Group Blog
 
All blogs
 

กระจกหกด้าน

มีใครจำรายการสารคดีชื่อ "กระจกหกด้าน" ได้ไหมครับ

กระจกหกด้าน เป็นชื่อรายการสารดคีขนาดสั้น ออกอากาศทุกวัน
จันทร์-ศุกร์ มีเสียงคุณสุชาดี มณีวงศ์ บรรยาย
เป็นรายการที่ดีมากๆ ในสมัยนั้น ก่อนเราจะมี กบนอกกะลาในวันนี้

ส่วนที่จะพูดถึง ไม่ใช่เรื่องสารคดี .. แต่เป็นชื่อรายการ

ผมจำไม่ได้ถนัด ว่าทางรายการขึ้นข้อมูลไว้ว่า.. พระผู้ใหญ่ท่านใด เป็นผู้เอ่ยถึงคำว่า "กระจกหกด้าน" ไว้

แต่ความหมายคือ การมองตัวเองให้ทั่วถึง ทุกด้าน ทุกมุม
เพราะกระจกธรรมดา ให้มุมมองแต่เฉพาะ ด้านหน้า เพียงด้านเดียว

อันที่จริง การรู้จักมอง รู้จักพิจารณาตัวเอง นับว่าดีแล้วนะครับ
เพราะพวกเราส่วนมาก ชอบมองคนอื่น วิจารณ์ผู้อื่น แต่ไม่ค่อยได้ย้อนมามองตัวเอง

ลองมองสภาพสังคมตอนนี้ได้ จะเห็นตัวอย่างนี้เยอะแยะ

ยกตัวอย่าง.. มีคนจำนวนมาก วิพากษ์วิจารณ์ว่าที่อดีตนายกแม้ว
ว่าท่านไม่มีจริยธรรม จากเหตุที่ขายหุ้นชิน โดยไม่เสียภาษี

ผมจะไม่พูดเรื่องว่า กฏหมายเกี่ยวกับตลาดหุ้นเขาว่ากันอย่างไร
ทำไมมันชอบธรรมแล้วที่ท่านจะไม่เสียภาษีหุ้น

แต่ผมจะมองในอีกมุมนึง.. สมมติว่า ท่านควรจะเสียภาษี จริงๆ แล้วท่านไม่ยอมเสีย
หลายคนที่ออกไปไล่ท่านอยู่.. ผมอนุมานเอาว่า
มีไม่น้อย ที่ก็เลี่ยงภาษีอยู่เป็นกิจวัตร แต่ไม่รู้สึกอะไร

ผมรู้จักเจ้าของธุรกิจหลายคน ที่ทำธุรกิจโดยมีสองบัญชี
คือบัญชีจริงๆ กับที่แต่งไว้ให้สรรพากรตรวจ

พวกเราหลายคนก็คงทราบว่า ในหลายบริษัท มีการเอาใบเสร็จรับเงินค่าอาหาร
ที่ทานกันเป็นส่วนตัว ไปใช้เบิกเป็นค่ารับรองลูกค้า หรือหักเป็นค่าใช้จ่ายบริษัท

บางท่าน รวบรวมใบเสร็จค่าทางด่วน จากญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง
เอาไปใช้หักค่าใช้จ่ายของบริษัท

บางท่าน ก็มีรายได้บางส่วน ที่ไม่ได้ลงบันทึกเป็นรายได้
ไม่ได้เสียภาษี

โดยมาก ก็ทำทั้งที่กฏหมายเปิดช่องให้ และห้ามไว้ แต่ก็พยายามทำ

จะเป็นธุรกิจหลักแสน หรือธุรกิจหมื่นล้าน
ถ้าพูดเรื่องเลี่ยงภาษี ก็ต้องถือว่าเจตนาเสมอกัน

อันนี้ ผมก็มองโลกในแง่ดีเอาว่า..
คนที่ไปเดินไล่ท่านนั้น ไม่มีใครเลยที่เคยเลี่ยงภาษี

