|
จุดเปลี่ยนของชีวิต ตอนที่ 2
เมื่อวานทิ้งท้ายไว้บอกว่า.. จะมาแนะนำว่า ถ้าจะมีสัมมาสติ จะได้มาอย่างไร
เขียนเสร็จเมื่อวานก็นั่งคิดอยู่ว่า จะเขียนยังไงดี เพราะเรื่องสัมมาสตินี่มันอธิบายได้ แต่เข้าใจยาก
ที่เข้าใจยาก เพราะมันง่ายมาก ง่ายจนเรานึกไม่ถึง เหมือนเป็นเส้นผมบังภูเขาอะไรอย่างนั้น
ผมเองตอนเรียนเรื่องนี้ใหม่ๆ ก็ฟังอยู่เป็นปีๆ ฟังแรกๆ ก็ไม่เข้าใจ เหมือนเวลาคุณเรียนพิมพ์ดีดแล้วครูบอกว่าให้เอานิ้ววาง ฟ ห ก ด อิ อา ส ว หรือเวลาครูสอนขับรถ เขาบอกว่า ให้เอามือวาง ที่ 9 นาฬิกา 3 นาฬิกา เหยียบคลัช เข้าเกียร์หนึ่ง ค่อยๆปล่อยคลัช เหยียบคันเร่ง
คุณๆ เข้าใจไหมครับ .. ก็เข้าใจ แต่เข้าใจแบบได้ความจำใช่ไหมครับ
แต่พอทำเป็นขับเป็นแล้ว มันแทบจะหลับตาพิมพ์ หรือขับได้แบบไม่ต้องคิดมากเลย
การเจริญสติ ให้เกิดสัมมาสติก็เหมือนกัน เริ่มต้นก็จะเข้าใจตามที่มีคนบอก ตามที่อ่านมา แต่ทำแล้วผลจะเป็นไง ยังนึกภาพไม่ออก
จะบอกว่า ไม่ต้องนึกครับ .. เพราะการปฏิบัติเราใช้การ "รู้สึก" เอา ไม่คิด ไม่นึก .. ถ้าคิดก็คือการ "หลง"ไปทางจิต ก็ต้องตามรู้ว่าจิตมัน หลงไปทำงาน คือหลงคิดไปแล้วล่ะ
ผมเพิ่งไปตอบกระทู้ใครบางคนมา .. บังเอิญเห็นว่าเนื้อหาบางส่วนเข้ากันได้ เลยหยิบมาใช้ประกอบครับ
ถ้าคุณสังเกตดูตัวเอง คุณจะเห็นว่าอารมณ์ทุกอย่างในชีวิตเรา มันเป็นเหมือนลม เหมือนฝน เหมือนแดดร่ม แดดออก เหมือนอากาศร้อน อากาศหนาว อากาศเย็นสบาย ที่เราเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน.. เจอมาเป็นสิบๆปีแล้ว
เราเคยเจออากาศเปลี่ยนไปขนาดไหน ชีวิตเราก็เจออารมณ์ต่างๆมากพอๆกัน หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
ทุกๆวันที่ผ่านไป เราจะมีสุข มีทุกข์ ผ่านเข้ามาเยอะแยะ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสังเกตเห็นมันไหม
ไม่ทราบว่าคุณนับถือศาสนาอะไร แต่ถ้าเชื่อในพระพุทธเจ้า.. ก็ต้องเชื่อว่า แม้แต่คนที่สมบูรณ์พูนสุขที่สุดในโลกนี้ เขาก็มีทุกข์ของเขาแน่นอน
เพราะทุกคนก็คือส่วนนึงของธรรมชาติ เราไม่ได้อยู่เหนือธรรมชาติ ทุกอารมณ์ ทุกอุณหภูมิ ทุกดินฟ้าอากาศ ก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ไม่มีอะไรคงที่ ยั่งยืน ถาวร ไม่มีอะไรผ่านมาแล้วไม่ผ่านไป เพราะมันคือธรรมชาติ
อะไรที่มีธรรมชาติกำกับอยู่ มันย่อมมีอายุของมัน มีเวลาของมัน
