Group Blog
 
All blogs
 

6 ตุลา ข่าวลือ มะนาวต่างดุ๊ด และกัลยาณมิตร

เมื่อสักสองอาทิตย์ก่อน มี FWD Mail อันนึงมาถึงผมจาก3 แหล่ง โดยมิได้นัดหมาย จากเพื่อนที่ทำงาน จากน้องที่รู้จักกันอีกสองคน

เนื้อหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับการวางแผนลอบสังหาร ชนิดที่เอาไปสร้างหนังได้สองภาค สบายๆ อันนี้ไม่ขอพูดในรายละเอียด เพราะกระดากปาก

แต่เนื้อหาส่วนใหญ่ จับใจความได้ว่า อดีตนายกฯ เป็นคนใจบาปหยาบช้า คิดการใหญ่ เตรียมการด้วยแผนสุดแยบยล ซึ่งหนึ่งในนั้น คือการจัดหาคน 4 คน ที่รูปร่างหน้าตาคล้ายนายก มาผ่าตัดแปลงโฉมไว้เป็นตัวหลอก เผื่อโดนลอบสังหาร

ผมอ่านแล้วนึกถึงหนังเรื่อง In The Line Of Fire, Conspiracy Theory และ Face Off รวมกันเหมือนแกงโฮ๊ะ แต่ผมเชื่อว่ามีคนเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง เหมือนตอนที่มี FWD mail ว่าเขาจะใช้หมึกล่องหนตอนเลือกตั้งคราวก่อน

ผมเลยเขียนกลับไปบอกทุกคนที่ส่งมาว่า.. ถ้าจะมีใครเชื่อเมล์อันนี้ ก็ควรจะเชื่อด้วยว่า จริงๆแล้วคุณทักกี้ ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นเอลวิสที่ยังไม่ยอมตาย ถ่ายเซลส์สมองมาอยู่ในร่างคนเชียงใหม่ หน้าเหลี่ยม

หรือไม่ก็ควรเชื่อไปเลยว่า จริงๆแล้ว แกเป็นมะนาวต่างดุ๊ด มนุษย์ต่างดาวมาจากดาวพลูโต ที่เคียดแค้นชาวโลกเพราะอัปเปหิดาวของแกออกจากระบบสุริยจักรวาล

น้องท่านนึง ที่ผมเขียนกลับไปอย่างนั้น เขียนกลับมาตอบโต้ผมด้วยถ้อยคำเสียดสี ด่าทอ เหมือนที่หลายคนสรุปเอา ว่าผมเป็นพวกรับใช้เผด็จการ รักทุนนิยมสุดขั้ว และเธอสรุปว่า เธอไม่ได้พูดสักคำ ว่าเธอเชื่อจดหมายฉบับนั้น และที่ส่งไปก็ส่งแบบขำขำ ด้วยเห็นว่า ทุกคนที่ได้รับคงมีวิจารณญานในการอ่านเอง

ผมเขียนกลับไปขออภัย ที่ทำให้เธอไม่พอใจ แต่ผมก็แสดงความเสียใจ ที่เธอเห็นว่าจดหมายแบบนี้ สามารถส่งได้แบบ "ขำขำ"

ผมบอกว่า ผมเสียใจ ที่เธออ้างว่าเธอจบปริญญาโท เธอเชื่อว่าคนที่อ่านทุกคนมีวิจารณญาน เธอจึงส่งได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจใดๆ เพราะถ้าเธอเชื่อ ก็น่าเสียดายวิจารณญานของเธอ ถ้าเธอไม่เชื่อ ก็ยิ่งน่าเสียดายว่า ในเมื่อไม่เชื่อแล้ว ก็ยังส่งต่อไปโดยไม่คิดว่ามันจะหมายถึงความเกลียดชังที่เพิ่มทวีขึ้นในสังคม โดยไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความจริง

เวลาคนเราจะเกลียดอะไรใครขึ้นมาจริงๆ ใครมาพูดอะไรนิดเดียว เราก็มีแนวโน้มจะเชื่อกันไปได้ แม้ในเรื่องที่ไม่น่าเชื่อที่สุด

เผื่อจะมีคนที่เชื่อเมล์ที่ว่า แวะมาอ่านเข้า คุณอาจจะถามว่า.. แล้วคุณแอสตันรู้ได้ไงว่าไม่จริง

