Group Blog
 
All blogs
 

ทุกข์ในรัก.. เพราะรักจึงทุกข์ จริงหรือ?

ที่ผมศรัทธาในพระพุทธเจ้า .. เพราะท่านเป็นศาสดาที่รอบรู้ และปราดเปรื่องอย่างมหัศจรรย์

ไม่ใช่เพราะท่านเหาะเหิน เดินอากาศได้ มีฤทธิ์ มีเดช

ท่านไม่เคยอวดตัวเอง ว่าท่านเป็นผู้สร้างโลก เป็นญาติข้างไหนของผู้ทรงอำนาจแห่งจักวาล
ไม่เคยอวดว่าท่านเป็นเทพฝ่ายใดมาเกิดหรือใดๆทั้งสิ้น
ไม่เคยเรียกร้องให้ใครมากราบไหว้ มาศรัทธาอะไรในตัวท่าน

ท่านเพียงแต่บอกว่า.. สิ่งที่ท่านบอกกล่าว สอนไว้ เป็นสิ่งวิเศษ ที่รู้ได้เฉพาะตน ให้พวกเราจงมาพิสูจน์กันเอาเองเถิด

ท่านบอกว่า ท่านเป็นผู้พบธรรมะอันแสนวิเศษ ไม่ได้สร้างขึ้นจากเสียงกระซิบที่ไหน
ท่านบอกว่า.. ธรรมะ มันมีอยู่ในธรรมชาติตลอดเวลา
เพียงแต่พวกเราไม่เคยมองเห็น

เหมือนคนที่อยู่ ใน the Matrix ก็ไม่เคยรู้เลยว่า..
เราเป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่เวียนว่าย ตายเกิดอยู่ในโลกที่เป็นภาพเสมือนจริง

แต่ไม่มีอะไรจริง สักอย่าง ทุกอย่างถูกปรุง ถูกสร้างขึ้นด้วยความยึดมั่นถือมั่น
ด้วยความไม่รู้ ด้วยความคาดหวัง และ.. ด้วยความอยาก

อยากให้เขารักเรา .. ตลอดไป
อยากให้เขาดีกับเรา.. ตลอดไป
อยากให้เราสวย.. ตลอดไป
อยากให้ชื่อเสียง เงินทอง เป็นสิ่งคงที่ ถาวร .. ตลอดไป
และอีกร้อยพันหมื่นแสนความอยาก..

เรื่องหนึ่ง ที่พระพุทธองค์ ตรัสสอนไว้.. และผมเห็นจริงตามนั้น
ไม่ใช่เพราะผมคิดตาม.. แต่เพราะผมรู้ และสัมผัสมันได้ด้วยตัวเอง

คือเรื่องที่ว่า.. ที่ใดมีรัก.. ที่นั่นมีทุกข์

สมัยเด็กๆ.. วัยรุ่น แม้กระทั่งโตแล้ว ทำงานแล้ว
ผมไม่ค่อยเชื่อคำพูดนั้นเท่าไหร่ ผมนึกค้านในใจด้วยซ้ำ ว่า
มันแล้วแต่คนนะ.. ถ้าเราเป็นคนดี เจอคู่ที่ดี เราก็คงมีแต่ความสุขได้

เวลาผ่านไป.. ความรัก ผ่านมาแล้วก็ไปหลายรอบ
ในวัน และวัยที่กำลังสติ ปัญญาพอจะมีอยู่บ้างนิดๆหน่อยๆ

ผมมองเห็นว่า.. พระพุทธเจ้า ไม่ได้พูดผิดจากความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว

คนเรา.. มีธรรมชาติวิ่งหาสุข วิ่งหนีทุกข์
อะไรที่เราเห็นว่า จะนำความสุขมาให้ เราจะพยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้มา
จะต้องนั่งเครื่องบินไปแสนไกล ขับรถสิบชั่วโมง หรือเสียเงินเกือบหมื่นเพื่อดูอะไรสักอย่าง เพื่อเวลาอยู่กับใครสักคนแค่สองสามชั่วโมง เราก็ทำได้

แต่อะไรที่เป็นทุกข์ แม้แค่ความเมื่อย ความล้า ที่นั่งอ่านอยู่นี้
พอเกิดขึ้นแว้บเดียว เราก็เปลี่ยนท่า ขยับตัว ให้หายเมื่อย

นี่คือธรรมชาติครับ .. ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

แต่สำหรับทุกข์ที่เกิดเพราะความรัก..
บ่อยครั้งที่เรามักจะมองมันไม่เห็น และปล่อยให้ความสุขเข้ามาบดบัง
สุขที่ใครสักคน ทำให้หัวใจเราเต้นแรง
สุขเวลาที่เขายิ้มดีใจ ที่ได้เห็นเรา
สุขที่รู้สึกว่า เขารักเรา จังเลย เรามีค่าสำหรับคนที่เรารัก

ณ เวลานั้น เราเห็นแต่สุข แต่ไม่ทันได้มองเห็นว่า ทุกข์กำลังก่อตัวพร้อมๆกับสุขนั่นเอง

ถ้าจะบอกว่า.. รัก ไม่ได้ทำให้ทุกข์
แต่ความคาดหวัง และยึดมั่นในรักต่างหาก.. ที่เป็นตัวทุกข์ ก็คงไม่ผิด

เพราะรักมันดี สีสวย หวานละมุนละไม
เราถึงอยากได้มากๆ อยากได้เยอะๆ อยากได้บ่อยๆ ตลอดเวลา
ยิ่งได้เยอะก็ยิ่งพอใจจะได้อีกเรื่อยๆ คาดหวังว่ามันจะดี สีมันจะสวย และมันจะหวานละมุนละไม อย่างนี้ตลอดไป

ทุกข์ มันเริ่มตั้งแต่.. อยาก แล้วครับ

พระพุทธเจ้ายังเตือนพวกเราอีกว่า.. ของทุกอย่าง คนทุกคน เรื่องทุกเรือ่งในโลกนี้
ล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่ในกฏ 3 ข้อ ..