ความสุขเกิดขึ้น แล้วก็คงอยู่ เปลี่ยนแปลงขึ้นๆลงๆ แล้วก็ดับไป ฉันใด ความทุกข์ก็เกิดขึ้น คงอยู่ เปลี่ยนแปลง ขึ้นๆลงๆ แล้วก็ดับไป เช่นกันฉันนั้น
ไม่ใช่เพราะเป็นทุกข์แล้วจะอยู่นาน เป็นสุขแล้วจะอยู่แป๊บเดียว แต่เพราะเรามักจะรักในความสุข เกลียดในความทุกข์
เวลาทุกข์เกิดขึ้นนิดเดียวก็รู้สึกว่ามันมากมาย ร้อนรนทนไม่ได้ เวลาสุขเกิดขึ้นมากมาย ก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ อยากได้อีกๆๆอยู่นั่นเอง
ถ้าเราหมั่นสังเกต วิจัยดู.. ความสุขจากความรัก ก็ไม่คงที่ ความทุกข์จากความรัก ก็ไม่คงที่ บางวันสุขมากกว่าทุกข์ บางวันก็ทุกข์มากกว่าสุข
สมัยก่อนที่ความรักเบ่งบาน ตอนเห็นหน้ากันก็สุข ยิ่งได้จับมือโอบกอด ได้สัมผัส ก็ยิ่งสุข แต่พอต้องกลับเข้าบ้านปิดประตูไม่ได้เห็นหน้าแค่สองวินาที ก็ทุกข์เพราะคิดถึง ยิ่งเจอพ่อยืนหน้าถมึงทึง ยิ่งทุกข์ใหญ่
สุขก็ไม่คงที่เห็นไหมครับ
ถึงตอนนี้ที่มันทุกข์เสีย 99% เหลือสุขจากความทรงจำที่เคยมีอยู่นิดหน่อย มันก็ไม่ได้ทุกข์เต็มร้อยตลอด 24 ชั่วโมง ใช่ไหมครับ ลองแอบสังเกต แอบวิจัยตัวเองเวลาทุกข์ ดูสิครับ
คุณจะเห็นว่าทุกข์มันมาพร้อมกับความจำ และต่อยอดขึ้นตามความคิด
แปลว่า เพราะคุณยังจำได้ว่า เขาเป็นคนที่คุณรัก ยังจำได้ว่าเขาทำให้คุณเสียใจยังไง แล้วความคิดก็ต่อยอดว่า .. ทำไมเขาถึงทำกับเราได้
ไอ้ส่วนท้ายที่มาพร้อมกับคำว่า "ทำไม" นี่แหละครับ ตัวทำให้เจ็บที่สุด
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว เขาก็ทำให้คุณเสียใจแค่ครั้งเดียว ..ตอนที่เขามาบอกเลิก ไม่ว่าเขาจะโกหกหรือพูดจริง
แต่ไอ้ความคิดนี่แหละครับ ที่ทำให้ตัวเราเองเสียใจได้ไม่รู้จบแบบอนันตกาล
พระรูปหนึ่งท่านเคยสอนศิษย์ว่า .. คนเราทุกวันนี้ เป็นทุกข์เพราะความคิด ถ้าไม่มีความคิด ความทุกข์(ใจ)ก็ไม่เกิด
แต่ถามว่าความคิดห้ามได้ไหม ทุกข์ ห้ามได้ไหม ห้ามไม่ได้ครับ แต่เราสามารถเรียนรู้วิธีรับมือกับทุกข์ได้ โดยไม่เจ็บไม่ร้อน
เหมือนเอาหม้อใส่น้ำ ตั้งไฟ ถามว่าจะไม่ให้น้ำเดือดได้ไหม ไม่ให้หม้อมันร้อนได้ไหม ไม่ได้ใช่ไหมครับ
แต่ไม่ได้แปลว่า เราจะต้องเจ็บร้อน จากหม้อที่มีน้ำเดือดพล่านนั้น ถ้าเพียงแต่เราจะรู้วิธี จับมัน ใช้อุปกรณ์ช่วย และมี "สติ"
แถมยังเอาน้ำเดือดมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างด้วยซ้ำไป
