|
เข้าใจ ยอมรับในความต่าง Tag รอบ 2

ถ้าจะถามว่า คุณมีเพื่อนไหม คำตอบที่ได้ ก็คงเหมือนกันว่า.. มีสิ คุณแอสตันถามไรเพี้ยนๆ 
แต่ถ้าถามต่อว่า.. เคยรู้สึกไหมว่า อยากให้เขาเข้าใจเราไปทุกเรื่อง อยากให้เขาเห็นดีเห็นงามกับสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะดี หรือร้าย ซ้ายหรือขวา อยากให้เขาเป็นในแบบที่เราชอบ แบบที่เราคิดว่าใช่
เช่น ผมชอบน้องคิม แต ฮี ข้างบน ในกิริยาแบบนึง ผมก็อาจจะไม่ชอบเขาในอีกลุคนึง ที่เธอไปถ่ายชุดว่ายน้ำ หรือแต่งตัวผ่าหน้า ผ่าหลัง ทำผมหยิก ผมฟู
เคยไหมครับ? 
เมื่อก่อนผมเป็นคนแบบนั้นแหละ .. ถ้ารักใคร ชอบใคร ใกล้ชิดสนิมสนมกับใคร ก็อยากให้เขาเห็นชอบในทุกเรื่องที่เราคิดว่าใช่ เข้าใจในทุกสิ่งที่เราเชื่อ
อยู่มาวันหนึ่ง เกิดรู้สึกได้ว่า มนุษย์เราเกิดมาด้วยความแตกต่าง เรามีลายมือลายนิ้ว เฉพาะตัว ไม่ซ้ำแบบใคร มีพ่อแม่อบรมสั่งสอนมาคนละแบบ โตมาในครอบครัวที่ต่างกัน ขนาดพี่น้องท้องเดียวกัน อยู่บ้านเดียวกัน ยังคิดต่างกัน นิสัยไม่เหมือนกัน เหมือนนิ้วทั้ง 5 อยู่บนมือเดียวกัน ยังไม่เหมือนกันเลย
นักเรียนห้องเดียวกัน ครูคนเดียวกัน ยังอ่านหนังสือเล่มเดียวกันแล้วเข้าใจต่างกัน
แล้วนับประสาอะไร กับคนต่างเพศ ต่างครอบครัว ต่างโรงเรียน ต่างห้องเรียน ไม่ได้แปลว่า ถ้าเขาชอบเรา เขาเป็นเพื่อนเรา เขาจำควรจะเห็นพ้องต้องใจเราไปทุกอย่าง
ผมพบว่า บางที บางครั้ง มนุษย์เราใช้เวลาพยายามทำให้อีกฝ่ายเข้าข้าง และยอมรับเรามากเกินไป ผมกลับรู้สึกว่า มันจะง่ายกว่านั้น ถ้าเราจะเรียนรู้และยอมรับได้ว่า
คนเรารู้สึกดีต่อกันทั้งๆที่ คิดต่าง พูดต่าง ทำต่างกันได้ เพราะเรามีหัวใจคนละดวง สมองคนละก้อน
ผมมีเพื่อนสนิทคนที่คุ้นเคยคนหนึ่ง ตั้งแต่ที่ทำงานเก่า ที่ดูเผินๆ ไม่น่าจะสนิทกันได้มากนัก ผมเป็นคนชอบอยู่บ้าน เขาเป็นคนชอบไปโน่นมานี่ เขาเป็นคนชอบปืน แต่ผมไม่ชอบ เขาชอบดื่มเบียร์ ผมไม่ดื่ม เขากินเนื้อวัว แต่ผมไม่กิน ผมชอบฟุตบอลแต่เขาไม่ค่อยดู
แต่เขากับผมก็ยังอุตส่าห์มีอะไรที่เข้ากันได้ เช่น .. เราสามารถไปนั่งกินข้าวตอนพักเที่ยงโดยบางวันพูดกันจนแทบไม่ได้กินข้าว ขณะที่บางวันเราสามารถไม่พูดกันเกินสามประโยค ต่างคนต่างสั่งอาหาร แล้วถือหนังสือไปคนละเล่ม แล้วก็ต่างคนต่างอ่าน ต่างคนต่างกิน โดยที่เราไม่ได้เห็นว่ามันผิดปกติ ไม่ได้รู้สึกว่า มีอะไรเคืองกัน
เราไม่ได้เห็นด้วยในทุกอย่างที่อีกฝ่ายคิด แต่เราก็ไม่ติดใจในเรื่องที่อีกฝ่ายทำ เราเพียงแต่เข้าใจว่า.. ทุกคนมีชีวิตของตัวเอง เราอยู่ร่วมกัน บนความต่างได้