คือ.. เกิดขึ้น .. ตั้งอยู่.. แล้วก็ดับไป

จะดี จะสวย จะรวย จะยิ่งใหญ่ อลังการอย่างอาณาจักร บาบิโลน อียิปต์ โรมัน ทรอย มาเซโดเนีย หรืออยุธยา
ก็หนีไม่พ้นกฏข้อนี้

จะสวยขนาดน้องหยาดทิพย์ บวกคลีโอพัตรา ผสมนางงามจักรวาลทุกคนรวมกัน
ก็หนีไม่พ้นกฏข้อนี้

จะยิ่งใหญ่ เก่งกาจ ปราดเปรื่อง ขนาดอเล็กซานเดอร์ มหาราช นโปเลียน ไอน์สไตน์ หรือแม้แต่ตัวสังขารของพระพุทธองค์เอง
ก็หนีไม่พ้นกฏข้อนี้ ..

แล้วนับประสาอะไร กับความรัก
นับประสาอะไรกับคนเดินดิน กินข้างแกงมั่ง ซูชิมั่งอย่างเรา
...........................
ไม่ได้บอกว่า อย่ามีรักเลยนะครับ

รักก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง .. เวลาจะเกิด ก็บังคับไม่ได้ เวลาจะไป ก็บังคับไม่ได้

มันเกิด และหมดไปตามเหตุและปัจจัย เช่นบุญกรรมเก่า หรือความผูกพัน การกระทำในปัจจุบัน

เพียงแค่.. ถ้าจะต้องรัก ก็จงรักอย่างมีสติ อย่างมีความเข้าใจและรู้ทันธรรมชาติของมัน

รู้ว่ามันก็เหมือนของทุกอย่างในโลกนี้ ที่มีช่วงเวลาของมัน
มันไม่ได้มาเพื่อจะเป็นอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้ ว่าจะมั่นคงถาวร

ถ้ามันยังมี ยังดีอยู่ ก็จะได้สุขอย่างไม่ยึดมั่น และคาดหวัง
ถ้ามันจะหมด จะมอดไหม้ไป ก็จะได้ไม่ทุกข์ จนหนักหนาสาหัส

เพราะตราบใดที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ใน the Matrix แบบนี้
เราก็ยังหนีทุกข์ ไม่พ้น

ขอให้ทุกท่านทุกข์น้อยๆ น้อยลงๆ จนสิ้นทุกข์ ในที่สุดนะครับ

สุขสันต์วันพฤหัสครับ




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2549 9:17:38 น.
Counter : 1685 Pageviews.  

อีกด้านของเหรียญ: วัยเยาว์ของผม

ตั้งแต่ผมยังเด็ก .. ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

คือด้วยความที่เป็นเด็กเล็กๆ ที่ต้องอยู่กับอาม่าตามประสา ย่าหลานสองชีวิต ในบ้านห้องแถวสามชั้นครึ่ง ไอ้ครึ่งชั้นที่ว่า คือชั้นลอยที่คั่นระหว่างชั้นล่างกับชั้นสอง

ชั้นล่าง และชั้นลอย บางครั้งก็ปล่อยให้คนอื่นมาเช่าบ้าง
แต่ให้เช่าแค่สองเจ้า พ่อก็ไม่แนะนำให้ใครเช่าอีก
ก็เลยเป็นห้องแถวว่างๆ เหงาๆ วังเวงๆ อย่างนั้น
เวลาไปเล่นข้างนอกจะเข้าบ้าน ก็ต้องวิ่งมั่ง เดินมั่ง ผ่านชั้นล่างที่มืดตื๋อ
เพราะอาม่าจะประหยัดไฟมาก ท่านจะไม่ให้เปิดไฟทิ้งไว้เด็ดขาด

ไอ้เด็กกลัวผี แต่อยากวิ่งเล่นนอกบ้านจนค่ำมืดอย่างผม ก็โตมาแบบนั้นแหละ

บ้านผมไม่มีของเล่นมากนัก มีของเล่นถูกๆอยู่ไม่กี่อย่าง
ฉะนั้นทุกอย่างจะถูกเก็บอย่างดี และเล่นจนเกินคุ้ม ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก

ประมาณว่าถ้าราคาของเล่นชิ้นละหกสิบ ผมคงเล่นไปแล้วประมาณ สี่พันสองได้

ผมกับอาม่าอยู่ชั้นสอง มีห้องครัว อยู่ตรงชานด้านหลังที่ต่อเติมยื่นออกไป ห้องน้ำ โต๊ะกินข้าว ห้องรับแขก ห้องนอน อยู่ชั้นนี้หมด

ชั้นสามส่วนนึงเป็นห้องพระ กับห้องนอนเปล่าๆ
บางช่วงก็มีญาติมาอาศัยบ้าง

บ้านหลังนั้นมีทีวีขาวดำเล็กๆเครื่องนึง ใครซื้อให้ผมจำไม่ได้
ตอนแรกผมติดทีวีมาก จนอาม่าต้องแก้ลำ ด้วยการยกทีวีไปไว้ชั้นสาม ในห้องนอนร้างนั่นแหละ

แจ๋วไหม.. อาม่าผม.. รู้ว่าหลานกลัวผี อยากดู ก็ไปดูสิ

วันหนึ่ง ไอ้เด็กขี้เหงาอย่างผมก็พบโลกของความบันเทิงใหม่เข้า ในยุคที่ไม่มียูบีซี

บ้านผมอยู่บนถนนแก้วนวรัฐ พูดไปคนเชียงใหม่ต้องร้องอ๋อ ถนนเส้นเดียวกับที่ตั้งโรงเรียนปรินส์รอยฯ กับดาราวิทยาลัย ที่มีนักเรียนสวยๆเยอะพอๆกับเรยีนานั่นแหละ

ถัดจากบ้านผมไปทางซ้ายมือ อีกประมาณสิบสี่ สิบห้าห้องได้
เป็นร้านรับซ่อมหัวฉีดเครื่องดีเซล เจ้าของเป็นคุณผู้หญิงใจดีท่านนึง เธออยู่ตัวคนเดียว

ผมนึกชื่อเธอเท่าไหร่ ก็นึกไม่ออก.. สัญญา(ความจำ)มันไม่เที่ยงนิ
แต่เธอมีคุณูปการกับผมมาก.. ทั้งเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมผมบ่อยๆ เลยเป็นธรรมดา ที่ผมชอบไปนั่งเล่นที่นั่น

จะว่าไปแล้ว ข้อดีที่สุดของบ้านคุณน้าท่านนั้น คือเธอชอบอ่านหนังสือครับ
คุณน้าเธอจะรับวารสารพวก ชัยพฤกษ์การ์ตูน สตรีสาร หนูจ๋า เบบี้ ชื่อพวกนี้ใครเกิดทันยุคผม ไม่มีใครไม่รู้จัก
และที่เหนืออื่นใด เธอยังมีหนังสือนิยายกำลังภายใน
มีหนังสือของ ป. อินทรปาลิต อย่าง พล นิกร กิมหงวน

ด้วยอิทธิพลของหนังสือในบ้านเธอ ที่เธอรื้อลังใต้เตียงมาให้ผมอ่านหมดทุกเล่ม
เด็กขี้เหงาอย่างผม เลยกลายเป็นเด็กชอบอ่านหนังสือ ตั้งเรียนชั้น ป. สาม
ชอบเข้าห้องสมุดเอง โดยไม่ต้องรอให้อาจารย์บังคับ

นึกภาพเด็ก ป.สามเดินไปเช่าหนังสือจากร้านเช่าออกไหมครับ
ผมชอบอ่านขนาดเคยเช่าหนังสือมาแล้วไม่มีตังค์จ่ายค่าเช่า
คุณป้าที่ร้านเช่าก็ใจดี ไม่เอาเงินผม ..

