|
ปฏิบัติธรรม ทำอะไร :ตอนที่ 2
ข้อนึงที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนมากๆ คือ.. เวลามีใครพูดเรื่องปฏิบัติธรรม เรามักจะนึกภาพว่า.. ต้องถอดส้นสูง วางกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง ถอดชุดเก๋ของดอลเช่แอนด์กาบาน่า มานุ่งขาว ห่มสไบ นอนวัด ไม่แต่งหน้า ไม่กินข้าวเย็น ไม่เห็นหน้าแฟน และวันๆไม่ทำอะไร นอกจากสวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ
ที่จริงแล้ว การปฏิบัติธรรม ทำได้ในทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกโอกาส ไม่จำกัดว่าเป็นที่บ้าน ร้านอาหาร ลานวัด หรือที่ทำงาน ทำได้ทั้งในอาการหลับตา ลืมตา นั่ง ยืน เดิน หรือแม้แต่นอน จะดูหนัง ฟังเพลง ดูทีวี หรือไหว้พระ สวดมนต์อยู่ ก็ทำได้หมด
เรื่องที่ไปนอนวัด ไม่แต่งหน้า ห่มขาว ไม่ทานข้าวเย็น อันนั้นเป็นการฝึกขันติบารมี โดยสมาทานอุโบสถศีล หรือที่เรียก ศีล 8 ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องปฏิบัติ หรือไม่ปฏิบัติตามความหมายจริงๆ
เพราะต่อให้ไปอยู่วัด นุ่งขาว ทานมื้อเดียว นอนเสื่อ แต่ก็นั่งนินทา เมาท์แตก คุยจ้อ ขอหวยทั้งวัน ไม่ได้เจริญสติภาวนา ก็ไม่ได้ประโยชน์มากกว่าไปร้านทำผม นั่งจ้อเรื่องละครเมื่อคืนวาน
สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเน้น ท่านย้ำ ท่านสอน ที่เรียกว่าเป็น ปฏิบัติธรรม นั้น ก็มีเพียง ให้มีชีวิตประจำวันอยู่ด้วยความไม่ประมาท คืออยู่อย่างมีสติตั้งมั่น รู้กาย รู้ใจเนืองๆ
ว่าโดยย่อ ..ท่านเน้นให้เราสนใจเรื่อง วิปัสสนา ครับ..
ถึงตรงนี้ ผมเดาว่า พอพูดคำว่า วิปัสสนา เท่านั้นแหละ คนที่ได้ฟัง ได้อ่าน มักจะขนลุกกันเกรียว เหมือนเห็นผีชัตเตอร์
งั้นก็ลองมาทำความเข้าใจ ให้ชัดๆมากขึ้น กับ วิปัสสนา ซะหน่อยดีไหม จะไม่กลัว
แล้ววิปัสสนาคืออะไร.. คุณแอสตัน
พยายามหาคำจำกัดความแบบ ให้เด็ก ป. 4 เข้าใจได้ ปัญญาผมก็ยังไม่มากพอ ขอเป็นให้เด็ก ม.ปลาย พอเข้าใจได้ก็แล้วกันนะ
วิปัสสนา พูดแบบบ้านๆ คือการศึกษาให้รู้ เห็นแจ้งแทงทะลุ สิ่งที่เรียกว่า "ตัวเรา" เพื่อจะได้ความจริงว่า ไอ้กายเรา จิตเรา มันคืออะไรกันแน่
ถ้าเป็นครู พูดแค่นี้ เห็นทีจะมีนักเรียนขอดร็อปวิชาวิปัสสนากันเป็นแถบ เพราะส่วนนึงคิดในใจว่า ศาสนาพุทธทำไมมันตื้นอย่างนี้
ก็กายเรา จิตเรา เราก็อยู่กับมันมาตั้งแต่เกิด ไฝฝ้ากี่เม็ด ก็เห็นหมด จะให้เราเสียเวลาไปศึกษารู้จักมันอีกทำไม
