็เจ็บคอมาตั้งแต่ปีใหม่ แต่ไม่มีไข้ ไม่ไอ
โชคดีที่ผมเป็นมาหลายหน เลยรู้ว่าต้องดูแลตัวเองยังไง
สองวันก็หายแล้ว

แต่คนป่วยใจนี่ท่าทางจะรักษายากกว่า

ขออนุญาตไม่แจกแจงในรายละเอียด เพราะเดี๋ยวคุณจะเข้าใจคลาดเคลื่อน
ว่าผมชี้นำให้ฝักใฝ่การเป็นโสด เหมือนคนโสดหลายคนเขาชอบพูด

บ๊ะ.. แล้วจะเขียนทำไมล่ะ คุณแอสตัน

แหะแหะ.. เอาน่า.. มันเกี่ยวกับหัวข้อไง เลยต้องพูดนิดนึง

บังเอิญ การเดินทางของชีวิต มันต่างกับการเดินทางปกติ ตรงที่ว่า

ถ้าเป็นการเดินทางปกติ ถ้าคุณรู้สึกไม่ดี คุณหยุดได้ คุณหันหลังกลับได้
คุณเหนื่อย คุณจอดรถ หยุดพักที่ไหนสักสองวันก็ยังได้

แต่ถ้าเป็นการเดินทางของชีวิต ไม่ว่าคุณจะดีหรือป่วย ชีวิตมันก็ยังดำเนินต่อไป
หน้าที่เราจึงไม่ใช่การรอให้มันดี หายป่วย แล้วค่อยใช้ชีวิต

แต่เป็นการดำเนินชีวิตให้ดีที่สุด ในข้อจำกัดที่มี ไม่ว่าจะดีหรือป่วย

ใครที่ป่วยอยู่.. ขอให้พระคุ้มครอง ให้คุณหายไวไวนะครับ

มีเพลงมาฝากสองเพลง แต่เอาต่อกันไม่เป็น งั้นก็แยกกันตามประสาโลว์เทคนะครับ

เพลงแรกเล่นอัตโนมัติ คือ California Dreamin ฉบับร้องใหม่
โดยสมาชิกดั้งเดิมของ The mamas & the Papa
เขาชื่อ จอห์น ฟิลลิปส์ครับ



เพลงสองเป็นร็อคคลาสสิคในปี 1967 ของ Procol Harum ชื่อ A Whiter Shade Of Pale ครับ อันนี้ต้องคลิกให้เล่นเองนะ




 

Create Date : 03 มกราคม 2550    
Last Update : 6 มกราคม 2550 11:02:27 น.
Counter : 1371 Pageviews.  

สวัสดีปีใหม่ no one is to blame



มีคนเอาขนมเค้กมาฝากผมทางเมล์ครับ
โอ้โห น่าทานเป็นบ้า เลยเอามาแบ่งให้ทุกท่านที่อุตส่าห์เข้ามาอ่าน
แบ่งกันทานคนละชิ้นนะ ไม่พอค่อยมารับใหม่

ปกติผมไม่ค่อยอินังขังขอบอะไรกับพวกเทศกาลเท่าไหร่นัก
ตอนเด็กๆ ที่ผมยังอยู่เชียงใหม่ กินใส้อั่วข้าวเหนียว จิ๊นปิ้งเป็นกิจวัตร
ได้กินข้าวซอย ขนมจีนน้ำเงี้ยว บ่อยกว่าข้าวกะเพราไข่เจียว
ตอนนั้น รู้สึกว่าสงกรานต์ และลอยกระทง มันมีความหมายจัง

พอมาอยู่กรุงเทพฯ สองเทศกาลที่ว่ามันก็จางๆลงไปมาก
คนกรุงเทพฯ ดูให้ความสำคัญกับคริสต์มาสและปีใหม่ฝรั่งมากกว่า

ที่น่าแปลกคือ ปีใหม่ปีนี้ ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรพิเศษ ที่ผมอธิบายไม่ถูก
ไม่ใช่เพราะระเบิดนะ