เป็นคนดีเหมือนมีทองคำหุ้ม ขนาดที่แม้กฏหมายจะเปิดช่องให้บอกว่า .. ถ้าเป็นรายได้กรณีนี้ กรณีนั้น ไม่ต้องเสียภาษีก็ได้ ยกเว้นให้
ท่านเหล่านั้น ก็ยังยินดีจะจ่ายภาษี เพื่อชาติ และบรรพบุรุษไทย

ซึ่งดูจากการชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุด ก็มีผู้คนเรือนแสนไปร่วมตะโกน ..ออกปายยย..
(ผมลืมไปว่า น่าจะเอายาอมแก้เจ็บคอไปขาย ท่าทางจะขายดี)

แปลว่า .. มีคนดีที่สรรพากรต้องการอยู่หลายแสนเลยทีเดียว

ในคัมภีร์ไบเบิล พูดถึงโสเภณีที่ถูกผู้คนรุมทำร้าย ด้วยการเอาหินขว้าง จะให้ตาย
(พอเป็นเรื่องโสเภณีทีไร เป็นเหมือนกันทุกประเทศ
คือประนามแต่ตัวโสเภณี แต่ไม่พูดถึงคนไปเที่ยวนิ)

พระเยซู ไปห้ามไว้ และบอกว่า..
ถ้าในที่นี้ มีผู้ใด ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยประพฤติผิดบาป ทำชั่วอะไรเลย
ให้เดินออกมา และเอาหินขว้างหญิงคนนี้ได้

พอได้สติ.. ทุกคนก็โยนหินในมือทิ้ง แล้วก็หันหลังเข้าบ้านครับ

ใครที่เคยดูหนังเรื่อง The Passion Of The Christ จะมีเรื่องนี้อยู่ด้วย

คนที่จะมองตัวเอง ก่อนไปตัดสิน หรือวิพากษ์ผู้อื่น
จัดว่าเป็นคนที่มีจิตใจสูง มีทิษฐิในทางใฝ่ดี

เป็นการรู้จัก.. เอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำให้เราเข้าใจในความผิดพลาดของผู้อื่น
หรือเห็นว่า.. ตดของเรา ก็เหม็นเหมือนของคนอื่น นั่นแหละ

เพียงแต่ กาละเทศะ ในการผายอาจจะต่างกัน

ทั้งนี้ ทั้งนั้น การที่ใครบางคนผายลมในที่และเวลาอันไม่ควรผาย
ไม่ได้แปลว่า เขาเห็นแก่ตัวนะครับ

บางคนท้องไส้ไม่ดี บางคนเจออาหารเป็นพิษ
ถึงไม่คิดจะผาย แต่ก็ไม่รู้จะอั้นยังไง

ขึ้นต้นเรื่องกระจก.. ปิดท้ายเรื่องผายลม..
อีตาคนเขียนนี่..เก่งซะไม่มี

สุขสันต์วันเสาร์ หยุดสามวันขอให้เปรมปรีดิ์ ถ้วนหน้านะครับ




 

Create Date : 29 เมษายน 2549    
Last Update : 29 เมษายน 2549 10:55:15 น.
Counter : 2333 Pageviews.  

กรรมเก่า.. กรรมใหม่

เมื่อวานไปพบปะทานมื้อค่ำกับเพื่อนรุ่นน้องๆในกลุ่มที่สนิทกัน

วัตถุประสงค์หลักคือต้อนรับทิดน้องสึกใหม่ท่านนึง กลับสู่โลกฆราวาส

พูดให้เจาะจงกว่านั้น ไม่ใช่ว่ายินดีที่เขาสึก
แต่ยินดีที่เขามีโอกาสได้ศึกษาภาคปฏิบัติของพุทธศาสนาอย่างจริงจัง
กับอาจารย์ที่เป็นพระแท้ๆ พระที่สูงด้วยภูมิธรรม และเมตตาอยู่นานสองเดือนเศษ

ในขณะเดียวกัน น้องเขาก็ค้นพบว่า ตัวเองมีบางอย่างที่ไม่พร้อมบริบูรณ์พอที่จะเป็นพระไปตลอดอายุขัย

ปัจจุบันนี้ ผมเชื่อว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ
เรามีชีวิตด้วยผลของกรรมเก่า บวกกับผลของกรรมในปัจจุบัน