พระพุทธเจ้า ท่านสอนพุทธศาสนา เหมือนอาจารย์คณิตศาสตร์ หรือฟิสิกส์เก่งๆ ที่ให้โจทย์ประเภท .. เฉลยคำตอบให้ ล่วงหน้า แล้วบอกวิธีทำให้ด้วย
แต่ให้พิสูจน์เอา ว่าจริงไหม
คำตอบของข้อสอบเรื่องวิปัสสนา ก็คือ..ว่า.. สิ่งที่เราคิดว่า กายเราน่ะ แท้จริงมันไม่ใช่ของเราจริงๆ
จิตที่เราคิดว่า มันคือตัวเรามาตั้งแต่เล็กแต่น้อย มันก็ไม่ใช่ "ตัวเรา" จริงๆ
"ตัวเรา" ไม่เคยมีในอดีต ไม่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่มีในอนาคต มีแต่ความเห็นผิด ว่ามี "ตัวเรา" ต่างหาก
เอาสิครับ .. ตอนผมเห็นเฉลยข้อสอบแบบนี้ ถึงกับอึ้งกิมกี่เรียกพี่เลย
เรื่องกายนี่ ไม่ยากหรอก ศาสนาอื่นเขาก็ดูออก ใช้วิธีคิดเอายังได้เลย แป๊บเดียวก็พอนึกออก ว่า.. กายมันเป็นส่วนนึง จิตก็เป็นอีกส่วนนึง อยู่ด้วยกัน แต่ไม่ได้เป็นคนเดียวกัน เหมือนสามีภรรยา อยู่บ้านเดียวกัน พึ่งพาอาศัยกัน ไปไหนไปกัน แต่ก็เป็นคนละคน
ดูว่า กายไม่ใช่ของเรา ง่ายนิดเดียว คนเราตายไป กายนี้ก็ต้องคืนโลก เน่าเปื่อยผุพัง หมดสภาพ เอาไปได้ที่ไหนล่ะ
แต่วิธีพิสูจน์ว่า "จิตไม่ใช่เรา" อันนี้ หลักข้อแรกเลยคือ ห้ามคิดเอาครับ เพราะความคิด ก็คือจิตตัวนึง เราเอาจิตไปแสวงหาจิตไม่ได้
หลวงพ่อรูปนึงท่านเคยสรุปอย่างแหลมคมว่า "คิดกับรู้ เป็นศัตรูกัน"
เพราะถ้ามันเป็น "ความคิด" ก็เท่ากับมันเป็น "ของปลอม" ไม่ใช่ของจริง เพราะเราสร้างให้มันเป็นโน่นเป็นนี่ได้ ตามจินตนาการ
เมื่อไม่ใช่ของจริง ก็ไม่ใช่ "ความจริง" และย่อมไม่ใช่ "วิปัสสนา" ไม่ใช่วิปัสสนา ก็ไม่รู้ธรรม ไม่เกิดการสะสมปัญญาว่าด้วยความจริงของจิต
ถามว่ามีเฉลยข้อสอบอีกไหม.. ว่าความจริงของจิต คืออะไร.. มีครับ
ถ้าเราเห็น "ความจริง" ของจิต เราจะเห็นว่า มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และมันไม่ใช่ตัวเรา เราจึงบังคับมันไม่ได้
ไอ้ตรง "มันไม่ใช่ตัวเรานี่แหละครับ" ที่จะช่วยพิสูจน์ทฤษฎีที่พระพุทธเจ้าเฉลยไว้
ถามว่า.. ผมอ่านตาม แล้วคิดเอา ผมว่าผมเข้าใจนะ สมมติผมเชื่อเอาตอนนี้เลย ว่าจิตไม่ใช่เรา จะถือว่าผมบรรลุธรรมแล้วได้ไหม
ตอบว่า.. อันนี้ก็คือการคิดเอาครับ ซึ่งต้องย้อนไปในบล็อคก่อน ที่ผมบอกว่า ปัญญา มันมี 3 ระดับ ระดับที่ได้จากการคิดเอาเป็นระดับ 2
ไม่ใช่ปัญญาตัวจริงที่เอาไว้ละลายความโง่ของจิตเรา ไม่ใช่สิ่งทำให้จิตเรา "ตื่น" ได้ ไม่ได้ช่วยขัดเกลากิเลส ไม่ใช่ "วิปัสสนาปัญญา" หรือศัพท์เทคนิคว่า ภาวนามยปัญญา
เมื่อโยงสิ่งที่ผมบอกว่า.. การมีสติ รู้สึกตัว ในกาย ในจิตนั่นคือการทำวิปัสสนา