เขาเป็นพวกออกไปเดินไล่ลุงแม้ว ขณะที่ผมไม่เห็นด้วยกับการเดินขบวน แต่พอเขาเล่าให้ผมฟัง ผมก็ยิ้มๆ แล้วก็ไม่พูดอะไร นอกจากบอกว่า ตอนนั้นผมไม่เห็นด้วยกับพันธมิตร เพราะสำหรับผมอะไรก็ได้ ใครก็ได้ ผมแค่อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามระบบและกติกาเท่านั้น
แล้วเราก็กินข้าวกันได้ต่อไป คุยเรื่องอื่นกันต่อไป
ไม่มีใครมานั่งซักว่า ทำไมคุณทำยังงั้นวะ ทำไมคุณคิดงี้วะ เพราะเราไม่ได้คิดว่า อีกฝ่ายต้องพูดให้ถูกใจเรา ตรงใจเราตลอดเวลาไปทุกเรื่อง
ผมใช้คำว่า.. ยอมรับในความแตกต่าง แล้วคุณจะยอมรับในสิ่งที่เขาทำ เข้าใจในความแตกต่าง แล้วจะเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ
ไม่ได้แปลว่า เราต้องเปลี่ยนความคิดตามใคร ไม่ได้แปลว่า เราต้องสูญเสียความเป็นตัวเอง
แต่แปลว่า.. ความสุขมันมีได้ง่ายๆ แค่มองเห็น เข้าใจ ยอมรับ เมื่อก่อนผมจะแคร์ความรู้สึกคนรอบข้างมาก ถ้าผมทำอะไรแล้วโดนวิพากษ์วิจารณ์ ผมจะงุ่นง่าน เดือดร้อน พยายามชี้แจง อธิบาย กินไม่ได้นอนไม่หลับกระสับกระส่าย
หลังๆ ผมพบว่ามันเหนื่อยมาก ที่จะทำให้คนทุกคน เข้าใจในทุกเรื่องทุกเวลา
พอเห็นว่า จริงๆเราไม่จำเป็นต้องมีชีวิตแบบที่คนอื่นเข้าใจ แต่แค่เราเข้าใจว่าคนอื่น เขาไม่จำต้องเข้าใจเราก็ได้ ง่ายกว่าเยอะ
หลังๆ ถ้าผมรู้สึกว่าเขาเข้าใจผมผิด ผมก็จะขอโทษที่ทำให้เขาไม่สบายใจ แต่ไม่คิดว่าจะต้องไปอธิบาย ท้าวความไปยืดยาว จะไม่เข้าใจก็ไม่ว่า
It's my life นี่นา ..
*******************************
มีคุณสะติมม่อนโสสะโตแบ้ว มาแถกผมอีกรอบ โทษฐานที่รู้จักคุ้นเคยกันมา จะรับคำชวนอีกรอบ เป็นรอบสุดท้าย เหอๆ 5 ข้อนะ
1. ผมเคยจับแมวโยนจากชั้นสาม สมัยอยู่สัก ป. 3 ผมกระแดะอยากเลี้ยงแมว เห็นแมวจรจัดอยู่แถวบ้าน ก็ไปเอามาเลี้ยง โดยไม่เข้าใจธรรมชาติของมัน เอามันมานอนในห้องนอน นึกว่ามันเป็นหมา ลืมไปว่ามันคือแมวจรจัด
ตกดึก มันอยากออกไปแต๊ดแต๋นอกบ้าน มันเลยร้องเมี๊ยว ม๊าวๆๆไม่หยุด ทำไงก็ไม่เงียบ อารามโมโหผสมง่วงนอน ผมเลยจับมันโยนจากระเบียงชั้นสาม
ตื่นเช้ามา รู้สึกผิด ชะโงกไปมอง.. ไม่มีร่องรอยอะไรแฮะ ผมเลยเรียนรู้ว่า แมวมีทักษะกายกรรมอันเยี่ยมยอดเวลาลงจากที่สูง และคำพูดที่ว่า แมวมีเก้าชีวิตท่าจะจริง เพราะหลังจากนั้นไอ้แมวตัวที่ว่า มันก็ไปอาศัยบ้านถัดจากผมไปสองสามห้อง แถมเวลาเจอหน้ากัน มันไม่มาคลอเคลียผมอีกเลย