เน้นว่า.. เวลาพูดเรื่องกรรมเก่า ในทางพุทธ
ไม่ได้แปลว่าเราต้องนอนแผ่ งอมืองอเืท้า รับผลกรรมทุกอย่างนะครับ

อะไรเกิดขึ้นก็ปล่อยมันไหลไปหมด แล้วโทษว่าเป็นเพราะกรรมเก่า

ศาสนาพุทธเรา ไม่ได้ยอมจำนนต่อโชคชะตานะครับ
ตรงกันข้าม เราสอนให้มนุษย์กำหนดชะตาของตัวเอง
ด้วยการสร้างกรรม ของตัวเอง

เราเป็นทั้งสถาปนิค และวิศวกรของอนาคตตัวเอง

อยากมีผลดี ก็ต้องสร้างกรรมดี
แต่คงไม่มีใครอยากได้ผลไม่ดี ด้วยการสร้างกรรมชั่ว

เพียงแต่ที่ยังทำกรรมชั่ว ก็เพราะไม่เชื่อเรื่องกรรม
และไม่เห็นว่ากรรมเก่า จะส่งผลอย่างไรได้

เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยศรัทธา ประกอบปัญญา
คือถ้ามีปัญญาพิจารณา คงมองเห็นได้ว่า ..เพราะทำสิ่งนั้นมา สิ่งนี้จึงเกิด

สิ่งที่เราเรียกว่า.. โชคชะตา หรือดวง ก็น่าจะเป็นผลมาจากสิ่งที่เราสร้างมาในอดีต

แม้แต่ในศาสนาคริสต์ ก็ยังมีคำสอนบทหนึ่งว่า
"หว่านพืชเช่นไร ได้ผลเช่นนั้น"

สิ่งที่เกื้อหนุนให้น้องเขาได้บวช ได้ไปศึกษากับอาจารย์เก่งๆ ดีๆ ก็น่าจะเป็นบุญอย่างนึง
เป็นผลจากกรรมดีที่เขาได้ทำมา

หลังจากอิ่มท้อง อิ่มบุญที่ไำด้สนทนาธรรมมาถึงบ้าน

ผมกลับมานั่งติดตั้งโมเด็ม ไฮสปีด อินเทอเนตตัวใหม่
แล้วลองใช้งานดู

ก็บังเอิญได้พบคนใกล้ชิดเก่า ใน MSN ที่ไม่ได้คุยกันนานแล้ว

บังเอิญผมมีธุระจะต้องบอกกล่าว เลยทักทายไป
แล้วก็พูดธุระ

บังเอิญอีกเหมือนกัน.. ได้รับรู้ว่า คนรักปัจจุบันของเธอ
แม้จะดีกับเธอ แต่้เธอก็ต้องทำหลายอย่าง ที่เธอไม่อยากทำ

ที่บังเอิญไปกว่านั้น ส่วนมาก ก็คือสิ่งที่ผมเคยเจอมาก่อนในอดีต

ลงท้าย เธอยอมรับว่า มันคงจะเป็นกรรมเก่าของเธอ
ผมก็ได้แต่อวยพรให้เธอโชคดี แล้วก็ทุกข์ให้น้อยที่สุด

กรรม.. บางทีมันไม่ต้องรอถึงชาติหน้านะครับ

สุขสันต์วันพุธครับ




 

Create Date : 26 เมษายน 2549    
Last Update : 26 เมษายน 2549 9:11:36 น.
Counter : 1193 Pageviews.  

ขอเก็บไว้เป็นบันทึกนะครับ เผื่อใครไม่ได้อ่านข่าว

วันนี้ขออัญเชิญ พระราชดำรัส ของล้นเกล้าฯ มาบันทึกไว้ครับ

ที่ยกมาเป็นพระราชดำรัส ที่ในหลวง พระราชทานฯ ให้คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา เมื่อคืนนี้เองครับ

"ในปัจจุบันนี้มีปัญหาด้านกฎหมายที่สำคัญ คือว่าถ้าไม่ได้ปฏิบัติตามที่ท่านได้ปฏิญาณว่าจะทำให้ประเทศชาติปกครองได้โดยแบบประชาธิปไตย