การทำวิปัสสนา คือการปฏิบัติธรรม
ธรรมะจึงไม่ได้เป็นอะไรลึกลับ สูงส่ง อยู่ไกลๆ ยากๆ อย่างที่เราเคยรู้สึกเลย มันอยู่ มันเกิด มันดับ มันพิสูจน์ตัวเองให้เราเห็นตำตาอยู่ทุกเวลา ทุกวินาที เพียงแต่ที่ยาก มันเป็นเพราะเราไม่เคยเข้าไปดู เข้าไปรู้มันตะหาก
เหมือนคนที่นอนหลับแล้วจะปลุกให้ตื่น มันไม่ยากหรอก แต่ถ้าหลับตั้งแต่เกิดแล้วไม่เคยตื่น อันนี้แหละ ที่ยาก
เพราะถ้าคุณไม่เคยตื่นเลย แถมหลับฝันทั้งชีวิต คุณจะรู้ได้ยังไง ว่าชีวิตที่คุณอยู่ มันคือความจริง หรือความฝัน
ใครเคยดูหนัง the matrix จะพอนึกออก เขาถามคำถามนี้แหละ
ถามต่อว่า แล้วจะรู้ตื่นได้ไง.. ก็ต้องเริ่มหัดรู้สึกตัวดูสิครับ เวลาโกรธใคร แล้วลองรู้สึกถึงความโกรธดู รู้อย่างเป็นกลางๆ เหมือนคุณเห็นคนข้างบ้านคุณเขาทะเลาะกับภรรยาอยู่หน้าบ้าน
ไม่ต้องไปเข้าข้างสามี ไม่ต้องเข้าข้างภรรยา ถ้าเขาเห็นว่าคุณแอบมองอยู่ เขาจะอายและค่อยเบาเสียงลง แล้วหลบเข้าบ้านไป
พระพุทธเจ้าท่านท้าทายผู้คนมาสองพันกว่าปีแล้ว ด้วยวิธีนี้แหละ
ท่านบอกว่า.. ไม่ต้องเชื่อเรานะ อย่าเชื่อ.. ไปลองทำดู แล้วจะเห็นเอง ว่าที่เราเคยคิดว่าเราตื่นอยู่น่ะ.. จริงๆ เราหลับฝันมาตลอด ว่าที่เราเคยคิดว่า จิตนี้ คือตัวเราน่ะ.. จริงๆมันไม่มี "ตัวเรา" มันมีแต่ความเข้าใจผิดว่ามี "ตัวเรา"
คนเราส่วนมากรู้จักความโกรธ เพียงแต่เวลาโกรธ สติมันไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว มันไปอยู่ที่เรื่องที่เราพูด ไปอยู่กับความคิดว่าจะด่าสู้อีกฝ่ายยังไง
ส่วนมากจะรู้ตัวว่าโกรธ ก็จนเวลาผ่านไปแล้ว เวลาเดินห้าง เห็นของที่อยากได้ ก็ลืมเนื้อลืมตัว ซื้อๆๆ มาได้สติอีกที ก็กระเป๋าฉีกไปแล้ว พระท่านถึงบอกว่า เราเป็นทาสกิเลสมาชั่วชีวิต
โดนกิเลสมันหลอกหน้า หลอกหลัง ให้เราปรนเปรอมัน แล้วมันก็หลอกให้เราเข้าใจว่า มันน่ะคือ "ตัวเรา"
คนที่ตื่นแล้วจริงๆ จะตกใจมากนะครับ เป็นเรื่องน่าขนลุกมาก ที่เห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านพูดจริง
คือนึกถึงว่า.. ถ้าเราไม่สนใจพุทธศาสนา ไม่สนใจเรื่องปฏิบัติ ไม่เชื่อเรื่องวิปัสสนา เราก็คงเป็นหนอนในอาจมแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ที่คิดว่า ..ชีวิตนี้ ดีแล้ว
พระพุทธเจ้าบอกว่า ความไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้ความจริงของกายและจิต เป็นเหตุให้เกิดภพชาติ และการเวียนว่ายในสังสารวัฏ
งั้นถามต่อว่า.. โอเค.. จะเริ่มยังไง ที่ว่าให้รู้สึกตัวน่ะ..