คือตอนวันที่ 30 ผมเลิกงานกำลังจะขึ้นรถกลับบ้าน
จิตผมเกิดรู้สึกขึ้นมาว่า มันมีกระแสบางอย่างอยู่รอบๆตัว
เป็นกระแสของความหวัง ความรู้สึกดีๆของผู้คนจำนวนมาก

กระแสจิตนี่มันมีจริงนะครับ ทุกคนก็ฝึกได้
ว่ากันว่าคนที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ทุกคน มีพื้นฐานของจิตที่ดีมาก่อน
อย่างน้อยก็ดีพอจะได้เกิดเป็นมนุษย์ เพียงแต่กรรมเก่าที่มี
บวกกรรมใหม่ที่ทำ มันตกแต่งชีวิตของแต่ละคนไปคนละทางสองทาง

ว่ากันในทางพุทธแล้ว จิตมนุษย์นี่ เป็นจิตที่มีคุณภาพสูงกว่าเทวดาเสียอีกนะครับ

เพราะเทวดา ท่านอยู่กับของทิพย์ ของสวยๆงามๆตลอดเวลา
ท่านจึงไม่มีความทุกข์ มีแต่ความเพลิดเพลินในความสุข
เลยหาเทวดาที่มีสติรู้สึกตัวเพื่อความเจริญในปัญญา จนเข้าถึงธรรม ยากมาก

ผมได้ยินครูบาอาจารย์ที่ผมนับถือ ท่านเคยแนะว่า
เวลาทำบุญอย่าไปอธิษฐานให้เกิดเป็นเทวดา หรือพรหม
ถ้าจะเป็น ก็เป็นเทวดา เป็นพรหมในภพของมนุษย์นี่แหละ
เพราะภพของมนุษย์เอื้อให้เราเข้าใจธรรมชาติของทุกข์ได้มาก

สัตว์ก็มีทุกข์นะครับ แต่ในกายภาพแบบเขา ปัญญาเขาเจริญได้ไม่เท่าเรา
เขาไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ เข้าใจธรรมที่มีคนถ่ายทอดไม่ได้

เพียงแต่ถ้าจะอธิษฐาน ก็ขอให้เราได้เกิดเป็นมนุษย์
ในครอบครัวที่ดี ในตระกูลที่มีสัมมาทิษฐิ แปลว่ามีความเห็นความคิดดี
ได้พบพระพุทธศาสนา ได้เจออาจารย์วิปัสสนาที่ดี

สำหรับพวกที่เชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดแบบผม
ไม่มีอะไรจะน่ากลัวเท่ากับการต้องไปเวียนวนใช้กรรมในภพอื่นๆ
แล้วกลับมาเกิดอีกที ในยุคที่ไม่มีพุทธศาสนาแล้ว

ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย

ปีใหม่แล้ว.. ผมขอส่งผ่านความสุข ความดี บุญกุศลที่ผมได้ทำมา
ไปให้ทุกท่าน ทั้งที่รู้จัก และไม่รู้จักกัน
ทั้งที่อ่านด้วยใจยินดี หรือมีแต่ความหมั่นไส้
ทั้งที่เชื่อในสิ่งที่ผมเขียน หรือไม่เชื่อ เพราะยังไม่ได้พิสูจน์

ขอให้ทุกท่านปลอดภัย ไร้โรคาพยาธิ
มีแต่ความสุข ความเจริญ ในทางโลก และทางธรรม นะครับ

ต้อนรับปีใหม่ด้วยเพลงที่ท่านกำลังฟังอยู่ ของ Howard Jones
เพลงนี้ชื่อ No One Is To Blame

เนื้อเพลงเขาบอกว่า
อาจมีหลายสิ่งที่มันไม่เป็นไปอย่างที่ใจเราหวัง
หลายครั้งเราอาจเจ็บปวดกับเรื่องเหล่านั้น ซึ่งบางทีคนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ

แต่เชื่อเถอะว่าคุณไม่ใช่คนเดียว ที่เจออะไรแบบนี้
และเชื่อเถอะ.. ว่ามันเป็นปกติของชีวิต ที่ไม่มีใครสมหวังไปทุกอย่าง ทุกเวลา
ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่บอกว่า ทุกข์ กับชีวิต มันเป็นของคู่กัน

และเชื่อเถอะว่า.. มันไม่มีใครที่คุณต้องนึกกล่าวโทษ ที่มันเกิดเรื่องแบบนี้

เอาเนื้อบางส่วนมาให้ดูครับ

you can look at the menu, but you just can't eat
คุณมองเห็นเมนู แต่คุณกินอะไรไม่ได้สักอย่าง

you can feel the cushion, but you can't have a seat
คุณสัมผัสได้ถึงเบาะที่อ่อนนุ่ม แต่คุณนั่งไม่ได้

you can dip your foot in the pool, but you can't have a swim
คุณเอาเท้าจุ่มลงในสระ แต่คุณว่ายน้ำไม่ได้

you can feel the punishment, but you can't commit the sin
อันนี้ ผมว่าผมเข้าใจ แต่ไม่กล้าแปล กลัวผิด ฮา.....

you can build a mansion, but you just can't live in it
คุณมีที่พักสวยหรูแต่เข้าอยู่ไม่ได้

you're the fastest runner but you're not allowed to win
คุณวิ่งเร็วที่สุด แต่เขาห้ามไม่ให้คุณเป็นผู้ชนะ

some break the rules, and let you cut the cost
บางคนเล่นนอกกติกา แต่โยนภาระให้คุณหาทางแก้

the insecurity is the thing that won't get lost
สิ่งที่แน่นอนที่สุดในชีวิตคุณ คือความไม่แน่นอน

you can see the summit but you can't reach it
คุณมองเห็นยอดเขา แต่ขึ้นไปไม่ได้

its the last piece of the puzzle but you just can't make it fit
มันคือชิ้นสุดท้ายของภาพปริศนา แต่คุณก็จบมันไม่ได้

doctor says you're cured but you still feel the pain
หมอบอกว่า คุณหายแล้ว แต่คุณยังปวดอยู่

aspirations in the clouds makes your hopes go down the drain
มีความไฝ่ฝันแต่มันแสนไกล ทำให้ความหวังค่อยๆไหลลงท่อ

แต่ลงท้าย เขาบอกว่า

no one, no one, no one ever is to blame
แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของใครหรอก

อย่ามัวแต่เสียเวลาโทษโน่น โทษนี่เลยนะครับ
ให้มันแล้วๆไปนะครับ

โชคดีปีใหม่ครับ




 

Create Date : 02 มกราคม 2550    
Last Update : 2 มกราคม 2550 10:23:23 น.
Counter : 1824 Pageviews.  

สงคราม เซนเซอร์ ในทัศนะของผม



ในหนังเรื่อง ทรอย ที่ออกเมื่อสักสองปีก่อน มีบทพูดตอนนึงแทงใจผมมาก

เขาบอกว่า
War is about old men talking and young men dying.

สงครามเป็นเรื่องที่คนแก่มีหน้าที่พูด แต่คนหนุ่มมีหน้าที่ตาย

เมื่อเร็วๆนี้ ในเมืองนอกมีหนังเกี่ยวกับสงครามออกฉายอยู่ 2 เรื่อง
เรื่องแรกคือ FLag Of Our Father ธงของพ่อเรา
กับ The Letter From Iwo Jima จดหมายจากอิโวจิมา

สองเรื่องนี้ มีจุดน่าสนใจตรงที่ กำกับโดย คลินท์ อีสต์วูดเหมือนกัน ทั้ง 2 เรื่อง

แถมยังสร้างจากเหตุการณ์ในสมรภูมิรบจริง ที่เกาะ อิโว จิมา เหมือนกัน
เพียงแต่ เรื่องนึงพูดเรื่องชีวิตทหารอเมริกัน อีกเรื่องพูดถึงชีวิตทหารญี่ปุ่น