ตอบว่า.. ต่อให้ตัดเรื่องที่มันโม้ๆออกไปจนเหลือเชื่อ เอาเฉพาะเนื้อๆนะ.. ผมก็รู้ว่ามันไม่จริง เนื่องจากข่าวนี้ ไม่ใช่ข่าวใหม่ มันลือกันมานานแล้ว ผมเคยอ่านเมล์แบบนี้มานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาอ่าน แต่คนที่ส่งหลังๆเนี่ย พยายามโยงว่า ที่ทหารตัดสินใจ coup d'etat ก็เพราะเหตุนี้

ซึ่งถ้ามันจริง เขาคงทำไปนานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งทำ เพราะถ้าทหารไม่ทำ ประชาชนนี่แหละ จะออกไปสหบาทาคนที่คิดจะทำ และถ้ามันจริง ก็ควรจะเป็นเหตุผลแรกที่สำคัญที่สุดที่ คปค. จะต้องยกมาเป็นเหตุผลในการแถลงการณ์ แต่ก็ไม่ได้มีการพูดถึง

ใครที่เกิดทัน หรือเคยตามข่าวเรื่องเหตุการณ์สมัย 6 ตุลา ก็คงเข้าใจถ้าผมจะบอกว่า การใช้ยุทธการสร้างข่าวลือเพื่อลดความน่ารัก น่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้าม โดยดึงสถาบันระดับสูง มาเล่นนี่มันสกปรก และน่าเกลียดขนาดไหน

ไหนๆเมื่อวาน ก็เพิ่งครบรอบ 30 ปี ของเหตุการณ์ 6 ตุลา ผมก็ขอไว้อาลัยให้ทุกครอบครัว ทุกชีวิตที่สูญเสียไปในคราวนั้น

ไว้อาลัยให้กับคนไทยบางกลุ่ม ที่ไม่เคยเรียนรู้ ชอบเชื่อข่าวลือ และไม่ยอมเรียนรู้จะแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ด้วยการยอมรับในความคิดเห็นของคนอื่น

พยายามจะเขียนให้ตลก ก็ตลกไม่ค่อยออก สงสัยต้องไปปรึกษาคุณดำรงเฮฮา กะน้าสมันน้อย ซอยสี่

สองรายนั้น ขโมยขึ้นบ้าน อาจารย์แม่ด่า น้ายืมตังค์ กะละมังรั่ว ใส้อั่วบูด ตูดเป็นสิว ก็ยังเขียนให้ตลกได้เสมอ

ขออภัยที่ทำให้เครียดนะครับ ไม่อยากเล้ย จริงๆ

********************************

เมื่อวันพุธ ผมลางาน ขับรถไปหาพระที่ผมเคารพนับถือ ฟังท่านเทศน์จบ บุญพาวาสนาส่งจริงๆ เลยได้มีโอกาสไหว้บุคคลผู้ควรแก่การเคารพกราบไหว้

ท่านเป็นนักเขียนชื่อดัง ที่ดังสมชื่อ เพราะคุณพี่ท่านชื่อ "ดังตฤณ" อันนี้นักอ่านทั้งหลายคงร้องอ๋อ คนเขียน "เสียดาย คนตายไม่ได้อ่าน" ที่พิมพ์ไม่รู้ กี่สิบรอบแล้ว หนังสือของท่าน ทำให้คนตื่นมาก็มากหลาย ทำให้คนเห็นคุณประโยชน์ของการมีศีล มีธรรม ทำให้คนเข้าใจเรื่อง "กรรม" อย่างเป็นระบบ เป็นเหตุเป็นผล

ที่สำคัญ ทำให้คนเข้าใจธรรมะ ของพระพุทธเจ้าได้ลึกซึ้ง โดยไม่ต้องอ่านภาษาบาลี แต่ด้วยภาษาทางโลก ธรรมดาๆ หรือแม้กระทั่ง ในรูปแบบของนิยาย ท่านก็เขียนได้อ่านสนุกชนิดวางไม่ลงเหมือนกันนะครับ

ผมเป็นคนบุญน้อย น้องๆ ที่ผมสนิทคุ้นเคยหลายคน เป็นน้อง เป็นศิษย์คุณดังตฤณ ได้เรียน ได้สนทนาประสาธรรมกันเมื่อไหร่ก็ได้ที่ว่าง ผมเองกลับไม่เคยได้ขอความรู้จากท่านเลย

วันพุธ เลยปลื้มใจเป็นพิเศษ อันนี้ต้องขอบพระคุณกัลยาณมิตร อย่างคุณ ธิตินาถ ณ พัทลุง มา ณ ที่นี้ ที่ช่วยแนะนำผมให้มีโอกาสสนทนากับพี่ดังตฤณ

ใครไม่เคยรู้จัก หรือเคยได้ยินแต่ชื่อ อยากรู้จัก อยากอ่านงานดีๆของคุณดังตฤณ ท่านมีเว็บให้เข้าไปดาวน์โหลดมาอ่านได้ฟรี ที่นี่ครับ
//www.dungtrin.com/