อันนี้เห็นเบื้องต้น คงจะต้องรบกวนไปศึกษากันต่อเองนะครับ ผมเกรงว่าผมจะความรู้ไม่รอบด้านพอจะนำท่านได้ เพราะแต่ละท่านมีจริต ความชอบ ต่างๆกัน
แต่ผมแนะนำว่า มีความรู้มากมายจากในเว็บนี้ รอท่านอยู่ //www.wimutti.net/ คลิกได้เลย
จะไปดาวน์โหลดหนังสือมาอ่าน จะไปฟังเสียงที่อาจารย์ผมท่านสอน ก็ไม่ต้องไปถึงวัด เผื่อท่านที่อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ก็ศึกษาได้
ผมเป็นได้แค่คนชี้ทางให้ทราบนะครับ ที่เหลือ สุดแท้แต่ท่านจะเห็นสมควร แต่ถ้าท่านไม่เดินต่อ ผมบอกได้คำเดียวว่า..
น่าเสียดาย เป็นอย่างยิ่ง
โอกาสหน้า จะพูดเรื่องประเภทของการปฏิบัติ แต่เว้นๆไว้หน่อยก็ได้ พูดเรื่องอื่นมั่ง เดี๋ยวคุณเบื่อ
อีกอย่าง.. เดี๋ยวจะมีใครเข้าใจว่าผมเป็นพระภิกษุ มาเปิดบล็อค เพราะไม่พูดเรื่องอื่นเลย
วันนี้อัพ จากที่ทำงาน เพลงเลยยังไม่มี กลับบ้านคืนนี้ จะใส่ให้ แต่จะใส่แบบไม่อัตโนมัติ จัดเป็นอัตโนมือ คือต้องคลิกถึงจะเล่น เพราะเห็นว่า เพลงมันกวนสมาธิเวลาท่านอ่านกันพอควร
สุขสันต์วันศุกร์ เดินทางไปไหนช่วงนี้ ต้องอวยพรให้โชคดี อย่ามีสำลีแปะหัว นะครับ
************************************* มีคำถามหน้าไมค์ จากคุณคูณ ถามว่า การนั่งสมาธิก็ยังไม่ถือว่าเป็นการวิปัสสนาใช่ไหมครับ ตอบว่าอาจจะเป็น หรือไม่เป็นได้ทั้งสองกรณี ครับ
คือถ้านั่งสมาธิแล้วจิตไปเกาะแนบ แน่วแน่อยู่กับอารมณ์ใด อารมณ์หนึ่ง เพียงอันเดียว เช่นการบริกรรมพุทโธ หรือนับ 1 2 3 4.. ตามรู้การเคลื่อนเข้า-ออกของลมหายใจ การพองยุบของท้อง ฯลฯ
อันนี้ถือว่าเป็นการทำ สมถะกรรมฐาน ประโยชน์คือ เป็นไปเพื่อความสงบ ความเย็น ความนิ่ง แน่วแน่ ของจิต
แต่ถ้านั่งสมาธิโดยบริกรรมพุทโธ หรือนับ 1 2 3 4.. ตามรู้การเคลื่อนเข้า-ออกของลมหายใจ การพองยุบของท้อง ฯลฯ แล้วในระหว่างนั้น จิตเกิดแว๊บบบบบ ออกไปคิดถึงแฟน คิดเรื่องงาน คิดเรื่องบล็อกที่ผมเขียน คิดถึงหมาที่บ้าน แล้วเรามีสติตามรู้ได้ตามความเป็นจริงว่า จิตเกิดการทำงานแล้วนะ ก็เท่ากับมีการเจริญสติ ก็นับว่าเกิดการเจริญวิปัสสนาขึ้นแล้ว
แล้วการออกบวชล่ะ ถ้าเช่นนั้นการที่ชายคนนึงออกบวชเป็นพระก็ไม่จำเป็นสิครับ
ถ้าพูดในประเด็นว่า ถ้าต้องการเจริญสติ เพื่อวิปัสสนา อันนั้นจะฆราวาส หรือพระ ก็ทำได้เหมือนกันครับ