ผมยังไม่ได้ดูเลยสักเรื่อง แต่อยากดูมาก
คนที่ดูแล้ว เขาบอกว่า เรื่องแรกดูยากกว่า แต่ไอ้จดหมายจากอิโวจิมา สนุกมาก

แต่เชื่อได้ว่าเป็นหนังดีทั้งสองเรื่อง เพราะบางสถาบันอย่างลูกโลกทองคำ
ถึงกับเสนอชื่อลุงคลินท์ ให้เข้าชิงผู้กำกับยอดเยี่ยมทั้งสองเรื่อง

เรื่องแรกท่าทางจะไม่ได้ฉายเมืองไทยแน่ๆ ส่วนเรื่องหลังยังพอมีลุ้น

พักหลังๆ บ้านเรามีปัญหาสองเรื่องที่ทำให้หนังดีๆ ไม่ค่อยได้เข้าฉาย
หนึ่งคือ แผ่นผี ทำให้ยอดคนดูหนังลดลง ทำให้ค่ายหนังและโรง
ต้องเอาชัวร์ชนิดขอระเบิดภูเขาเผากระท่อม กล่อมผี ขยี้ต่อมฮาเท่านั้น

มากกว่านี้ไม่ต้องคอย น้อยกว่านี้ไม่เอา

ปัญหาที่สองคือเซนเซอร์ครับ หนังบางเรื่องอย่าง Syrianna โดนแบน
ด้วยเหตุผลว่า คุณแม่ทางเมกา..ไม่ปลื้ม

บางเรื่องอย่าง Borat ซึ่งเป็นหนังตลกที่ทำเงินถล่มทลายในเมืองนอก
ก็ทำท่าจะโดนหั่นจนเหี้ยนไปอีกเรื่อง

หนังเรื่อง Thank You For Smoking ซึ่งจริงๆแล้ว
เป็นหนังที่กัดจิกบรรดาบริษัทบุหรี่ยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย
พูดภาษาชาวบ้านก็เรียกว่า ตบหน้าบริษัทบุหรี่นั่นแหละ
ก็ไม่ผ่านเซนเซอร์ครับ



คือในเรื่องมันสูบบุหรี่กันเยอะ (ก็เขาจะพูดเรื่องบุหรี่นี่นา)
พี่เซนเซอร์บ้านเราก็จะให้ทำฟุ้ง ทำเบลอกันท่าเดียว

คนจะเอาเข้าฉาย เขาก็ถอดใจ เพราะเขาทำไม่ไหว มันเยอะเกิน
ฉายไป เผลอๆค่าตั๋วจะไม่พอค่าจ้างทำเบลอ กับค่าล้างอัดฟิลม์ใหม่

อันนี้เป็นแค่ตัวอย่างที่ผมรู้ ไอ้ที่ไม่รู้ก็คงมีอีกหลายเรื่อง

ว่าโดยความเห็นส่วนตัวของผมนะ
วิธีคิดของเซนเซอร์บ้านเรา ก็คล้ายคนที่ทำให้เกิดสงครามนั่นแหละ

คือคิดว่า ฉันมีหน้าที่แบบนี้ ฉันก็ทำตามตัวหนังสือที่มีคนสั่ง คนเขียนมา
ไม่ได้คิดว่า ไอ้ที่ทำไปมันเพื่อวัตถุประสงค์อะไร ตรงกับเจตนารมณ์กฏหมายไหม

เขาให้เบลอฉากบุหรี่ เพราะต้องการต่อต้านการสูบบุหรี่
ก็สนใจแต่เรื่องเบลอ จนในที่สุด หนังที่เป็นคุณประโยชน์ในการต่อต้านการสูบบุหรี่
ก็ไม่ได้ฉาย จะสมใจใครหรือเปล่า อันนี้ผมไม่ทราบนะครับ