โลกนี้ มีไม่มากหรอกครับ คนที่มีรายได้หลักจากการเป็นนักเขียน แต่มีเว็บไซท์ให้สาธารณชนดาวน์โหลดผลงานไปอ่านฟรีๆ

แต่หนังสือของท่าน ก็ยังขายดี เพราะยิ่งมีคนได้อ่าน ก็ยิ่งมีคนเห็นคุณค่าของมัน ซื้อมาไว้ในชั้นหนังสือไม่พอ ยังต้องซื้อไปแจกเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง

มีหนังสือของท่านไว้ ก็เหมือนคุณรู้จักกัลยาณมิตรเพิ่มอีกหนึ่งคนนะครับ

สุขสันต์วันเสาร์ครับ





 

Create Date : 07 ตุลาคม 2549    
Last Update : 8 ตุลาคม 2549 16:57:03 น.
Counter : 1289 Pageviews.  

Devil Wears Prada เมื่อนางมารสวมป้าดา

ไม่รู้จะโชคดีหรือโชคร้าย ที่ผมไม่ได้อ่านหนังสือเรื่องนี้ก่อนไปดูหนัง

คือมักจะมีคนพูดว่า หนังที่สร้างจากหนังสือ มากจะให้รายละเอียดได้ไม่เท่า ไม่เข้มข้นเท่า แล้วผมก็เห็นจริงอย่างนั้น ในหนังเรื่อง Da Vinci Code

แต่ต้องไม่ลืมว่า หนังมันมีข้อจำกัดเรื่องเวลา ภาษาหนัง จึงไม่เหมือนภาษาหนังสือ ภาษาหนังสือยืดย้วยได้ แต่ภาษาหนังทำไม่ได้ และไม่ควรทำ

เพราะหนังที่ฉายตามโรง มันมีรอบหนังเป็นตัวบังคับ ถ้าสร้างหนังยาวมาก วันนึงเขาอาจจะฉายได้แค่ 4 รอบ ในขณะที่ถ้าเอาเรื่องอื่นมาฉาย เขาจะฉายได้ 6-7 รอบ เป็นต้น

โรงหนัง จึงอยากจะฉายหนัง ที่ไม่ยาวมาก มากกว่าหนังยาวๆ ยืดๆ ทุกวันนี้ คุณถึงจะไม่ค่อยเห็นหนัง 3 ชั่วโมง หรือ 6-7 ชั่วโมง อย่างพวก DR. Zhivago หรือ War and Peace หรือ Gone With The Wind

ฉะนั้น ในฐานะผู้กำกับ คุณมีทางเลือกสองทาง คือทำมันให้สั้น กระชับซะ หรือไม่ก็แบ่งเป็นสองสามภาคไปเลย

กลับมาที่นางมารสวมป้าดาครับ นี่เป็นหนังชีวิตกึ่งคอเมดี้ ตามสูตรที่ผมชอบพอดี อย่างที่บอก ผมไม่ได้อ่านหนังสือระดับเบสต์เซลเลอร์ เรื่องนี้มาก่อน เลยบอกไม่ได้ว่ามันสนุกเท่าหนังสือไหม

แต่หนังได้เงินมากกว่าหนังแอคชั่นหลายเรื่อง ในอเมริกา แปลว่ามันต้องมีอะไรดีแหละ แล้วก็จริง

หนังสนุกมากนะครับ ดูแล้วหลายคนอาจจะย้อนไปนึกถึงสมัยเรียนจบ ไฟแรง อยากทำงานโก้ๆ เท่ๆ มีใครสักคนเป็นต้นแบบ

ผมพยายามจะไม่เล่าอะไรมาก ให้คุณเสียอรรถรส แต่เอาเป็นว่า มีหลายอย่างที่ผมชอบในเรื่องนี้ นอกจากนางเอกอ่ะนะ

ส่วนที่ผมชอบที่สุดคือตอนที่ป้าดา เอ๊ย.. มิแรนด้า พรีสต์ลีย์ เจ้านายของนางเอกเธอบอกว่า เธอเห็นตัวเธอในตัวของแอนดี้ (นางเอก) แล้วแอนดี้ก็ได้สติขึ้นมา ว่าเจ้านายเธอพูดถูก

สิ่งที่เธอทำหลังจากนั้น คือการกลับไปสู่โลกที่เธอเป็นจริงๆ ไม่ใช่พยายามเป็นผู้ชนะในโลกที่เธอไม่ได้เป็น