ร้านนี้ผมจำได้ ชื่อร้านหนังสือ รุจา..
ขอบพระคุณนะคร้าบ.. ผมไม่เคยลืมเลย

ผมเคยกลับไปเชียงใหม่ ตอนโตแล้ว กะว่าจะเอาเงินไปคืนให้ พร้อมดอกเบี้ยและการชดเชยค่าเงิน

แต่ร้านก็ไม่อยู่แล้ว ..

***************************
ผมนึกอยากเล่าเรื่องนี้ ด้วยสองเหตุผล

หนึ่ง.. เพราะมีคนถามบ่อยๆ ว่า.. ทำไมผมเขียนหนังสือถ่ายทอดความคิดได้ ถ่ายทอดเป็น

คำตอบมันง่ายมากนะครับ.. คนจะเขียนหนังสือเป็น ต้องอ่านหนังสือเยอะ

สอง.. ผมอยากชี้ให้เห็นว่า.. ธรรมชาติมักจะมีสมดุลย์เสมอ
ไม่มีอะไรที่เกินไป แล้วไม่มีข้อเสีย
ไม่มีอะไรที่ขาดไป แล้วไม่มีอะไรมาชดเชย

เหมือนเหรียญ.. ย่อมมีสองด้าน
ถ้าช่วงหนึ่งของชีวิต คุณเจอแต่ด้านหัว
ก็โปรดอย่าลืมว่า มันมีด้านก้อย อยู่ในเหรียญเดียวกัน

ถ้าช่วงไหนของชีวิต คุณเจอแต่ด้านก้อย
ก็กรุณาอย่าลืมว่า มันมีด้านหัว อยู่ในอีกฟากของเหรียญ

แค่เราพลิกมันกลับมา เราก็จะเห็น

ผมเคยรู้สึกว่าผมโชคไม่ดีนัก ที่ต้องโตมาคนเดียว
ห่างจากพี่น้องคนอื่น และไม่บริบูรณ์ในเงินทองเทียบกับเด็กในละแวกเดียวกัน

แต่ทุกวันนี้ ผมมองเห็นว่า.. ผมคงไม่ใช่คนเดียวกับที่ผมเป็นอยู่ และชอบที่ผมเป็น ถ้าผมไม่ได้โตมาอย่างนั้น

ผมคงไม่ได้มีเวลา สนใจอ่านหนังสือดีๆหลายๆเล่ม
ไม่ได้คิดแบบนี้ .. ไม่ได้เข้าใจอะไรแบบนี้ ไม่ได้เห็น ไม่ได้รู้อะไร อย่างที่ผมรู้

แม้จะเป็นความรู้แค่เศษเสี้ยวของจักรวาลก็ตามที

ไม่มีใครโชคร้าย โดยไม่มีโชคดี หรือโอกาสบางอย่างแฝงอยู่
ไม่มีใครโชคดี โดยไม่มีอันตรายแฝงมาด้วยเช่นกัน

ยิ่งเราขึ้นไปสูง เราก็มีความเสี่ยงที่จะเจ็บ หรือตายเวลาตกได้มากกว่าคนที่อยู่ข้างล่าง

ตรงกันข้าม... ถ้าคุณอยู่ในจุดที่ต่ำสุดของชีวิต
จงดีใจ ที่ไม่ว่าคุณจะทำอะไร มันจะไม่แย่ไปกว่านั้นอีกแล้ว
ขอให้ลงมือทำในสิ่งที่ดี แล้วมันจะมีแต่ดีขึ้นๆ

เวลามีเด็กเรียนจบ หรือคนที่ตกงานตอนเศรษฐกิจตกต่ำหลายปีก่อน หางานไม่ได้ มาปรึกษา มาบ่นกับผม

นอกจากเรื่องของ เจ เค โรวลิ่ง ที่เคยเล่าให้ฟังไปแล้ว

ผมจะชอบยกตัวอย่างนักร้องคนนึง.. ชื่อ มาร์ตี้ เพลโลว์
เขาเป็นนักร้องนำของวง 3 เปียก wet wet wet
ที่ร้องเพลง Love Is All Around ฉบับที่อยู่ในหนังเรื่อง
Four Weddings And a Funeral

มาร์ตี้ เป็นคนสก็อต อยู่ที่เมืองเล็กๆใกล้ๆกลาสโกว์
เขาเกิดในครอบครัวกรรมกรที่ทำงานในอู่ต่อเรือ ท่าเรือ และทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรือมาหลายชั่วอายุคน

ที่เมืองแห่งนั้น ทุกคนที่จบมา ถือว่าความสำเร็จคือการได้เข้าทำงานในอู่เรือสักแห่ง

ปีที่มาร์ตี้เรียนจบวิทยาลัย เป็นปีที่เศรษฐกิจในสก็อตแลนด์ ตกต่ำ

อู่เรือไม่รับคนงานเพิ่ม เขาหางานไม่ได้ เลยต้องไปรับจ้างสารพัดช่างเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ
ทาสี ซ่อมหลังคา ซ่อมรั้ว ทำสวนอะไรทำนองนั้น

เวลาว่างของมาร์ตี้ และเพื่อนนักเรียนที่ตกงาน คือการเล่นดนตรี
ตั้งวงกันเล่นๆ จนเริ่มเข้าที่ เข้าท่า ไปๆมาๆ เลยกลายเป็นวง wet wet wet ขึ้นมา

ถึงวันนี้ wet wet wet จะไม่ได้ดังอะไรขนาดวงอย่าง U2
ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรขนาดตำนานอย่าง Led Zeplin