ส่วนคนที่คิดว่าจะทำสงคราม ก็คิดแต่ว่า
ลูกผัวใครจะต้องไปล้มตายไม่สำคัญ ขอให้ฉันได้ชื่อว่าเป็นผู้นำทัพไปสู่ชัยชนะ

เจตนารมณ์ในการทำสงครามมันน่าสนใจนะครับ
เพราะเจตนารมณ์ที่มักจะถูกอ้างถึง คือ
เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของประชาชน เพื่อชาติ
แต่ผมเห็นสงครามระเบิดทีไร ประชาชนเดือดร้อนทุกที

บางสงครามทำเพื่อความเป็นเอกราช ปลดปล่อยจากความเป็นทาส การถูกกดขี่
อันนี้ก็จำต้องยอมรับว่าจำเป็น

แต่บางสงครามทำเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ ของอาณาจักร
อย่างกรณีญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมันทั้งสองครั้ง

แม้แต่อเมริกาทำสงครามในเวียดนาม ในอิรัค
หรือภาคใต้ของเราอันนี้ก็น่าเศร้า

เคยมีคนบอกว่า
พวกที่เกิดในประเทศที่ไม่ค่อยมีสงครามอย่างเราน่ะโชคดี

แต่ตอนนี้คงจะต้องยกเว้น 3 จังหวัดชายแดนใต้ไว้ก่อน

นึกยังไงมาเขียนเรื่องสงครามละเนี่ย..

ใส่เพลงให้แล้วนะครับ เลือกพอล แมคคาร์ทนีย์ มาร้องเพลง ขลุ่ยสันติภาพ ให้คุณฟัง Pipe Of Peace ครับ




 

Create Date : 27 ธันวาคม 2549    
Last Update : 28 ธันวาคม 2549 8:17:53 น.
Counter : 1797 Pageviews.  

ลมหนาว 5 วัน กับบทเรียนของผม



(รูปจาก FWD mail ไม่ทราบที่มาครับ)
ก่อนอื่นต้องบอกว่าเสียดายที่ไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปไปด้วย
เพราะไม่รู้ว่าที่นั่นจะมีอะไรให้ถ่ายนักหนา ประกอบกับเกรงใจชาวประชา
เดี๋ยวเขาจะว่า ไปภาวนา ทำตัวเหมือนนักท่องเที่ยวไปงานพืชสวนโลก

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ผมไปอยู่ภาวนาที่วัด แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่เหมือนกับแบบนี้

ปกติ จะเจอผู้เจอคนเป็นหลักร้อย น้อยๆ ก็หลักยี่สิบกว่าๆ แต่เที่ยวนี้มีแค่สามคน

ไม่แปลกใจที่ตอนนี้คิวผู้ต้องการไปอยู่ภาวนาที่วัดจะยาวไปถึงกลางปีหน้าแล้ว

อาจารย์ผม ท่านไม่เน้นปริมาณ เพราะท่านเคยเปรยว่า เรียนกรรมฐานให้ดี ต้องฝึกตัวต่อตัว

คำถามที่เจอบ่อยมากหลังจากกลับมาคือ.. แต่ละวันทำอะไรมั่ง
ถ้าท่านเข้าใจว่า 5 วันที่ผ่านมา ผมคงนั่งสมาธิตะบี้ตะบัน ทั้งวัน
หรือเดินจงกรมจนน่องโป่ง อันนี้บอกได้เลยว่า..ไม่ใช่น่อ..