มีคนหลายคนที่ผมเคยเห็น พยายามเติบโต ไต่เต้า ด้วยวิธีต่างๆ ทั้งเลื่อยขาเก้าอี้ เหยียบหัวคนอื่น แทงข้างหลัง แม้แต่กับคนที่เขาเรียกว่า "เพื่อน" เพียงเพื่อให้ได้ใน "สิ่งที่เขาต้องการ"

ส่วนเรื่องแฟชั่นมันของจริง หรือฉาบฉวย อันนี้เป็นเรื่องอัตถวิสัย ผมไม่ก้าวล่วงไปในความชอบของใคร เอาเป็นว่าแต่งให้งาม ให้ดูดีเหมาะกับฐานะ กาละเทศะ เหมาะกับตัวเอง แต่งเพื่อความสุข ความสบายใจของคุณเอง อย่าแต่งเพื่อความสุขของดีไซน์เนอร์ หรือเพื่อแฟชั่น

แต่ผมเชื่อพี่เต๋อนะ ว่าแฟชั่นส่วนมาก มันเป็นเรื่องของคนไม่กี่คน คอยบอกว่า คนอื่นๆอีกหลายร้อยล้านคน ควรจะแต่งตัวยังไง

แต่ก็อีกนั่นแหละ ถึงผมจะยังไม่มีเงินซื้อ ผมก็ว่า สูทของอาร์มานี่ มันก็สวยจริงๆนะ 555

สุขสันต์วันอาทิตย์ครับ



ลป. ลืมไป เพลงวันนี้เป็นเพลงฉบับเรียบเรียงใหม่ จากเพลงเก่าของ Abba ชื่อ "ใครชนะก็ได้ทุกอย่าง" มันมีนัยยะใกล้ๆสิ่งที่ผมพูดถึง ส่วนดนตรี ให้อารมณ์แบบ เลานจ์มิวสิค ที่เขาเอามาเดินแฟชั่นกันด้วยในบางงาน

นักร้องชื่ออะไรไม่บอก เดี๋ยวคนก๊อปเพลงจะได้ข้อมูลสมบูรณ์เกินไปโดยไม่จ่ายตังค์ เอิก




 

Create Date : 01 ตุลาคม 2549    
Last Update : 7 ตุลาคม 2549 10:36:14 น.
Counter : 1522 Pageviews.  

เพื่อนเก่า แฟนเก่า เพื่อนของแฟนเก่า กับชีวิตคู่



ผมมีเพื่อนสนิทมากอยู่คนหนึ่ง รู้จักกันมาตั้งแต่ราวๆปี 2525 กี่ปีแล้วล่ะ ผมเอานิ้วตัวเองนับแล้วยังไม่พอ อาจต้องขอยืมนิ้วคุณมานับด้วย

เอาเป็นว่า รู้จักเธอตั้งแต่เพื่อนที่โรงเรียนผมมันแย่งกันจีบเธอ จนเธอเป็นแฟนกับเพื่อนผม จนเธอเลิก เธอมีแฟน เธอเอนทรานซ์ เธอจบจุฬา เธอข้ามมาเรียนโทที่ธรรมศาสตร์ เธอทำงาน เธอแต่งงาน ผมก็เป็นพิธีกรให้ เธอมีลูก หนึ่งคน สองคน ชีวิตคู่เธอ ปกติบ้าง ไม่ปกติบ้าง เธอก็ยังนึกถึงผม เราคุยกันเป็นระยะๆ ในทุกช่วงชีวิตของเธอ เธอบอกว่า เธอชอบฟังผมอธิบาย เพราะมันทำให้เธอเข้าใจอะไรๆได้มากขึ้น เวลาเธอมีปัญหา

เพื่อนสนิททุกคนของผม จะมีลักษณะคล้ายกัน คือ ตัวไม่ติดกัน เพราะผมเป็นคนมีโลกส่วนตัว ผมชอบความสันโดษ ไม่ชอบไปไหนกับคนหมู่มาก ไม่ชอบปาร์ตี้ ไม่ค่อยออกงาน นอกจากคนสนิทกันชวนมา ดังนั้น นิยามเพื่อนสนิทของผม อาจจะไม่ได้มีคำว่า โทรคุยกันทุกอาทิตย์ มันอาจจะเป็นแค่เดือนหรือสองเดือนหน ที่เจอกัน คุยกัน เราก็ยังรู้สึกว่า เราสนิทกัน

ความถี่มันไม่สำคัญ เท่าความรู้สึกน่ะ ..ผมว่า

เมื่อวาน ผมแวะไปทานมื้อเที่ยงแถวที่ทำงานเธอมา จะว่าไป.. เราก็อยู่ไม่ไกลกันมาก และจะว่าต่อไป.. โลกที่เราอยู่มันกลมกว่าที่เรานึก