แต่พวกเขาก็เป็นตัวอย่างเล็กๆ ที่บอกเราได้ว่า ในความขาด.. มันมักจะมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ

ถ้าเขาโชคดี (ตามนิยามของมนุษย์เงินเดือนทั่วไป)
ป่านนี้มาร์ตี้ ก็คงไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า คนงานธรรมดา ในอู่ต่อเรือสักแห่ง

ถ้าวันนี้ คุณโชคร้าย.. อย่าท้อถอย อย่าเพิ่งรีบรังเกียจมันนะครับ
ลองพลิกดูอีกด้านของเหรียญ มันอาจมีอะไรรอคุณอยู่

เพียงแต่เราไม่เคยดู หรือสนใจมัน.. เท่านั้นเอง

สุขสันต์วันพุธนะครับ




 

Create Date : 03 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 3 พฤษภาคม 2549 9:21:10 น.
Counter : 1259 Pageviews.  

Love Probation ระยะทดลองรัก

พูดถึงคำว่า Probation โพรเบชั่น ใครที่เป็นลูกจ้าง นายจ้าง ฝ่ายบุคคล ต้องคุ้นเคยและเกี่ยวข้องกับคำนี้มาบ้าง ไม่มากก็น้อยละ

แปลง่าย.. เขาหมายถึงระยะทดลองงาน เพื่อจะดูว่า คุณสมบัติ ความถนัด ทักษะของพนักงานคนนั้นๆ ซึ่งเพิ่งจะเริ่มงานใหม่ เหมาะกับงานไหม ประสิทธิภาพการทำงานเป็นที่น่าพอใจหรือไม่

บางที่สามเดือน สี่เดือน บางที่หกเดือน เกินกว่ากฏหมายแรงงานกำหนด ก็มี

ในระยะทดลองงาน กติกามีอยู่ว่า.. ถ้าก่อนพ้นระยะนี้ไป
หากนายจ้างเห็นว่า ลูกจ้างทำงานไม่เป็นที่พอใจ หรืออะไรก็ตามแต่
สามารถบอกเลิกจ้างได้ทันที โดยไม่ต้องมีค่าชดเชยใดๆ

สักอาทิตย์นึงที่ผ่านมา .. ผมเกิดทะลึ่งคิดขึ้นมาว่า
ไอ้แนวคิดเรื่องโพรเบชั่น มันเอามาใช้กับความรักบ้างได้ไหม
แต่แทนที่จะเป็นระยะทดลองงาน ก็เป็นระยะทดลองรัก

พูดแบบนี้ สาวๆที่เทิดทูน บูชารัก เป็นของศักดิ์สิทธิ คงออกเสียงคัดค้านเป็นแถบ

งั้นเรียกใหม่.. ระยะทดลองคบ.. ฟังดูดีขึ้นเยอะเลยใช่ไหมครับ

ที่มาของแนวคิดนี้คือ.. ผมเห็นคนหลายคนที่จับพลัดจับผลูไปมีแฟน
แล้วก็มาค้นพบหลังจากคบไปสักระยะ .. ว่าแฟนไม่ได้เป็นมนุษย์เผ่าที่ตัวเองนึกไว้

หรือความรู้สึกที่เคยนึกไว้ก่อนคบ กับหลังคบแล้ว มันช่างต่างกันเหมือนดำจังแก กับ แดจังกึม

ครั้นจะลุกขึ้นมาบอกเลิกศาลาเฉลิมไทย ก็จะกลายเป็นคนใจโลเล ไม่รักษาสัจจะ ไม่หนักแน่น
และอีกร้อยเรื่องเลว ที่จะขุดมาประกอบได้ ทำให้ resume of love ด่างพร้อยไปเสียอีก

บางคนใจกล้าหน่อย ก็เอาวะ.. พูดก็พูด
แต่ถ้าหน้าบางเพราะไม่ใช่ยางเรเดียล ก็อมพะนำกล้ำกลืนกันไป

ไม่รู้จะทำยังไงดีไปกว่าทน เพื่อจะได้ชื่อว่าเป็นคนรักที่ดีต่อไป
เหมือนที่ผมเคยเป็นมาก่อน และพังมาก่อน

เลยคิดว่า.. ถ้าใครจะลองคบกันแบบมีระยะทดลองคบ ก็ท่าทางจะไม่เลว
เพราะจะได้มีการประเมินผล ได้มานั่งคุยกัน ว่าเรารู้สึกอะไรกับเขา ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร

ถ้ามัน ไม่ไหว ไม่ใช่ ไม่ชอบ ก็จะได้จากกันอย่างสันติ
แต่วิธีนี้ เห็นจะได้ผลกับอารยชน ที่มีวุฒิภาวะอยู่พอควร เท่านั้น
ใช้กับ ทุกคู่ ทุกคนไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่อัตตาสูงๆ คิดว่าฉันดี ฉันสมบูรณ์แบบ

เคยได้ยินนิทานเรื่อง สามีที่ฉีกขอบขนมปัง ให้ภรรยาทานทุกเช้ากับกาแฟไหมครับ

คือภรรยา ก็อึดอัด เพราะรู้สึกว่าสามีเอาเปรียบมานาน
ทนจากอาทิตย์เป็นเดือน เป็นปี เป็นหลายๆปี จนสิบกว่าปี
วันนึงภรรยาถึงน๊อตหลุด ลุกขึ้นมาชี้หน้าด่าสามีในวันหนึ่ง ที่กินแต่ขนมปังขาวอยู่คนเดียว แล้วให้เธอกินขอบขนมปังสีน้ำตาลมาตลอดสิบกว่าปี

หลังจากพูดจบ..เธอขอหย่าในวันนั้น..

สามีนั่งฟังเธอพูดจนจบ น้ำตาซึม .. แล้วบอกว่า..
"ทำไมเธอไม่เคยพูดล่ะ ว่าเธอไม่ชอบ ..

เธอรู้มั้ย.. ไอ้ขอบขนมปังสีน้ำตาลนั่นน่ะ.. ของโปรดตั้งแต่เรายังเด็กเลยนะ เราอุตส่าห์เอาของโปรดของเราให้เธอกินทุกวัน ตั้งแต่แต่งงาน เพราะเรารักเธอ.."