พระพุทธเจ้าสอนพวกเราว่า.. ทุกข์น่ะ มีให้รู้ หมายถึงให้มีสติรู้เท่าทันทุกข์ ที่เกิด ที่เป็นไป โดยไม่ต้องไป "อยาก" ให้มันไม่เกิด ไม่ต้องไปเกลียดมัน
เพราะถ้ามีความอยากเกิดขึ้น มันคือสมุทัย หรือเหตุแห่งทุกข์ ก็เท่ากับเอาทุกข์ตัวนึงออกแล้วเอาตัวใหม่ไปใส่แทน เท่านั้นเอง
แต่ถ้าเรารู้เข้าไปที่ตัวทุกข์ ว่ามันเกิดอยู่ ด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่มีความรังเกียจ "อยาก"ให้มันหาย "อยาก"เป็นคนดี "อยาก"ได้อารมณ์ดีๆ จิตดีๆ สะอาดๆ ทุกข์มันก็จะเกิดขึ้นมาเป็นลูกโซ่
จะดับทุกข์ได้ จึงไม่ต้องการอะไรมากกว่า รู้สึกตัวขึ้นมา รู้สึกที่ทุกข์ ความแน่นๆ หนักๆในใจ หรือถ้าเห็นว่ามันมีตัวอยากหมดทุกข์ อยากกำจัด อยากดับทุกข์ ก็ต้องรู้ตรงนั้น
เพราะความอยากนั่นแหละคือจุดเริ่มของทุกข์
ทุกข์.. มันทำงานที่จิตเรา ที่ใจ จะทำความรู้จัก เข้าใจมันก็ต้องไปรู้ทันใจบ่อยๆ
คุณอาจสงสัยว่า..รู้ทันจิตใจบ่อยๆ .. แล้วดียังไง ตอบว่า ..รู้ได้บ่อยๆแล้ว คุณก็จะเกิดปัญญา เกิดดวงตาเห็นธรรม ..เห็นว่า..
มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นแหละ เราบังคับอะไรมันไม่ได้หรอก เพราะมันไม่ใช่ของเรา เพราะมันเป็นของมันอย่างนั้น
เพราะมันเป็น.. ธรรมชาติ ิ เหมือนฝนจะตกแดดจะออกน้ำจะท่วม เราบังคับไม่ได้หรอก แต่ถ้าคนเข้าใจ ก็จะยอมรับได้ว่า..
มันก็เป็นไปตามฤดูกาล เป็นไปตามธรรมชาติ
ไม่ใช่ว่าอากาศดี มันจะดีทุกวัน ทั้งปีทั้งชาติ ไม่ใช่ว่าน้ำไม่เคยท่วม แล้วจะท่วมไม่ได้ ไม่ใช่ว่าฝนไม่ตกมาเจ็ดเดือน แล้วจะตกไม่ได้
เมื่อยอมรับได้ ก็จะไม่ทุกข์ไม่ร้อนที่มันเกิด มันมีเหตุขึ้น เช่นฝนตก ก็หลบฝน หาร่มมากาง แก้ปัญหาไปจนถึงบ้าน ไม่โกรธ ไม่เกรี้ยวกราดที่ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น
แดดออกร้อนมาก ก็หาที่หลบ ไปอาบน้ำ ทาแป้งตรางู นอนผึ่งลม เข้าห้าง เปิดแอร์อะไรไปตามประสา ทุกข์เฉพาะกายที่มันร้อน แต่ไม่จำเป็นต้องทุกข์ใจ ใช่ไหมครับ
แต่ถ้าไม่เคยมีสติ ไม่เคยเข้าใจความจริงของธรรมชาติ
แดดออกดีๆ ฟ้ากำลังสวยๆ พอฝนตก ก็โกรธ หงุดหงิด ขาดสติกันไป
ความรักที่เคยดีๆ ความสัมพันธ์กำลังสวยๆ กลายเป็นหม่นหมอง ก็หลงไปในความขุ่นใจ เสียใจ
ไหนๆน้ำ มันก็เดือดแล้ว เราห้ามอะไรไม่ได้ ก็ไปหาสปาเก็ตตี้มาลวกทานเล่น ผัดน้ำมันมะกอก ใส่ใบโหระพา เบคอนกรอบๆ ผัดกระเทียมพริกขี้หนู ใช้ประโยชน์จากน้ำเดือดเสียเลย