คือเวลานี้มีการเลือกตั้งเพื่อให้มีการปกครองแบบประชาธิปไตยนั่นเอง แต่ถ้าไม่มีสภาที่ครบถ้วน ก็ไม่ใช่การปกครองแบบประชาธิปไตย ฉะนั้นก็ขอไปปรึกษากับผู้ที่มีหน้าที่ในศาลปกครอง

แต่ก่อนมีอย่างเดียวมีศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ ศาลอาญา เดี๋ยวนี้มีศาลหลายอย่าง เมื่อมีก็ต้องไปดำเนินการก็ขอให้ไปปรึกษากับศาลอื่นๆ ด้วย จะทำให้บ้านเมืองปกครองแบบประชาธิปไตยได้ อย่าไปคอยที่จะให้ขอนายกพระราชทาน เพราะขอนายกพระราชทานไม่ได้เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย

ข้าพเจ้ามีความเดือดร้อนมาก ที่เอะอะอะไรก็ขอพระราชทานนายกพระราชทาน ซึ่งไม่ใช่การปกครองประชาธิปไตยกลับไปอ่านมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญเป็นการอ้างที่ผิด อ้างไม่ได้ มาตรา 7 มี 2 บรรทัดว่า อะไรที่ไม่มีในรัฐธรรมนูญ ก็ให้ปฏิบัติตามประเพณีตามที่เคยทำมา ไม่มี เขาอยากจะได้นายกพระราชทานเป็นต้น จะขอนายกพระราชทานไม่ใช่เรื่องการปกครองแบบประชาธิปไตย เป็นการปกครองแบบ ขอโทษ แบบมั่ว แบบไม่มีเหตุมีผล

สำคัญอยู่ที่ท่านที่เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา มีสมองที่แจ่มใส สามารถกลับไปคิดวิธีที่จะปฏิบัติคือปกครองต้องมีสภา สภาที่ครบถ้วน

ถ้าไม่ครบถ้วนก็ว่าไม่ได้ แต่อาจจะต้องหาวิธีที่ตั้งสภาที่ไม่ครบถ้วน แบบตำนานได้ แต่ก็มั่ว ขอโทษอีกทีนะ ใช้คำมั่วไม่ถูก ไม่ทราบใครจะทำมั่ว

ปกครองประเทศมั่วไม่ได้ ที่จะคิดแบบว่าทำปัดๆ ไปให้เสร็จ ถ้าทำไม่ได้ก็โยนให้พระมหากษัตริย์ทำ ซึ่งยิ่งร้ายกว่าทำมั่วอีก เพราะพระมหากษัตริย์ไม่มีหน้าที่ที่จะไป ก็เลยต้องมาขอร้องฝ่ายศาลให้คิดและช่วยกันคิด

เดี๋ยวนี้ประชาชนทั่วไปหวังในศาล โดยเฉพาะศาลฎีกา ศาลอื่นๆ ก็ยังมองว่าศาลฎีกามีความซื่อสัตย์สุจริต มีเหตุมีผล มีความรู้ เพราะท่านได้เรียนรู้กฎหมายมา พิจารณาเรื่องกฎหมายที่จะต้องศึกษาดีๆ ประเทศจึงจะรอดพ้นได้

ถ้าไม่ทำตามหลักกฎหมาย หลักการปกครองที่ถูกต้อง ประเทศชาติไปไม่รอด อย่างที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะว่าไม่มีสมาชิกสภาถึง 500 คน ทำงานไม่ได้ก็ต้องพิจารณาดูว่าจะทำยังไงจะพลิกตำนานได้

จะมาขอให้พระมหากษัตริย์ตัดสิน เขาอาจจะว่ารัฐธรรมนูญพระมหากษัตริย์เป็นคนพระปรมาภิไธยจริง ในหลวงลงพระปรมาภิไธย ก็เดือดร้อน

แต่ว่าในมาตรา 7 ไม่ได้บอกว่าพระมหากษัตริย์สั่งได้ ไม่มี ลองไปดูมาตรา 7 เขาเขียนว่าถ้าไม่มีการบัญญัติแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ไม่ได้บอกว่ามีพระมหากษัตริย์สั่งการได้