มีเพื่อนโรงเรียนเก่าของเธอ 2 คน ที่ผมรู้จักดี.. ดีเลยล่ะครับ

คนนึงเป็นแฟนเก่าผมเอง .. เป็นแฟนที่เป็นผู้หญิงในอุดมคติของผมมากที่สุด ที่ผมเคยเจอมา (ถ้าเผื่อคุณกำลังจะคิดอะไรต่อ ทุกวันนี้ เธอแต่งงานไปแล้วครับ) ตั้งแต่สมัยเรียนจบใหม่ๆ

รู้จักกันเป็นเพื่อนเก่ากันไม่พอ ทุกวันนี้ ก็ทำงานที่เดียวกับเพื่อนสนิทผมอีก แต่คนละฝ่าย แถมทั้งคู่มีเพื่อนสนิทคนเดียวกัน สนิทขนาดที่เป็นคนโทรมาด่าผมเอง เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนผมเลิกกับแฟนเก่าผม ที่เป็นเพื่อนเขานั่นแหละ

เรื่องตอนโน้น เป็นยังไง ขอไม่เล่านะครับ แต่เอาเป็นว่าทุกอย่างมันก็แล้วไปแล้ว ถึงมันจะจบลงเศร้าขนาดนิยายสี่เล่มของทมยันตี รวมกับ กฤษณา อโศกศิน รวมกันก็ยังไม่เท่า ผมก็แอ่นอกรับว่า มันเป็นความโง่ บ้า เซ่อบริสุทธิ์ของผมเอง

ระหว่างที่ทานมื้อเที่ยง เธอเล่าให้ฟังเรื่องสารทุกข์สุขดิบ และความยากในชีวิตครอบครัวของเธอ และถามผมหลายอย่าง เรื่องของผมกับอดีตภรรยา ถึงกระบวนการการตัดสินใจจะแยกทาง

ผมค่อนข้างตกใจ เพราะจับประเด็นได้ว่า เธอเริ่มไม่ศรัทธา ในการมีชีวิตคู่ เพราะหลายๆคน หลายๆคู่ที่อยู่รอบๆตัวเธอ มันแสดงภาพชีวิตคู่ที่ตะปุ่มตะป่ำ เหมือนเดินบนถนนที่ขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ

พระท่านเคยแสดงธรรมไว้ว่า จิตใจคน เป็นเหมือนฟองน้ำ อยู่ใกล้น้ำชนิดไหน ก็จะซึมซับเอาน้ำชนิดนั้นมาเป็นของตน

คนที่โตมาในสภาพแวดล้อมแบบนึง ทัศนคติ ก็จะเป็นแบบนึง คนที่ครอบครัวดี พ่อแม่ดี ก็แบบนึง ครอบครัวไม่ดี แต่พ่อแม่ดี ก็อีกแบบ ครอบครัวไม่ดี พ่อแม่ไม่ดี แต่ญาติๆที่ช่วยเลี้ยงดี ก็อีกแบบ ถ้าไม่ดีเลยสักข้อ อันนั้นก็อีกแบบ

ฉันใด ฉันนั้น คนที่เพื่อนๆ พี่น้อง ญาติๆ มีชีวิตครอบครัวที่ดี ก็จะมีทัศนคติต่อชีวิตคู่ดี ถ้าไม่ดี ก็มีแนวโน้มจะมองอะไรร้ายๆลบๆ ได้ง่ายเหมือนกัน

สติ ถึงมีความสำคัญต่อชีวิตคนเรา ด้วยเหตุนี้

ผมมีเวลาคุยกับเธอได้ไม่นาน ในมื้อกลางวัน เราเลยทำในสิ่งที่ปกติไม่ค่อยได้ทำ คือโทรคุยกันอีกทีตอนสี่ทุ่มกว่า คราวนี้ทำตัวเป็นเด็กมัธยม คือคุยกันไปจนเกือบตีหนึ่ง

ได้ช่วยให้เพื่อนมีสติในการมองชีวิตคู่ใหม่ในแง่ดี นี่มันรู้สึกดีนะครับ แต่อีกใจนึง ก็รู้สึกว่า โลกนี้มันไม่ค่อยมีความพอดี ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรที่เราจะวางใจได้ ว่ามันจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เที่ยงแท้ ถาวร ความสุขที่เคยมองไว้ก่อนแต่งงาน มันอาจจะเป็นเหมือนความฝัน