ครูบาอาจารย์ท่านพูดเสมอว่า ธรรมะ เป็นของส่วนกลาง ไม่ใช่สมบัติของพระ หรือฆราวาส แต่ประโยชน์ของการบวชก็ย่อมมีอยู่ โดยไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนา
อีกอย่าง การปฏิบัติในระดับของการบรรลุธรรมขั้นสูงของฆราวาส มันมีข้อจำกัดมากกว่าพระ
คุณน้องคนเล็กถามว่า ภาวนาต่างอย่างไงกะสวดมนต์อะ (ไม่ได้โง่ซะหน่อยนะ คำถามนี้)
ภาวนา ตามความหมายทางพุทธ แปลว่า การทำให้เจริญขึ้น เช่นจิตภาวนา คือการทำให้จิตเจริญขึ้น เจริญสติภาวนา แปลว่า การทำให้(จิต)ดีขึ้นด้วยการเจริญสติ
สวดมนต์ ไม่ต้องแปลมั้ง.. แต่เข้าใจว่า คุณน้องคนเล็ก ไปจำมาจากคำที่เขาพูดกันว่า สวดมนต์ภาวนา ซึ่งก็แปลว่า การทำให้(จิต)เจริญขึ้นด้วยการสวดมนต์
ไม่เข้าใจ ถามได้อีกนะ แต่ก่อนจะถาม ให้รู้ทันความสงสัย รู้ทันความรู้สึกอยากถาม อยากเข้าใจด้วยนะ
Create Date : 11 มกราคม 2550 |
Last Update : 14 มกราคม 2550 1:44:19 น. |
|
12 comments
|
Counter : 1482 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ลูกน้องคนที่แต่งงานแล้ว IP: 124.120.2.20 วันที่: 12 มกราคม 2550 เวลา:22:53:25 น. |
|
|
|
โดย: นักรักโลกมายา (นักรักโลกมายา ) วันที่: 12 มกราคม 2550 เวลา:23:29:11 น. |
|
|
|
โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 13 มกราคม 2550 เวลา:3:01:01 น. |
|
|
|
โดย: Tony KooN (tk_station ) วันที่: 13 มกราคม 2550 เวลา:13:43:42 น. |
|
|
|
โดย: law of nature IP: 81.106.200.74 วันที่: 13 มกราคม 2550 เวลา:18:33:33 น. |
|
|
|
โดย: น้องคนเล็ก IP: 124.120.184.147 วันที่: 13 มกราคม 2550 เวลา:23:12:13 น. |
|
|
|
โดย: ป้าหู้เองค่ะ (fifty-four ) วันที่: 13 มกราคม 2550 เวลา:23:55:20 น. |
|
|
|
โดย: law of nature IP: 81.106.200.74 วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:5:55:17 น. |
|
|
|
โดย: aston27 วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:10:41:10 น. |
|
|
|
โดย: แพ็ท IP: 124.157.214.202 วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:11:13:28 น. |
|
|
|
โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:12:43:55 น. |
|
|
|
| |
|
|