ต้องเข้าใจก่อนว่า มนุษย์แต่ละคนมีจริตไม่เหมือนกัน ความถนัดในการเลือกวิธีการภาวนาก็ต่างกัน

หลวงพ่อที่ผมไปเรียนด้วย ท่านชี้มาว่า ผมมันพวกคิดมาก ให้ดูจิตไปน่ะเหมาะแล้ว
ไม่จำเป็นต้องไปฝึกพวกดูกาย ที่ต้องอาศัยพื้นฐานการทำสมาธิมาก

ที่นั่นเขาให้แต่ละคนอยู่กุฏิของตัวเองครับ มีห้องน้ำในตัวเสร็จสรรพ
มีตู้เสื้อผ้า มีเตียงซึ่งที่นอนเป็นยางพาราหนาแค่นิ้วเดียว นอนแล้วเจ็บเป็นบ้า

ตอนก่อนไปก็คิดว่า เราก็ภาวนาใช้ได้นะ แต่เอาเข้าจริงๆ ถ้านับวันนึงๆ เป็นยก เหมือนมวย
ต้องบอกว่า 3 ยกแรก ผมโดนต้อนเสียหาทางกลับมุมแทบไม่เจอ

เย็นวันที่สาม หลังจากโดนกิเลสตัวเองต้อนจนน่วมนั่นแหละ
ถึงออกมาเดินเล่นที่ลานหน้าโบสถ์ นั่งดูท้องฟ้า ดูภูเขา ดูรูปปั้นหลวงปู่ดูลย์ ท่ามกลางพระอาทิตย์ตกดิน
ถึงได้เห็นว่า ที่ทำมาเกือบ 3 วัน มันผิดมาเกือบหมด

หลังวัด มองจากหน้าต่างกุฏิด้านนึงของผม มีต้นไม้ใหญ่มากๆ อยู่หลายต้น

ตอนลมแรงๆ ผมนั่งดูต้นไม้ไปก็สังเกตใจตัวเองไป แล้วก็สังเกตอะไรได้อย่างนึง

คือจริงๆแล้ว ผมควรจะดูจิตตัวเองเหมือนดูต้นไม้ต้นนั้นแหละ
มันโดนลมป้อไป ป้อมา จนสะบัดไหว กิ่งกวัดไกวแทบหักมิหักแหล่
แต่พอลมหยุด มันก็กลับมานิ่งเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เข้าใจแบบนั้น แล้วก็เห็นว่า เรายังปฏิบัติแบบพยายามไปแทรกแซง
พอเห็นว่าจิตฟุ้ง ก็ไม่ชอบ จิตตก ก็ไม่ชอบ พยายามหาทางแก้
พอเห็นว่าจิตดี ก็ยินดี จิตมันสว่างขึ้นก็ชอบ อยากให้มันเป็นอย่างนั้นนานๆ

หลวงพ่อมาแคะให้ในเช้าวันต่อมาว่า คนมาอยู่ภาวนา มักจะพลาดเหมือนๆกัน

คือ "ตั้งใจ" มากเกินความจำเป็น ลืมรู้ทันว่า เบื้องหลังความ "ตั้งใจ" คือความ "อยาก"
อยากปฏิบัติ อยากได้สภาวะดีๆ อยากเก่งขึ้น อยากนิ่ง อยากมีปัญญา

ท่านบอกว่า.. จุดอ่อนของนักปฏิบัติคือ การเข้าใจว่า การปฏิบัติ
คือการต้อง "ทำ" อะไรสักอย่าง ที่เหนือธรรมดา เพื่อให้ได้สิ่งที่เหนือธรรมดา

ทั้งๆ ที่ธรรมะ เป็นของธรรมดามาก เป็นของที่อยู่ต่อหน้าต่อตา
แต่ใจเรามักจะปฏิเสธธรรมะ แล้วพยายามสร้างอะไรที่มันเหนือธรรมดา
อยากรู้ธรรม อยากได้ธรรม แต่ปฏิเสธธรรมของจริง ไปสร้างของปลอมๆขึ้นมา

ลืมนึกไปว่า ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปนี่มันเหนือธรรมดาตรงไหนเหรอ

เห็นจิตที่ดีก็อยากให้มันเที่ยงทนถาวร
เห็นจิตไม่ดี หมองๆ มัวๆ ก็รังเกียจ
พยายามแก้ พยายามซ่อมมัน

เพราะเรามักจะอยากให้อะไรๆมันดีถาวร สุขถาวร
พอมันเสื่อม มันดับไปตามธรรมชาติ
ก็ทุกข์กันเห็นๆไม่มีอะไรพิสดารหรอก

