|
ว่าด้วยดัชนี..ชีวิต บิ๊กแม็ค ไข่เจียว และความรัก
ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล.. คนทุกยุคทุกสมัยจะมีดัชนีไว้บ่งชี้อะไรสักอย่าง
เช่นสมัยก่อน ความมั่งคั่งของขุนนาง คหบดี เขาวัดกันที่ขนาดที่ดิน และจำนวนข้าทาสบริวาร รวมไปถึงบุตร ธิดา ภรรยา ยิ่งมาก ยิ่งเชื่อได้ว่าใหญ่จริง
การจะดูลักษณะของช้าง ม้า วัว ควาย ว่าดีไม่ดี เขาก็มีดัชนีมาตรฐานในการดู ช้างก็เรียกกันเป็นตำราคชลักษณ์ ม้าก็เป็นตำราอัศวลักษณ์ อะไรกันไป ตำราดูลักษณะวัว ควาย ไม่ทราบเรียกอะไร แต่ไม่ใช่ แอสตันลักษณ์ก็แล้วกัน
ผมเคยได้ยินว่า สมัยก่อนอีกเหมือนกัน เวลาผู้ใหญ่เขาจะไปดูตัวลูกสาวบ้านไหน เพื่อขอมาเป็นสะไภ้ เขาจะไปดูเวลาสาวนางนั้นปอกมะม่วง ถ้าปอกแล้วกินเนื้อเข้าไปลึก ก็ว่า สาวนั้นมีแนวโน้มเป้นคนสุรุ่ยสุร่าย ถ้าปอกแล้วบางเกินไปเปลือกขาด ไม่สม่ำเสมอ ก็ว่าคนๆนั้นขี้เหนียว ตระหนี่เกินมัธยัสถ์ไปหน่อย
เคยอ่านมาว่า บางคนใช้ฟังเสียงครกตำน้ำพริก ถ้าเสียงหนักแน่นแปลว่าแรงดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
ผมแอบเดาเอาว่า.. คงมีคนไปประเมินว่า ลูกสาวบ้านไหนสวยจากความชื้นของหัวกระได เพราะสมัยก่อนบ้านเรือนไทยมันจะสูงครับ จะขึ้นเรือนก็มีธรรมเนียมว่า ต้องล้างเท้าก่อน เพื่ออนามัย ก็สมควรอยู่ เพราะสมัยก่อน เขาไม่ใช้รองเท้ากัน
ถ้าบ้านไหนมีคนมาเยี่ยม มาจีบลูกสาวบ้านนั้นมาก หัวกระไดก็จะเปียกตลอดเวลา เลยเป็นที่มาของสำนวน หัวกระไดไม่แห้ง
สมัยผมเด็กๆ ผมสังเกตเอาว่า คนแถวๆบ้านผม เขาวัดความเจริญทางเศรษฐกิจของแต่ละบ้านด้วยรถยนต์ บ้านไหนขับรถยุโรป ก็ดูทีว่าฐานะจะดีกว่าบ้านที่ขับรถญี่ปุ่นกระป๋องๆ
เพราะสมัยก่อน ยังไม่นิยมการดาวน์ต่ำ ผ่อนบ้าเลือด 72 เดือนอย่างวันนี้
สมัยนี้ใครซื้อรถยุโรปแล้วผ่อน ไม่ซื้อสด เผลอๆจะถูกมองด้วยสายตาเป็นห่วง ว่ามีหนี้มาก
ผมจะรู้สึกไปเองหรือเปล่าก็ไม่รู้.. ว่าเดี๋ยวนี้ค่านิยมการใช้รถเป็นเครื่องวัดความสำเร็จในชีวิตคน ยังมีอยู่ แต่น้อยลง