สรุปว่า ภรรยา โกรธฟรีมาสิบกว่าปีครับ

**********************

วันนี้.. ผมว่างตอนเย็นๆ เลยขุดหนัง DVD ที่ซื้อเก็บไว้ มาฉายดูเล่น

วันนี้หวยออกที่เรื่อง The Bridges Of Madison County ครับ

เป็นเรื่องของสองพี่น้อง ที่กลับมางานศพแม่ และพบบันทึกของแม่ที่แสนจะสะเทือนใจ

ใครที่ไม่รังเกียจหนังที่ดาราอายุอยู่แถวๆดอนเมือง (เลยหลักสี่ไปแล้วน่ะ) เล่นเป็นตัวเอก
ไม่รังเกียจหนังที่เดินเรื่องด้วยภาพและบทสนทนาลึกๆ
ไม่ติดว่าต้องมีระเบิดภูเขา เผากระท่อม

ชอบหนังที่พล็อตเรื่องดี ดูแล้วน้ำตาซึม ขี้มูกย้อยได้
ชอบหนังดราม่า ซึ้งๆ แบบโรแมนติค

ไปหาเรื่องนี้มาดูเสียนะครับ หนังกำกับโดย คลินท์ อีสต์วู้ด
แสดงโดย ลุงคลินท์ เอง กับ เมอริล สตรีพ นางเอกจากเรื่อง Out Of Africa และล่าสุด ผมเห็นเธอเล่นบทคุณแม่นักจิตวิทยาในหนังเรื่อง Prime

ถ้าคุณชอบอ่านนิยายของ ว.วินิจฉัยกุล ทมยันตี อะไรแถวนั้น
คุณจะชอบหนังเรื่องนี้ครับ รับประกันซ่อมฟรีเลย

เริ่มต้นวันใหม่ให้สดใส ขอให้มีกำลังใจที่ดี
อาทิตย์นี้ทำงานแค่สามวัน ก็หยุดอีกแล้ว .. เย้!!!

สุขสันต์วันอังคารครับ




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 2 พฤษภาคม 2549 8:13:25 น.
Counter : 1990 Pageviews.  

ถึงเพื่อนต่างเพศ ในพันทิพ ที่เคารพ

บล็อคเก่าเพิ่งโพสต์ไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
ต้องมานั่งเขียนของใหม่ซะแล้ว ด้วยมีเหตุด่วนเหตุร้ายเกิดขึ้นกับชีวิตผม

เรื่องของเรื่องคือ.. มีคนมาชวนผมคุยที่หลังไมค์ครับ
ซึ่งปกติก็จะเป็นเหมือนกันทุกครั้ง คือ.. ถ้่ามีธุระอะไรก็คุยกัน

จะปรึกษา จะสอบถาม จะทักทาย ได้.. ไม่มีปัญหา

แต่ถ้าเริ่มจะไปถึงขอแอด MSN จะขอทราบข้อมูลส่วนตัว ฯลฯ
อันนั้น ผมจะขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ เพราะผมไม่สะดวก

คือถ้าเป็นในเวลาโสด ผมไม่มีพันธะกับใคร ไม่ว่ากัน
หลายท่านก็คุยกับผมทาง MSN มาแล้ว เมื่อช่วงต้นปี
ถ้าจำเป็น จะให้ระบุชื่อก็จะไหว้วานให้มาช่วยยืนยัน

แต่ครั้งพอผมเริ่มจะตกลงคบใครเป็นแฟน ผมก็จะกลับไปใช้โหมด "ขอมีอาณาเขตส่วนตัว"
เพราะผมไม่อยากให้แฟนผมคิดมาก ไม่อยากให้เธอต้องมานั่งสงสัยว่า..
ตกลงผมจะเล่นพันทิพ ให้มันได้อะไรขึ้นมา

และให้เธอมั่นใจว่า.. ผมไม่ได้เล่นพันทิพ
ตอบกระทู้ให้ดูดี เพื่อจะมาหาคู่ หรือเพื่อความป๊อบในหมู่สาวๆ

ผมทำเพราะผมเห็นว่า สำหรับบางท่านบางคน บางปัญหา
ความเห็นผมอาจจะมีประโยชน์กับเขาบ้าง

ซึ่งทุกครั้ง ก็ได้รับความกรุณาจากทุกท่านเป็นอย่างดีเสมอมา

แต่ล่าสุด มีท่านนึงเธอโกรธผมครับ เธอหลังไมค์มาด่าผมสาดเสียเทเสีย

ซึ่งผมก็ยังงงๆ ว่าผมไปล่วงเกินอะไรเธอตรงไหน
เริ่มจากเธอถามชื่อจริง ข้อมูลส่วนตัว ผม ว่าเป็นใครทำอะไรที่ไหน

ผมบอกเธอไปว่า.. ผมอยากให้รู้จักผมในฐานะ
aston27 พอแล้ว เพราะผมไม่ได้ตั้งใจจะอาศัยฐานะนี้รู้จักใครเป็นการส่วนตัว
เท่านั้นแหละครับ

ถ้าจะลืม ก็ลืมอธิบายไปว่า.. ผมทำแบบนี้ เพื่อความสบายใจของคนรัก
และของตัวผมเองด้วยส่วนนึง เพื่อจะได้ไม่ต้องมาสงสัยตัวเองว่า

ผมมาตอบกระทู้ดีๆ เพื่อสร้างภาพ เพื่อจะได้รู้จักสาวๆหรือเปล่า

ผมขออภัยเธอไปแล้ว ที่หลังไมค์ และมาถือโอกาสขออภัยอีกที ที่บล็อคนี้

อยากบอกว่า.. เราไม่จำเป็นต้องมีเวรมีกรรมต่อกันเลยครับ
เราเป็นเพียงคนเดินทางในกาลเวลามาพบกัน
แล้วต่างคนต่างก็มีเส้นทางของตัวเอง จะต้องเดินต่อไป

ผมไม่ได้โกรธอะไรที่มีคนมาเข้าใจผิด แล้วมาด่าผมหรอกนะครับ
ผมเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่ผู้วิเศษ อัตตาผมก็ไม่ได้ใหญ่โต

ผมเพียงแต่เป็นห่วงว่า.. ท่านที่เขียนมาด่าผม จะมีทุกข์ใจเกิดขึ้น ด้วยเรื่องอันไม่ควรจะทุกข์
และมันจะชักนำเป็นเวรเป็นกรรมมาถึงผมด้วยส่วนหนึ่ง
แม้ว่าผมจะไม่มีเจตนาใดๆเลยก็ตาม

ทีแรกนึกว่า.. ถ้าจำกัดการสนทนาไว้ที่ หลังไมค์ จะปลอดภัย

สงสัยจะต้องคิดใหม่ซะแล้วล่ะครับ..