ฟังเรื่องที่ญาติของสามีเธอคนนึงแต่งงานได้ไม่นาน ภรรยา ต้องหอบข้าวของกลับไปบ้านพ่อแม่ แล้วก็สะท้อนใจ

ส่วนหนึ่ง เพราะคนจำนวนมาก ชอบเลือกคู่ จากความเหมาะสมในแง่สังคม การยอมรับของครอบครัว มากกว่า ความรัก หรือความพอดี เรื่องความคิดความอ่าน การมองโลก การใช้ชีวิต

ผมไม่ได้บอกว่า คนจำนวนมากที่ว่า ทำผิดนะครับ แม้ว่ามันจะเป็นเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ผมยังไม่สามารถลงเอยกับใครได้ก็ตาม

เพียงแต่ผมเห็นว่า ความเหมาะสมจากมุมมองของสังคม และการยอมรับของครอบคัรว โดยพิจารณาจาก profile ปูมหลัง มันก็เหมือนการตัดสินว่าใครจะประสบความสำเร็จในชีวิต จากการดูสมุดพก หรือใบสมัครงานนั่นแหละ

แต่ก็นั่นแหละ.. คนที่จะพิสูจน์ได้ว่า สมุดพกคืออดีต ไม่สำคัญเท่าปัจจุบัน ไม่มีผลผูกพันกับอนาคต มีอยู่มากแต่เป็นที่รู้กันไม่มากนัก ที่เรารู้แน่ๆก็มีคนอย่างอัลเบิร์ต ไอนสไตน์ บิล เกตส์ สตีฟ จ๊อบส์ เป็นต้น

จะว่าไป.. ทฤษฎีที่ว่า การแต่งงานก็เหมือนการซื้อหวย ก็ยังใช้ได้เสมอ เพียงแต่ถ้าพูดไม่ให้ดูมองโลกในแง่ร้ายมาก ก็ต้องบอกว่ามันเป็นหวยประเภทจับฉลาก น้ำเต้าปูปลามากกว่า หรือเหมือนเลือกทหารว่า จะได้ใบดำ ใบแดง ไม่ถึงขนาด หนึ่งในล้านอย่างสลากกินแบ่งรัฐบาล

ผมก็ไม่ทราบจะให้กำลังใจ หรือปลอบใจ คุณที่กำลังจะแต่งงานยังไง เอาเป็นว่า ถ้าไม่อยากผิดหวัง ก็อย่าหวังอะไรมาก ทำให้ดีที่สุด อะไรจะเกิดก็ถือว่า As Good As It Gets ก็แล้วกันนะครับ

สุขสันต์วันเสาร์ครับ



เกือบลืม เพลงวันนี้ชื่อ sweet memories เพราะบาดใจผมเหลือเกิน นักร้องชื่อ โอลิเวีย เป็นญี่ปุ่น อัลบั้มมีขายที่ร้าน โดเรมี สยามแสควร์ และ True Life Shop พารากอน นะครับ A Girl Meets Bossa Nova 2 ชอบก็ไปซื้อเถอะ อย่า D/L เฉยๆ มันบาปนะคุณ




 

Create Date : 30 กันยายน 2549    
Last Update : 1 ตุลาคม 2549 10:37:40 น.
Counter : 2245 Pageviews.  

น้ำท่วม โรงเจ และปัญหา



ยังครับ บ้านผมน้ำยังไม่ท่วม แต่ปีนี้ท่าทางน้ำจะดุเอาการ เลยยังไม่แน่ว่ากทม.จะรอดไหม

ที่จริง หลายๆที่เขาก็ท่วมกันแล้ว เพียงแต่ปกติกทม. ค่อนข้างมีความสามารถในการระบายน้ำ อีกทั้งผมอยู่และทำงานในเขตที่ค่อนข้างโชคดี ที่น้ำไม่ค่อยท่วม หรือท่วม ก็ห้ามท่วมนาน ก็เลยไม่ค่อยได้ผลกระทบมาก

สมัยเด็กๆ ยุคนึง... (มีคนบอกว่าคนเราพอแก่ลงจะชอบพูดเรื่องวัยเด็ก เอิก.. )
จำได้ว่าเวลามีคนทำแบบสอบถามว่า ผู้ว่ากทม. ในดวงใจต้องมีคุณสมบัติอย่างไร ผลออกมาว่า ต้องแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ มาเป็นอันดับแรกๆ ตีคู่มากับเรื่องจราจร