2. กรรมสนอง บ้านที่ผมอยู่ในวัยเด็ก เป็นห้องแถว มีบ้านนึงที่ผมชอบไปเล่นกะลูกเขา เป็นห้องหัวมุม ก็จะมีพื้นที่ด้านข้างรั้วเป็นสังกะสี รั้วสังกะสี เขาจะมีเสาเป็นระยะ แล้ววางคานพาดระหว่างเสา แล้วเอาสังกะสีปูตอกหมุดยึด
ในวัยและเวลาไล่เรี่ยกับเรื่องข้างบน ผมเคยเล่นไล่จับกับเด็กบ้านนี้ แล้วปีนหนีเขาขึ้นไปบนรั้วบ้านสังกะสีที่ว่า คะเนความสูงก็คงราวๆเกือบ 2 เมตรได้ ปีนขึ้นไปยืนบนราวคานไม้ที่พาดระหว่างเสานั่นแหละ มันเลยทรงตัวยาก พอโดนเพื่อนกระโดดจะแตะตัว ผมก็หงายหลังลงกระแทกพื้นดินข้างล่าง โชคดีที่เป็นพื้นดิน ไม่ใช่ปูน แต่ก็จุกแอ้กไปตั้งนาน และไม่รู้ว่า สมองกระเทือนหรือเปล่า ทุกวันนี้ ถึงได้เพี้ยนๆ แบบที่เป็นอยู่ 
แต่ที่แน่ๆ ผมรู้สึกเสมอว่า มันคือกรรมที่ผมโยนไอ้แมวตัวนั้นลงจากชั้นสามนั่นแหละ
3. รถคว่ำ ผมเคยรถคว่ำมาแล้วสองครั้ง ในชีวิต ครั้งนึงผมขับเอง อีกครั้งนั่งรถคนอื่นขับ
ครั้งแรกเป็นทางภูเขาชัน ฝนตกปรอยๆ ครั้งที่สองแดดออกเปรี้ยง กลางถนนวิภาวดี
ทั้งสองครั้งรถพังยับเยิน ซ่อมอยู่ตั้งเป็นเดือนๆ แต่ผมมีแค่รอยเศษกระจกข่วนที่แขน ไม่หัก ไม่ช้ำ ไม่มีเลือด ผมถึงรู้ว่า ผมเป็นคนดวงแข็ง
หลังจากนั้น ผมจะบอกทุกคนเสมอว่า.. อย่าประมาท ความเป็นความตาย บางทีมันห่างกันแค่พริบตาเดียว
4. จับหนู วันก่อนผมเพิ่งจับหนูได้ตัวนึง ตัวเป็นๆเลยล่ะ อุปกรณ์ไม่มีอะไรมาก คือไอ้ฝาครอบกล่อง CD-R ขนาด 50 แผ่น บังเอิญ หนูตัวนี้มันคงยังเด็กอยู่ และอ่อนประสบการณ์ เลยโดนผมต้อนเสียจนมุมแล้วครอบไว้
จากนั้นก็เอาโบร์ชัวร์ A-Space condo ที่อยู่ใกล้ๆมือมาสอดไว้ข้างใต้ ยกมันขึ้นมาสบตากัน แล้วก็บอกว่า ไม่ต้องกลัว เราจะเอานายไปปล่อย แต่อย่ากลับมาอีก ว่าแล้วก็เดินไปห่างจากบ้านสักร้อยเมตร เลยกองขยะไปหน่อย แล้วก็ปล่อย ใกล้ๆฝาท่อ
พอหันหลังกลับมา เดินได้ห้าก้าว เพิ่งเห็นแมว 2 ตัว อยู่หลังกองขยะ มองผมด้วยความงง ป่านนี้ไม่รู้ตกลง หนูตัวนั้นจะอยู่ใน้องแมวตัวไหน หรือจะรอดไปได้ ก็ไม่ทราบ

5. ผับ ผมเป็นคนไม่ชอบเที่ยวกลางคืน เพราะขี้เกียจหนึ่ง สองไม่กินเหล้า สามไม่ชอบควันบุหรี่ สี่ไม่ชอบอยู่ในท่ามกลางคนเมาจำนวนมากๆ
แต่ผมเคยเป็นดีเจ เปิดเพลงในผับให้คนเต้นรำอยู่ปีกว่าๆได้ ไม่รู้ทำได้ไง แต่ก็ทำไปแล้ว
ตอนนั้นจะเลิกก็เกรงใจหุ้นส่วนของร้าน เพราะเดี๋ยวเขาจะว่าเล่นตัว เลยอาศัยเวลาสวดมนต์ แล้วอธิษฐานว่า ถ้างานนี้มันไม่ดีกับผม ก็ขอให้ผมพ้นไปด้วยความไม่ลำบากใจ
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ร้านนั้นก็ถูกขายหุ้นต่อไปให้คนอื่น และถูกแปลงสภาพเป็นบาร์เกย์ในเวลาต่อมา 
โอว... น่าเสียดาย.. เอ๊ยยยยย... 