*************************

ติดหนี้ไว้กับความตั้งใจของตัวเอง
ว่าจะเขียนเรื่องบทสนทนาจากหนังเรื่อง As Good As it Gets

ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่ติดใจคำพูดของเมลวิน ที่แสดงโดยแจ๊ค นิโคลสัน

ในเรื่อง เมลวิน เป็นนักเขียนนิยายชื่อดัง
วันนึงเขาไปคุยธุระที่สำนักพิมพ์ ก็เจอพนักงานสาวท่านนึง
แสดงอาการปลื้มจนออกนอกหน้า แล้วถามว่า..
อยากรู้จังว่าทำไมคุณเขียนนิยายได้เข้าถึง เข้าใจตัวตนและความคิดของผู้หญิงได้ดีขนาดนี้

เมลวินบอกว่า..

"I think of a man .. and I take away reason and accountability"

ประมาณว่า.. "ผมนึกถึงผู้ชาย แล้วก็ถอดส่วนของเหตุผล กับสิ่งที่อธิบายได้ออกไป"

วันนี้อาจจะไม่ถูกใจ Feminist นะครับ
แต่เอามาให้อ่านเล่นๆ ไม่ได้บอกว่าคุณผู้หญิงเป็นกันแบบนี้ทุกคน

เพราะถ้าเป็นแบบนี้ทุกคน.. ผมคงอยากเป็นเกย์ไปนานแล้ว

ชนชั้นกรรมาชีพจงเจริญ.. เย้!!!




 

Create Date : 01 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 1 พฤษภาคม 2549 16:21:05 น.
Counter : 1301 Pageviews.  

เรื่องเล่าคืนวันอาทิตย์

ผมเป็นแฟนรายการเฮียสรยุทธ มานานแล้ว

นานตั้งแต่แกยังจัดคู่กับคุณกนกในเก็บตกจากเนชั่น
สมัยเนชั่น แชนแนล ยังอยู่ในยูบีซีโน่นแน่ะ

ถึงวันนี้ ก็ยังต้องดูเรื่องเล่าเช้านี้อยู่ เพราะเป็นช่วงเพิ่งตื่น
กำลังเตรียมตัวจะไปทำงาน

เฮียสอ.. เป็นคนที่ใช้คู่หูเปลืองมากที่สุดคนนึง
ตั้งแต่กนก มาจนถึงคนล่าสุดคือคุณกุ๊ก

ใครจะไปรู้.. วันนึงผมอาจจะได้ไปจัดรายการคู่กะเฮียสอมั่งก็ได้ ฮ่าๆ
เพราะผมก็เป็นรุ่นน้องคณะเฮียกนกสองปีเอง

******************
เมื่อวานเขียน คคห. ในบล็อคตัวเอง ตอบท่านนึงที่มาชวนคุย
ลงท้ายไว้บอกว่า.. ศาสนาพุทธสอนให้เราต้องมีปัญญา คู่กับศรัทธา

อยากขยายความอีกสักหน่อย ..
คือพระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญศรัทธาที่ไม่มีปัญญาเคียงคู่
ท่านจึงไม่ทรงสนับสนุนให้ชาวพุทธสนใจไสยศาสตร์

แม้แต่การที่พระดูดวง ผมก็เข้าใจว่าผิดพระวินัยนะครับ
แต่อันนี้ไม่ยืนยัน จำได้แต่ว่าพระพุทธองค์ ไม่ทรงสรรเสริญ
แต่จำไม่ได้ว่ามีห้ามไว้ในพระวินัยหรือเปล่า

เพราะการดูดวง เป็นการพูดถึงสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ในอนาคต
ไม่ได้บอกว่าคนดูดวงแม่น หยั่งรู้อดีต ไม่มีนะครับ
แต่อนาคตนี่ ผมไม่ค่อยเชื่อ ยิ่งดูแบบฟันธงเนี่ย ยิ่งลำบาก

เพราะไม่อย่างนั้น ป่านนี้ผมคงรวยไปแล้ว
เห็นหมอดูกี่คนๆ ดูตั้งแต่ผมยังเด็ก ก็บอกว่าผมอายุเลย 33 ไปแล้ว จะรวย

ฮ่าๆๆๆ

*********************
คนเชื่อหมอดูมากๆ ก็เหมือนคนที่เชื่อ เมล์ส่งต่อ หรือ Forward Mail น่ะครับ

หลายท่านคงเคยเจอบางอันที่เนื้อหาเขียนเสียดิบดี แต่ลงท้ายบอกว่า
อ่านแล้วต้องส่งต่อให้คนกี่คนแล้วจะโชคดี จะสมหวัง
ถ้าไม่ทำตาม จะโชคร้าย

ผมเคยส่งต่อแล้ว.. ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย
เคยไม่ส่งต่อแล้ว แถมลบทิ้งด้วย ก็ไม่เห็นมีอะไรอีก
ผมว่าผมโชคดีตรงที่ไม่ค่อยเชื่อมัน และโชคร้ายตรงที่เสียเวลาไปอ่านเข้านั่นแหละ

อันแรกๆที่ผมจำได้คืออันที่ลงชื่อว่าพระครูวิจิตรธรรมโชติ อะไรสักอย่าง ใครจำได้มั่ง

สมัยที่อีเมล์ ยังไม่เฟื่องฟู ก็เคยมีจดหมายลูกโซ่แบบนี้แหละ
ประมาณว่าเปิดอ่านแล้ว ต้องเขียนแล้วส่งต่อกี่ฉบับ ไม่งั้นจะ#!!%$@@&**#!!
อะไรทำนองนั้น

ถ้าสมัยนี้ยังมีอยู่ ผมคงนึกว่า ไอ้คนเริ่มนี่ ท่าทางจะบ้าหนัง The Ring มากจนขึ้นสมอง
หรือไม่ก็เป็นแผนการตลาดใต้ดินของกรมไปรษณีย์ หวังเพิ่มยอดขายแสตมป์

คิดกันไปได้ขนาดนั้นเชียวแหละ..คุณเอ๊ย..