สมัยเด็กกว่านั้นอีก ตอนผมยังอยู่เชียงใหม่ จำได้ว่ามีน้ำท่วมใหญ่ครั้งนึง สนุกมาก ตอนนั้นไม่ค่อยรู้สึกว่าเดือดร้อน เพราะบ้านเป็นเรือนไม้ ใต้ถุนสูง ยิ่งตอนน้ำท่วมใหม่ๆ น้ำยังค่อนข้างสะอาด มีปลามาว่ายให้ดูอีกต่างหาก ไม่สนุกก็เวลาเดียว คือตอนที่มีงูหนีน้ำมาเลื้อยขึ้นบ้านนี่แหละ

สำหรับเด็กเล็กๆแบบผม น้ำท่วมกลายเป็นเรื่องสนุกมากกว่าเรื่องน่าเดือดร้อน เพราะได้เล่นน้ำ โรงเรียนก็หยุด เว้นแต่มันท่วมหลายๆวันจนน้ำเริ่มจะไม่สะอาด ส่งกลิ่น

แต่ยิ่งโตขึ้นๆ กลับรู้สึกว่า น้ำท่วมเป็นเรื่องไม่สนุก น่าเบื่อ และชวนลำบากมากขึ้นทุกที

แปลกดีนะครับ น้ำท่วมเหมือนๆกัน สมัยนึงคิดอย่างนึง มองมันอย่างนึง พอเวลาผ่านไปกลับคิดอีกแบบ รู้สึกอีกแบบ

สมัยเด็กๆ ผมชอบตามอาม่า (ย่า) ไปโรงเจบ่อยๆ อย่างที่เคยเล่า จำได้ว่าสมัยผมเล็กๆ ผมรู้สึกว่าโรงเจที่ว่า มันใหญ่มากเลย

หลังจากผมเข้ามาเรียนในกรุงเทพ แล้วย้อนกลับไปเชียงใหม่ทีไร ผมก็ชอบจะไปโรงเจนั่นทุกครั้ง ทุกๆครั้งจะรู้สึกว่า โรงเจแห่งนั้น ดูเล็กลงๆ เรื่อยๆ

หลายปีก่อนผมได้ไปเยี่ยมพระราชวังต้องห้าม ในปักกิ่ง และได้เห็นสถาปัตยกรรมจีนที่พูดได้ว่า ใหญ่จริงๆ เล่นเอาโรงเจอันใหญ่โตในวัยเยาว์ของผม กลายเป็นศาลพระภูมิไปเลย

เวลาที่แตกต่าง มันทำให้มุมมองเราเปลี่ยนไป โดยเฉพาะมุมมองต่อปัญหา ต่อโลก และชีวิต

ใครที่คิดว่าปัญหาที่คุณเจอในวันนี้ มันใหญ่โต หนักอึ้ง และเกินจะทานทน ลองอึดๆ อดทนหน่อยเถอะครับ ผ่านมันไปให้ได้ แล้วอีกหลายๆปี หลังจากนี้ คุณอาจจะนึกขำด้วยซ้ำ ที่วันนี้เราแทบจะลงไปดิ้นพราดๆให้กับทุกข์ตัวนี้

เมื่อเวลาผ่านไป ทุกครั้งที่เรามองย้อนกลับมา เราจะเห็นว่ามันเล็กลงๆ เรื่อยๆอย่างไม่น่าเชื่อ

แต่ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ก็ไม่ต้องดิ้นให้มันมีขึ้นมาล่ะครับ
หลับฝันดีครับ




 

Create Date : 28 กันยายน 2549    
Last Update : 29 กันยายน 2549 0:02:46 น.
Counter : 1624 Pageviews.  

Death Note เมื่ออำนาจของยมทูตอยู่ในมือมนุษย์

ผมเคยได้ยินน้องๆหลายคนพูดถึงชื่อ เดทโน๊ต มาตั้งนานแล้ว บอกว่าเป็นการ์ตูนที่สนุกมาก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยได้อ่าน



(รูปฉบับการ์ตูน จากกระทู้อันนี้ครับ //bbs.pramool.com/webboard/view.php3?katoo=K08955 )

ท่านที่ไม่เคยอ่าน แล้วเห็นหนังตัวอย่าง ที่เขาตัดโปรโมท อาจจะเข้าใจว่าเป็นหนังสยองขวัญ สั่นประสาท ดำมืด ประเภทชัตเตอร์ ผีสามบาท อะไรเทือกนั้น

แต่จะบอกว่าในหนังแทบจะไม่มีอะไรแบบนั้นเลยครับ ไม่รู้ทางค่าย M Pictures นึกยังไงถึงตัดตัวอย่างโดยไปเอาภาพอะไรมาจากไหนก็ไม่ทราบ มาเติมให้มันดูสยองๆ ผมปกติเป็นคนไม่ชอบดูหนังผี ไปนั่งดูแล้ว ทั้งเรื่องไม่มีอะไร แท่น แท๊นนนน... ตะดึกโป๊ะ!! อะไรแบบนั้นเลย