Create Date : 22 มกราคม 2550 |
Last Update : 24 มกราคม 2550 0:40:58 น. |
|
24 comments
|
Counter : 1375 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: I am just fine ^^ IP: 58.8.117.186 วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:10:37:03 น. |
|
|
|
โดย: L IP: 202.90.118.4 วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:11:19:47 น. |
|
|
|
โดย: run to me วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:13:25:01 น. |
|
|
|
โดย: tpipe วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:15:29:21 น. |
|
|
|
โดย: Hobbit วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:15:40:20 น. |
|
|
|
โดย: random-4 วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:15:58:47 น. |
|
|
|
โดย: Tony KooN (tk_station ) วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:21:03:15 น. |
|
|
|
โดย: Q.NUH IP: 125.25.49.63 วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:23:15:13 น. |
|
|
|
โดย: อรุ IP: 58.9.31.159 วันที่: 23 มกราคม 2550 เวลา:4:00:12 น. |
|
|
|
โดย: aston27 วันที่: 23 มกราคม 2550 เวลา:12:58:42 น. |
|
|
|
โดย: Life's like that IP: 202.91.23.1 วันที่: 23 มกราคม 2550 เวลา:17:34:05 น. |
|
|
|
โดย: aston27 วันที่: 23 มกราคม 2550 เวลา:23:32:27 น. |
|
|
|
โดย: Oakyman วันที่: 23 มกราคม 2550 เวลา:23:57:09 น. |
|
|
|
โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:0:43:08 น. |
|
|
|
โดย: jme วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:15:27:39 น. |
|
|
|
โดย: หนี่หนีหนี้ (แพรวขวัญ ) วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:22:24:57 น. |
|
|
|
โดย: อาริซึเมะมูน IP: 161.246.1.33 วันที่: 26 มกราคม 2550 เวลา:20:55:11 น. |
|
|
|
โดย: moodee IP: 124.120.216.101 วันที่: 29 มกราคม 2550 เวลา:21:05:28 น. |
|
|
|
โดย: Pass IP: 125.27.87.161 วันที่: 30 กันยายน 2551 เวลา:19:48:26 น. |
|
|
|
| |
|
|
ชอบบล็อกวันนี้จังค่ะ
เพราะชีวิตที่มันดีๆ อยู่ได้ทุกวันนี้นอกจากพ่อแม่พี่น้องแล้ว
ก็มีเพื่อนนี่แหละค่ะที่ทำให้เรารู้สึกว่า โลกนี้ดีจัง
รู้สึกอยากเล่าเรื่องเพื่อนให้จขบ.อ่านเพื่อแลกเปลี่ยนกัน
แต่ว่าพอนึกถึงเพื่อนแล้วเรื่องที่จะเขียนเยอะแยะไปหมดเลย
ไว้นึกออกอยากเล่าบ้าง จะแวะมาแปะไว้แล้วกันนะคะ
ส่วนคำถาม
เคยรู้สึกไหมว่า อยากให้เขาเข้าใจเราไปทุกเรื่อง
ถ้าบอกว่าไม่เคย จะเชื่อไหมคะ
เป็นเราเองที่อยากจะเข้าใจเขาในทุกๆ เรื่อง
ตอนนี้ไม่แล้วค่ะ
เพราะรู้สึกว่า ทุกคนแตกต่างกัน ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง
แต่เราก็เป็นเพื่อนกันได้ และคิดว่าเป็นได้ค่อนข้างดีด้วยค่ะ
^^