วิปัสสนา แท้ๆ เราดูกันแค่นั้นแหละครับ
วิปัสสนา ไม่ได้แปลว่านั่งหลับตา ขัดสมาธิ กำหนดลมหายใจอย่างนั้นอย่างนี้

แต่คือการดูให้เห็น ดูให้ประจักษ์ว่า ไอ้กายนี้ จิตนี้ มันมีธรรมชาติของมันอย่างนั้น
คือมันมีการทำงาน มีสภาวะต่างๆเกิดขึ้น
แล้วมันก็อยู่ชั่วขณะ แล้วก็ดับ

สภาวะที่ดี เป็นกุศล เกิดแล้วก็ดับ
สภาวะที่ไม่ดี เป็นอกุศล เกิดแล้วก็ดับ
สำหรับวิปัสสนา ท่านจึงว่า ถ้าจะเดินปัญญาได้
ก็ต้องรับรู้สภาวะต่างๆด้วยใจที่เป็นกลาง

แต่ก็อีกนั่นแหละ.. จิตมันจะไม่เป็นกลางเราก็สั่งมันไม่ได้
หน้าที่จึงมีแค่คอยรู้ทัน ความไม่เป็นกลาง
แล้วจิตดวงที่เกิดหลังๆ มันจะค่อยๆเรียนรู้จะเป็นกลางเอง

หลวงพ่อบอกว่า จับหลักให้แม่นๆ แล้วจะง่าย
คือรู้เท่าทันปัจจุบันโดยไม่แทรกแซง

ทุกข์มีไว้รู้ ไม่ได้มีไว้(อยาก)ละ
จะให้ทุกข์ดับ ต้องไปละที่ตัวความอยาก
ซึ่งคือสาเหตุแห่งทุกข์

ความอยากจะละได้ด้วยสัมมาสติ การมีสติตั้งมั่นในกาย ในจิต

จะดับไฟต้องดับที่ตัวเชื้อไฟ ไม่ใช่ไปหาทางกำจัดควัน

งง ก็รู้ว่างง สงสัยรู้ว่าสงสัย
จิตมันวิ่งไปคิดหาคำตอบ ก็รู้ทันมันนะครับ ว่ามันวิ่งไปทำงาน

มีวันนึงผมนั่งนับว่าชั่วโมงนึงจิตผมมันแว้บบบบ ไปคิดอะไรเอง
โดยที่เราไม่ได้สั่งให้มันคิดน่ะ กี่ครั้ง

เชื่อไหมว่า น้อยที่สุด คือ สามร้อยกว่าครั้ง
เฉลี่ยอยู่ที่ สี่ร้อย สูงสุดคือห้าร้อยยี่สิบสามครั้ง
ไว้ว่างๆลองดูของตัวเองสิ

ที่นั่นอากาศหนาวเอาการครับ ต้องใส่ถุงเท้าตลอดเวลา ยกเว้นเวลาอาบน้ำ

ลมที่นั่นแรงมาก แรงจนเสียงอื้ออึง ชนิดต้องหวั่นว่า หลังคากุฏิจะทนไหวไหม

ไอ้ที่หนาวจริงๆ มันหนาวเพราะลมนี่แหละ แถมยังทำให้นอนลำบากเพราะเสียงลมดังทั้งคืน

เล่าให้ฟังพอสังเขป ก็แล้วกันนะครับ
อ้อ.. ลืมบอกไป อยู่โน่น นอน 2 ทุ่ม ตื่น ตี 5 กว่าๆ บางวันก็ 6 โมง เวลานอนไม่โหดครับ

แต่กลับมานี่สิ ตี 1 แล้วยังไม่ได้นอนเลย มิน่า ง่วงจัง

ไปนอนกันเถิด จะเกิดผล




 

Create Date : 23 ธันวาคม 2549    
Last Update : 27 ธันวาคม 2549 19:32:23 น.
Counter : 1055 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.