ในทางมหภาค.. มาม่า ยังเป็นดัชนีวัดฐานะเรื่องปากท้องคนไทยได้เสมอ คือช่วงไหนถ้าเศรษฐกิจเริ่มมีปัญหา จะมีคนไปเฝ้าดูตัวเลขยอดขายมาม่า ถ้าเมื่อไหร่ยอดขายมันพุ่งขึ้น นักวิชาการเขาจะบอกว่า.. นั่นแหละ คนเริ่มเหลือเงินในกระเป๋าน้อยลง เลยต้องพึ่งมาม่ามากขึ้น
แล้วคุณทราบกันไหม.. ว่าบิ๊กแหมก บิ๊กแม็ค อะไรนี่ฝรั่งนิยม เอามาใช้เป็นดัชนีด้วยนะ
ใครที่เรียน MBA คงพอทราบว่าฝรั่งจะมี Big Mac Indicator เอาไว้ประเมินว่าของที่ส่งมาขายในประเทศต่างๆ มันถูกหรือแพง โดยอาศัยราคาของ บิ๊กแม็คของอเมริกาตั้ง เทียบกับราคาของบิ๊กแม็คในประเทศอื่น แล้วถอดสมการออกมา ว่าถ้าบิ๊กแมคอเมริกาขายเท่านี้ บิ๊คแมคเมืองไทยขายเท่าไหร่ ดังนั้น เมื่อราคาของชิ้นเดียวกันขายในอเมริกา ราคาเท่านี้ ควรจะขายเท่าไหร่ในเมืองไทย
มาถึงไข่เจียว.. อันนี้ทฤษฎีของผมเอง
เคยไหมครับ ที่ต้องไปทานอาหารในร้านแปลกหน้า แปลกตา แล้วไม่แน่ใจว่ามันอร่อยหรือเปล่า มองหาป้ายเชลล์ชวนลิ้ม ชิมโดยแม่ช้อย เกี่ยวก้อยโดยหมึกแดง ก็ไม่เจอ
แต่เพราะย้ายที่ทำงานมาใหม่ ย้ายบ้านมาใหม่ ร้านนี้มันอยู่ใกล้บ้าน ใกล้ที่ทำงาน เอาล่ะวะ ถึงเชลล์ไม่ชวนก็ควรชิม
ในสถานการณ์แบบนี้ ผมจะสั่ง "ไข่เจียว" ครับ เพราะผมว่า ไข่เจียวเป็นอาหารที่คนไทยทั่วไปจะทำได้เป็นอย่างแรกๆ ถัดจากการปอกกล้วย
ถ้าร้านไหน พ่อครัว แม่ครัว ทอดไข่เจียวแล้วอมน้ำมัน ดำทมิฬ ก็แทบจะฟันธงได้ว่า ฝีมือไม่ถึง
แต่อันนี้ใช้เป็นมาตรฐานสากลไม่ได้ เพราะบางคนอาจจะไม่ชอบไข่เจียวเหลืองหอม นุ่มเหมือนผม บางคนก็ชอบไข่เจียวเกรียมๆ กรอบๆ ก็มี
เอาเป็นว่า ถ้าเขาทอดไข่เจียว ถูกปากคุณ ก็แววดีก็แล้วกันนะ
ส่วนดัชนีความรัก.. อันนี้วัดยากจัง ผมพยายามนึกว่า เราจะใช้อะไรมาเป็นตัววัด ระดับความรัก
จะบอกว่าการมีปากเสียง ก็ไม่แน่ใจ เพราะบางบ้านเห็นมีจานบินบ่อยๆ โพล้งเพล้งๆๆ แต่ก็ลูกดกเหลือเกิน
ผมว่าความรักเป็นเรื่องของเคมี ของคนสองคน ไม่ค่อยมีดัชนีสากล บางคู่ บางที เห็นแล้วมันก็อธิบายลำบาก