แล้วก็ขอยืนยันว่าไม่เคยสั่งการอะไรที่ไม่มีกฎเกณฑ์ บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติต่างๆ ทำถูกต้องตามรัฐธรรมนูญทุกอย่าง

อย่างที่เขาขอให้มีพระราชทาน นายกพระราชทาน ไม่เคยมี มีนายกแต่รับสนองพระบรมราชโองการอย่างถูกต้องทุกครั้ง

มีคนที่เขาอาจจะมาบอกว่าพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 ทำตามใจชอบ ไม่เคยทำอะไรตามใจชอบตั้งแต่เป็นมา รัฐธรรมนูญเป็นมาหลายฉบัยหลายสิบปี ไม่เคยทำอะไรตามใจชอบ ถ้าทำตามใจชอบ ก็เข้าใจว่าบ้านเมืองล่มจมมานานแล้ว

แต่ตอนนี้เขาขอให้ทำตามใจชอบเวลาถ้าเขาทำตามที่เขาขอ เขาก็ต้องด่าว่านินทาพระมหากษัตริย์ว่าทำตามใจชอบ ซึ่งไม่ใช่กลัวถ้าต้องทำก็ต้องทำ แต่ว่ามันไม่ต้องทำ

อยู่ที่ผู้พิพากษาศาลฎีกาเป็นสำคัญที่จะ ศาลอื่นๆ ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลอะไรไม่มีข้อที่จะอ้างได้มากกว่าศาลฎีกา ผู้พิพากษาศาลฎีกาที่จะมีสิทธิ์ที่จะพูด ที่จะตัดสิน

ก็ขอให้ท่านได้กลับไปพิจารณา ไปปรึกษาผู้พิพากษาศาลแผนกอื่นๆ ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ว่าควรทำอย่างไรไม่ต้องรีบทำ ไม่งั้นบ้านเมืองล่มจม

ดูทีวีเบื่อ ไอ้หมื่นตันโดนพายุจมลงไปลึกกว่า 4 พันเมตรทะเล เขายังต้องดูว่าเรือนั้นลงไปได้อย่างไร เมืองไทยจะจมลงไปลึกกว่า 4 พันเมตร กู้ไม่ได้ กู้ไม่ขึ้น ฉะนั้นท่านเองก็เท่ากับจมลงไป ประชาชนทั่วไปที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็จะจมลงไปในมหาสมุทร

ตอนนี้เป็นเวลาที่วิกฤตที่สุดในโลก ฉะนั้นท่านต้องมีหน้าที่ปฏิบัติปรึกษากับคนที่มีความรู้

พวกที่เขาเรียกว่ากู้ชาติ เอะอะอะไรก็กู้ชาติ กู้ชาติ กู้ชาติเดี๋ยวนี้ไม่ได้ล่มจม แต่ป้องกันไม่ให้จมลงไป แล้วเราจะต้องกู้ชาติ ประชาชนกู้ชาติไม่ได้ เพราะจมไปแล้ว

ดังนั้นต้องไปพิจารณาดูว่าจะทำอะไร ถ้าทำได้ ปรึกษาหารือกันได้ ประชาชนทั้งประเทศ ประชาชนทั่วโลกจะอนุโมทนา อาจจะเห็นว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาในเมืองไทยยังมีน้ำยา เป็นคนที่มีความรู้ ตั้งใจที่จะกู้ชาติจริงๆ ถ้าถึงเวลา"

ขอจงทรงพระเจริญฯ

หวังว่า สถานการณ์จะดีขึ้นเสียทีนะครับ พระองค์ท่านพูดชัดเจนแบบนี้แล้ว

วันนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ขอรับ comment เฉพาะท่านที่มี login นะครับ ขออภัยในความไม่สะดวก




 

Create Date : 26 เมษายน 2549    
Last Update : 2 พฤษภาคม 2549 9:46:23 น.
Counter : 1009 Pageviews.  