แต่เป็นหนังลึกลับ นักสืบเสียมากกว่า

เดท โน๊ต เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มชื่อ ไลท์ ที่เก็บสมุดโน๊ตของยมฑูตตนนึงที่ชื่อ "ลุค" ได้ สมุดที่ว่า บังเอิญมีฤทธิ์เดชประหลาดตรงที่ ถ้าเขียนชื่อใครลงไป แล้วนึกหน้าคนๆนั้น คนนั้นต้องตาย

ไลท์ เริ่มต้นด้วยเจตนารมณ์ที่ดีครับ เขาเป็นนักศึกษานิติศาสตร์ พ่อเป็นตำรวจ เขาก็อยากเป็นตำรวจ แต่เขาพบว่าบางทีกฏหมายและขั้นตอนที่ยุ่งยาก ก็ไม่ได้เป็นที่พึ่งได้แท้จริงเสมอไป เขาเลยใช้พลังของสมุดเดทโน๊ต กำจัดอาชญากรจนล้มตายแบบใบไม้ร่วง ทำให้คดีอาชญากรรมลดลงอย่างฮวบฮาบ จนใครๆก็ชื่นชมว่าเขาเป็นวีรบุรุษในนาม "คิระ" โดยไม่มีใครรู้ว่า ตัวจริงของคิระ คือใคร

แต่ในท่ามกลางเสียงชื่นชม ก็มีบางเสียงที่ไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่า การใช้อำนาจชี้ตายได้ง่ายๆแบบนี้ บางทีมันอาจขาดการกลั่นกรอง และฆ่าคนบริสุทธิ์ได้ และไลท์ก็เริ่มก้าวเข้าสู่ด้านมืดของการเป็นผู้มีอำนาจ มากขึ้นๆ

เขาเริ่มสนุกกับการฆ่าโดยเขาเป็นผู้กำหนดรายละเอียดการตายแต่ละครั้ง และฆ่ากระทั่งตำรวจ เอฟบีไอ ที่พยายามมาสะกดรอย การฆ่าจึงไม่ได้เป็นไปเพื่อเจตนารมณ์เพื่อกำจัดเหล่าร้ายอย่างที่คิดไว้แต่แรก แต่จะเป็นไปเพื่ออะไร อย่างไร ไปดูเองนะ หนังจะค่อยๆคลี่ปมออกมา จนคุณต้องอึ้ง

หนังเดินเรื่องได้สนุกครับ ไม่ได้เน้นขายความสยองอะไร อย่างที่ค่ายพยายามจะขาย แต่มันเป็นการชิงไหวชิงพริบ ระหว่างผู้ถูกล่า กับผู้ตามล่ามากกว่า

ส่วนที่ผมสนใจ คือเรื่องมนุษย์กับการมีอำนาจสิทธิขาดในมือครับ ยิ่งชี้เป็นชี้ตายให้คนได้เนี่ย มันน่าขนลุก

พื้นฐานมนุษย์ โดยเนื้อแท้ ไม่มีอะไรหรอก แต่เราอ่อนไหวกับการมีอำนาจหนึ่ง เงินทองหนึ่ง เกียรติและบริวาร หนึ่ง การมีอำนาจในมือ เป็นของหวาน แต่อย่าลืมว่า ของหวานมันทานมากๆ ก็เป็นเบาหวาน เป็นอันตรายต่อเราเองได้

เดทโน๊ต หยิบจุดอ่อนของมนุษย์มาเล่นได้ดีครับ ว่าเมื่อสิ่งมีชีวิตที่เป็นทาสกิเลสตัวเองมาชั่วชีวิต วันนึงได้เป็นเจ้าของอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เราจะจัดการอำนาจที่มีได้อย่างไร โดยไม่ตกเป็นทาสมันเสียเอง

ประเด็นนี้ไม่ใช่ของใหม่หรอก ใครเคยดูหนังอย่าง the Lord Of The Ring ก็คงนึกออก ว่าแหวนของโซรอน ที่โฟรโด้ต้องห้อยคอไว้ ตอนท้ายๆ มันก็แทบจะครอบงำฮอบบิทแสนดีอย่างโฟรโด้ไปจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ

เขาห้ามพูดเรื่องการเมือง ผมพูดเรื่องเดทโน๊ต แทนก็แล้วกัน

ไปนอนนะครับ




 

Create Date : 27 กันยายน 2549    
Last Update : 27 กันยายน 2549 0:57:39 น.
Counter : 3336 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.