ไม่ต้องไปนั่งเศร้าที่เขามาจุดไฟ ไม่ต้องไปนั่งพยายามทำให้มันเย็น
แค่เข้าใจทุกข์.. เข้าใจตัวเอง เข้าใจธรรมชาติ เข้าใจด้วยความเป็นกลาง ไม่ต้องอยากบังคับ ไม่ต้องอยากเปลี่ยนแปลงอะไร
แล้วเมื่อสติคุณเกิด คุณจะตื่นขึ้น เห็นโลกใบเดิม ผ่านแว่นอันใหม่ ฟิลเตอร์มัวๆ ที่ฉาบด้วยความหลง ความไม่รู้จักธรรมชาติจะหายไป
เวลาคนอกหัก แล้วมีสติ ระดับสัมมาสติ จะรู้ว่า อกหัก ก็ไม่เลวนักหรอก ถ้าเทียบกับปัญญา ที่เพิ่มพูนขึ้นจากความอกหักนั้น
เบื้องต้น เอาเท่านี้แหละนะครับ.. แค่ให้ทุกท่าน ตามรู้ ตามดูความรู้สึก ด้วยใจที่เป็นกลาง
ไม่ต้องไปอยากได้สุข เกลียดทุกข์ แม้แต่ตัวสติก็ไม่ต้องไปอยากได้ อยากมี .. เพราะสติสร้างขึ้นไม่ได้ บังคับให้มาก็ไม่ได้ แต่ฝึกให้เกิดได้
ตั้งใจแค่ว่า จะรู้ จะเห็น ธรรมชาติ ของกาย เรา กับใจเราให้บ่อยที่สุด "เท่าที่เราทำได้"
ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เราคงจะตามรู้ได้สักสองสามความรู้สึกแหละน่า
แค่อ่านแล้ว งง.. ก็รู้ว่า งง.. สงสัย รู้ว่าสงสัย.. เบื่อ ก็รู้ว่าเบื่อ..
ปฏิบัติได้สามหนแล้วครับ เก่งมากๆ 
สุขสันต์วันอาทิตย์ นะครับ
Create Date : 28 พฤษภาคม 2549 |
Last Update : 30 พฤษภาคม 2549 18:32:36 น. |
|
12 comments
|
Counter : 1120 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: นิกกี้ (NFC) IP: 58.64.125.21 วันที่: 28 พฤษภาคม 2549 เวลา:16:56:57 น. |
|
|
|
โดย: ซออู้ วันที่: 28 พฤษภาคม 2549 เวลา:18:03:32 น. |
|
|
|
โดย: ฉัน IP: 161.246.1.33 วันที่: 28 พฤษภาคม 2549 เวลา:21:23:09 น. |
|
|
|
โดย: มิงค์ IP: 58.136.102.112 วันที่: 28 พฤษภาคม 2549 เวลา:22:10:14 น. |
|
|
|
โดย: kittykitten วันที่: 28 พฤษภาคม 2549 เวลา:22:40:04 น. |
|
|
|
โดย: Oakyman วันที่: 29 พฤษภาคม 2549 เวลา:22:17:27 น. |
|
|
|
โดย: THE Bank (THE Bank ) วันที่: 30 พฤษภาคม 2549 เวลา:7:09:13 น. |
|
|
|
โดย: นิกกี้ (NFC) IP: 202.183.225.5 วันที่: 30 พฤษภาคม 2549 เวลา:11:09:37 น. |
|
|
|
โดย: mini mini วันที่: 30 พฤษภาคม 2549 เวลา:12:40:51 น. |
|
|
|
โดย: aston27 วันที่: 31 พฤษภาคม 2549 เวลา:12:27:32 น. |
|
|
|
โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 6 มิถุนายน 2549 เวลา:13:13:51 น. |
|
|
|
| |
|
|