ดับไฟด้วยไฟ (ไม่ได้นะ)

น้องสาวที่รู้จักกันเป้นการส่วนตัวท่านนึง
มาปรึกษาเรื่องการทำใจ จากคนรักที่ทิ้งไปหาสาวใหม่

คำถามคือ.. ทำไงจะลืมได้เร็วๆ
ผมถามเธอกลับคำถามแรกว่า.. แล้วทำไมต้องอยากลืม
คิดว่าลืมแล้วดีกว่าจำ ยังไง

เธอตอบว่า ลืมได้ มันก็ไม่เจ็บ (ไม่ทุกข์)

แต่ผมบอกว่า.. เรื่องจำ เรื่องลืม มันเป็นหนึ่งใน 5 องค์ประกอบของการมีชีวิต
ที่เรียกว่า ขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาน)
การจดจำได้ หมายรู้ ทางพระ ท่านเรียกว่า "สัญญา" ครับ

ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่ดู๋ สัญญา คุณากร หรือ สัญญา contract อะไรอย่างนั้น

เป็นสิ่งหนึ่ง ในธรรมชาติที่ไม่อาจบังคับได้ว่า
ฉันอยากจำวันนี้ พรุ่งนี้ฉันอยากลืมแล้วนะ

แต่คนเรามันจำได้ หรือลืมไป ตามเหตุและปัจจัยครับ
เราทำได้แค่สร้างเหตุและปัจจัยให้จำหรือลืมได้ เท่านั้น

เหตุและปัจจัย ที่ช่วยให้จำได้ คือการทำซ้ำๆ ทบทวนบ่อยๆ
เหตุและปัจจัย ที่จะทำให้ลืมได้ ยากมากครับ
..คือการไม่ทำอย่างนั้น ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ ไม่ให้ค่าของมัน ว่ามันสำคัญ

แต่คนส่วนมาก รวมถึงน้องท่านนี้ ก็ทำพลาดอย่างเดียวกัน
คือพยายามจะลืม อยากลืม
ซึ่งก็เท่ากับเป็นการให้ค่า ให้ความสำคัญกับมัน
เพียงแต่ทำเพื่อหวังผลตรงกันข้าม

ซึ่งไม่มีทางทำได้เลย

ผมอธิบายว่า.. ผมแนะนำให้เธอเรียนรู้จะอยู่กับความทรงจำให้เป็นสุข มากกว่าจะอยากไปลืมมัน

แต่จะทำได้อย่างนั้น ต้องแก้ที่โทสะ ในใจเธอก่อน
เพราะตอนนี้เธอยังโกรธคนรักเก่า ยังเกลียด
เธอถึงไม่อยากจำ เธอถึงทุกข์ที่นึกถึง

เธอยังมีความยึดมั่นว่า.. เธอเป็นคนดี เป็นคนรักที่ดี
ทำไมถึงทำกับเธออย่างนี้ ทำไมเธอต้องเป็นคนเสียใจ

สิ่งที่ต้องทำ คือ.. ทำความเข้าใจเสียใหม่ ว่า
คนเราเกิดมา เพื่อพบกับหลายๆสิ่ง หลายๆคน
เพื่อจะได้รู้จักหลายๆสิ่ง หลายๆคน
และเพื่อจะพลัดพรากจากกัน ไม่วันใด ก็วันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว

สมัยก่อน สำนวนละครจีนกำลังภายใน เขาใช้บ่อยๆว่า
"ส่งกันพันลี้ ยังต้องลาจาก มิสู้ จากกันเสียตรงนี้"

คิดเสียว่า มันเป็นอุบัติเหตุ เป็นกรรม เป็นบุญ หรืออะไรสักอย่าง
ทำให้เราต้องจากกันแต่เพียงเท่านั้น

แล้วผมแนะนำให้เธอหมั่นไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ
แผ่เมตตา ให้เขาเป็นสุข ให้เขามีชีวิตต่อไปที่ดี

เพราะเมตตาให้ผลเป็นความเย็น
และจะไม่ให้ความเย็นแก่เขาคนเดียว เราก็จะเย็นไปด้วย

ทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะโทสะ เป็นความร้อน
ดับไม่ได้ด้วยไฟโทสะ แต่ดับได้ด้วยเมตตา ด้วยความเย็น

ดับไฟได้เมื่อไหร่ ใจก็เย็นเมื่อนั้น
ใจเย็นเมื่อไหร่ ก็หายทุกข์เมื่อนั้น

************
วันนี้มีสองเรื่องครับ .. มีเบิ้ล ..

ผมเป็นคนมีโทสะแรงมาก่อนครับ

ส่วนนึง เพราะผมเป็นคนยึดมั่นในความถูกต้อง..
ขนาดที่ต้องเรียกว่า.. ยึดจนแบก..