ความรักมันเป็นนามธรรม ถ้าพยายามเอาเหตุผลไปอธิบาย เอาทฤษฎีไปจับ มักจะพลาดหน้าแตกเอาง่ายๆ
ถ้ามองแค่ระดับความสัมพันธ์ก็เห็นมีตำราหลายเล่มว่าไว้ ดัชนีที่จะเห็นได้อาจจะมีตั้งแต่ท่าเดินด้วยกัน วิธีการจับการจูงมือ
ถ้าคู่ไหน ผู้ชายกำลังตามจีบอยู่ สังเกตดูว่าจะเดินตามหลังสาว ถ้าเดินดุ่ยๆนำหน้าสาวไป อาจแปลได้ว่า จีบติดแล้ว ขอเป็นผู้นำมั่งสิ ถ้าเดินเคียงข้างกันกุมมือด้วย แปลว่าความรักกำลังอยู่ในระยะแน่นแฟ้น
แต่ผมยังไม่ค่อยมั่นใจในทฤษฎีข้างบนเท่าไหร่นะ บอกตามตรง
ผมว่าดัชนีที่ดีที่สุด ในเรื่องความรัก มันต้องดูใจตัวเองนั่นแหละครับ ถ้ายังรู้สึกอุ่นใจที่อยู่ใกล้ วาบหวามที่ได้เห็นหน้า ถ้ายังเชื่อใจใครสักคนได้ โดยไม่ต้องมีคำถาม ไม่ต้องการคำอธิบาย ก็แปลได้ว่า ความรักคุณยังมีมาก มั่นคงดีอยู่
ถ้าเริ่มขี้หึง เริ่มแสดงอาการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ อันนั้นเป็นดัชนีบ่งชี้ว่าคุณรักเขาน้อยลง และรักตัวเองมากขึ้น
ไม่ได้บอกว่า อันไหนถูก อันไหนผิดนะครับ แค่เอาไว้เป็นดัชนี วัดใจตัวเองได้อย่างเดียว
อย่างผม.. ตอนนี้ มีอาการกลัวผู้หญิง เดินสวนใคร ก็หลบตา เข้าลิฟท์ก็ไม่กล้าแอบชำเลืองมองใคร ปล่าวๆๆ.. ไม่ใช่ดัชนีว่ากำลังหันเหสู่ไม้ป่าเดียวกัน
เพียงแต่ผมเริ่มเหนื่อย.. และเริ่มเห็นว่า ตัวเองเหมาะกับการอยู่คนเดียว ปลอดภัยที่สุด
ผมมักจะเป็นตัวนำโชค(ร้าย) ไปให้ผู้หญิงที่ผมรัก และรักผมน่ะครับ ไปคบกับใคร เขาก็มีปัญหากับที่บ้านไปเสียหมด
อันนี้ ถ้าคิดแบบเห็นแก่ตัว ก็ต้องบอกว่า ไม่เกี่ยวกับผม แต่ถ้านึกถึงว่า.. เราเป็นคนนอก.. เขาเป็นพ่อแม่พี่น้องกันมายี่สิบ สามสิบกว่าปี อยู่ๆเราโผล่เข้าไป แล้วก็มีแต่คนรังเกียจ .. อี๊ พ่อม่าย อี๊ มีลูกติด อี๊..
มันก็พอทำใจได้ในช่วงแรก.. แต่พอมีปัญหาจุกจิกอื่นเข้ามา ถึงรู้สึกว่า ความรู้สึกเรา มันเปราะบางมาก เกินกว่าจะอดทนได้ในภาวะแบบนี้
เลยพาลรู้สึกว่า.. เออ.. อยู่เฉยๆ ท่าทางจะดีกว่า..
อันนี้ไม่มีดัชนีอะไรบอกครับ..