แต่อย่าหัวเราะไปนา.. ท่านผู้อ่าน ..
ไอ้ฟอร์เหวิดเเมวเนี่ย มีคนเชื่อเยอะแยะไป
เยอะขนาดที่ทำให้รัฐบาลต้องยุบสภา นายกต้องขอเว้นวรรค
เพราะอำนาจของจดหมายส่งต่อลูกโซ่นี่แหละ

ถ้าจะบอกว่า รัฐบาลแพ้สงครามข่าวลือ ก็ต้องบอกว่า
ฝ่ายข่าวลือ มี forward mail เป็นอาวุธ เป็นสงครามกองโจรแห่งยุคไซเบอร์

วันๆไม่ต้องไปดักซุ่มโจมตีที่ไหน ไม่ต้องเข้าป่า มาล้อมเมือง
จ้างใครสักทีมนึง นั่งคิดพล็อต โยงแพะ มาชนแกะ แล้วส่งฟอร์เหวิดไป ตั้งชื่อหัวข้อให้ลงท้ายว่า "ช่วยส่งต่อเยอะๆนะ"

มีช่วงนึง ผมอ่านจนเบื่อ จนต้องเมล์กลับไปหาทุกคนที่เมล์มา บอกว่า.. ช่วยผมที ..
..ช่วยถอดผมออกจากรายชื่อ เวลาคุณส่งฟอร์เหวิดเมล์ พวกนี้ด้วย

น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน
แล้ววิจารณญานในหัวใจอ่อนๆ จะไปทนได้ยังไง.. นิ..

มีช่วงนึงที่ผมอึดอัดมาก.. รู้สึกเหมือนเป็นชนกลุ่มน้อย ในสังคมกรุงเทพฯ
เพราะผมไม่เชื่อฟอร์เหวิดเมล์ ด้วยเหตุผลหลายข้อ

เช่น.. เรื่องที่ว่าการขายหุ้นชิน ที่ทำธุรกิจมือถือเป็นการขายสมบัติชาติ
แต่ทำไม.. ตอน DTAC ขายหุ้นให้เอเลนอร์ ของนอร์เวย์
หรือสมัยที่อังกฤษมีหุ้นใน Orange ไม่เห็นมีใครคิดแบบนี้เลย
..เป็นต้น

ผมอ่านข่าวฉบับไหนๆ ก็มีแต่สื่อบ่นว่าถูกคุกคาม
แต่ผมไม่รู้สึกว่าสื่อถูกคุกคาม เพราะผมรับสื่อไหนก็มีแต่คนรายงานข่าวเข้าข้างพันธมิตร

เดี๋ยวจะหาว่าผมกล่าวหาสื่อ.. ยกตัวอย่างง่ายๆเลยนะ
คาราวานคนจนไปล้อมตึกเนชั่น สื่อบอกว่าคุกคามสื่อ
เป็นเรื่องรับไม่ได้ ต้องออกแถลงการณ์

แต่พันธมิตรก่อม๊อบใหญ่กว่าแบบเทียบกันไม่ได้ ล้อมตึกที่กกต.ทำงาน
ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลตรวจค้นรถที่ออกจากตึกทุกคัน
ผมไม่เห็นมีสื่อไหน ประนาม พันธมิตรเลย..

ผมว่ารัฐบาลแหละน่าสงสาร เพราะโดนสื่อคุกคามทุกวัน 555

ผมอีกคนสิ.. ถูกสื่อคุกคาม จนไปไหนๆก็ต้องทำตัวหงิมๆ ไม่พูด ไม่คุยเรื่องการเมือง
จะบอกใครว่า.. ผมไม่เชื่อจำลอง ผมไม่ชอบสนธิ ไม่เชื่ออาจานเจิม หรือใครๆที่อ้างว่ารู้ทันลุงแม้ว
ก็ดูจะเป็นคนโง่ เหมือนพวกตาสีตาสา แถวบ้านโนนหมากมุ่น กลายเป็นคนไม่รักชาติ ไม่ฉลาด ไม่ทันคนไปโน่นเลย

เผลอๆจะกลายเป็นพวกจัดตั้งของ พรรคลุงแม้ว หรือสนับสนุนเผด็จการไปเสียอีก

ถามว่า .. ผมรักลุงแม้ว เหมือนนางสาวไทยรักเด็กขนาดนั้นเลยไหม..
เปล่าเลย.. พับผ่า.. ผมเองก็ยังสงสัยแกอยู่เรื่องนึง
ซึ่งไม่ได้ถูกเอ่ยถึง ขณะที่บรรดาข้อกล่าวหาที่เขาไปโพทนาบนเวทีพันธมิตร
ผมดันตอบแทนลุงแม้วแกได้เกือบทุกข้อ

ผมมั่นใจว่าผมมีศรัทธาเสมอปัญญานะ ในเรื่องนี้

จะบอกว่าประชาชนมีสิทธิแสดงความเห็น .. ก็แสดงไปเถอะครับ
แต่อย่าทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน เดือดร้อน และอย่าริดรอนสิทธิของคนที่เขายังอยากให้ลุงแม้วเป็นนายกต่อ

จะชอบสีเหลือง ก็ชอบไปเถอะ.. แต่ผมขอชอบสีโอลด์โรสของผมได้ไหม อย่าว่ากันเลย

จะเชื่อใครศรัทธาใคร ก็ตามใจเถอะครับ.. เรามีเสรีภาพส่วนบุคคลอยู่
แต่ผมก็หวังว่า.. เราจะมีปัญญาพอจะรู้ได้ คิดได้ว่า ควรเชื่ออะไร เชื่อใคร แค่ไหน

หลายท่าน ภูมิใจมาก ที่รู้ทันทักษิณ
แต่ผมไม่แน่ใจว่า ท่านรู้ทันฝ่ายค้าน หรือพันธมิตรด้วยไหม

หลายเรื่องผมคงเขียนไม่ได้นะครับ
มันจะเข้าข่ายหมิ่นประมาท และผมไม่สามารถลงชื่อพยานบุคคลได้

แต่ถ้าท่านติดตามการบ้านการเมืองมานาน โดยไม่ยึดถืออคติมากนัก
ท่านคงพอจะมองออกว่า.. เขาเรียกร้องอะไร เพื่อใคร

ที่สำคัญ.. อย่าลืมว่า เสรีภาพ ต้องเป็นไปโดยการไม่เบียดเบียนผู้อื่น

********************
สมัยผมเรียนวิชาการวิจารณ์ภาพยนตร์

อาจารย์ที่สอน เอาหนังเรื่อง Missing แสดงโดย นิค โนลเต มาเปิดให้ดู

หนังพูดถึงนักข่าวอเมริกัน ที่ไปทำข่าวสงครามกลางเมืองในนิคารากัวครับ
พูดถึงสิ่งที่นักข่าวอ้างกันมาตลอดว่า.. พวกเขายึดมั่นในความเป็นกลาง