เคยมีตำราหมอดูหลายเล่ม หลายหมอ ดูตรงกันว่า
ไอ้คนเกิดวันเดียวกะผม วันที่ 27 เนี่ย
เป็นพวกเปาบุ้นจิ้น กลับชาติมาเกิด

สมัยเมื่อสักสิบปีก่อน ผมสามารถขับรถๆอยู่ แล้วจอดลงไปชี้หน้าด่าคนที่ขับรถผิดกฏได้เลย

เคยทำอย่างนั้นมาแล้วอย่างน้อยสองครั้ง เท่าที่จำได้
โชคดีที่บุญเก่ายังพอมี เลยไม่โดนใครยิงสวนออกมา

แม้แต่ ในช่วงที่เข้ามาเรียนรู้จักเรื่องการภาวนา วิปัสสนา หรือเจริญสติ แล้วแต่ใครจะเรียก
ผมก็เจอปัญหาใหม่

ถามว่า.. พอมันโกรธขึ้นมา แล้วผมเห็นไหม เห็นครับ
แล้วความโกรธดับเลยไหม.. ไม่ค่อยแฮะ

ผมใช้เวลาอยู่นานเป็นปีๆ กว่าจะค้นพบว่า ตัวเองพยายามดับความโกรธ ด้วยความโกรธอีกตัวหนึ่ง

เพราะผมเจริญสติ ตามรู้โทสะตัวเอง ด้วยความอยาก
อยากให้มันดับ อยากให้มันหายไป อยากเป็นคนดี อยากเจริญสติได้เก่งๆ

อยาก อยาก อยาก อยาก และ อยาก

พระท่านสอนผมว่า.. เราไม่สามารถดับความอยาก ด้วยความอยาก
ความอยากจะดับไปด้วยสติครับ

เหมือนไฟ ย่อมไม่ดับไป ด้วยน้ำมัน หรือด้วยไฟ
แต่ดับได้ด้วยน้ำ ฉันใด ฉันนั้น

ไม่ใช่เพราะเอาความอยากซึ่งเป็นไฟตัวหนึ่ง ไปดับโทสะ ซึ่งเป็นไฟอีกตัวหนึ่ง

ถามว่า.. อยากมีสติทำยังไง ..
ตอบสั้นๆว่า.. ก็แค่รู้ตัว..

อ่านแล้วชอบใจ .. รู้ตรงที่ความชอบใจ
อ่านแล้ว หมั่นไส้ .. รู้ตรงที่ความหมั่นไส้
อ่านแล้ว เบื่อ .. รู้ตรงที่เบื่อ
อ่านแล้ว งง.. รู้ตรงที่งง หรือสงสัย

แค่นี้ก็มีสติขึ้นแว๊บนึงแล้วครับ

สุขสันต์ วันจันทร์นะครับ




 

Create Date : 24 เมษายน 2549    
Last Update : 24 เมษายน 2549 18:36:28 น.
Counter : 1013 Pageviews.  

เล่าเรื่องตกม้าตาย ในวันพระ

วันนี้วันพระครับ
แต่อย่าถามผมนะ ว่าวันพระคือวันอะไร สำคัญยังไง
ผมมักจะตกม้าตายกับคำถามง่ายๆแบบนั้นแหละ

พูดเรื่องตกม้าตาย.. ผมชอบสำนวนนี้นะ มันได้อารมณ์ดี

ที่มาของสำนวน ผมไม่แน่ใจ แต่เดาว่ามันมาจากคนสมัยก่อนที่นิยมใช้ม้าในการออกรบ
ขี่ม้าไปออกรบจนปราบคนเก่งๆได้หมด ปรากฏพอกลับมาถึงค่าย ดันตกม้าตายซะนี่