สุขสันต์วันพุธนะครับ
Create Date : 24 พฤษภาคม 2549 |
Last Update : 24 พฤษภาคม 2549 9:26:33 น. |
|
21 comments
|
Counter : 1208 Pageviews. |
|
|
|
โดย: restless IP: 58.8.186.131 วันที่: 24 พฤษภาคม 2549 เวลา:11:06:05 น. |
|
|
|
โดย: LTG IP: 58.8.105.96 วันที่: 24 พฤษภาคม 2549 เวลา:11:15:51 น. |
|
|
|
โดย: run to me วันที่: 24 พฤษภาคม 2549 เวลา:12:15:46 น. |
|
|
|
โดย: เป่าจิน วันที่: 24 พฤษภาคม 2549 เวลา:13:49:00 น. |
|
|
|
โดย: ซออู้ วันที่: 24 พฤษภาคม 2549 เวลา:14:33:08 น. |
|
|
|
โดย: I am just fine^^ IP: 58.8.118.103 วันที่: 24 พฤษภาคม 2549 เวลา:18:52:01 น. |
|
|
|
โดย: ว่าน วันที่: 24 พฤษภาคม 2549 เวลา:18:55:32 น. |
|
|
|
โดย: Oakyman วันที่: 24 พฤษภาคม 2549 เวลา:21:24:23 น. |
|
|
|
โดย: aston27 วันที่: 24 พฤษภาคม 2549 เวลา:23:47:45 น. |
|
|
|
โดย: ขวัญ IP: 203.107.198.156 วันที่: 25 พฤษภาคม 2549 เวลา:6:07:43 น. |
|
|
|
โดย: NFC IP: 203.148.254.195 วันที่: 25 พฤษภาคม 2549 เวลา:17:34:53 น. |
|
|
|
โดย: aston27 วันที่: 25 พฤษภาคม 2549 เวลา:21:55:01 น. |
|
|
|
โดย: mink IP: 210.213.6.58 วันที่: 26 พฤษภาคม 2549 เวลา:15:11:39 น. |
|
|
|
โดย: มะลิ IP: 203.146.242.33 วันที่: 26 พฤษภาคม 2549 เวลา:15:39:02 น. |
|
|
|
โดย: aston27 วันที่: 27 พฤษภาคม 2549 เวลา:9:37:14 น. |
|
|
|
โดย: Walkerahead IP: 124.121.175.239 วันที่: 28 พฤษภาคม 2549 เวลา:17:12:37 น. |
|
|
|
โดย: aston27 วันที่: 30 พฤษภาคม 2549 เวลา:1:31:30 น. |
|
|
|
โดย: Keng IP: 219.95.17.195 วันที่: 1 มิถุนายน 2549 เวลา:7:50:10 น. |
|
|
|
โดย: เอท IP: 210.246.76.7 วันที่: 8 มิถุนายน 2549 เวลา:17:53:03 น. |
|
|
|
โดย: korn IP: 222.123.26.19 วันที่: 16 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:06:53 น. |
|
|
|
| |
|
|
อันนั้นเป็นดัชนีบ่งชี้ว่าคุณรักเขาน้อยลง และรักตัวเองมากขึ้น"
ขอแสดงความเห็นตรงนี้ค่ะ..
เรื่องแบบนี้คงต้องขยายความค่ะ
จะบอกให้เชื่อใจ..ก้อน่าจะทำให้เชื่อใจด้วยความเข้าใจในความรู้สึกของอีกฝ่าย
ไม่ใช่ว่า..ฝ่ายชายแอบไปดินเนอร์กับสาวที่มีใจให้ เพื่อเจรจาถึงความรู้สึกที่หากเขาไม่มีแฟน สาวจะยังรักและกลับมาเป็นแฟนกับเขาไหม..
แบบนี้..ต่อให้รักและเชื่อใจกันอย่างไรก้อคงต้องเป๋บ้าง
จะไม่ให้คนรักไม่รู้สึกอะไร..ไม่เสียใจเลยหรือ
แล้วถ้าบอกว่ารัก..ทำไมจึงทำร้ายความรู้สึกกันแบบนี้
เรื่องครอบครัว..ไม่ใช่ปัญหาหลักหากพร้อมที่จะเดินหน้าไปด้วยกัน
ที่สำคัญ..คงอยู่ที่ใจ..
หากไม่มั่นคง ไม่นิ่ง ..
ยังคงถามหาความรักจากคนเก่า หรือมองหาคนใหม่..
แบบนี้..อย่าบอกว่าเหนื่อยเลย