แต่หนังจะบอกว่า.. โลกนี้ไม่มีที่ยืนสำหรับคนที่เป็นกลาง
เพราะความเป็นกลาง มันหายาก หรืออาจจะถึงขั้นพูดได้ว่า มันไม่เคยมีอยู่

ตัวอย่างคือ ทันทีที่ผมบอกใครๆว่า.. ผมไม่เห็นด้วยกับฝ่ายค้านและพันธมิตร

จะมีธงถูกฟันลงมาทันทีว่า.. "ชอบไปได้ยังไง ทักษิณน่ะ"
ก็ยังไม่ทันพูดซักคำ ว่าผมเชียร์ลุงแม้ว

ไม่เชียร์พันธมิตร ก็ไม่ได้แปลว่าต้องเชียร์ลุงแม้วสักหน่อย

ผมบอกเพื่อนๆว่า.. นายกฯ จะชื่ออะไรก็ได้ครับ ทักษิณไม่ใช่คำตอบสุดท้ายคำตอบเดียว
ขอให้มาจากการเลือกตั้ง.. ผมไม่เคยรังเกียจ

แต่อย่าไปบอกว่า.. จะเอานายกฯ ด้วยมาตรา 7 ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่ใช่เหตุ ไม่ใช่เจตนารมณ์ของกฏหมาย
(ใครยังไม่ชัดเจนในประเด็นนี้ ลองไปศึกษาพระราชดำรัสฯ ได้นะครับ)

อย่าไปบอกว่า.. จะเอานายกฯ มายังไงไม่รู้ล่ะ.. แต่ต้องไม่เลือกตั้ง
เพราะเดี๋ยวทรท. ก็ชนะอยู่ดี

อย่าไปคิดว่า.. ใครจะเป็นไง ไม่รู้ล่ะ.. หุ้นจะตก ของจะแพง ใครจะเจ๊ง
นายกฯ ต้องลาออกก่อน ไม่งั้นไม่เลิก

ผมเคยนึกอยากเอาปี๊บคลุมหัว เมื่อนักวิชาการผู้เป็นใหญ่ในสถาบันการศึกษาที่ผมจบมา
ท่านออกมาบอกว่า.. ท่านคิดว่า มาตรา 7 และนายกฯพระราชทานฯ คือทางออกเดียวของปัญหา

ไม่รู้ป่านนี้ ท่านจะนอนหลับบ้างหรือยัง หลังจากได้ยินพระราชดำรัสฯ

ผมอยากจะขำ แต่ก็ขำไม่ออก.. เมื่อคนตั้งคำถาม ถามพวกอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ประกาศไล่ลุงแม้วว่า..
ถ้าไม่เอาทักษิณ ไม่เอา ทรท. แล้วจะเอาใคร

ครั้งนึง มีนักวิชาการกลุ่มนึงออกมาบอกว่า.. ก็ให้ป๋าเปรมเป็นสิ.. ท่านเป็นประธานองคมนตรีแน่ะ

โถ.. ท่านครับ.. ท่านไม่ตั้งสติหน่อยเหรอครับ
ท่านจำไม่ได้เหรอครับ.. ว่าป๋าเปรมน่ะ ท่านลาออกไปเมื่อครั้งกระโน้น
ก็เพราะพวกอาจารย์มหาวิทยาลัยก๊วนเดียวกับท่านน่ะ ลงมติไล่ป๋า เหมือนที่อาจารย์ไล่ลุงแม้วตอนนี้

ตอนนั้นบอกว่าป๋าเป็นเผด็จการ เพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
ตอนนั้นบอกว่า.. ใครก็ได้.. ไม่เอาป๋าแล้ว ขอให้มาจากการเลือกตั้ง

แล้วป๋า.. ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานองคมนตรี ด้วยประการฉะนั้น

แล้วถึงวันนี้ .. อาจารย์ จะให้ผมเชื่ออีกเหรอครับ
ว่าอาจารย์คิดถูก
ที่จะนำประเทศ ย้อนกลับไปในยุคที่มีทหารกลุ่มนึงเชื่อว่า
การเลือกตั้ง ไม่จำเป็น..

เชื่อว่า.. นายกฯที่ชอบธรรม สามารถมาจากการใช้อำนาจ ล้มรัฐบาลปัจจุบัน แล้วตั้งขึ้นใหม่ตามใจได้

เช่นนั้น แล้ว.. พวกท่านก็ไม่ต่างจากทหารสมัยจอมพลฯ ทั้งหลายเลยสิครับ
ท่านพยายามโค่นรัฐบาล ยึดอำนาจ โดยการสร้างความวุ่นวายโดยอ้างสิทธิตามระบอบประชาธิปไตย

ท่านภูมิใจกันเหลือเกิน กับสิบล้านเสียงที่ไม่ออกเสียง
แต่ท่านไม่ไยดีกับสิบหกล้านเสียงที่ออกเสียงมั่งเหรอครับ

หรือในตำราที่ท่านเรียนเขียนอ่านมา
ประชาธิปไตย มันไม่ได้มีหน้าตาแบบเดียวกับที่ผมเข้าใจกระมัง

********************
ดันมาเล่าเรื่องในวันแรงงาน.. เครียดเลย..
ขออภัยนะครับ

ปิดท้าย.. ทราบไหมครับว่า เขียนบล็อคกับแต่งงาน ต่างกันตรงไหน


ติ๊กต่อก.... ติ๊กต่อก... ติ๊กต่อก.... ติ๊กต่อก...


ปิ๊ง.... !! หมดเวลา..

เฉลย.. ต่างกันตรงที่ เขียนบล็อคเนี่ย พูดได้ว่า ..
"ครั้งนี้ถ้ามีอะไรบกพร่อง ต้องขออภัย.. ไว้แก้ตัวใหม่คราวหน้านะคร้าบ"

ฮาหน่อยเร้ว ..


ปล. ขอจดไว้กันลืมว่าครั้งต่อไป ผมจะพูดเรื่องจากหนัง As Good As It Gets มีคำพูดของพระเอกตอนนึง เด็ดมาก อิอิ

สุขสันต์วันแรงงานครับ




 

Create Date : 01 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 1 พฤษภาคม 2549 1:13:23 น.
Counter : 1211 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.