ชวนให้นึกถึงผู้รักษาประตูมือสองทีมชาติอังกฤษ ฝีมือดีชื่อ เดวิด เจมส์

มือดีขนาดไหน เอาเป็นว่า..ถ้าไม่ดีคงไม่ได้อยู่กับทีมใหญ่อย่างลิเวอร์พูลตั้งหลายปีแน่ะ
เขาโดนขายทิ้ง และตกเป็นมือสองในทีมชาติ เพราะว่าเขามีจุดอ่อนอย่างนึงครับ

ก่อนบอกข้อเสีย บอกข้อดีก่อน..
หมอนี่เป็นคนเก่ง ลูกยิงของฝ่ายตรงข้าม ยากๆ มักจะไม่ค่อยได้กินเดวิด

ลูกที่แบบมหัศจรรย์ โอโห..รับได้ไงหว่า เดวิดเคยทำได้มาเยอะแล้วครับ

แต่เดวิด มีวันพลาดเหมือนกัน .. ที่แย่กว่านั้น
คือเขามักจะพลาดลูกง่ายๆน่ะสิครับ

ลูกประเภทที่ ให้ผู้รักษาประตูทีมโรงเรียนวัดหนองหมาว้อมารับ ก็รับได้

แต่เดวิดทำลูกประเภทนั้นหลุดมือ หรือออกไปผิดจังหวะรับลมแทนลูกบอล อยู่เนืองๆ

ถามว่า..บ่อยมั้ย ไม่บ่อยมาก แต่สำหรับทีมใหญ่ๆแบบนั้น หรือทีมชาติอังกฤษ
เขาไม่อยากเสี่ยง ไม่อยากมีผู้รักษาประตูที่ต้องลุ้นทุกครั้งที่รับลูกง่ายๆน่ะครับ

ถามว่า.. ทำไมเดวิดเป็นแบบนั้น.. ผมเชื่อว่ามันเป็นอาการทางจิตครับ

เหมือนๆกับถามว่า.. ทำไมคนเราติดอ่างนั่นแหละ
เคยไหมครับ.. ที่เคยทำอะไรได้ดีมาตลอด
แต่พอผิดพลาดไปครั้งนึง.. หลังจากนั้น จะเงอะๆงะๆ

อย่างทีมฟุตบอลหลายๆทีม นักกีฬาหลายๆคน
ไม่ต้องพูดอื่นไกล พี่บอลภราดรของเรานี่แหละ
พอมีจุดหักเหสำคัญ ประเภท ควรชนะแต่ไม่ชนะ
หรือไม่ควรแพ้แต่แพ้ เลยเก็บความวิตกเอาไว้ในใจ

ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า.. ขาดความมั่นใจน่ะครับ

ฝรั่งอังกฤษเขามีสำนวนว่า.. once bitten twice shy
หมายถึงคนที่เจ็บเพียงครั้ง แต่ทำให้ตกประหม่า ผวาหวาด อีกไม่รู้กี่หน

เรื่องแบบนี้การทำสมาธิ เจริญสติ ช่วยได้นะครับ
เพราะเป็นการทำให้จิตที่ฟุ้งซ่าน วิตก งกงัน สงบรำงับลงได้

พี่บอลเอง ก็เห็นว่าอาศัยการนั่งสมาธิในการคืนฟอร์มเก่ง
แต่พอทัวร์นาเมนท์ต่อมา ก็ตกรอบแรกอีกแล้ว

อันนี้อธิบายได้ว่า.. ความวิตกจริตก็ไม่เที่ยง
ความนิ่งก็ไม่เที่ยง ฉันใด
การคืนฟอร์มเก่งก็ไม่เที่ยงฉันนั้น

ใกล้เที่ยงแล้ว.. ทานข้าวให้อร่อยนะครับ

วันนี้วันพระ ผมต้องถือศีลแปด ใครจะทานอะไรเผื่อผม หลังเที่ยง ไม่ต้องนะครับ

อิอิอิ :)




 

Create Date : 21 เมษายน 2549    
Last Update : 21 เมษายน 2549 11:13:18 น.
Counter : 1460 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.